ทำไมเราเป็นเจ้าของชีวิตได้ไม่เท่ากัน? (Part1/2) | Shortcut ปรัชญา EP.12
HTML-код
- Опубликовано: 30 июн 2024
- ชีวิตเป็นของเราไหม?
บางคนอาจตอบอย่างมั่นใจว่า ‘ใช่สิ ชีวิตเป็นของเรา’ แต่บางคนอาจเริ่มลังเลแล้วคิดว่า ‘เอ๊ะ ชีวิตเป็นของเราแค่ไหนนะ’
ดังนั้นคำถามนี้ไม่อาจมีเพียงคำตอบเดียว และคำถามที่น่าสนใจกว่าอาจเป็น ‘แล้วทำไมแต่ละคนถึงรู้สึกเป็นเจ้าของชีวิตได้ไม่เท่ากัน?’
Shortcut ปรัชญา เอพิโสดนี้ พาลงลึกเรื่อง ‘ชีวิต’ เพื่อตอบคำถามว่าชีวิตเราเป็นของใคร มันเป็นของเราแค่ไหน ทำไมเราจึงรู้สึกเป็นเจ้าของได้ไม่เท่ากัน และปัจจัยอะไรที่ทำให้เราแต่ละคนควบคุมและใช้ประโยชน์จากชีวิตได้แตกต่างกัน
ชวนคิดชวนถามกับ ภาคิน นิมมานนรวงศ์ และ ฟาง-รัฐโรจน์ จิตรพนา
Time Index:
00:00 Highlight
00:32 เกริ่นนำ
01:07 ชีวิตคืออะไร
06:30 ชีวิตเป็นของเราไหม
14:59 ชีวิตเป็นของเราแค่ไหนจากมุมภายใน
27:14 ชีวิตเป็นของเราแค่ไหนจากมุมภายนอก
32:50 จินตนาการเป็นของเราไหม
44:00 มนุษย์เป็นแค่หุ่นเชิดของสังคมหรือไม่
51:06 คำถามทิ้งท้าย
อ้างอิง EP.12
1. หนังสือเล่มสำคัญที่เป็นที่มาของตอนนี้คือ ‘จินตนาการทางสังคมวิทยา’ โดย ซี. ไรต์. มิลส์ ฉบับภาษาไทยแปลโดย จันทนี เจริญศรี สำนักพิมพ์บุ๊คสเคป (bookscape.co/books/in-stock/i...)
2. เรื่องราวของ ชาร์ลส์ วิตแมน อยู่ในบทแรกของหนังสือ ‘500 ล้านปีแห่งความรัก’ เล่มที่ 1 โดย ชัชพล เกียรติขจรธาดา (chatchapolbook.com/book/500-ล...)
3. เรื่องของ ฟิเนียส เกจ และเคสผู้ป่วยที่อารมณ์แปรปรวนหรือเปลี่ยนจากคนอารมณ์ดีเป็นคนอารมณ์ร้าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวอย่างในประเทศไทย ฟังยาวๆ ได้จากรายการ Brain Code Cast Ep.3 - เคสคลาสสิก คนไข้สมอง ( • Brain Code Cast Ep.3 -... )
4. อ่านงานวิจัยเรื่อง ‘จินตนาการใหม่ของเยาวชนไทย’ ได้ที่ 101pub.org/youth-civic-imagin... หรือฟังการนำเสนอผลการวิจัยได้ที่ 101pub.org/kid-for-kids-futur...
กดติดตาม และ กดกระดิ่ง: bit.ly/45KZn3w
ติดตาม THE STANDARD PODCAST ในช่องทางอื่นๆ
Website: www.thestandard.co/podcast
Twitter: / thestandardpod
Facebook: / thestandardth
TikTok: / thestandard.podcast
Spotify: bit.ly/3NhRWZg
Apple Podcasts: bit.ly/42OGIkI
SoundCloud: / thestandardpodcast
#Shortcutปรัชญา #ปรัชญา #TheStandardPodcast #TheStandardTh #TheStandardCo #podcast
Time Index:
00:00 Highlight
00:32 เกริ่นนำ
01:07 ชีวิตคืออะไร
06:30 ชีวิตเป็นของเราไหม
14:59 ชีวิตเป็นของเราแค่ไหนจากมุมภายใน
27:14 ชีวิตเป็นของเราแค่ไหนจากมุมภายนอก
32:50 จินตนาการเป็นของเราไหม
44:00 มนุษย์เป็นแค่หุ่นเชิดของสังคมหรือไม่
51:06 คำถามทิ้งท้าย
อ้างอิง EP.12
1. หนังสือเล่มสำคัญที่เป็นที่มาของตอนนี้คือ ‘จินตนาการทางสังคมวิทยา’ โดย ซี. ไรต์. มิลส์ ฉบับภาษาไทยแปลโดย จันทนี เจริญศรี สำนักพิมพ์บุ๊คสเคป (bookscape.co/books/in-stock/issue-of-the-age/the-sociological-imagination)
2. เรื่องราวของ ชาร์ลส์ วิตแมน อยู่ในบทแรกของหนังสือ ‘500 ล้านปีแห่งความรัก’ เล่มที่ 1 โดย ชัชพล เกียรติขจรธาดา (chatchapolbook.com/book/500-ล้านปีของความรัก-เล่ม-1-ว/)
3. เรื่องของ ฟิเนียส เกจ และเคสผู้ป่วยที่อารมณ์แปรปรวนหรือเปลี่ยนจากคนอารมณ์ดีเป็นคนอารมณ์ร้าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวอย่างในประเทศไทย ฟังยาวๆ ได้จากรายการ Brain Code Cast Ep.3 - เคสคลาสสิก คนไข้สมอง (ruclips.net/video/4MHklXa-Mvw/видео.html)
4. อ่านงานวิจัยเรื่อง ‘จินตนาการใหม่ของเยาวชนไทย’ ได้ที่ 101pub.org/youth-civic-imagination/ หรือฟังการนำเสนอผลการวิจัยได้ที่ 101pub.org/kid-for-kids-future-of-new-generation/
, , ผ ผ
, ,
,
- ,,,,
เคยเชื่อว่า ”เราเป็นทาสของสารเคมีในสมอง”
แต่ตอนนี้ตกตะกอนได้แล้วว่า “เราคือสารเคมีในสมอง”
อีพีนี้ เริ่มต้นฟังด้วยความฮึกเหิม ตอนท้ายๆ เริ่มน้ำตาซึมละ ความเหลื่อมล้ำจำกัดได้แม้กระทั่งความฝันและจินตนาการ
นาทีที่ 37เรื่องเพดานจินตนาการนี่คือไฮไลท์ของ topic นี้จริงๆ
เห็น title shortcut ปรัชญา แล้วกดไลค์ไปก่อนเลยฮะ 555555
เป็นตอนที่หนัก และหดหู่ที่สุดตั้งเดต่ฟังมาเลยครับ ชีวิตเป็นของเรา แต่ความสามารถในการควบคุมชีวิต อาจไม่ใช่ของเราทั้งหมด เมื่อชีวิตเราอยู่ในสังคม ๆ หนึ่งความสามารถในการควบคุมชีวิตย่อมถูกจำกัดลงตามมาตรฐานของสังคมนั้น แต่ลองคิดกลับกันว่า ถ้าเราออกจากสังคม ไปอยู่ป่าคนเดียว เราก็ยังควบคุมชีวิตไม่ได้ทั้งหมดอยู่ดี ยังคงต้องตื่นมาเพื่อล่าสัตว์ตามเวลาที่สัตว์ออกหากินตามที่คุณฟางกล่าวอยู่เหมือนเดิม คิดไปคิดมา เราจะมีชีวิตไปเพื่ออะไรให้มันลำบากกันนะ 😂
บอกเลย เพิ่งเจอรายการเต็มสิบไม่หักไม่กี่รายการรวมถึงผู้ดำเนินรายการสองท่านนี้ค่ะชอบที่สุด อิอิ
ปรัชญาคือหาค่าความจริงในจริงที่สุด....
ตอบทางพุทธศาสนา
แบบท่านพุทธทาสคือ
ไม่มีอะไรกับอะไร....
ตอบแบบวิทย์ศาสตร์
มีบริบทที่จะกล่าวอ้าง
ได้ทั้งเป็นของเราและไม่ได้เป็นของเรา อะไรที่เราควบคุมได้หรืออะไรที่เราควบคุมไม่ได้
เกิดขึ้นเป็นมุมทแยงตลอดเวลา อย่างตอนนี้ กำลังพิมพ์สมองสั่งพิมพ์ข้อความนิ้วทำตามแต่ห้ามจมูกไม่หายใจห้ามหัวใจหยุดเต้นไม่ได้....
จะเห็นสิ่งต่างๆแบบนี้เกิดตลอดเวลา ถ้าหาค่าความจริงในจริงที่สุด
หาคำตอบได้ลึกซึ้งสุดๆ
คงต้องใช้แนวทางศาสนามาตอบคำถามเหล่านี้เพราะมันลงลึกได้ถึงวาระจิตทีเดียว
จิตสั่งสมจะส่งผลต่อสมอง มันเป็นอภิปรัชญาซ้อนปรัชญา ถ้าแบบถึงแก่น
คงตอบได้ไม่สิ้นสุด
สรุปสั้นๆคือ
ชีวิตอาจใช่ของเราหรือไม่ใช่ก็ตาม หาทางทำให่ตัวเองอยู่ในมุมสงบปลอดภัย ห่างเครียด ห่างภาวะที่เป็นอันตรายต่อร่างกายและจิตใจให้มากสุด นั่นแหละคือวิถีที่เราเลือกทางที่ดีที่สุดให้กับชีวิตตนเอง แม้เลือกอะไรไม่ได้มากก็ตาม ....
รายการนี้คือ “การขับเคลื่อนเยียวยา
สังคมและหัวใจคน”
เป็นรายการที่ดีสุดๆเลยครับ 🩵
ชีวิตเป็นของเราครับ (อย่างน้อยก็ด้านหนึ่ง)
เรื่องนี้ ทำให้ผมนึกถึงปรัชญา STOIC ที่แนะให้เราแยกทุกอย่างเป็น 2 ฝั่ง คือสิ่งที่ควบคุมได้ กับสิ่งที่ควบคุมได้ แล้วใช้พลังงานชีวิตส่วนใหญ่ของเรา โฟกัสไปในที่ที่เราควบคุมได้ ดูแล ปรับปรุงแก้ไข้ มีความสุขกับมันให้ได้มากที่สุด เพราะอีกฝั่งที่เราไม่ควบคุมไม่ได้ ต่อให้เราทุ่มเทพลังงานไปแค่ไหน เราจะยิ่งเหนื่อย จะเริ่มทุกข์ สุดท้ายความสุขในชีวิตจะค่อยๆหายไป เพราะเราใช้พลังงานไปวิ่งตามสิ่งที่อยู่นอกเหนือการควบคุม
Based.
น้ำตาแตกตอนคำว่า "รถเมล์" หลุดออกมา
หลังจากนั้นก็คือ ซึมมมม
น้ำตาแตกตอนเล่าให้ฟังเรื่องอนาคต ช่วงที่ถามเด็ก .. มันเป็นแบบนั้นจริงๆนะ ความจริงของสังคมที่แตกต่างอ่ะ ;(
เคยถามเด็ก ม.ราชภัฎ หัวดี ทำงานเก่ง ที่มาฝึกงาน
ว่าตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัย เขาเลือกอะไรกัน?
พบว่า จุฬา ธรรมศาสตร์ แม้แต่ลาดกระบัง ยังไม่อยู่ในเป้าหมายพวกเขา
ตอนนั้นผมไม่เข้าใจเลย ว่าทำไมเขาต้องจำกัดฝัน และความสามารถตัวเองตั้งแต่แรกแบบนั้น
เพิ่งมาเข้าใจหลังจากฟังตอนนี้ เนื้อหาหนักกว่าตอนอื่น
แต่ผมว่า ดีมากครับ ขอชื่นชมทั้งสองท่าน ที่ขุดเอาสิ่งที่ซ่อนอยู่มาอธิบายให้เข้าใจ
อาจต้องฟังซ้ำหลายตอนหน่อย แต่ทำให้เห็นเป้าของการยกระดับประเทศเราว่าอยู่ตรงไหน
แก้ไม่ง่ายเลย แต่ต้องทำ ขอบคุณครับ
ขอบคุณสำหรับ การชวนตั้งคำถามครับ คำถามสำคัญกว่าคำตอบจริงๆ เห็นด้วยกับการตั้งคำถาม เรื่องจินตนาการ ในอนาคต สิ่งที่ทำได้คือ หมั่นหาข้อมูลและประสบการณ์เพื่อเพิ่ม Perspective ให้ชีวิตตัวเองครับ มองแวดล้อมให้มากและนำพาตัวเองไปในจุดที่ตัวเองวาดฝันให้ได้
พอฟังตอนนี้จบ รู้สึกเศร้า รู้สึกได้ถึงความไม่ยุติธรรมของชีวิตมากขึ้นเลยครับ เพราะคนเราเลือกไม่ได้ 100% ตั้งแต่ตอนเกิดมาแล้ว จนไปถึงอนาคตที่เราฝันอยากจะมี เพราะถูกหล่อหลอมด้วยปัจจัยต่างๆมากมายอย่างที่คลิปนี้อธิบายไว้ แต่อย่างน้อยที่สุด หากเรานำปัญหาตรงนี้ไปแก้ไขเพื่อลดปัญหาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เช่น ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา อย่างน้อยก็ทำให้หลายๆคนมีชีวิตที่ดีขึ้น ก็สุดยอดมากแล้ว แต่ต้องใช้เวลาหน่อย
ขอบคุณมากครับที่นำเสนอปรัชญาได้น่าสนใจมากๆ เด็กวิทย์คณิตแบบผม ถึงกับไปยืมหนังสือที่หอสมุดเลย อยากให้มีอาทิตย์ละสามตอน 🫶🏻🥹
ขอบคุณนะคะ และขอบคุณสำหรับงานวิจัยด้วยค่ะ เปิดโลกของเรามากๆเลยค่ะ ส่วนตัวเราโตมาเหมือนสังคมในโรงเรียนที่คุณภาคิณสอนเลยค่ะ มีความคิดที่ทุกอย่างสามารถเป็นไปได้ และถูกปกป้องโดยครอบครัวมาตลอด เลยไม่ค่อยรับรู้ความคิดในมุมมองของสังคมอื่นๆเลย❤
ขอตอบคำถามนะคะ สมัยเรียนเราคิดว่าชีวิตเป็นของเราค่ะ เพราะตอนนั้นที่บ้านให้ทางเลือกการศึกษาเองเกือบจะทั้งหมด ให้เราได้ตัดสินใจเรื่องต่างๆในชีวิต และสอนเราเกี่ยวกับการเงินและกฎของการอยู่ในสังคมเบื้องต้น แต่หลังจากที่เราทำงาน เพิ่งค้นพบว่า ที่ผ่านมาครอบครัวและสังคมรอบข้างได้กำหนดตัวเราไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ว่าต่อไปเราจะต้องมาทำหน้าที่ใดบ้าง เพื่อสืบทอดเจตนารมณ์สิ่งที่พวกเขาได้สร้างไว้ ฉะนั้นชีวิตเราเลยเป็นทั้งของเราและไม่ใช่ของเรา หรืออาจจะไม่เคยเป็นของเรามาตั้งแต่แรกเลยด้วยซ้ำ ขอบคุณค่ะ🤍
ผมชอบ EP นี้มาก แค่คำถามง่่ายๆ แต่พอยกตัวอย่าง แล้วมาพูดคุย คิดตามกัน เออวะ นั้นก็จริง นี้ก็จริง สนุกมากเลยครับ❤
เราคิดว่าเรามีfree will แต่จริงๆโดนpre-determineมาแล้ว
ชีวิตเราเหมือนโดนบังคับดูหนังที่มีบทมาแล้ว จะชอบไม่ชอบก็เรื่องของเรา แล้วอะไรกำหนดให้เราชอบไม่ชอบหล่ะ แล้วไม่ชอบทำอะไรได้บ้าง แล้วที่จะทำอะไรได้บ้าง เราควรทำอะไรดี เราเลือกได้แค่ไหนกัน
แล้วเราจะใช้ชีวิตไปเพื่ออะไรกันละ ถ้าเราไม่มีfree will
รุ้สึก nhihilism absurdismจัง
ทำไมฟัง EP นี้น้ำตาไหล
ดูแล้วปวดหัวจัดๆเลยอ่ะ เป็นรายการที่ต้องให้คิดตามเยอะมากเลยครับ แต่ก็สนุกดี
คิดไปถึงตาทวดกับยายทวดที่มีลูกหลานเกือบ10คน ยายเราบางคนได้เรียน บางคนไม่ได้เรียน ตอนแรกคิดนะคะว่าทำไมตาทวดกับยายทวดไม่ push ตัวเองมากกว่านี้ ไม่ส่งลูกเรียนให้จบสูงกว่านี้ ลูกหลานเหลนโหลนจะได้สบาย พอแต่ฟังพอดแคสนี้ก็เลยฉุกคิดได้เหมือนกันว่าเพราะตาทวดกับยายทวดเขาก็ไม่ได้ควบคุมชีวิตตัวเองได้ขนาดนั้นเนาะ ลักษณะสังคมที่เขาอยู่ provide ช้อยให้พวกเขาน้อยเหลือเกิน ความฝันของตาทวดกับยายทวดอาจจะมีแค่ได้กลับบ้านกินข้าวอิ่มท้อง ทุกอย่างก็เลยออกมาเป็นแบบนี้ ซึ่งก็จริงค่ะ มันไม่ใช่ทางเลือกของพวกเขา100% ใครจะอยากเลือกให้ตัวเองลำบากนี่นะ
ชีวิตเป็นของเรา สิ่งที่เราควบคุมไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร ปล่อยมันไป ใช้ชีวิตให้มีความสุขก็พอ❤
สุดท้ายไม่มีอะไรที่เป็นของเราซักอย่าง แม้กระทั่งร่างกาย และจิตใจของตนเอง แต่กระนั้นแล้ว พวกเราก็ยังยึดมั่นถือมั่นว่า นี่แหล่ะตัวกู ของกู ปล. ชอบ EP นี้มาก ๆ เลยค่ะ รอติดตาม EP ต่อไปอยู่นะคะ
พึ่งดูจบครับ ชอบเนื้อหา ep นี้นะ (ชอบคอนเทนท์เชิงสังคม,จิตวิทยาเป็นทุนเดิม) และแอบคิดเล่นๆ ถ้าปล่อย flow ไปต่อแนวนี้เรื่อยๆ ซัก ep.100-200 เนื้อหาจะ (deep)ไปถึงไหนนะ ^^ แต่ยังไงก็ติดตามครับ ยาวๆไป ยังไงขอเบาะๆ ซัก 1000 ep. ก่อนละกัน :)
น้ำตาไหลตาม EP นี้
ชอบตอนนี้ค่า อยากฟังเรื่องว่า คนเราทำไมถึงเลือกเป็นคนเลว ในเมื่อเลือกเป็นคนดีได้
สงครามจะหมดไปจาก โลกนี้ได้มั้ย
+1ค่ะ
เป็นคนดีมันยาก เพราะเป็นการว่ายทวนกระแสน้ำ แต่การเป็นคนชั่วมันง่าย เพราะเป็นการว่ายตามกระแสน้ำ และสงครามไม่มีวันหมดไปจากโลก เพราะสงครามเป็นอธิปไตยของมนุษย์และสัตว์ ตามกฎของ The Creator (พระผู้สร้าง)
ในจักรวาลนี้
มีกรอบให้ทุกสรรพสิ่งเดินไปตาม
เส้นทางนั้นๆ ไม่มีสิ่งใดสามารถ
กำหนดหรือควบคุมเส้นทางที่เรา
คิดว่าเป็นของเราได้อย่างสมบูรณ์
แม้ว่าในทางสังคมเราจะหลุดพ้น
จากกฏเกณฑ์ต่างๆที่ถูกกำหนด
แม้ว่าเราจะร่ำรวย หรือจะเข้าถึง
โอกาสมากเพียงใด แต่สุดท้าย
ทุกคนก็ต้องเจอกับกฏของธรรมชาติ
ที่บังคับให้เราต้องเจ็บป่วย ต้องแก่
ต้องตาย อยู่ดี
ขนาดจักรวาลที่กว้างใหญ่
กว่าเราหลายล้านเท่าก็ยังมี
วันที่ต้องดับสูญ ต้องเจอกับ
กฏเกณฑ์เรื่องของอายุขัย
นับประสาอะไรมนุษย์ในโลก
ใบเล็กๆนึ้ ก็หนีไม่พ้นเช่นกัน
ร่างกายเราก็ไม่ของเรามาตั้งแต่แรกค่ะ มาจากสารเคมีต่างๆของพ่อแม่เรา ของบรรพบุรุษเรา น่าจะมีแค่จิตวิญญาณที่เราสามารถเลือกได้ว่าจะคิดจะตัดสินใจยังไง ในสถานการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นและหล่อหลอมเรามา //นึกถึงคำของท่านพุทธทาส ที่บอกว่า ไม่มีตัวกูของกู คือไม่มีอะไรที่เป็นของเราจริงๆ ขนาดใจเรายังเป็นของเค้าเลย 🤣
37:13 อยากเห็นห้าง อยากเห็นบ่อน้ำสะอาด ซึมกันเป็นแถบ 😢
ถูกเลยครับ น้อยคนที่จะพูดได้ว่าชีวิตเป็นของตัวเองเกือบ 100%
ส่วนใหญ่คงไม่พ้น ชีวิตที่อยู่ในกรอบ ของสังคมของความคาดหวังของคนรอบๆข้าง
ฟังเพลินครับ
เรื่องนี้ว่าไปมันก็เรื่องคิดมากนะ แบบ เราก็มีสิ่งที่ควบคุมได้ สิ่งที่เราจะต้องรับผิดชอบ การกระทำของเราก็รับผลไปเต็มๆ ทุกสิ่งมันก็เกิดขึ้นจากการกระทำอย่างต่อเนื่อง "จากทุกสรรพสิ่ง" มันก็เลยมีสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ สิ่งที่ไม่คาดฝัน หรือสิ่งที่มองข้ามไป สุดท้ายแล้วเราก็ควรจะโฟกัสที่ความสุขของตัวเองนะ แต่ความสุขที่ยั่งยื่นมันจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อการกระทำของเรานั้นเอื้อประโยชน์ต่อ "สิ่งแวดล้อม" ด้วย ไม่ว่าจะเป็นคนในครอบครัว มิตรสหาย คู่ค้า คู่ธุรกิจ การที่เราโกงหรือทำร้ายเขามันก็ทำให้เราอยู่ลำบาก ความสุขที่มีก็ไม่ยั่งยืน นี่แค่ในแง่มุมของสังคมนุษย์ ถ้ามองแง่มุมของธรรมชาติ โลกถูกทำลายจนเสียสมดุลไปมาก สภาวะของโลกก็ค่อยๆเปลี่ยนไปในทิศทางที่เรียกว่า "สมดุลใหม่" เราอยู่ได้ แต่จะอีกนานแค่ไหน มันไม่ได้เป็นความรับผิดชอบของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นของคนทั้งโลก คนที่ทำโดยตรงก็ต้องรับผิดเยอะหน่อย คนที่สั่งให้ทำ(นายทุน) ก็รับผิดตามมา คนที่สนับสนุนการกระทำ(ลูกค้า) ก็มีส่วนรับผิดชอบด้วย ส่วนคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แต่ได้รับความเสียหายไปด้วยอาจจะต้องมองหาทางออกที่ดีกว่าการกล่าวโทษคนอื่นถึงแม้ว่าเขาจะผิดก็ตาม
ดูทั่วโลกเวลาเกิดภัยธรรมชาติ ธรรมชาติโจมตีไม่เลือกเพศ ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ ดูสินามิที่ผ่านมาใน อดีต คือคนทั่วโลกต้องช่วยกันรึว่าต้องใครคนใดคนหนึ่ง?
@@nicktanawut915 ความผิดยังไงก็ต้องเป็นของ ผู้กระทำ ผู้สั่งให้กระทำ และผู้สนับสนุน อยู่ดี ส่วนผู้ได้รับผลกระทบคือ "ผู้เสียหาย" ในวันที่โลกเดือด คนช่วยกันปลูกป่ารักษาสิ่งแวดล้อม แต่คนที่มีทุนเยอะ มีเทคโนโลยี จ้างคนมาทำลายป่าปีหนึ่งเป็นร้อยๆพันๆเท่าของคนนับล้านที่มาปลูกทดแทน ทีนี้จะเป็นความผิดใครครับ? ธรรมชาติ ไม่ได้ "โจมตี" ครับ แต่มันคือการ "ขยับเข้าสู่สมดุลใหม่" สิ่งที่คนเราทำได้ก็คือการ "ชี้นำ" ธรรมชาติให้ "เกิดสมดุลที่อยู่ร่วมกันได้" เรามีความรู้ เทคโนโลยี และบุคลากรที่พร้อมจะทำงาน แต่ใครที่ทำให้เราแก้ปัญหานั้นไม่ได้ ก็ลองคิดดูครับ อีกอย่างนะครับ คนเราต้องทำมาหากินนะครับ ใครมันจะมีเวลาไปปลูกป่าวันละเป็นร้อยๆต้นตลอดทั้งปี เอาแค่แบบปลูกปีนึงได้ร้อยต้นก็นับว่าเยอะละครับ บางคนปีนึงเขาปลูกเป็นพันๆ หมื่นๆ ต้น ก็มีเพราะเขาทุ่มเทเวลาที่เป็นไปได้มาตรงนี้โดยเฉพาะ แต่คนส่วนใหญ่เขาไม่ได้มีเวลาขนาดนั้นครับ แค่ทำงานกลับบ้านก็แทบไม่มีเวลานอนแล้ว ถ้าผู้มีอำนาจกับนายทุนไม่หันมาผลักดันเรื่องนี้เต็มตัว สังคมจะเปลี่ยนเหรอครับ
ฟังแล้วรู้สึกดีมากเลยค่ะ ขอบคุณมากจริงๆ
ส่วนตัวคิดว่าชีวิตไม่ใช่ของเราในหลายๆแง่อยู่แลว
ตอนแรกกะมาฟังทีหลังอีกที ฟังไปมา จบเลย เพลิน ได้มุมมองเพิ่มเติม
นอกจากสมอง ก็มีแบคทีเรียในกระเพราะอาหารด้วย ฮ่าๆ
ส่วนสังคมนั้นนน ว่ากันไปอยู่กันไปค่ะ
ขอบคุณรายการ
ชีวิต เป็น เจ้าของ เรา เพราะว่า แม้แต่ เรา ยัง เป็นไม่ใช่ เจ้าของ ตัวเอง. ไม่มี ชีวิต นั้น ก็จะ ไม่มีเรา แต่ ถ้าหาก ไม่มี เรา ชีวิต นั้น ยังคง มีอยู่ เช่น เวลา ที่ เรา เป็น ไม่รู้สึก ตัว แต่ ยังมีอยู่ ชีวิต.🙏😇
ขอบใจมากๆ ที่มีเนื่อหาแบบนี้ เพราะเนื้อหาแบบในช่องนี้ เอาไปคุยกับเพื่อนหรือคนรุ่นเรา พวกเขาคงคิดว่าเราไม่ปกติ หรืออาจจะสงสารว่าเราคิดมากเกินไป 😆😆
รอทุกอาทิตย์เลยครับ รายการโปรด😊
เป็น EP ที่ดีที่สุดที่ฟังมาเลย ❤
รายการ เนื้อหาสาระดีๆ แบบนี้ มีให้ฟังทุกวันได้ไหมค่ะ❤
เป็นของเราในการวางแผนและทำในตัวเลือกที่ดีที่สุดจากการคิดทั้งในกรอบและนอกกรอบ พูดไปก็เหมือนจะเก่งแต่ความจริงคือเลือกผิดพลาดเยอะมาก โทษตัวเองไปมาแต่สุดท้ายเราก็ทำดีที่สุดณตอนนั้นแล้ว ใจดีกับตัวเองและโลก เกิดมาให้คุ้มแบบของตัวเองพอละ❤
ep.ทรงคุณค่ามากครับ 👏👏👏
ก่อนฟังคิดว่าเราคุมชีวิตได้แต่พอฟังจบกลับรู้สึกใกล้เคียงกับฟังธรรม 😅แต่ชอบครับ
สุดมากๆ ep นี้
Ep ดีอีกแล้ว
ครูภาคินนี่เก่งจริงครับ อธิบายเรื่องยากๆให้เป็นภาษาที่ฟังง่าย ขอบคุณครับ
หัวข้อนี้ใหญ่ค่ะ น่าจะเป็นได้ 2 ตอนเลย
- ปัจจัยในเชิงร่ายกาย (กายภาพ) นอกเหนือจากความเจ็บป่วยแล้ว อาการทางจิตหลายประเภทก็ทำให้ควบคุมพฤติกรรมไม่ได้ ใครมีคนรู้จักหรือญาติเป็นไบโพลาร์ เป็นอัลไซเมอร์ จะรู้ดี แล้วอาการทางสมองพวกนี้ ยังหาสาเหตุไม่ได้ ดังนั้นทุกคนก็มีโอกาสเป็นได้ทั้งนั้น (ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ด้วยนะคะ) วันนี้เราทุกคนอาจจะยังมีความสามารถในการควบคุม เป็นเจ้าของกายตน แต่จะสูญเสียไปเมื่อไหร่ก็ไม่มีใครทราบได้ -- นอกจากนี้ประเด็นเรื่อง "ความพิการ" ด้านต่างๆ จะเป็นหัวข้อสำคัญที่เกี่ยวกับประเด็นใน Ep. นี้ค่ะ
- ปัจจัยในเชิงสังคม นอกเหนือจากเรื่องแบบแผนการใช้ชีวิต ยังน่าจะมีเรื่องที่คนคิดถึงกันมากเลย คือเรื่องการต้องทำงานเพื่อให้ได้เงินมา (ให้ "มี" ชีวิตอย่างที่อยาก ให้ "ใช้" ชีวิตได้อยากที่โฆษณาบอก) ซึ่งคงแยกไม่ขาดจากระบบทุนนิยมค่ะ ถ้าเราเป็นเจ้าของชีวิต ควบคุมชีวิตได้ทุกอย่างจริง เราต้องสามารถที่จะ "เลือก" ไม่ทำงานได้ (โดยเฉพาะ "งานที่ตัวเองไม่อยากจะทำ" นะคะ) ประเด็นนี้จะรั้งคนส่วนใหญ่ไว้ให้มีความรู้สึกเป็นเจ้าของชีวิตน้อยลง ทำตามใจฝันไม่ได้ ต้องลำบากตรากตรำ กระเสือกกระสน ดังนั้นต้องกล่าวว่า ปัจจัยทางเศรษฐกิจมาพ่วงขอเป็นเจ้าของชีวิตของเรา (และของคนจำนวนมาก) -- กลัวยาวเกิน ประมาณนี้นะคะ
อ้อ ขอเพิ่มเรื่องเวลาการตื่นนอนนิดนึงค่ะ หากเป็นคนในยุคสมัยก่อน เวลาของเขาน่าจะถูกกำกับด้วยแสงอาทิตย์ค่ะ ดังนั้นไม่ต้องคิดมากเลยว่าจะตื่นกี่โมง เข้านอนกี่โมง คนต่างจังหวัดที่ไฟฟ้ายังเข้าไม่ถึง ก็แบบเดียวกัน เฉกเช่นเดียวกับตัวเลือกอื่นๆ ในชีวิต จะกินอะไร จะไปที่ไหน -- เขาเลือกได้ประมาณนึง ในกลุ่มตัวเลือกที่สภาพแวดล้อม ยื่นให้เขาเลือกน่ะค่ะ
ชีวิท เป็นของเรา ครึ่งๆ ครับ
เพราะว่า หลายๆอย่างที่เกิดขึ้นและจะเกิดขึ้นในชีวิท มันไม่มีทางควบคุมใด้เลย ทั้งปัจจัยล้านแปดมากมาย ที่ทำให้ทางเลือก ลดน้อยลงจดแทบจะล็ิอคผล ของการตัดสินใจ ทั้งประสบการ์ณส่วนตัว บุคลิคกาพ ไหนจะค่านิยม หล่อหลอมทางเลือก มาให้ ซึ้งเป็นการเลือกบริสุทธ์ เสรีใหม? อาจฟังดูพิศวงที่จะคิดว่า ต่อให้เริ่มใหม่อีกครั้ง โดยที่เรายังเป็นเราผลมันก็จะมาอยู่จุดเดิม
แต่ยังไง เราก็ต้องแบกรับ ทุกวินาที ของประสบการ์ณ และผลกระทบ ของการตัดสินใจ และที่จะตามมา เราควบคุมใด้เพียงคิดวิเคาระอย่างระมัดระวัง เพราะอะไรเราถึงเลือกทางนี้ ตั้งใจทำเลือกอย่างสุดความสามารถของตัวเอง
และชีวิทที่เหลืออยู่ ใครจะรู้ ว่ามันจะไปใด้ถึงไหน เราได้แต่ตั้งตารอ ว่าจะเจออะไรใน อนาคต มันคือของเราแน่นอนในสวนนั้น😊
แล้วอะไรจะดีไปกว่ส ดื่มดั่มกับมัน😊
เมื่อรู้แบบนี้ เราก็จะสร้างภาพชีวิตแบบที่เราจะเป็นแล้วไปค้นหาสังคมแบบนั้นเพื่อส่งเสริมกัน ขอบคุณค่ะ😊😊
ep ใหม่มาแร้วววว
เพราะความหลงไปเอง ego ความมีตัวตน ขึ้นมา
ความยึดติดนักหนา ว่าเป็นตัวเรา ของเรา
พูดถึงต้นกำเนิดของชีวิตๆ นึง จากไข่และอสุจิ
เรานี่ เกิดมาตอนไหน เรามาจากพ่อ หรือมาจากแม่?
ความคิด มุมมอง การตัดสินใจ เพราะสิ่งแวดล้อม ที่เกิดมาทั้งนั้น
เราคิดได้ไม่เกิน....จากประสบการณ์ที่เรามี เท่านั้นเอง
มองแบบไม่เข้าข้างตัวเองประสบการณ์ที่เกิดขึ้น มุมมอง การตัดสินใจเรา
ไม่ต่างกับฐานข้อมูลที่ Ai เรียนรู้เลย แค่เราอยากลืม เพราะคนเราลืมง่ายอยู่แล้ว
ชีวิตเราเป็นผู้เลือกในบางแง่มุม และอีกบางแง่มุมก็เกินความสามารถที่เราจะควบคุม เพราะสติปัญญาของมนุษย์ยากและซับซ้อนที่จะเข้าใจของผู้ที่อยู่เบื้องหลังการกำหนดเหตุการณ์ต่างๆแก่เรา ส่วนตัวเชื่อในเรื่องพระเจ้า เพราะชีวิตไม่เคยเป็นของเราเลย แต่ในขณะเดียวกันพระเจ้าไม่ได้กดปุ่มเอไอบังคับตามประสงค์ ส่วนเราต่างหากที่เป็นผู้เลือก โดยอยู่ตามประสงค์ของพระเจ้า
ฟังรายการนี้แล้วรู้สึก เหมือนสมองต้องคิดตลอด cpu 100% 😂
จะแย้งก็ไม่ใช่ ก็ถูกถ้ามองมุมนั้น เปืดโลกดีครับ
ชีวิตเป็นของกู เขียนไว้ที่หน้ากระจก❤❤❤❤
กรรม(การปรุงแต่งของสังขารจากอวิชชา) ส่วนวิบาก(ผลของกรรม)ที่ดีหรือไม่ดีย่อมเป็นผลของกรรมที่เคยทำไว้ ...ดังนั้นใครคือเจ้าของชีวิตแท้จริง...❤
สุดท้าย ทุกสิ่งอย่าง คือมายาคติ ที่มนุษย์สร้างขึ้น เพื่อตีกรอบจินตนาการ หากเราออกจากกรอบนี้ไม่ได้ เราจะไปไม่ได้ไกล ..
ผมคิดว่าชีวิตเป็นของผมนะ แต่การมีอยู่ของชีวิตเราล้วนมีผลต่อชีวิตของคนอื่น ๆ ทั้งในแง่ของปัจเจกบุคคล ครอบครัวหรือคนรอบข้างขยายวงกว้างไปเรื่อย ๆ ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าเราทำอะไรลงไปและกำลังทำอะไรอยู่ เหตุผลที่คิดงี้คือ
1. ชีวิตเป็นของผม เพราะ มันจะเป็นของใครล่ะ
1.1 ถ้าพูดในแง่ของ "กราฟความเป็นเจ้าของ" ก็ผมนี่แหละที่มีอำนาจและใช้ประโยชน์ได้มากกว่าคนอื่น (ยกเว้นตอนผมสมัครไปเป็นทห.เกณฑ์อยู่ 6 เดือน Oops!)
1.2 หรือแม้แต่จะพูดในแง่ของศาสนาที่ว่า "ไม่มีอะไรเป็นของเรา" แต่กระนั้นขันธ์ 5 ก็มีอะไรสักอย่างที่เป็นตัวเราเข้ามายึดครองขันธ์ทั้ง 5 นี้ได้มากกว่าอะไรสักอย่างของคนอื่นอยู่ดี (ความเชื่อ Alert!!: เว้นแต่กรณีมีคนทำของหรือทำคุณไสยใส่เรา ทำให้อะไรสักอย่างของคนอื่นมาควบคุมขันธ์ทั้ง 5 ของเราได้มากกว่า)
2. แน่นอนการมีอยู่และการกระทำของผมมีผลกระทบต่อคนอื่นแน่ และที่กระทบมากที่สุดคงเป็นครอบครัว โดยเฉพาะพ่อแม่ของผม หรือกรณีที่เราเป็นพ่อแม่ซะเองก็ลูก ๆ เรานั่นแหละที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุด ส่วนคนรอบตัว เพื่อนร่วมงาน หรือบุคคลที่เรามีปฏิสนธิ เอ้ย ปฏิสัมพันธ์ด้วยอื่น ๆ ก็จะได้รับผลกระทบตาม
2.1 ความใกล้ไกลของวงโคจรชีวิตระหว่างเขากับเรา
2.2 สิ่งที่เราทำต่อเขาในอดีต สิ่งที่เรากำลังทำในปัจจุบัน และสิ่งที่เรามีแนวโน้มที่จะทำร่วมกันในอนาคต
สรุปคือผมคิดว่า ชีวิตเป็นของเรานี่แหละ แต่ผลกระทบจากการมีอยู่และการใช้ชีวิตของเรา "จำเป็นต้อง" หรือ "ควรที่จะ" คำนึงถึงการมีอยู่และการใช้ชีวิตของคนอื่นด้วยครับ
ปล. มาทำทั้งหมดนี้ให้ดีต่อเราและคนอื่นเท่าที่เราทำได้กันครับ สู้ๆ
ชีวิตเป็นของเราไหม ไม่แน่ใจนะ ฟังแล้วก็ยังไม่แน่ใจ เป็นผู้ฟังรุ่นสงครามเย็น (ก็เบบี้บูมเมอร์แหละ แต่อ่านจากที่ไหนสักแห่งว่า เมืองไทยควรแบ่งรุ่นของคนแตกต่างจากสากล เราเป็นรุ่นสงครามเย็น) ดูเหมือนชีวิตหลังเกษียณเป็นของเรามากขึ้น ได้อ่านได้ฟังได้เขียนอย่างที่อยากทำ แต่เราก็ยังต้องอยู่ใต้กฎเกณฑ์ชีวิตที่ต้องมีกินมีใช้ ต้องหาเงิน ถ้าใช้ชีวิตนอก grid ก็คงต้องออกล่าสัตว์ เราไม่คิดว่าชีวิตเป็นของเรานะ ชีวิตของเราเป็นของสัญชาติญานในการมีชีวิตรอดหรือเปล่านะ
38:52
ชุดความคิดนี้คุ้นๆจังเลยน้าาาา
ใช่หลิ่มมั๊ยน้าาาา 5555
อยากฟังหัวข้อ วิธีที่จะอยู่ร่วมกับคนที่ toxic ตลอดเวลา ค่ะ
คิดถึงนะคะพี่ฟาง
มาแล้วว
ความรู้สึกว่าเราเป็นเจ้าของชีวิตของเราไม่เท่ากันอาจเกิดจากหลายปัจจัย รวมถึงปัจจัยทั้งภายในและภายนอกที่มีผลกระทบต่อความสามารถในการควบคุมชีวิตของเรา:
1. สภาวะทางการเงิน: การมีหรือไม่มีทรัพยากรทางการเงินสามารถส่งผลต่อความรู้สึกว่าเรามีอำนาจในการตัดสินใจเกี่ยวกับชีวิตของเราได้มากน้อยเพียงใด คนที่มีรายได้น้อยอาจรู้สึกว่าต้องพึ่งพาคนอื่นหรือระบบสังคมมากกว่าคนที่มีรายได้สูง
2. สังคมและวัฒนธรรม: ความคาดหวังจากครอบครัว เพื่อน หรือสังคมสามารถกำหนดวิธีที่เรารู้สึกเกี่ยวกับการเป็นเจ้าของชีวิตของเราได้ วัฒนธรรมบางแห่งอาจมีข้อกำหนดทางสังคมที่เข้มงวดมากกว่าวัฒนธรรมอื่นๆ
3. สุขภาพและการมีสุขภาพที่ดี: ความสามารถในการจัดการกับสุขภาพทั้งกายและจิตใจมีผลต่อการรู้สึกว่ามีอำนาจในชีวิต สุขภาพที่ดีช่วยให้เรามีแรงพลังในการตัดสินใจและดำเนินชีวิตอย่างที่เราต้องการ
4. การศึกษาและโอกาส: การมีการศึกษาและโอกาสในการทำงานที่ดีสามารถเพิ่มความรู้สึกว่าเราสามารถควบคุมชีวิตของเราได้ การขาดโอกาสทางการศึกษาและการงานอาจทำให้รู้สึกว่าชีวิตมีทางเลือกจำกัด
5. ความรู้สึกภายในและการพัฒนาตนเอง: การมีความมั่นใจในตัวเองและการรู้สึกว่ามีคุณค่าในตัวเองมีผลสำคัญต่อการรู้สึกว่ามีอำนาจในชีวิต การพัฒนาตนเองและการเรียนรู้เพื่อเพิ่มความมั่นใจสามารถช่วยให้รู้สึกว่าเราเป็นเจ้าของชีวิตของเรามากขึ้น
ในทางปฏิบัติ การเพิ่มความรู้สึกว่าเราเป็นเจ้าของชีวิตของเราสามารถทำได้โดยการตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน การพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง และการหาทางที่จะพึ่งพาตนเองมากขึ้น
ผมคิดว่า
อยู่ที่ความพอ ของแต่ละคน
8:35 ที่น่ากลัวคือมันมีคนตอบว่า "ได้" ด้วยอะ ในกรณีของลัทธิบางอย่าง ที่ปลูกฝังความเชื่ออย่างแรงกล้าให้เชื่อมั่นว่าไม่ใช่ของเราจริงๆ อาจจะมีการหลอกให้คาดหวังบางอย่างที่อยากจะเป็นเจ้าของในอนาคต-โลกหน้าจนเชื่อว่าควรจะมอบให้/ยกให้ (โดยในมุมมองของคนนอกก็รู้สึกว่าลัทธิทำไปเพื่อเงินทองผลประโยชน์ของตัวเอง ไม่ได้มีความเชื่อในแบบที่ปลูกฝังคนที่น่าสงสารเหล่านี้เลย) บางคนถูกผลักไปจนสุดทางของคำว่า "ไม่ใช่ของเรา" มากจนเกินไปนอกจากเงินทอง อาจจะไปถึงจุดที่เชื่อว่าชีวิต(ในโลกนี้) ไม่ใช่ของเรา ภูมิต้านทานต่อความเชื่อและชุดความคิดบางอย่างมันสำคัญมากจริงๆ
พระเวสสันดร ?
จริงว่ะ
ขอเรื่อง free will ไว้ตอน EP.8 ได้ฟังแล้ว ขอบคุณมากครับ
37:14 สะท้อนถึงสังคมจริงๆ
ทำอะไรก็ได้ครับ ที่ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน ง่ายๆแค่นี้ ไม่ต้องคิดเยอะ
ชีวิตจะเป็นของมนุษย์จริงๆไม่มี กฏหมาย กฏระเบียบ สังคม สิ่งแวดล้อม ปัจจุบันมันกลืนชีวิตของเราไปหมดแล้ว เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่เรากระทำอยู่ ตั้งแต่เกิดจนตาย มันถูกตีรอบให้กระทำหมดทั้งสิ้น ต้องกินแบบนั้น ต้องนอนแบบนี้ ต้องมีเงิน ต้องมีงาน ต้องมีครอบครัวแบบนี้ ทำตัวแบบนี้ ชีวิตจะเป็นของเราจริงๆ เราต้องกลับไปเป็นแบบสัตว์ เป็นมนุษย์โบราณ เป็นสังคมสัตว์ ใช้ชีวิตเหมือนสัตว์ ไม่มีความต้องการอะไรนอกจากหาอาหาร สืบพันธุ์ เลี้ยงลูก ที่พักอาศัย ชีวิตจะเป็นของเราจริงๆ
จากที่ผมฟังคลิปนี้จบแล้วลองคิดๆตาม ผมคิดว่าชีวิตมันเป็นของเราครับ แต่เป็นมากน้อยแค่ไหนมันก็ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคนซึ่งมันก็จะมีปัจจัยต่างๆที่มาส่งผลกระทบต่อความคิดและมุมมองของเราที่มองว่าชีวิตเป็นของเราแค่ไหนเรามีสิทธิกับมันแค่ไหน (ความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ)
44:40 คล้ายกับที่อาจารย์ปรัชญาสมัยมหาลัย (อาจารย์จุฑาทิพย์ อุมะวิชนี) สอนเลยครับ เรื่อง Free will ว่าคนเราก็เหมือนเด็กทารกในเปล (baby in the cradle) คือมนุษย์มีกรอบที่ไม่สามารถทำได้หรือเป็นได้ทุกอย่าง แต่เรามีอิสระเลือกที่จะตอบโต้กับสถานการณ์ต่างๆที่มากระทบกับตัวเราได้
รัฐราชการพ่อรู้ดี สังอุปภัมป์ กฎหมายเกี่ยวกับเสรีภาพการแสดงออก สิ่งเหล่านี้กัดกร่อนความเป็นเจ้าของชีวิตเรา
อยากให้ทำ ที่สำหรับเรา หรือสิ่งที่ใช่สำหรับเราครับ เพราะเดี๋ยวนี้มีการย้ายออกจากงานมีค่อนข้างเยอะ
สรุปเราคุมอะไรในร่างกายได้เองบ้าง ขนาดการหายใจที่เหมือนจะคุมได้ จริงๆเราก็ไม่ได้ควบคุมมันได้ร้อยเปอร์เซ็น เเขนขาที่ว่าคุมได้ จริงๆมันก็ไม่ได้ขยับไปอย่างที่ใจนึก
❤
21:30 เหมือนเรื่อง moral determinism เลย
ประโยคที่คุณฟางกล่าวว่า "สังคมที่เราอยู่ทำให้เราเป็นเจ้าของชีวิตได้ไม่เท่ากัน" เรามองว่าคนที่เห็นด้วยกับประโยคนี้คือเป็นคนที่ให้คุณค่าของสังคมมากกว่าตัวเอง ซึ่งส่วนตัวเราไม่เห็นด้วย
สิ่งที่สังคมนี้ไม่มี ไม่ได้หมายความว่ามันไม่มีอยู่จริง ไม่ควรเอาประวัติศาสตร์ของสังคมที่ไม่มีใครเคยทำสิ่งนั้น มาขีดเส้นว่าเราทำมันไม่ได้หรอก หรือเรื่องที่สังคมไม่ยอมรับ เช่น เรียนศิลปะทั้งที่ๆบ้านอยากให้เรียนหมอ หลายคนอาจจะมองว่าไม่ได้หรอกจะเอาเงินที่ไหนเรียน แล้วเอาจุดนี้มาเป็นข้อจำกัด
สิ่งที่เราอยากทำก็ทำ ตราบใดที่มันไม่ได้ผิดกฎหมาย ไม่ได้ละเมิดคนอื่น ก็ไปหาหนทางเอา ต่อให้ต้องจากเพื่อน จากบ้าน จากสังคมที่คุ้นเคยก็ตาม เพราะสิ่งเหล่านี้มันไม่ใช่สิ่งถาวร มาแล้วก็จากไป ต่อให้เรายื้อยังไงมันก็เปลี่ยนไปซักวัน ดังนั้นก็อย่าไปยึดติดกับมันแต่แรกแล้วให้ตัวเองเป็นอิสระ เพราะคนที่เสียใจเวลาไม่ได้ทำในสิ่งที่อยากทำคือตัวเราเอง คนอื่นไม่ได้มาเดือดร้อนด้วย
ถ้าคิดแบบนี้ได้ถึงจะสัมผัสรู้สึกได้ว่าชีวิตนี้เป็นของเราอย่างแท้จริง
ปล. ทั้งหมดนี้อยู่บนพื้นฐานว่า เราไม่เห็นด้วยกับประโยคมนุษย์เป็นสัตว์สังคม มนุษย์แค่มีหน้าที่บางอย่างบางเวลากับคนบางกลุ่มเท่านั้น
9:30 ก็เพราะยึดติดกับสิ่งนั้นไม่ใช่หรือ ถึงให้ไปไม่ได้น่ะ ก็ง่ายๆแค่นั้นเองนิ่
ผมคิดว่าชีวิตไม่ได้เป็นของเราครับ เนื่องจากตอนที่เราเกิดมา เรายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเราได้เกิดมา เราจะมารู้เรื่องก็ตอนที่เรามีพ่อเเม่มาบอกว่า มาสอน ให้เราเรียนรู้ทีหลัง ซึ่งเราไม่สามารถกำหนดชีวิตเองตั้งเเต่ตอนนั้น ถ้าจะให้ชีวิตเป็นของเราจริงๆ เราต้องควบคุมการเกิดใหม่ของชีวิตเราเองให้ได้ ถ้าควบคุมไม่ได้ เอาจริงๆเราก็ไม่ต่างอะไรจากAi ที่มีผู้สร้างเป็นชายเเละหญิงคู่หนึ่งเท่านั้น หรือเรานิยามกันในนามพ่อเเม่
เรื่องนึงที่ตกผลึกได้หลังฟังตอนนี้จบ คือ สำหรับผู้ที่สามารถควบคุมและใช้ประโยชน์ในชีวิตตัวเองได้ค่อนข้างมาก ความคาดหวังต่อสังคมทั้งในด้านการได้รับการดูแลและการยอบรับเป็นตัวแปรนึงที่มีผลผกผันต่อความเป็นเจ้าของชีวิตของเราค่ะ
ส่วนเรื่องขอบเขตความเป็นไปได้ในชีวิตของเราจะสอดคล้องกับขอบเขตที่เราจินตนาการได้ถึง อันนี้คล้ายกับเรื่องโครงสร้างและคำศัพท์ที่มีในแต่ละภาษามีผลต่อบุคลิกภาพโดรวมของคนในชาตินั้นๆ
ชีวิตเป็นของเราหรือไม่
ต้องแยกพิจารณา
โดยมากจะถามกันก่อนว่า
"ชีวิตคืออะไร"
อันนี้ไม่ควรถาม ที่ควรถาม คือ ชีวิตตั้งอยู่ด้วยอะไร เพราะคำถามนี้เป็นไปเพื่อรู้ยิ่ง เพื่อรู้ตามความจริง
ดังนั้นสิ่งหนึ่งที่ควรรู้
๑. ชีวิตมีอาหารเป็นที่ตั้ง ดำรงอยู่ได้ด้วยอาหาร
๒. ชีวิตมีสังขารเป็นที่ตั้ง ดำรงอยู่ได้ด้วยสังขาร
ชีวิตไม่ใช่ของเรา ก็ถ้าชีวิตจักเป็นของเรา ชีวิตย่อมไม่แปรไปเป็นอย่างอื่น แต่เพราะชีวิตมีความแปรไปเป็นอย่างอื่น ดังนั้นจึงไม่ควรยึดถือว่า "ชีวิตเป็นของเรา"
ชีวิตนี้เที่ยงหรือไม่เที่ยง
ไม่เที่ยง
ชีวิตนี้เป็นสุขหรือเป็นทุกข์
เป็นทุกข์ (พิจารณาตามทุกขอริยสัจ)
ก็ถ้าชีวิตไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา ควรหรือที่ยึดถืออย่างงี้ว่า
ถ้าไม่ใช่ของเราก็ควรบริจาคให้หมดสิ
ไม่ควรคิดเช่นนั้น
ถ้าไม่ใช่ของเรา งั้นก็ช่างมันซะสิ เพราะไม่มีตัวตนของเราที่รับผลแห่งกรรมนั้น เพราะตัวตนของเราอาศัยโลกทำการงานอย่างนี้จึงได้รับผลแห่งกรรมนั้น การคิดเช่นนี้ ควรหรือไม่ควร
ไม่ควรคิดเช่นนั้น
อะไรเป็นตัวตนของเรา
ตัวเราในตอนเด็กเป็นตัวตนของเราอย่างนั้นหรือ
ไม่ใช่อย่างนั้น
ตัวเราในตอนนี้เป็นตัวตนของเราอย่างนั้นหรือ
ไม่ใช่อย่างนั้น
ตัวเราในอนาคตเป็นตัวตนของเราอย่างนั้นเหรอ
ไม่ใช่อย่างนั้น
สุขเวทนาเป็นตัวตนของเรา อย่างนั้นหรือ
ไม่ใช่อย่างนั้น
ทุกขเวทนาเป็นตัวตนของเรา อย่างนั้นหรือ
ไม่ใช่อย่างนั้น
...
แม้จะถามกันเช่นนั้น ก็ยังไม่พบเลยว่าสิ่งใดเป็นตัวตนของเรา
แต่ที่ควรตอบกลับเป็น
เพราะเราในตอนเด็กมีอยู่ เราในตอนนี้จึงมี เพราะเราในตอนนี้มีอยู่ เราในอนาคตจักมี เช่นนี้ เป็นต้น
ก็เมื่อสุขเวทนามีอยู่ในสมัยใด สมัยนั้นย่อมไม่มีทั้งทุกขเวทนา และอทุกขมสุขเวทนา สมัยใดมีทุกขเวทนา สมัยนั้นย่อมไม่มีทั้งสุขเวทนา และอทุกขมสุขเวทนา สมัยใดมีอทุกขมสุขเวทนา สมัยนั้นย่อมไม่มีทั้งสุขเวทนา และทุกขเวทนา
ดังนั้นสรุปได้คร่าวๆ ว่า
เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี
เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จึงดับ
เหล่านี้ละ ควรทำความเข้าใจ
ชีวิตเป็นของผม(โดยปัจเจก) แม้จะไม่ได้เกิดมาด้วยตัวของผมเองก็ตาม
ชีวิตไม่ใช่ของเราทั้งหมด อาจจะตั้งแต่เราเกิดเลยด้วยซ้ำ จนกระทั่งเราตายก็อาจจะไม่ใของเรา บางคนบอกเราเลือกได้ แต่เราเลือกบนพื้นฐานของสังคมมันตีกรอบไว้ เราอยู่ในโลกทุนนิยม ต้องหาเงิน ต้องสร้างรายได้ทรัพย์สินเงินทอง เพราะสังคมตีกรอบมาแบบนี้ เราอาจจะเลือกในสถานการณ์บางอย่างได้ ก็จริง แต่นั่นเพราะการตัดสินใจของเราอาจจะเพียงเล็กน้อย ประกอบกับสังคมบีบบังคับ หรือเลือกให้ต้องเลือกทางนั้นด้วยในทางนึงเหมือนกัน บอกเป็น % ไม่ได้แต่ชีวิตเราไม่ใช่ของเราแน่นอน
ตั้งแต่ทำมา แล้วให้เลือก 5Ep ที่ชอบ หนึ่งในนั้นของผม ต้องมี Epนี้แน่นอน
อยากฟังมุมมองปรัชญาว่าคนเราเกิดมาทำไมค่ะ
สั้นๆเลยครับ คิดถึงน้องฟาง😂😂
ผมว่ามันเป็นเรื่องยากนะ ผมว่าไม่มีใครตอบได้ สิ่งที่เราจะพอเข้าถึงมันได้ ก็คือคำสอนของพระพุทธองค์ ซึ่งพระองค์ได้ตรัสไว้แล้วซึ่ง ปัจจัย4 แล้วตามมาด้วยสติ จบท้ายด้วยการไม่ประมาท สรุปโดยรวมก็คือชีวิตคือของเรา ทุกอย่างคือของเรา นั่นแหละคือความยึดมั่นถือมั่น มันคืออัตตา การปล่อยวางได้ เราจะสบายใจ นั่นแหละคือสุข คหสต นะครับ
ย่อจัด😂😂😂 แต่ทำยากมากก
ปูขัน5มาเลยครับถ้าแบบนี้😂😂😂555
เอาอย่างนี้ละกัน ศีล5 ซึ่งพระองค์ อุตมโคดม ตรัสไว้ว่า สำคัญ เพราะเราคือบัวที่รอให้....
@@user-jl4wl5rc1m ต่อครับบ
ใครเป็นเจ้าชีวิตของเราหรือครับ เมื่อวานมีคนบอกเขาปั่นจักรยานอยู่แถวเยอรมัน
ชีวิตเป็นของเราและการตัดสินใจเป็นของเราภายใต้กรอบการรับรู้ทางสังคมที่เราพึงอยู่และเห็นรับรู้และแลกเปลี่ยนถ้าเราอยากขยับขยายการตัดสินใจหรือทางเลือกของเราเราก็จำเป็นต้องขยายกรอบของเราเช่นเดียวกัน ชอบการเปรียบเปยเรื่องจินตนาการมากมันคือการทำความเข้าใจมิติสังคมผ่านการคิดของผู้อื่นเราได้ลงไปอยู่ในสายตาของคนๆหนึ่งผ่านการถ่ายทอดออกมาในรูปแบบจิตนาการ
ชอบรายการนี้มากนะคับจากคนที่เรียนจิตวิทยาและปรัชญาพี่ทั้งสองคนถ่ายทอดออกมาได้อย่างลื่นไหลและเข้าใจง่ายมากๆทำต่อนะคับเป็นกำลังใจให้😊
การทดลองที่น่าสนใจเกี่ยวกับ สมอง
Split Brain Experiment
Libet Experiment
ชีวิตเป็นของเรา ในระดับหนึ่ง แต่เราสามารถควบคุมบางอย่างในชีวิตได้ เหมือนเราหิวข้าว เราไม่สามารถเลือกให้ไม่หิวได้ แ ต่เลือกจะกินอะไรได้ เราเลือกที่จะมีความฝันที่ไม่ได้ถูกสังคมตีกรอบให้ได้ ถึงแม้สังคมจะมีส่วน ในนิสัย อารมณ์ และทัศนติ แต่เราก็ยังสามารถ เลือกได้ว่าจะมีมุมมองต่อเหตุกาณ์ไหนยังไง 😂😂😂
ฟังไปฟังมา ก็เดินไปส่องกระจก เอ๊ะ ที่เราเดินมาส่องกระจกนี้ ตัวฉันอยากมาดูว่าตัวฉันเป็นของฉันไหม หรือสมองสั่งให้มาส่อง แล้วที่เราอยากนูนนี้นั้นมันคือความอยากของเราหรือยีนมันสั่งให้เราทำ ถ้าเราทำอะไรผิดไป เราผิด หรือยีนเราผิด 😅😅😅
ตอนนี้โคตรจุก
คำถามว่าใครเป็นเจ้าของ นี่คือความเชื่อที่ไม่มีความมั่นคงในพระเจ้า นอกจากนี้ยังเป็นผู้ยึดถือความเป็นอัตตาตัวตน และก็ไม่รู้ว่าตัวตนที่แท้จริงคืออะไร ก็คิดแสวงหาปรัชญา แม้คิดมาตั้งแต่สมัยไหนในแบบปุถุชนก็ไม่รู้ว่าชีวิตคืออะไร ทั้งที่มีชีวิตอยู่ตอนนี้
ยุคสมัยที่หลายประเทศทั่วโลกมีแรงงานทาสคำถามนี้น่าวิเคราะห์พวกเขาเหล่านั้นจะคิดยังใงเมื่อเค้าอยู่ในระบบที่มีคนสั่งการเป็นเจ้าของชีวิตบางคนเกิดมาก็เป็นทาส
ถ้าคิดว่าชีวิตเป็นของตัวเอง คำถามสั้นๆคือ ใครตั้งชื่อให้คุณ ?
ไหนๆก็ว่าด้วยเรื่องของชีวิตแล้ว อยากให้อ.ภาคิน เสนอปรัชญาของ ซีโมน เดอะ เบอวัว เลยครับ
ชีวิตเราไม่ใช่ของเราและไม่ใช่ของใครแต่ชีวิตเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยและจะดับไปเพราะเหตุปัจจัยเช่นกัน ถ้าเรามองจากมุมมองที่แคบคือมองจากตัวเราเราจะรู้สึกว่าชีวิตเป็นของเรามากขึ้นแต่ถ้ามองจากมุมมองที่กว้างขึ้นเรื่อยๆเช่น ครองครัว สังคม ประเทศชาติ โลก ระบบสุริยะจักรวาล กาแล็กซี่ มหาจักรวาล ความรู้สึกเป็นเจ้าของจะหดเล็กลงเรื่อยๆจนหาไม่เจอเลยครับ
ชีวิตเป็นของเราครับผมเชื่อเพราะพี่ตูนบอกไว้🤣
ถ้าเราเลือกตัวเลือกที่ถูกเลือกมาแล้ว เราได้เป็นคนเลือกจริงๆหรือเปล่า ? สำหรับผมว่าไม่ เราแค่ถูกบังคับให้รู้สึกว่าเราเป็นคนเลือก
รถทีพุพังเพราะคนที่ขับไม่ใช่ตัวเราเอง