Это видео недоступно.
Сожалеем об этом.
ความฉลาดทางอารมณ์: 10 ข้อที่บอกว่าคุณมี EQ สูง
HTML-код
- Опубликовано: 20 май 2020
- ความฉลาดทางอารมณ์ หรือ EQ (Emotional Intelligence) ถือว่าเป็นทักษะชีวิตที่นับวันจะสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะความกดดันรอบตัว ทั้งสังคมภายนอก และครอบครัวเราเอง ต่างก็มีเรื่องราวต่าง ๆ ที่คอยกระตุ้นให้เราเครียดเสมอ หากใครติดอาวุธให้ตัวเอง หรือพัฒนาทักษะการจัดการอารมณ์ตัวเอง ก็จะยิ่งอยู่ยาก หรือมีความสุขได้ยากขึ้นในสังคมปัจจุบัน
หมั่นคอยหาความรู้สึก เรียนรู้ และฝึกฝนตัวเองอยู่ตลอดเวลา คุณก็จะยิ่งแข็งแกร่งและมีทักษะชีวิตในการจัดการตัวเองได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ
มาเช็คกันว่าคุณและคนข้าง ๆ มีความฉลาดทางอารมณ์สูงพอหรือยัง จากบทความนี้ค่ะ
อ่าน 5 เหตุผลที่คนมีความฉลาดทางอารมณ์ประสบความสำเร็จมากกว่าคนอื่น www.bypichawee...
ดูทางเลือกในการพัฒนา EQ แบบง่าย ๆ ไม่ยุ่งยาก bypichawee.com...
พิชาวีร์ เมฆขยาย
ที่ปรึกษาด้านจิตวิทยาองค์กร
เช็ค 5 สัญญาณของคนที่มีความฉลาดทางอารมณ์ต่ำ ได้ที่นี่นะคะ ruclips.net/video/GRL-RvPdLDk/видео.html
1.รู้ตัว รู้ความรู้สึก ตัวเอง
2.จัดการอารมณ์ได้ดี รู้วิธีจัดการอารมณ์ตัวเอง
3.บิ้วให้ทำในสิ่งที่ต้องทำ ควรทำ ถูกต้อง || มีวินัย
4.ปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงได้
5.ไม่หุนหันพลันแล่นมากเกินไป ควบคุมความผลีผลาม ไตร่ตรองก่อนทำ
6.มักจะฟังคนอื่น เพื่อทำความเข้าใจความรุ้สึกคนอื่น มุมมองคนอื่น เปิดรับความคิดเห็น แชร์สิ่งที่ควรแชร์
7.เข้าใจคนอื่น อ่านความรู้สึก เข้าใจความรู้สึกคนอื่น อ่านสีหน้า แววตา emphaty
8.สามารถปลอบใจ ปลอบประโลม ทำให้คนๆนั้นอ่อนลง ปรับระดับอารมณ์อย่างเหมาะสมลงได้ ***ทำให้มีอำนาจ***
9.อยู่ด้วยแล้วรุ้สึกสบายใจ มีความสุข
10.ในท่ามกลางปัญหา มีสติมากพอ ใจเย็นมากพอ ที่จะประคอง จัดการชีวิตให้ก้าวและรอดไปได้
ขอบคุณคะ
แสดงว่าระดับ EQ ของคุณนี่ไม่ธรรมดาจริงๆ
ข้อ8กับข้อ10ชัดเจนมากตัวเรา
Fqiuh
ขอบคุณมากค่ะ😊😁🙏
คือ เวลาเราโกรธนะ เราจะถามตัวเองตลอดเวลาว่า เราจะโกรธไปเพื่ออะไร อารมณ์โกรธนั้นมันจะเข้ามาทำร้ายจิตใจเราหรือเปล่า มันจะส่งผลต่อสุขภาพของเราในอนาคตหรือเปล่า เป็นห่วงตัวเองก่อน
รัก content นี้เลยครับ
ชอบข้อ 10.มาก ๆ
ในท่ามกลางปัญหา มีสติมากพอ ใจเย็นมากพอ ที่จะประคอง จัดการชีวิตให้ก้าวและรอดไปได้
ใช้ปัญหาจัดการกับปัญหา ดีที่สุด
มาพังแล้วก็รู้สึกว่ามี(EQ)อยู่ ขอบคุณมากที่ มาทำคลิปให้ดูครับ
* กำลังสติของคนทั่วไปมักแกว่งอยู่ในข้อ อยู่ในข้อ 1-3
* กำลังสติของคนทั่วไปที่บริหารอารมณ์ได้ดี มักแกว่งอยู่ในข้อ 2-4
* กำลังสติของคนส่วนน้อยที่บริหารอารมณ์ได้ดีมาก มักแกว่งอยู่ในข้อ 3-5
* กำลังสติของคนที่เริ่มฝึกถือศีล ฝึกเจริญสติ ฝึกเจริญสมาธิทั่วไป ถ้ายังทำได้ไม่ดี ก็แกว่งได้ตั้งแต่ 2- 5 แต่ขยันฝึกบ่อยๆก็ไม่ค่อยลงไปถึง 1
* กำลังสติของคนที่ฝึกถือศีล ฝึกเจริญสติ ฝึกเจริญสมาธิได้ผลถึงระดับหนึ่ง ถ้ายังทำได้ดี ก็แกว่งได้ตั้งแต่ 4- 7 แต่ไม่ค่อยลงไปถึง 3 หรือต่ำกว่านั้น เพราะใช้เหตุผลนำอารมณ์ไปแทบทุกเรื่องแล้ว (แต่ไม่ได้หมายความจะตัดสินใจได้ถูกต้องทุกเรื่องนะ ถ้าความรู้ไม่ถึง ประสบการณ์ไม่พอ ได้ข้อมูลตั้งต้นผิดพลาด ระดับความยากเกิน หรือสิ่งแวดล้อมไม่เอื้อ ก็ทำพังได้เป็นเรื่องปกติเลยนะครับ)
* แนะนำผู้ต้องการฝึกเจริญสมาธิ ถือศีลและฝึกเจริญสติให้ได้อย่างน้อยข้อ 4 เป็นหลัก คือช่วง 3-5 แล้วค่อยเริ่มฝึกนะครับ ถ้าได้ 4-6 นี่ดีเลย
* ถ้าสามารถฝึกเจริญสติ ให้รักษาอารมณ์จิตได้ถึงระดับ ข้อ 4-6 ทั้งวัน ต่อเนื่องกันทุกอาการคิด ไม่หลุดไม่ค่อยพลาด หลง เผลอ เพลินไปนอาการคิด
แม้จะเป็นอาการกำลังสติขั้นหยาบๆ แต่นั่นคือชั้นของอารมณ์ระดับอุปปจารสมาธินะครับ สามารถใช้เป็นพื้นฐานฝึกสมาธิขั้นสูงได้ดีมากๆครับ
* คนที่ฝึกเน้นถือเจริญสติจนได้ผลดี กำลังสติแกว่งได้ช่วงแคบๆ อาจจะ 3-4 ข้อ และไม่สามารถปรับกำลังสติให้ละเอียดกว่าเดิมแบบขึ้นลงได้
* ส่วนคนที่ฝึกเน้นด้านเจริญสมาธิจนได้ผลดี สามารถปรับกำลังสติของตนเองให้ขึ้นลงได้ กว้าง เช่นตอนทำงานทำการต้องขยับตัว คิดพูดจา ลงมือทำต่างๆ ก็ใช้กำลังสติที่ระดับ 4-7 แต่เมื่อต้องการพักผ่อนก็ทำสมาธิ เพิ่มความละเอียดของกำลังสติไปที่ระดับ 8 พอต้องทำงานต้องสื่อสารก็ลดระดับกำลังสติสลับมารับรู้โลกภายนอก
* ข้อ 8 คนที่ฝึกได้ก็มีส่วนน้อย ในกลุ่มคนที่ฝึกถูกวิธีก็ยังทำได้กันไม่ถึงครึ่งเพราะพื้นฐานทางจิตของเขาเอื้อได้สูงสูดแค่ระดับ 7 แต่ตราบใดที่ยังไม่ถึงระดับ 7 ก็อย่าเพิ่งคิดว่าตัวเองทำไม่ได้นะ
* ข้อ 8 เป็นสมาธิระดับสูงถึงฌาน1 คนทั่วไปนึกไม่ถึง คาดเดาไม่ได้ และไม่เข้าใจ เพราะอาการรู้สติในขั้นนี้ เกิดก่อนอาการคิด เกิดก่อนอาการนึก จึงใช้การคิดตรรกะต่างๆเข้าถึงไม่ได้ เปรียบเหมือนคนไม่เคยชิมรสเค็ม คนอื่นๆไม่ว่าจะเก่งแค่ไหนก็ไม่สามารถอ้างเหตุผลเพื่อสื่อสารอาการรู้รสเค็มให้แก่เขาได้ ถ้าจะทำให้เขาเข้าใจก็ต้องให้เขาฝึกพื้นฐานก่อน เช่นชิมเกลือ หรือชิมเหงื่อตัวเอง เป็นต้น เมื่อเขามีพื้นฐานแล้วจึงจะอธิบายให้เข้าใจได้
มีสติอยู่กับลมหายใจ
ขอบคุณตัวเองที่มาเจอคลิปนี้ค่ะ หน่อยป่วยเป็นโรควิตกกังวลและซึมเศร้ามาได้ 11 เดือนแล้ว ได้แต่ทานยาแต่วิธีการจัดการทางอารมณ์หมอยังไม่แนะนำค่ะ ขอบคุณมากนะค่ะ ฟังแล้วทำให้มองเห็นตัวเองเลย หน่อยจะเป็นคนที่แคร์คนมากค่ะ แคร์ทุกอย่างทุกด้าน และเป็นคนคิดมาก ยึดมั่นถือมั่น พอเวลามีคนมาตะคอกเสียงดังใส่ จะมีอารมณ์รุนแรง ใจสั่น มือสั่น ควบคุมอารมณ์ตัวเองพอได้แต่หากมีอาวุธข้างกายก็ไม่แน่ใจว่าจะเกิดอะไรขึ้น หน่อยอยากมีใครสักคนคอยรับฟังและช่วยแนะนำให้ใจ ช่วยขจัดปัญหาที่มันสะสมไว้ สาเหตุมาจากที่ทำงาน+งานค่ะ
เป็นกำลังใจให้นะคะ ค่อย ๆ ฝึก ค่อย ๆ ปรับไปค่ะ ไม่ต้องรีบร้อนนะคะ มาถูกทางแล้วค่ะ หากบำบัดอยู่ ก็จะได้คุยกับนักจิตวิทยานะคะ ที่คอยรับฟังเราอยู่ เยี่ยมมาก ๆ ค่ะ
ระดับกำลังสติทวนย้อนกลับถึงต้นทาง (ยังไม่ย้อนสุดทางนะ และไม่แจกแจงองค์ประกอบเยอะนะครับเพราะมีรายละเอียดปลีกย่อยมาก)
แค่เทียบเคียงเพื่อความเข้าใจ
1 รู้สึกตัวเมื่อเกิดอาการทางกายภาพ เช่นเคลื่อนไหว มีน้ำตา หน้าแดง ตัวสั่น กล้ามเนื้อเกร็ง | คนส่วนใหญ่ทำได้อยู่แล้ว แต่คนสมาธิสั้น คนซึมเศร้าทำไม่ค่อยได้
2 รู้สึกตัวเมื่อเกิดอาการมีอารมณ์หยาบ เช่นดีใจเสียใจ | บางคนเผลอสติออกอาการ แต่ก็มีคนทำได้เยอะ
3 รู้สึกตัวเมื่อเกิดอาการมีอารมณ์ลึก เช่นพอใจไม่พอใจเฉยๆ | คนทำได้มีน้อย ส่วนใหญ่สติตามไม่ทันแล้วเผลอออกอาการดีใจเสียใจตามมา
4 รู้สึกตัวเมื่อเกิดอาการตัดสิน เช่นเห็นด้วยไม่เห็นด้วย | คนทำได้มีน้อย อย่างเก่งก็ไปรู้สึกตัวเอาตอนที่กำลังพอใจไม่พอใจเลยรวดเดียว
5 รู้สึกตัวเมื่อเกิดอาการคิดชั่งน้ำหนักวิเคราะห์ เช่น เปรียบเทียบชั่งน้ำหนักให้ค่าให้ราคาในเรื่องนั้นเรื่องนี้ | คนทำได้มีน้อย อย่างเก่งก็ไปรู้สึกตัวเอาตอนที่กำลังพอใจไม่พอใจเลยรวดเดียว
6 รู้สึกตัวเมื่อเกิดอาการตั้งเจตนา เช่นต้องการจะทำอย่างนั้นอย่างนี้ ด้วยจุดประสงค์อย่างนั้นอย่างนี้ | คนทำได้มีน้อย อย่างเก่งก็ไปรู้สึกตัวเอาตอนที่กำลังพอใจไม่พอใจเลยรวดเดียว
7 รู้สึกตัวเมื่อเกิดอาการนึก เช่นรู้จักว่าสิ่งที่กำลังรับรู้คือสิ่งนั้นสิ่งนี้ | คนทำได้มีน้อย อย่างเก่งก็ไปรู้สึกตัวเอาตอนที่กำลังพอใจไม่พอใจเลยรวดเดียว
8 รู้สึกตัวเมื่อเกิดอาการรับสัญญาณประสาท และ อาการใช้ความจำเก่า เช่นรู้สึกอาการสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นดับไป (ก่อนจะแยกแยะได้ว่าเป็น รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส และธรรมารมณ์ โดยข้อ 7)
9 ยังมีระดับกำลังสติที่มนุษย์สามารถฝึกให้ละเอียดว่องไวได้มากกว่าข้อ 8
* แต่จะไม่อธิบายเกินข้อ 8 เพราะแค่ข้อ 5 ซึ่งดูเหมือนเป็นกำลังสติที่ไม่ห่างไปจากระดับอื่นๆมากนักน่าจะฝึกกันได้ คนส่วนใหญ่ก็คิดไม่ออกแล้ว
1 คิดว่าจะเลิกคิดก็คือการคิดซ้ำไปอีกรอบ ไม่ใช่การเลิกคิดอย่างที่คิดเอาเอง
2 เมื่อคิดว่าจะลืมเรื่องไหนก็คือกำลังจำเรื่องนั้นซ้ำไปอีกรอบ ไม่ใช่การลืมอย่างที่คิดเอาเอง
3 เมื่อคิดว่าไม่รู้จักสิ่งไหนก็รู้จักสิ่งนั้นไปแล้ว เพราะถ้าไม่รู้ว่าแตกต่างจากสิ่งอื่นอย่างไรแล้วจะแยกแยะว่ารู้จักหรือไม่รู้จักได้อย่างไร
* ดังนั้น คนส่วนใหญ่ที่ใช้ตรรกะเหตุผลตัดสินเรื่องราวต่างๆ ก็ยังหลงอยู่ในอาการคิด ตกเป็นทาสอาการคิด มีคนเพียงส่วนน้อยที่สติตื่นตัวจนออกจากอาการคิดได้
แต่วิถีชีวิตประจำวันก็ยังต้องพึ่งพาอาการคิดอยู่ดี เพียงแต่คิดเท่าที่จำเป็น ไม่ค่อยคิดเพ้อเจ้อฟุ้งซ่าน ไม่เผลอ ไม่เพลิน ไม่อิน ไม่ลุ้น จึงสงบสุข
* กำลังสติของคนทั่วไปมักแกว่งอยู่ในข้อ อยู่ในข้อ 1-3
* กำลังสติของคนทั่วไปที่บริหารอารมณ์ได้ดี มักแกว่งอยู่ในข้อ 2-4
* กำลังสติของคนส่วนน้อยที่บริหารอารมณ์ได้ดีมาก มักแกว่งอยู่ในข้อ 3-5
* กำลังสติของคนที่เริ่มฝึกถือศีล ฝึกเจริญสติ ฝึกเจริญสมาธิทั่วไป ถ้ายังทำได้ไม่ดี ก็แกว่งได้ตั้งแต่ 2- 5 แต่ขยันฝึกบ่อยๆก็ไม่ค่อยลงไปถึง 1
* กำลังสติของคนที่ฝึกถือศีล ฝึกเจริญสติ ฝึกเจริญสมาธิได้ผลถึงระดับหนึ่ง ถ้ายังทำได้ดี ก็แกว่งได้ตั้งแต่ 4- 7 แต่ไม่ค่อยลงไปถึง 3 หรือต่ำกว่านั้น เพราะใช้เหตุผลนำอารมณ์ไปแทบทุกเรื่องแล้ว (แต่ไม่ได้หมายความจะตัดสินใจได้ถูกต้องทุกเรื่องนะ ถ้าความรู้ไม่ถึง ประสบการณ์ไม่พอ ได้ข้อมูลตั้งต้นผิดพลาด ระดับความยากเกิน หรือสิ่งแวดล้อมไม่เอื้อ ก็ทำพังได้เป็นเรื่องปกติเลยนะครับ)
* แนะนำผู้ต้องการฝึกเจริญสมาธิ ถือศีลและฝึกเจริญสติให้ได้อย่างน้อยข้อ 4 เป็นหลัก คือช่วง 3-5 แล้วค่อยเริ่มฝึกนะครับ ถ้าได้ 4-6 นี่ดีเลย
* ถ้าสามารถฝึกเจริญสติ ให้รักษาอารมณ์จิตได้ถึงระดับ ข้อ 4-6 ทั้งวัน ต่อเนื่องกันทุกอาการคิด ไม่หลุดไม่ค่อยพลาด หลง เผลอ เพลินไปนอาการคิด
แม้จะเป็นอาการกำลังสติขั้นหยาบๆ แต่นั่นคือชั้นของอารมณ์ระดับอุปปจารสมาธินะครับ สามารถใช้เป็นพื้นฐานฝึกสมาธิขั้นสูงได้ดีมากๆครับ
* คนที่ฝึกเน้นถือเจริญสติจนได้ผลดี กำลังสติแกว่งได้ช่วงแคบๆ อาจจะ 3-4 ข้อ และไม่สามารถปรับกำลังสติให้ละเอียดกว่าเดิมแบบขึ้นลงได้
* ส่วนคนที่ฝึกเน้นด้านเจริญสมาธิจนได้ผลดี สามารถปรับกำลังสติของตนเองให้ขึ้นลงได้ กว้าง เช่นตอนทำงานทำการต้องขยับตัว คิดพูดจา ลงมือทำต่างๆ ก็ใช้กำลังสติที่ระดับ 4-7 แต่เมื่อต้องการพักผ่อนก็ทำสมาธิ เพิ่มความละเอียดของกำลังสติไปที่ระดับ 8 พอต้องทำงานต้องสื่อสารก็ลดระดับกำลังสติสลับมารับรู้โลกภายนอก
* ข้อ 8 คนที่ฝึกได้ก็มีส่วนน้อย ในกลุ่มคนที่ฝึกถูกวิธีก็ยังทำได้กันไม่ถึงครึ่งเพราะพื้นฐานทางจิตของเขาเอื้อได้สูงสูดแค่ระดับ 7 แต่ตราบใดที่ยังไม่ถึงระดับ 7 ก็อย่าเพิ่งคิดว่าตัวเองทำไม่ได้นะ
* ข้อ 8 เป็นสมาธิระดับสูงถึงฌาน1 คนทั่วไปนึกไม่ถึง คาดเดาไม่ได้ และไม่เข้าใจ เพราะอาการรู้สติในขั้นนี้ เกิดก่อนอาการคิด เกิดก่อนอาการนึก จึงใช้การคิดตรรกะต่างๆเข้าถึงไม่ได้ เปรียบเหมือนคนไม่เคยชิมรสเค็ม คนอื่นๆไม่ว่าจะเก่งแค่ไหนก็ไม่สามารถอ้างเหตุผลเพื่อสื่อสารอาการรู้รสเค็มให้แก่เขาได้ ถ้าจะทำให้เขาเข้าใจก็ต้องให้เขาฝึกพื้นฐานก่อน เช่นชิมเกลือ หรือชิมเหงื่อตัวเอง เป็นต้น เมื่อเขามีพื้นฐานแล้วจึงจะอธิบายให้เข้าใจได้
คำเตือน
ผู้ที่มีอาการสมาธิสั้นและซึมเศร้า ไม่แนะนำให้ฝึกสมาธิครับ
เพราะสติไม่สามารถจดจ่อกับเรื่องใดได้นาน และแม้มีเรื่องที่จดจ่อก็เป็นอาการไหลไปตามอารมณ์คือมิจฉาสมาธิ ไม่ใช่จดจ่ออย่างสติตื่นตัวรู้สึกตัวซึ่งเป็นสัมมาสมาธิ
เวลานั่งสมาธิจึงไม่ได้ผลเลย และถ้าเข้าสมาธิได้บ้างอาจเกิดความเสียหายต่อจิตใจได้ด้วย
1 คนป่วยอาการโคม่า เทคยาก่อนครับ รักษาทางกายภาพให้อาการสงบไปก่อนครับ
2 เมื่ออาการดีขึ้น สามารถดูแลตัวเองได้ ทำกิจวัตรประจำวันได้เองแทบหมดแล้ว แต่ยังมีอาการซึมเศร้าในอารมณ์ ให้ถือศีลเพื่อปรับสภาพจิตใจให้เอื้อต่อการฝึกเจริญสติครับ อันนี้เหมือนพ้นจากโคม่าระยะหนึ่งก็จะดีขึ้น แต่ยังไม่คล่องตัวครับ การถือศีลทางพุทธ เราใช้เจตนาเป็นหลักครับ แต่ละการกระทำอาจพลาดพลั้งไปบ้าง เช่นเดินเหยียบหอยทากตายอะไรงี้
เรามีแค่เจตนาเดิน ไม่มีเจตนาฆ่า ก็ใช้ได้แล้วครับ หอยก็มีกรรมของเขาที่ต้องรับวิบากกรรมนะครับ เราอาจต้องแก้ไขเช่นเดินทางอื่น หรือเดินช้าลง แต่ถ้าโทษตัวเองทุกเรื่องทั้งที่ไร้เจตนาฆ่า ก็แสดงว่ายังไม่เข้าใจเรื่องศีลครับ ปกติคือ ถ้ามีเจตนาดีต่อตนเองและผู้อื่น ไม่มีเจตนาเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น ก็ใช้ได้ครับ
3 การฝึกเจริญสติพื้นฐานก็เปรียบการทำกายภาพบำบัดทางจิตนะครับ
ฝึกเจริญสติ โดยรู้สึกตัวบ่อยๆว่า ร่างกายแขนขาเราอยู่เคลื่อนไหวอย่างไร
ยืน เหยียบ ยก ย่าง เดิน นั่ง นอน หยิบ จับ กิน เคี้ยว กลืน เอื้อม เอน ขยับ แขน ขา มือ หัน อะไรต่างๆ ทุกอิริยาบถฝึกรู้สึกตัวตามร่างกายไปเลยครับ
เพื่อจะได้ตัดตอนอาการคิดที่หลงในอารมณ์ต่างๆให้ขาดช่วง กลับมามีสติ รับรู้อาการของร่างกายเป็นปัจจุบันแทนนะครับ
อาจจะตั้งนาฬิกาโทรศัพท์เตือน เช่น ทุกสิบนาที แล้วก็ตัดอาการคิด เลิกไหลไปตามอารมณ์ กลับมาต้องรู้สึกตัวก่อนหละ
4 การฝึกเจริญสติได้เอง ก็เปรียบการหัดออกกำลังกายทางจิตนะครับ พอทำได้ดีขึ้นหน่อย คือสามารถรู้สึกตัวได้เองตามความเคยชินโดยไม่ต้องใช้นาฬิกาแล้ว อันนี้คือ ไกล้เคียงคนทั่วไปก็ใช้ การเจริญสติให้ละเอียดกว่าเดิมไปอีกก็ฝึกให้ถี่ขึ้นกว่าเดิม คือทำจนเกิดอาการรู้สึกตัวได้สดๆ ทุกนาทีเลยครับ อาจต้องใช้เวลา สองสามเดือนหรือถึงปีเลย ถ้าทำได้ถึงตอนนี้ กำลังสติก็ดีกว่าคนทั่วไปเสียอีกนะครับ
5 การฝึกเจริญสมาธิก็เปรียบการแข่งขันกีฬาทางจิตนะครับ
ถ้าให้คนคนสมาธิสั้นและซึมเศร้า ฝึก ก็เท่ากับเอาคนไข้อาการโคม่ามาลงแข่งขันเล่นกีฬามันไม่ได้เลยนะครับ นอกจากไม่ได้ผลแล้วยังจะเสียหายไปอีก ใครแนะนำก็อย่าไปเชื่อครับ
(ถ้าจะฝึกสมาธิต้องเทคยาและฝึกเจริญสติไปก่อนก็เพื่อปูพื้นฐานและฝึกซ้อมเบาๆไงครับ ขนาดคนปกติส่วนใหญ่ จู่ๆไปนั่งสมาธิก็ฝึกสมาธิไม่ได้ผลนะครับ ยังต้องปูพื้นฐานเจริญสติก่อนอยู่ดีนะครับ ถ้าสามารถรักษาศีลฝึกเจริญสติมาได้จนเกิดอาการรู้สึกตัวสดๆได้ทุกนาที ก็ฝึกต่อไปให้รู้สึกตัวได้สดๆทุกลมหายใจ ควบคู่ไปกับการฝึกเจริญสมาธิได้เลยครับ เพราะถ้ากำลังสติไวขนาดนั้นก็มาหัดเล่นกีฬาทางจิตได้แล้วนะครับ
ทุกๆคำพูด ของคุณ มีค่าสำหรับสุขภาพ และมีประโยชน์มากที่สุดยอด
บางอย่างเขาไม่พูดไม่บอกตรงๆเขาให้เวลาแก้ไข อย่าคิดว่าเขาโง่ไม่รู้ไม่เห็น
ยิ่งเขาไม่พูดยิ่งควรเกรงใจ มิใช่ใด้ใจ
ตอนนี้ สวดมนต์ ก้อเลย ควบคุม อารมณ์ ได้มากค่ะ นั่งภาวนา
สมาธินิ่ง
วิธีที่ดีที่สุด
ระดับกำลังสติทวนย้อนกลับถึงต้นทาง (ยังไม่ย้อนสุดทางนะ และไม่แจกแจงองค์ประกอบเยอะนะครับเพราะมีรายละเอียดปลีกย่อยมาก)
แค่เทียบเคียงเพื่อความเข้าใจ
1 รู้สึกตัวเมื่อเกิดอาการทางกายภาพ เช่นเคลื่อนไหว มีน้ำตา หน้าแดง ตัวสั่น กล้ามเนื้อเกร็ง | คนส่วนใหญ่ทำได้อยู่แล้ว แต่คนสมาธิสั้น คนซึมเศร้าทำไม่ค่อยได้
2 รู้สึกตัวเมื่อเกิดอาการมีอารมณ์หยาบ เช่นดีใจเสียใจ | บางคนเผลอสติออกอาการ แต่ก็มีคนทำได้เยอะ
3 รู้สึกตัวเมื่อเกิดอาการมีอารมณ์ลึก เช่นพอใจไม่พอใจเฉยๆ | คนทำได้มีน้อย ส่วนใหญ่สติตามไม่ทันแล้วเผลอออกอาการดีใจเสียใจตามมา
4 รู้สึกตัวเมื่อเกิดอาการตัดสิน เช่นเห็นด้วยไม่เห็นด้วย | คนทำได้มีน้อย อย่างเก่งก็ไปรู้สึกตัวเอาตอนที่กำลังพอใจไม่พอใจเลยรวดเดียว
5 รู้สึกตัวเมื่อเกิดอาการคิดชั่งน้ำหนักวิเคราะห์ เช่น เปรียบเทียบชั่งน้ำหนักให้ค่าให้ราคาในเรื่องนั้นเรื่องนี้ | คนทำได้มีน้อย อย่างเก่งก็ไปรู้สึกตัวเอาตอนที่กำลังพอใจไม่พอใจเลยรวดเดียว
6 รู้สึกตัวเมื่อเกิดอาการตั้งเจตนา เช่นต้องการจะทำอย่างนั้นอย่างนี้ ด้วยจุดประสงค์อย่างนั้นอย่างนี้ | คนทำได้มีน้อย อย่างเก่งก็ไปรู้สึกตัวเอาตอนที่กำลังพอใจไม่พอใจเลยรวดเดียว
7 รู้สึกตัวเมื่อเกิดอาการนึก เช่นรู้จักว่าสิ่งที่กำลังรับรู้คือสิ่งนั้นสิ่งนี้ | คนทำได้มีน้อย อย่างเก่งก็ไปรู้สึกตัวเอาตอนที่กำลังพอใจไม่พอใจเลยรวดเดียว
8 รู้สึกตัวเมื่อเกิดอาการรับสัญญาณประสาท และ อาการใช้ความจำเก่า เช่นรู้สึกอาการสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นดับไป (ก่อนจะแยกแยะได้ว่าเป็น รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส และธรรมารมณ์ โดยข้อ 7)
9 ยังมีระดับกำลังสติที่มนุษย์สามารถฝึกให้ละเอียดว่องไวได้มากกว่าข้อ 8
* แต่จะไม่อธิบายเกินข้อ 8 เพราะแค่ข้อ 5 ซึ่งดูเหมือนเป็นกำลังสติที่ไม่ห่างไปจากระดับอื่นๆมากนักน่าจะฝึกกันได้ คนส่วนใหญ่ก็คิดไม่ออกแล้ว
1 คิดว่าจะเลิกคิดก็คือการคิดซ้ำไปอีกรอบ ไม่ใช่การเลิกคิดอย่างที่คิดเอาเอง
2 เมื่อคิดว่าจะลืมเรื่องไหนก็คือกำลังจำเรื่องนั้นซ้ำไปอีกรอบ ไม่ใช่การลืมอย่างที่คิดเอาเอง
3 เมื่อคิดว่าไม่รู้จักสิ่งไหนก็รู้จักสิ่งนั้นไปแล้ว เพราะถ้าไม่รู้ว่าแตกต่างจากสิ่งอื่นอย่างไรแล้วจะแยกแยะว่ารู้จักหรือไม่รู้จักได้อย่างไร
* ดังนั้น คนส่วนใหญ่ที่ใช้ตรรกะเหตุผลตัดสินเรื่องราวต่างๆ ก็ยังหลงอยู่ในอาการคิด ตกเป็นทาสอาการคิด มีคนเพียงส่วนน้อยที่สติตื่นตัวจนออกจากอาการคิดได้
แต่วิถีชีวิตประจำวันก็ยังต้องพึ่งพาอาการคิดอยู่ดี เพียงแต่คิดเท่าที่จำเป็น ไม่ค่อยคิดเพ้อเจ้อฟุ้งซ่าน ไม่เผลอ ไม่เพลิน ไม่อิน ไม่ลุ้น จึงสงบสุข
* กำลังสติของคนทั่วไปมักแกว่งอยู่ในข้อ อยู่ในข้อ 1-3
* กำลังสติของคนทั่วไปที่บริหารอารมณ์ได้ดี มักแกว่งอยู่ในข้อ 2-4
* กำลังสติของคนส่วนน้อยที่บริหารอารมณ์ได้ดีมาก มักแกว่งอยู่ในข้อ 3-5
* กำลังสติของคนที่เริ่มฝึกถือศีล ฝึกเจริญสติ ฝึกเจริญสมาธิทั่วไป ถ้ายังทำได้ไม่ดี ก็แกว่งได้ตั้งแต่ 2- 5 แต่ขยันฝึกบ่อยๆก็ไม่ค่อยลงไปถึง 1
* กำลังสติของคนที่ฝึกถือศีล ฝึกเจริญสติ ฝึกเจริญสมาธิได้ผลถึงระดับหนึ่ง ถ้ายังทำได้ดี ก็แกว่งได้ตั้งแต่ 4- 7 แต่ไม่ค่อยลงไปถึง 3 หรือต่ำกว่านั้น เพราะใช้เหตุผลนำอารมณ์ไปแทบทุกเรื่องแล้ว (แต่ไม่ได้หมายความจะตัดสินใจได้ถูกต้องทุกเรื่องนะ ถ้าความรู้ไม่ถึง ประสบการณ์ไม่พอ ได้ข้อมูลตั้งต้นผิดพลาด ระดับความยากเกิน หรือสิ่งแวดล้อมไม่เอื้อ ก็ทำพังได้เป็นเรื่องปกติเลยนะครับ)
* แนะนำผู้ต้องการฝึกเจริญสมาธิ ถือศีลและฝึกเจริญสติให้ได้อย่างน้อยข้อ 4 เป็นหลัก คือช่วง 3-5 แล้วค่อยเริ่มฝึกนะครับ ถ้าได้ 4-6 นี่ดีเลย
* ถ้าสามารถฝึกเจริญสติ ให้รักษาอารมณ์จิตได้ถึงระดับ ข้อ 4-6 ทั้งวัน ต่อเนื่องกันทุกอาการคิด ไม่หลุดไม่ค่อยพลาด หลง เผลอ เพลินไปนอาการคิด
แม้จะเป็นอาการกำลังสติขั้นหยาบๆ แต่นั่นคือชั้นของอารมณ์ระดับอุปปจารสมาธินะครับ สามารถใช้เป็นพื้นฐานฝึกสมาธิขั้นสูงได้ดีมากๆครับ
* คนที่ฝึกเน้นถือเจริญสติจนได้ผลดี กำลังสติแกว่งได้ช่วงแคบๆ อาจจะ 3-4 ข้อ และไม่สามารถปรับกำลังสติให้ละเอียดกว่าเดิมแบบขึ้นลงได้
* ส่วนคนที่ฝึกเน้นด้านเจริญสมาธิจนได้ผลดี สามารถปรับกำลังสติของตนเองให้ขึ้นลงได้ กว้าง เช่นตอนทำงานทำการต้องขยับตัว คิดพูดจา ลงมือทำต่างๆ ก็ใช้กำลังสติที่ระดับ 4-7 แต่เมื่อต้องการพักผ่อนก็ทำสมาธิ เพิ่มความละเอียดของกำลังสติไปที่ระดับ 8 พอต้องทำงานต้องสื่อสารก็ลดระดับกำลังสติสลับมารับรู้โลกภายนอก
* ข้อ 8 คนที่ฝึกได้ก็มีส่วนน้อย ในกลุ่มคนที่ฝึกถูกวิธีก็ยังทำได้กันไม่ถึงครึ่งเพราะพื้นฐานทางจิตของเขาเอื้อได้สูงสูดแค่ระดับ 7 แต่ตราบใดที่ยังไม่ถึงระดับ 7 ก็อย่าเพิ่งคิดว่าตัวเองทำไม่ได้นะ
* ข้อ 8 เป็นสมาธิระดับสูงถึงฌาน1 คนทั่วไปนึกไม่ถึง คาดเดาไม่ได้ และไม่เข้าใจ เพราะอาการรู้สติในขั้นนี้ เกิดก่อนอาการคิด เกิดก่อนอาการนึก จึงใช้การคิดตรรกะต่างๆเข้าถึงไม่ได้ เปรียบเหมือนคนไม่เคยชิมรสเค็ม คนอื่นๆไม่ว่าจะเก่งแค่ไหนก็ไม่สามารถอ้างเหตุผลเพื่อสื่อสารอาการรู้รสเค็มให้แก่เขาได้ ถ้าจะทำให้เขาเข้าใจก็ต้องให้เขาฝึกพื้นฐานก่อน เช่นชิมเกลือ หรือชิมเหงื่อตัวเอง เป็นต้น เมื่อเขามีพื้นฐานแล้วจึงจะอธิบายให้เข้าใจได้
คำเตือน
ผู้ที่มีอาการสมาธิสั้นและซึมเศร้า ไม่แนะนำให้ฝึกสมาธิครับ
เพราะสติไม่สามารถจดจ่อกับเรื่องใดได้นาน และแม้มีเรื่องที่จดจ่อก็เป็นอาการไหลไปตามอารมณ์คือมิจฉาสมาธิ ไม่ใช่จดจ่ออย่างสติตื่นตัวรู้สึกตัวซึ่งเป็นสัมมาสมาธิ
เวลานั่งสมาธิจึงไม่ได้ผลเลย และถ้าเข้าสมาธิได้บ้างอาจเกิดความเสียหายต่อจิตใจได้ด้วย
1 คนป่วยอาการโคม่า เทคยาก่อนครับ รักษาทางกายภาพให้อาการสงบไปก่อนครับ
2 เมื่ออาการดีขึ้น สามารถดูแลตัวเองได้ ทำกิจวัตรประจำวันได้เองแทบหมดแล้ว แต่ยังมีอาการซึมเศร้าในอารมณ์ ให้ถือศีลเพื่อปรับสภาพจิตใจให้เอื้อต่อการฝึกเจริญสติครับ อันนี้เหมือนพ้นจากโคม่าระยะหนึ่งก็จะดีขึ้น แต่ยังไม่คล่องตัวครับ การถือศีลทางพุทธ เราใช้เจตนาเป็นหลักครับ แต่ละการกระทำอาจพลาดพลั้งไปบ้าง เช่นเดินเหยียบหอยทากตายอะไรงี้
เรามีแค่เจตนาเดิน ไม่มีเจตนาฆ่า ก็ใช้ได้แล้วครับ หอยก็มีกรรมของเขาที่ต้องรับวิบากกรรมนะครับ เราอาจต้องแก้ไขเช่นเดินทางอื่น หรือเดินช้าลง แต่ถ้าโทษตัวเองทุกเรื่องทั้งที่ไร้เจตนาฆ่า ก็แสดงว่ายังไม่เข้าใจเรื่องศีลครับ ปกติคือ ถ้ามีเจตนาดีต่อตนเองและผู้อื่น ไม่มีเจตนาเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น ก็ใช้ได้ครับ
3 การฝึกเจริญสติพื้นฐานก็เปรียบการทำกายภาพบำบัดทางจิตนะครับ
ฝึกเจริญสติ โดยรู้สึกตัวบ่อยๆว่า ร่างกายแขนขาเราอยู่เคลื่อนไหวอย่างไร
ยืน เหยียบ ยก ย่าง เดิน นั่ง นอน หยิบ จับ กิน เคี้ยว กลืน เอื้อม เอน ขยับ แขน ขา มือ หัน อะไรต่างๆ ทุกอิริยาบถฝึกรู้สึกตัวตามร่างกายไปเลยครับ
เพื่อจะได้ตัดตอนอาการคิดที่หลงในอารมณ์ต่างๆให้ขาดช่วง กลับมามีสติ รับรู้อาการของร่างกายเป็นปัจจุบันแทนนะครับ
อาจจะตั้งนาฬิกาโทรศัพท์เตือน เช่น ทุกสิบนาที แล้วก็ตัดอาการคิด เลิกไหลไปตามอารมณ์ กลับมาต้องรู้สึกตัวก่อนหละ
4 การฝึกเจริญสติได้เอง ก็เปรียบการหัดออกกำลังกายทางจิตนะครับ พอทำได้ดีขึ้นหน่อย คือสามารถรู้สึกตัวได้เองตามความเคยชินโดยไม่ต้องใช้นาฬิกาแล้ว อันนี้คือ ไกล้เคียงคนทั่วไปก็ใช้ การเจริญสติให้ละเอียดกว่าเดิมไปอีกก็ฝึกให้ถี่ขึ้นกว่าเดิม คือทำจนเกิดอาการรู้สึกตัวได้สดๆ ทุกนาทีเลยครับ อาจต้องใช้เวลา สองสามเดือนหรือถึงปีเลย ถ้าทำได้ถึงตอนนี้ กำลังสติก็ดีกว่าคนทั่วไปเสียอีกนะครับ
5 การฝึกเจริญสมาธิก็เปรียบการแข่งขันกีฬาทางจิตนะครับ
ถ้าให้คนคนสมาธิสั้นและซึมเศร้า ฝึก ก็เท่ากับเอาคนไข้อาการโคม่ามาลงแข่งขันเล่นกีฬามันไม่ได้เลยนะครับ นอกจากไม่ได้ผลแล้วยังจะเสียหายไปอีก ใครแนะนำก็อย่าไปเชื่อครับ
(ถ้าจะฝึกสมาธิต้องเทคยาและฝึกเจริญสติไปก่อนก็เพื่อปูพื้นฐานและฝึกซ้อมเบาๆไงครับ ขนาดคนปกติส่วนใหญ่ จู่ๆไปนั่งสมาธิก็ฝึกสมาธิไม่ได้ผลนะครับ ยังต้องปูพื้นฐานเจริญสติก่อนอยู่ดีนะครับ ถ้าสามารถรักษาศีลฝึกเจริญสติมาได้จนเกิดอาการรู้สึกตัวสดๆได้ทุกนาที ก็ฝึกต่อไปให้รู้สึกตัวได้สดๆทุกลมหายใจ ควบคู่ไปกับการฝึกเจริญสมาธิได้เลยครับ เพราะถ้ากำลังสติไวขนาดนั้นก็มาหัดเล่นกีฬาทางจิตได้แล้วนะครับ
พระพุทธเจ้าสอนไว้หมดแล้วครับ
ขอบคุณ ครับ ดูจบ แล้ว ทำให้ผมประเมินตัวเองได้ และพยายามแก้ไขอารมณ์ขี้โมโห ของผมให้ได้ ครับ
ก็คือการน้อมนำหลักธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนา มาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน นั่นเองครับ ขอบคุณครับ
รู้สึกตัวตลอดแต่มีเรื่องเดียว..คือชอบน้อยใจแฟน
ทำใจไม่ได้เรื่องเดียวคร้าบ..
จะเงียบซักพัก..เพื่อปรับอารมณ์..
จนรู้สึกผ่อนคลายค่อยคุยกับเค้าใหม่คร้าบ..
อยากให้คนไทยทั้งประเทศได้ดูคลิปนี้จังเลย ทุกวันนี้คนเราทำร้ายกัน ฆ่าแกงกันไม่เว้นแต่ละวัน แต่ก็อีกนั้นแหละการควบคุมอารมณ์ คือ สิ่งที่ต้องฝึกฝน คนที่ไม่เคยฝึกทำไม่ได้แน่นอน อารมณ์ที่ควบคุมได้ยากที่สุด คือ อารมณ์โกรธ อารมณ์นี้แหละที่ทำให้เกิดเรื่องร้ายๆขึ้นในสังคมมากมายทุกวันไม่หยุดไม่หย่อน คนเราทุกวันนี้ฝึกควบคุมอารมณ์โกรธให้ได้แค่อารมณ์เดียวก็เก่งแล้ว ยังไม่นับอารมณ์อย่างอื่นอีกหลายอย่าง คุมอารมณ์โกรธได้อารมณ์เดียวโลกนี้ก็สงบขึ้นเยอะแล้ว
ฝึกกรรมฐานพุทธครอบคลุม ..และหมอ..จิตแพทย์
โดยส่วนตัวผมใช้วิธีเจริญกรรมฐานครับ ทั้งสมถะและวิปัสสนาเท่าที่สติปัญญาของเราจะทำได้ครับ อานาปานสติ..😊
ชอบมากค่ะ ฟังเพลินดี น่าฟังมากค่ะ
ยิ่งฟังยิ่งใช่ค่ะ
EQ เหมือนง่ายแต่ฝึกยากนะครับ บางคนคิดว่าตัวเองมี EQ เพราะคิดว่ารู้จักคนอื่นดี (คิดเอาเอง) แต่กลับไม่รู้จักตัวเองเลย สุดท้ายก็กลายเป็น E-โก้ ไปซะแทน
จริงๆ EQ เป็นไปตามหลักพุทธศาสนาเลยครับ แค่มันเป็นศัพท์ทางหลักของตะวันตกเท่านั้นเอง การฝึกฝนทำได้โดยการคิดอย่างเป็นเหต-เป็นผล บ่อยๆ ซ้ำๆๆ และที่สำคัญต้องเรียนรู้ตัวเองให้มากกว่าเรียนรู้คนอื่น เพราะถ้าเรารู้จักตัวเองมากเท่าไหร่ มันก็จะไม่ยากที่จะรู้จักคนอื่น อารมณ์ของคนอื่น ซึ่งเมื่อรู้จักดีแล้ว เราถึงจะเรียนรู้วิธีจัดการกับอารมณ์นั้นๆ
ตรงตามหลักพุทธศาสนาเลยครับ นั่นคือ การเรียนรู้ตัวเอง ภายในตัวเอง ภายในจิตของตัวเอง ด้วยเหตุและผล นี่จึงเป็นที่มาว่า ทำไมพระพุทธเจ้าจึงรับรู้ถึงสภาวะจิตของบุคคลอื่นๆ ได้ และเลือกที่ใช้คำสอนและบทสนทนาที่แตกต่างกันไปนั่นเอง!! / ฉะนั้น ถ้าเข้าใจหลักการแล้ว ก็ลองไปฝึกกันดูครับ
และที่สำคัญ ในเมื่อเรารู้แล้วว่า EQ คือทางเดียวกับหลักพุทธศาสนาซึ่งเป็นทางเอก ฉะนั้น ทางตรงข้ามกับหลักธรรม ก็คือ กิเลสและความเห็นแก่ตัว.......ฉะนั้น อย่าแปลกใจที่คนที่มี EQ ต่ำ มักจะคิดถึงแต่ตัวเอง เอาแต่ใจตัวเอง เอาแต่ประโยชน์ตัวเอง เอาแต่ความคิดของตัวเอง และสุดท้ายก็อาจเป็นเหตุให้ต้องไปทำร้ายผู้อื่น ทำร้ายตนเอง ทำร้ายจิตใจคนรอบข้าง ด้วยโทษแต่ว่าคนอื่นทำให้เป็นแบบนั้น แบบนี้......
กิเลส จึงเป็น ตัวที่ทำลาย EQ นั่นเอง หากอ้างอิงตามที่ได้กล่าวมานี้ / จบ
ขอขอบคุณ คุณแวนมากๆเลยครับ ดีมีประโยชน์จริงๆครับ โดยเฉพาะผม ดีต่อใจจริงๆครับ🙏❤️😍
ชอบมากสำหรับEPนี้ ฟังครั้งแรกเลยครับ เหมือนได้วัดผลกับตัวเองไปด้วย
เราจะได้เป็นลูกค้าแมรี่แล้วล่ะนะ เพื่อลูก ทำได้ทุกอย่างค่ะ ขอบคุณค่ะ
เริ่มไม่เหลือใครเพราะคนที่เราคบยังไม่จักปรับเปลี่ยน ควบคุมตัวเองผมบอกได้เลยว่ามันเหนื่อยและที่หนักกว่านั้นคือความรู้สึกถ้ามันทำให้เสียใจมันจะทำให้เราไม่สบายแต่มันเกือบตาย
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆ ตรงกับผมหมดเลยครับ ผมขนลุกมาก ปกติ ไม่ค่อยหาอะไรแบบนี้ดู แต่ผมชอบอ่านหนังสือจิตวิทยาครับ
รู้สึกกับคำที่เขาดูถูกเราว่าเราจนเขาไม่คบกับคฯลฯ...ขอบใจมาก..
ได้ความรู้และประโยชมากครับ❤❤
ขอบคุณมากๆนะคับ คุณแวน สาระดีๆมีประโยชน์มากๆเลยคับ
ขอบคุณมากๆค่ะสำหรับจิตวิทยาที่น่าสนใจ และนำไปใช้ได้ในชีวิต ขอบคุณ ๆ ๆ
ยินดีมาก ๆ ค่ะ ขอบคุณที่ติดตามนะคะ
ขอบคุณมากค่ะคุณแวนสำหรับข้อมูลดีๆติดตามต่อค่ะ. ฟังแล้วใด้ความรู้ดีค่ะ. แชร์แล้วค่ะ
คือหนูอายุ11ค่าซึ่งหนูเป็นเหมือนที่คุนพูดค่าคือหนูเป็นคนที่ปรับตัวเข้ากับคนอื่นได้เร็วมากๆเเต่หนูเรียนก้มีเเต่คนมาถามอยากมีเเต่คนอยากทำงานด้วยเพราะว่าหนูทำงานเสร็จตลอดเเยกเเยะออกว่าควรทำอะไรก่อนเเละหนูมีความสามารถนี้มาตั้งเเต่เด็กเเล้วค่าคือหนูสามารถดูคนออกค่าว่าคนนี้นิสัยยังไงเค้าโกหกหรือพูดจิง เเละเค้ารู้สึกยังไง สามารถบอกได้อีกด้วยว่าตอนนี้รู้สึกเเบบนี้ใช่มั้ย เเละก้มีเเต่คนบอกว่าหนูนิสัยเหมือนผู้ใหญ่ค่ามีเหตุผลตลอดชอบพูดถึงหลักการความเป็นจริง หนูเป็นที่ใจเย็นมากค่า ไม่ได้ยอมคนนะเเต่เเค่คิดว่ามันไรสาระค่า เเบบเช่นถ้ามีคนมาตีหนู33ครั้งหนูตีเค้าเบาๆเเค่3ครั้งนะจะไม่ค่อยเอาคืนนะมันเด็กไปนะ เเล้วก้ำารมาวิ่งไล่ตีกันอ่ะอันนี้ก้ยิ่งไร้สาระเลยค่า วิ่งทำไมค่าเหนื่อยด้วย เอาเวลาอ่ะหนูคิดว่ามาทำคะเเนะของตัวเองให้ดีดีกว่าพ่อเเม่จะได้ไม่เสียใจค่า😊
ขอบคุณแวนมากมายครับ นำไปใข้ได้จริงทันทีในชีวิตประจำวัน
ขอบคุณความคิดดีๆนะครับ
Coachคะ ช่วยทำคลิปสอนพวกที่ชอบตามยุ่งเรื่องคนอื่น อธิเช่น ตามแฮคมือถือ แฮคการติดต่อกับผู้คน หน่อยคะ คนพวกนี้เค้าเสพติดการstalkerคนอื่นแล้วทำให้ตัวเองรู้สึกยังมีคุณค่าในชีวิตหรือเปล่าคะ รู้สึกว่าตัวเองได้ออกคำสั่งคนรอบข้างให้ทำตามที่สั่ง คนเหล่านี้เค้าคลั่งอำนาจที่ได้ควบคุมชีวิตครอื่นแทนที่จะโฟกัสชีวิตตัวเองหรือเปล่าคะ ขอบคุณคะ
ขอบคุณความรู้ดีๆ ครับ✌🙏🙏
คลิปนี้มีประโยชน์..ดีมากๆค่ะ❤❤❤❤❤
ขอบคุณค่ะชอบ,มีปัญหากับลูกน้องที่ทำงานร่วมกันทางอารมณ์ควรแก้ไขอย่างไรเช่นบอกเค้าว่าทำแบบนี้นะเค้าบอกว่าทำเป็นแล้วเพราะแต่ละที่ทำงานไม่เหมือนกันก็บอกเค้าแล้วควรบอกเค้าอย่างไรดีกับคนแบบนี้ค่ะ
Thank you👏👏👏🌺❤️สาระดีมากๆค่ะ
ขอบคุณค่า
ระดับกำลังสติทวนย้อนกลับถึงต้นทาง (ยังไม่ย้อนสุดทางนะ และไม่แจกแจงองค์ประกอบเยอะนะครับเพราะมีรายละเอียดปลีกย่อยมาก)
แค่เทียบเคียงเพื่อความเข้าใจ
1 รู้สึกตัวเมื่อเกิดอาการทางกายภาพ เช่นเคลื่อนไหว มีน้ำตา หน้าแดง ตัวสั่น กล้ามเนื้อเกร็ง | คนส่วนใหญ่ทำได้อยู่แล้ว แต่คนสมาธิสั้น คนซึมเศร้าทำไม่ค่อยได้
2 รู้สึกตัวเมื่อเกิดอาการมีอารมณ์หยาบ เช่นดีใจเสียใจ | บางคนเผลอสติออกอาการ แต่ก็มีคนทำได้เยอะ
3 รู้สึกตัวเมื่อเกิดอาการมีอารมณ์ลึก เช่นพอใจไม่พอใจเฉยๆ | คนทำได้มีน้อย ส่วนใหญ่สติตามไม่ทันแล้วเผลอออกอาการดีใจเสียใจตามมา
4 รู้สึกตัวเมื่อเกิดอาการตัดสิน เช่นเห็นด้วยไม่เห็นด้วย | คนทำได้มีน้อย อย่างเก่งก็ไปรู้สึกตัวเอาตอนที่กำลังพอใจไม่พอใจเลยรวดเดียว
5 รู้สึกตัวเมื่อเกิดอาการคิดชั่งน้ำหนักวิเคราะห์ เช่น เปรียบเทียบชั่งน้ำหนักให้ค่าให้ราคาในเรื่องนั้นเรื่องนี้ | คนทำได้มีน้อย อย่างเก่งก็ไปรู้สึกตัวเอาตอนที่กำลังพอใจไม่พอใจเลยรวดเดียว
6 รู้สึกตัวเมื่อเกิดอาการตั้งเจตนา เช่นต้องการจะทำอย่างนั้นอย่างนี้ ด้วยจุดประสงค์อย่างนั้นอย่างนี้ | คนทำได้มีน้อย อย่างเก่งก็ไปรู้สึกตัวเอาตอนที่กำลังพอใจไม่พอใจเลยรวดเดียว
7 รู้สึกตัวเมื่อเกิดอาการนึก เช่นรู้จักว่าสิ่งที่กำลังรับรู้คือสิ่งนั้นสิ่งนี้ | คนทำได้มีน้อย อย่างเก่งก็ไปรู้สึกตัวเอาตอนที่กำลังพอใจไม่พอใจเลยรวดเดียว
8 รู้สึกตัวเมื่อเกิดอาการรับสัญญาณประสาท และ อาการใช้ความจำเก่า เช่นรู้สึกอาการสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นดับไป (ก่อนจะแยกแยะได้ว่าเป็น รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส และธรรมารมณ์ โดยข้อ 7)
9 ยังมีระดับกำลังสติที่มนุษย์สามารถฝึกให้ละเอียดว่องไวได้มากกว่าข้อ 8
* แต่จะไม่อธิบายเกินข้อ 8 เพราะแค่ข้อ 5 ซึ่งดูเหมือนเป็นกำลังสติที่ไม่ห่างไปจากระดับอื่นๆมากนักน่าจะฝึกกันได้ คนส่วนใหญ่ก็คิดไม่ออกแล้ว
1 คิดว่าจะเลิกคิดก็คือการคิดซ้ำไปอีกรอบ ไม่ใช่การเลิกคิดอย่างที่คิดเอาเอง
2 เมื่อคิดว่าจะลืมเรื่องไหนก็คือกำลังจำเรื่องนั้นซ้ำไปอีกรอบ ไม่ใช่การลืมอย่างที่คิดเอาเอง
3 เมื่อคิดว่าไม่รู้จักสิ่งไหนก็รู้จักสิ่งนั้นไปแล้ว เพราะถ้าไม่รู้ว่าแตกต่างจากสิ่งอื่นอย่างไรแล้วจะแยกแยะว่ารู้จักหรือไม่รู้จักได้อย่างไร
* ดังนั้น คนส่วนใหญ่ที่ใช้ตรรกะเหตุผลตัดสินเรื่องราวต่างๆ ก็ยังหลงอยู่ในอาการคิด ตกเป็นทาสอาการคิด มีคนเพียงส่วนน้อยที่สติตื่นตัวจนออกจากอาการคิดได้
แต่วิถีชีวิตประจำวันก็ยังต้องพึ่งพาอาการคิดอยู่ดี เพียงแต่คิดเท่าที่จำเป็น ไม่ค่อยคิดเพ้อเจ้อฟุ้งซ่าน ไม่เผลอ ไม่เพลิน ไม่อิน ไม่ลุ้น จึงสงบสุข
OMG😮😯😲
เอาตรงๆ
คลิปนี้ background ของ Admin ทำให้ผมอยากฝากตัวเป็นลูกศิษย์เลยอาจารย์
คุณคือต้นแบบที่ดีมากของฉันค่ะ
ข้อ1กับข้อ7ผมอัพมาLevel max เลย
ผมสามารถประเมินตัวเองได้ คนที่ประเมินตัวเองไม่ได้พวกที่เป็นจิตเวชครับ
ไม่สามารถแก่ไขได้เพราะ มีแต่ไดโนเสาร์ การใช้ชีวิตไม่สามารถพัฒนาได้ดีเพราะสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดี มีความโลภ มีความหลง มีความโกรธ ไม่เคยเห็นใครควบคุมได้ แม้แต่พระ และชาวบ้าน
เพราะไม่เคยคิดว่าตัวเองพิด คิดว่าตัวเองถูกเสมอ เพราะมนุษย์มีปัญหาแตกต่างกัน อยู่ที่การเปิดใจและรับฟัง
ฟังวิทยากรพูดไพเราะสวยด้วยได้สาระ ความรู้ดีมาก อารมณ์ดีอยากอยุ่ใก้ลเลย ครับ
ใช่ครับคนที่ฉลาดหรืออัจฉะริยะจะใช้คำพูดของคนอื่นมาใช้ให้เป็นประโยชของตัวเองแบบชาญฉลาด โดยที่คู่สนทนากับเราเค้าไม่รู้เรื่องว่าเรากำลังใช้ประโยชจากคำพูดของเค้าอยู่
หนูเองเป็นทุกข้อจ้า อิอิ ปลงทุกอย่างมีสติทุกวินาทีก็ว่าได้ 😊😊
ผมเข้าใจแล้วครับ ขอขอบพระคุณที่เตือนสติผมครับ
มีคนหลายประเภทแบบผมรู้สึกว่าเขาพยายามทำให้ผมโมโหอ่ะ อย่างเช่นคู่นี้ผมตอบผิดนิดตอบผิดหน่อยก็ไม่ได้ถ้าผมผิดหลายรอบเกินเขาก็จะโมโหครับเขาก็จะตวาดใส่ผมเลย ทำให้ผมคิดในใจว่าไม่รู้ว่าคนแบบนี้เขามาเป็นครูได้ยังไง การเป็นครูนี่จะต้องมี EQ สูงมากๆสามารถรับรู้อารมณ์ตัวเองและผู้อื่นได้ไม่ใช่มีแค่ไอคิวอย่างเดียวครับยิงเด็กประถมอนุบาลหรือเด็กที่มีบกพร่องทางด้านสติปัญญาไม่ควรทำเด็ดขาดต้องคิดวิเคราะห์ก่อนเขาบกพร่องทางด้านสติปัญญาไหม เราจะได้หาทางแก้ให้เขาถูกครับ ใครมันมาดูถูกผมในใจผมก็คิดว่าสักวันนะสักวันเหอะผมจะพิสูจน์ให้ดู อะไรประมาณนี้ครับ เวลาผมเจอคนโง่ผมก็ทำตัวโง่ตาม อันนี้คือผมเป็นคนที่เอาตัวรอดเก่งด้วย บางทีผมก็เข้าสังคมบ้างครับแล้วคอยดูนิสัยของแต่ละคนครับว่าควรจะเอามาครบไหม บางทีก็เอาของมีค่ามาหลอกล่อ ถ้ามองดูว่าคนนั้นเป็นคนดีเราก็ให้ ถ้าคนนั้นเป็นคนไม่ดีผมก็ทำเป็นเมินใส่ไม่ให้เลย ในโลกใบนี้ต่อให้ฉลาดแค่ไหนก็อยู่ยากอยู่ดีครับ ผมเป็นคนที่คิดรอบคอบมากเกินไปก็เลยทำให้ผมใช้ชีวิตไม่มีความสุขเลยครับ ผมเป็นคนกลัวทุกสิ่งทุกอย่างไปหมด ผมจะเอาเวลามาอยู่กับตัวเองมากกว่าครับ เพราะผมเชื่อมั่นในตนเองครับ ตัวเองนี่แหละจะพาตัวเองไปในทางที่ดีครับ ผมจะไม่คิดว่าใครเหนือกว่าเด็ดขาดเพราะผมเชื่อว่าเป็นนิสัยของคนโง่ที่ชอบอวดฉลาด ในหัวของผมจะต้องมีสิ่งใหม่ๆเข้ามาตลอดเวลา เหมือนไอน์สไตน์ครับ ข่าวมีนิสัยถ่อมตนมากๆ เขาสามารถคิดค้นทฤษฎีสัมพันธภาพได้ อย่าง E=mc^2 ผมสามารถเข้าใจมันได้ครับ โดยที่ไม่ต้องเรียนที่ไหนครับ ผมก็นำสิ่งของรอบตัวมาทดลองครับ ในความคิดผมผมรู้สึกว่ามีคนที่ฉลาดกว่าผมเต็มไปหมด
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอพูดเป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเยี่ยมที่ใจเธอเข้าสู่พระธรรมของพุทธเจ้า
หนูรู้สึกEQแย่ควบไม่ได้ เพราะเกี่ยวกับโรคซึมเศร้าหรือป่าวค่ะ
เป็นไปได้ค่ะ แต่สามารถฝึกฝนในการรู้ทันอารมณ์และควบคุมได้นะคะ
ลองไม่ทำอะไรเติมๆที่มันทำให้พฤติกรรมเราไม่เปลี่ยนหรือคิดแต่เรื่องเศร้า ต้องหากิจกรรมทำ เช่นฟังเพลงออกกำลังกายออกกำลังกายนี้จะดีมากเลย เปิดใจเรียนรู้สิ่งใหม่ๆมันจะไม่ต้องเศร้าครับ(วิธีแบบผม)
ฟังแล้วดีมากค่ะแชร์ให้คนรอบข้าง ครอบครัว แล้วค่ะ
ขอบคุณความรู้ดีๆ อยากให้ทุกคนได้ฟัง
รู้สึกว่างเหมือนได้อ่านพระไตรปิดกที่เปิดมาไม่มีแม้ตัวหนังสือสักตัวนั่นคือการเข้าใจสภาวะจิตใจตัวเองว่าที่เราเดินทางมามันคือธรรมมะคือธรรมดาแม้แต่สังขารเรายังวางไว้และหันทามองมันก็คือสิ่งที่ไม่เที่ยงเห็นแต่ฝุ่นธุลีที่ทับถมไม่รู้กี่ภพกี่ชาติกระดูกทับถมสูงเทียบภูเขา.สติ.
ขอบพระคุณท่านอาจารย์แวนมากค่ะ 🙏
เนื้อหามีสาระและมีประโยชน์ดีมากค่ะ
ขอบคุณค่ะอาจารย์...ดีมากๆเลยค่ะ
ขอบคุณค่า ^^
ขอบคุณครับ
ขอบคุณ ที่มีสิ่งดีๆไห้ชมสิ่งนี้มีประโยชน์สำหรับชีวิตประจำวัน
ดีจริงๆ
เสียใจค่ะ.ต้องฉลาดทางอารมณ์ฟังคลิปดีๆค่ะฟังธรรมมะและคลิปให้กำลังใจค่ะขอบ.คุณค่ะคำบรรยายดีๆค่ะ
อยากได้วิธีจัดการอารมณ์ บางครั้งคุมความรู้สึกไม่ได้
ผมชอบฟัง มุมมองคนอื่นเพื่อมาปรับใช้ในชีวิต🙃
ขอบพระคุณครับสำหรับความรู้ดีๆ🙏
Very nice 👍ยอดเยี่ยมมากค่ะ🙏🙂🥳🙂🎉😊🎉😊🎉🙏
โห นี้ผมEQสูงขนาดนั้นเลยหรอเนี้ย เวอร์เกินไปละ มีทุกข้อเลย555
เหมือนอารมเราตอนเมื่อ 1ชั่วโมงก่อนเลย ดีนะที่ไม่เจอ ไม่งั้นมีดับไปข้างหนึ่ง
ได้ฟังแล้วสุขภาพจิตดี
คำเตือน
ผู้ที่มีอาการสมาธิสั้นและซึมเศร้า ไม่แนะนำให้ฝึกสมาธิครับ
เพราะสติไม่สามารถจดจ่อกับเรื่องใดได้นาน และแม้มีเรื่องที่จดจ่อก็เป็นอาการไหลไปตามอารมณ์คือมิจฉาสมาธิ ไม่ใช่จดจ่ออย่างสติตื่นตัวรู้สึกตัวซึ่งเป็นสัมมาสมาธิ
เวลานั่งสมาธิจึงไม่ได้ผลเลย และถ้าเข้าสมาธิได้บ้างอาจเกิดความเสียหายต่อจิตใจได้ด้วย
1 คนป่วยอาการโคม่า เทคยาก่อนครับ รักษาทางกายภาพให้อาการสงบไปก่อนครับ
2 เมื่ออาการดีขึ้น สามารถดูแลตัวเองได้ ทำกิจวัตรประจำวันได้เองแทบหมดแล้ว แต่ยังมีอาการซึมเศร้าในอารมณ์ ให้ถือศีลเพื่อปรับสภาพจิตใจให้เอื้อต่อการฝึกเจริญสติครับ อันนี้เหมือนพ้นจากโคม่าระยะหนึ่งก็จะดีขึ้น แต่ยังไม่คล่องตัวครับ การถือศีลทางพุทธ เราใช้เจตนาเป็นหลักครับ แต่ละการกระทำอาจพลาดพลั้งไปบ้าง เช่นเดินเหยียบหอยทากตายอะไรงี้
เรามีแค่เจตนาเดิน ไม่มีเจตนาฆ่า ก็ใช้ได้แล้วครับ หอยก็มีกรรมของเขาที่ต้องรับวิบากกรรมนะครับ เราอาจต้องแก้ไขเช่นเดินทางอื่น หรือเดินช้าลง แต่ถ้าโทษตัวเองทุกเรื่องทั้งที่ไร้เจตนาฆ่า ก็แสดงว่ายังไม่เข้าใจเรื่องศีลครับ ปกติคือ ถ้ามีเจตนาดีต่อตนเองและผู้อื่น ไม่มีเจตนาเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น ก็ใช้ได้ครับ
3 การฝึกเจริญสติพื้นฐานก็เปรียบการทำกายภาพบำบัดทางจิตนะครับ
ฝึกเจริญสติ โดยรู้สึกตัวบ่อยๆว่า ร่างกายแขนขาเราอยู่เคลื่อนไหวอย่างไร
ยืน เหยียบ ยก ย่าง เดิน นั่ง นอน หยิบ จับ กิน เคี้ยว กลืน เอื้อม เอน ขยับ แขน ขา มือ หัน อะไรต่างๆ ทุกอิริยาบถฝึกรู้สึกตัวตามร่างกายไปเลยครับ
เพื่อจะได้ตัดตอนอาการคิดที่หลงในอารมณ์ต่างๆให้ขาดช่วง กลับมามีสติ รับรู้อาการของร่างกายเป็นปัจจุบันแทนนะครับ
อาจจะตั้งนาฬิกาโทรศัพท์เตือน เช่น ทุกสิบนาที แล้วก็ตัดอาการคิด เลิกไหลไปตามอารมณ์ กลับมาต้องรู้สึกตัวก่อนหละ
4 การฝึกเจริญสติได้เอง ก็เปรียบการหัดออกกำลังกายทางจิตนะครับ พอทำได้ดีขึ้นหน่อย คือสามารถรู้สึกตัวได้เองตามความเคยชินโดยไม่ต้องใช้นาฬิกาแล้ว อันนี้คือ ไกล้เคียงคนทั่วไปก็ใช้ การเจริญสติให้ละเอียดกว่าเดิมไปอีกก็ฝึกให้ถี่ขึ้นกว่าเดิม คือทำจนเกิดอาการรู้สึกตัวได้สดๆ ทุกนาทีเลยครับ อาจต้องใช้เวลา สองสามเดือนหรือถึงปีเลย ถ้าทำได้ถึงตอนนี้ กำลังสติก็ดีกว่าคนทั่วไปเสียอีกนะครับ
5 การฝึกเจริญสมาธิก็เปรียบการแข่งขันกีฬาทางจิตนะครับ
ถ้าให้คนคนสมาธิสั้นและซึมเศร้า ฝึก ก็เท่ากับเอาคนไข้อาการโคม่ามาลงแข่งขันเล่นกีฬามันไม่ได้เลยนะครับ นอกจากไม่ได้ผลแล้วยังจะเสียหายไปอีก ใครแนะนำก็อย่าไปเชื่อครับ
(ถ้าจะฝึกสมาธิต้องเทคยาและฝึกเจริญสติไปก่อนก็เพื่อปูพื้นฐานและฝึกซ้อมเบาๆไงครับ ขนาดคนปกติส่วนใหญ่ จู่ๆไปนั่งสมาธิก็ฝึกสมาธิไม่ได้ผลนะครับ ยังต้องปูพื้นฐานเจริญสติก่อนอยู่ดีนะครับ ถ้าสามารถรักษาศีลฝึกเจริญสติมาได้จนเกิดอาการรู้สึกตัวสดๆได้ทุกนาที ก็ฝึกต่อไปให้รู้สึกตัวได้สดๆทุกลมหายใจ ควบคู่ไปกับการฝึกเจริญสมาธิได้เลยครับ เพราะถ้ากำลังสติไวขนาดนั้นก็มาหัดเล่นกีฬาทางจิตได้แล้วนะครับ
ได้ความรู้เยอะมากๆครับ ขอบพระคุณครับ 🙏
ขอบคุณครับมีประโยชน์มากๆเลยครับ
ขอบคุณข้อมูลดีๆผมจะเริ่มฝึก
ขอบคุณครับมีประโยชน์และฝึกฝนอารมณ์ตัวเองใด้อย่างดีครับ
อารมณ์ ของคน จิตของตนเอง "สังขาร"ขึ้น แล้ว มันจะเป็น ตัวการ=เหตุปัจจัย สร้าง=สังขาร อารมณ์/จิตวิญญาณ ต่อเนื่อง=สันตติ = เป็น พลังชีวิต ปัจจุบัน เราจะเอาหลัก/รู้ เรื่อง จิต+อารมณ์ แนว"พุทธะธรรม" หรือ เอาจิตวิทยาตะวันตก/ซอกมันฟรอยด์ คนใช้จิต "รู้ จำ รู้สึก คิดปรุงแต่ง" แค่คนให้ จิต/ขันธ์๕ ระดับสามัญชน /ใช้จิต ตามสัญชาติญาณ การคิด/ควบคุมอารมณ์ ก็ เป็น "กุศล+อกุศล+กลางๆ" แต่ส่วนใหญ่ ไปทาง "กุศล หรือ อกุศล เป็นส่วนใหญ่ๆ" เป็น "กลาง/อุเบกขา น้อย" คนอัจฉริยะ/บางคน เกิดมาก็ มีจิต/อารมณ์ ดีอัตโนมัติ พุทธะ ให้ พีฒนา จิต ยกระดับ ธรรมารมณ์ ด้วย"ฌาน และ ญาณทัศนะ" =ปัญญา เป็น อาหารชอง จิต =วิญญานาหาร คนอารมณ์หวั่นไหว/ปั่นป่วน เป็นตามพลังจิตอัตโนมัติ ความรู้สึกจากจิตสำนึก/วิถีจิต ควบคุม "จิต/อารมณ์ ตน "ไม่ได้ ต้องใช้ "จิต +พลัง สติ สมาธิ" ที่ฝึกดีแล้ว/หรือคน มี"อกุศลกรรม" เบาบาง สำนึกของจิต "เร็ว รู้ทัน อารมณ์=จิต=ควบคุมจิต" อัตโนมัติ จาก จิตภายใน/จิตใต้สำนึก? มันทำของมันเอง อัตโนมัติ จากจิตฝึกได้ การ พีฒนา "ฌาน และ ญาณ" ไม่จำเป็นต้อง นั่งสมาธิให้ กายนิ่ง จิตนิ่ง ขณะกายไม่นิ่ง /ต้องทำงาน มีสมธิ+สติ ไม่หวั่นไหว คือเป้าหมาย การพัฒนาจิต/อารมณ์คน ? หลักการพัฒนา จิต+อารมณ์ พุทธธรรม แน่นอนกว่า จิตวิทยาตะวันตก?
สรุปให้สั้นหน่อยครับ
หลายๆคนในสมัยนี้ควบคุมอารมณ์อย่างหนึ่งไม่ค่อยจะได้นั่นคืออารมณ์ อาจจจ...ครับ ผัวแอบมีเมียน้อยแอบมีเด็ก เมียแอบมีชู้ ขาดศีลธรรมกันเยอะยุคนี้ น่ากลัวครับ
ดีมากครับ.ใช้วิเคราะห์ตนเองได้อย่างดีครับ.
พูดได้ดีมากครับ
หนูมีทุกข้อค่ะ
เยี่ยมค่ะ
❤️❤️ขอบคุณมากค่ะ
I understood everything you had said and thank you. The only one thing that you said wrong was instead IQ you had said EQ that's all. Thanks so much for the good advices and concepts tho, sister.
บรรยายได้สุดยอดมากคับ
ขอบคุณครับ มีประโยชน์มากครับ
คนพูดโคตรน่ารักมีเสน่ห์มากกกกด
ทำได้9ข้อจาก10ข้อค่ะ สำหรับการซี้อของนี่คิดอยากได้ข้อนี่ยังไม่เต็ม100เพราะบางทีคิดไปคิดมาก็เลยไม่ซื้อแต่บางครั้งก็หลุดเหมือนกันค่ะ
เอ้าผมเป็นทุกข้อเฉย แต่ไอคิวไม่ค่อยเท่าไหร่
ดีดีมากครับขอบคุณครับ
กดติดตามและแชร์แล้วค่ะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ สำหรับคลิปดีมีประโยชน์ต่อผู้คน
ฟังแล้วเครียดหนีกเลยครับ เนื้อหากับอารมณ์ผู้พูดหนักแน่นมากถึงแม้จะยิ้ม แต่ชอบนะ เพิ่มความรู้ขึ้นมาก กำลังคิดดว่าตัวเองที่ตอนนี้ต้องมานั่งหาสิ่งที่จะช่วยให้อารมณ์ดีขึ้นเนี่ย กำลังเป็นโรคซึมเศร้าใช่มั้ย 55555
ระดับกำลังสติทวนย้อนกลับถึงต้นทาง (ยังไม่ย้อนสุดทางนะ และไม่แจกแจงองค์ประกอบเยอะนะครับเพราะมีรายละเอียดปลีกย่อยมาก)
แค่เทียบเคียงเพื่อความเข้าใจ
1 รู้สึกตัวเมื่อเกิดอาการทางกายภาพ เช่นเคลื่อนไหว มีน้ำตา หน้าแดง ตัวสั่น กล้ามเนื้อเกร็ง | คนส่วนใหญ่ทำได้อยู่แล้ว แต่คนสมาธิสั้น คนซึมเศร้าทำไม่ค่อยได้
2 รู้สึกตัวเมื่อเกิดอาการมีอารมณ์หยาบ เช่นดีใจเสียใจ | บางคนเผลอสติออกอาการ แต่ก็มีคนทำได้เยอะ
3 รู้สึกตัวเมื่อเกิดอาการมีอารมณ์ลึก เช่นพอใจไม่พอใจเฉยๆ | คนทำได้มีน้อย ส่วนใหญ่สติตามไม่ทันแล้วเผลอออกอาการดีใจเสียใจตามมา
4 รู้สึกตัวเมื่อเกิดอาการตัดสิน เช่นเห็นด้วยไม่เห็นด้วย | คนทำได้มีน้อย อย่างเก่งก็ไปรู้สึกตัวเอาตอนที่กำลังพอใจไม่พอใจเลยรวดเดียว
5 รู้สึกตัวเมื่อเกิดอาการคิดชั่งน้ำหนักวิเคราะห์ เช่น เปรียบเทียบชั่งน้ำหนักให้ค่าให้ราคาในเรื่องนั้นเรื่องนี้ | คนทำได้มีน้อย อย่างเก่งก็ไปรู้สึกตัวเอาตอนที่กำลังพอใจไม่พอใจเลยรวดเดียว
6 รู้สึกตัวเมื่อเกิดอาการตั้งเจตนา เช่นต้องการจะทำอย่างนั้นอย่างนี้ ด้วยจุดประสงค์อย่างนั้นอย่างนี้ | คนทำได้มีน้อย อย่างเก่งก็ไปรู้สึกตัวเอาตอนที่กำลังพอใจไม่พอใจเลยรวดเดียว
7 รู้สึกตัวเมื่อเกิดอาการนึก เช่นรู้จักว่าสิ่งที่กำลังรับรู้คือสิ่งนั้นสิ่งนี้ | คนทำได้มีน้อย อย่างเก่งก็ไปรู้สึกตัวเอาตอนที่กำลังพอใจไม่พอใจเลยรวดเดียว
8 รู้สึกตัวเมื่อเกิดอาการรับสัญญาณประสาท และ อาการใช้ความจำเก่า เช่นรู้สึกอาการสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นดับไป (ก่อนจะแยกแยะได้ว่าเป็น รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส และธรรมารมณ์ โดยข้อ 7)
9 ยังมีระดับกำลังสติที่มนุษย์สามารถฝึกให้ละเอียดว่องไวได้มากกว่าข้อ 8
* แต่จะไม่อธิบายเกินข้อ 8 เพราะแค่ข้อ 5 ซึ่งดูเหมือนเป็นกำลังสติที่ไม่ห่างไปจากระดับอื่นๆมากนักน่าจะฝึกกันได้ คนส่วนใหญ่ก็คิดไม่ออกแล้ว
1 คิดว่าจะเลิกคิดก็คือการคิดซ้ำไปอีกรอบ ไม่ใช่การเลิกคิดอย่างที่คิดเอาเอง
2 เมื่อคิดว่าจะลืมเรื่องไหนก็คือกำลังจำเรื่องนั้นซ้ำไปอีกรอบ ไม่ใช่การลืมอย่างที่คิดเอาเอง
3 เมื่อคิดว่าไม่รู้จักสิ่งไหนก็รู้จักสิ่งนั้นไปแล้ว เพราะถ้าไม่รู้ว่าแตกต่างจากสิ่งอื่นอย่างไรแล้วจะแยกแยะว่ารู้จักหรือไม่รู้จักได้อย่างไร
* ดังนั้น คนส่วนใหญ่ที่ใช้ตรรกะเหตุผลตัดสินเรื่องราวต่างๆ ก็ยังหลงอยู่ในอาการคิด ตกเป็นทาสอาการคิด มีคนเพียงส่วนน้อยที่สติตื่นตัวจนออกจากอาการคิดได้
แต่วิถีชีวิตประจำวันก็ยังต้องพึ่งพาอาการคิดอยู่ดี เพียงแต่คิดเท่าที่จำเป็น ไม่ค่อยคิดเพ้อเจ้อฟุ้งซ่าน ไม่เผลอ ไม่เพลิน ไม่อิน ไม่ลุ้น จึงสงบสุข
* กำลังสติของคนทั่วไปมักแกว่งอยู่ในข้อ อยู่ในข้อ 1-3
* กำลังสติของคนทั่วไปที่บริหารอารมณ์ได้ดี มักแกว่งอยู่ในข้อ 2-4
* กำลังสติของคนส่วนน้อยที่บริหารอารมณ์ได้ดีมาก มักแกว่งอยู่ในข้อ 3-5
* กำลังสติของคนที่เริ่มฝึกถือศีล ฝึกเจริญสติ ฝึกเจริญสมาธิทั่วไป ถ้ายังทำได้ไม่ดี ก็แกว่งได้ตั้งแต่ 2- 5 แต่ขยันฝึกบ่อยๆก็ไม่ค่อยลงไปถึง 1
* กำลังสติของคนที่ฝึกถือศีล ฝึกเจริญสติ ฝึกเจริญสมาธิได้ผลถึงระดับหนึ่ง ถ้ายังทำได้ดี ก็แกว่งได้ตั้งแต่ 4- 7 แต่ไม่ค่อยลงไปถึง 3 หรือต่ำกว่านั้น เพราะใช้เหตุผลนำอารมณ์ไปแทบทุกเรื่องแล้ว (แต่ไม่ได้หมายความจะตัดสินใจได้ถูกต้องทุกเรื่องนะ ถ้าความรู้ไม่ถึง ประสบการณ์ไม่พอ ได้ข้อมูลตั้งต้นผิดพลาด ระดับความยากเกิน หรือสิ่งแวดล้อมไม่เอื้อ ก็ทำพังได้เป็นเรื่องปกติเลยนะครับ)
* แนะนำผู้ต้องการฝึกเจริญสมาธิ ถือศีลและฝึกเจริญสติให้ได้อย่างน้อยข้อ 4 เป็นหลัก คือช่วง 3-5 แล้วค่อยเริ่มฝึกนะครับ ถ้าได้ 4-6 นี่ดีเลย
* ถ้าสามารถฝึกเจริญสติ ให้รักษาอารมณ์จิตได้ถึงระดับ ข้อ 4-6 ทั้งวัน ต่อเนื่องกันทุกอาการคิด ไม่หลุดไม่ค่อยพลาด หลง เผลอ เพลินไปนอาการคิด
แม้จะเป็นอาการกำลังสติขั้นหยาบๆ แต่นั่นคือชั้นของอารมณ์ระดับอุปปจารสมาธินะครับ สามารถใช้เป็นพื้นฐานฝึกสมาธิขั้นสูงได้ดีมากๆครับ
* คนที่ฝึกเน้นถือเจริญสติจนได้ผลดี กำลังสติแกว่งได้ช่วงแคบๆ อาจจะ 3-4 ข้อ และไม่สามารถปรับกำลังสติให้ละเอียดกว่าเดิมแบบขึ้นลงได้
* ส่วนคนที่ฝึกเน้นด้านเจริญสมาธิจนได้ผลดี สามารถปรับกำลังสติของตนเองให้ขึ้นลงได้ กว้าง เช่นตอนทำงานทำการต้องขยับตัว คิดพูดจา ลงมือทำต่างๆ ก็ใช้กำลังสติที่ระดับ 4-7 แต่เมื่อต้องการพักผ่อนก็ทำสมาธิ เพิ่มความละเอียดของกำลังสติไปที่ระดับ 8 พอต้องทำงานต้องสื่อสารก็ลดระดับกำลังสติสลับมารับรู้โลกภายนอก
* ข้อ 8 คนที่ฝึกได้ก็มีส่วนน้อย ในกลุ่มคนที่ฝึกถูกวิธีก็ยังทำได้กันไม่ถึงครึ่งเพราะพื้นฐานทางจิตของเขาเอื้อได้สูงสูดแค่ระดับ 7 แต่ตราบใดที่ยังไม่ถึงระดับ 7 ก็อย่าเพิ่งคิดว่าตัวเองทำไม่ได้นะ
* ข้อ 8 เป็นสมาธิระดับสูงถึงฌาน1 คนทั่วไปนึกไม่ถึง คาดเดาไม่ได้ และไม่เข้าใจ เพราะอาการรู้สติในขั้นนี้ เกิดก่อนอาการคิด เกิดก่อนอาการนึก จึงใช้การคิดตรรกะต่างๆเข้าถึงไม่ได้ เปรียบเหมือนคนไม่เคยชิมรสเค็ม คนอื่นๆไม่ว่าจะเก่งแค่ไหนก็ไม่สามารถอ้างเหตุผลเพื่อสื่อสารอาการรู้รสเค็มให้แก่เขาได้ ถ้าจะทำให้เขาเข้าใจก็ต้องให้เขาฝึกพื้นฐานก่อน เช่นชิมเกลือ หรือชิมเหงื่อตัวเอง เป็นต้น เมื่อเขามีพื้นฐานแล้วจึงจะอธิบายให้เข้าใจได้
คำเตือน
ผู้ที่มีอาการสมาธิสั้นและซึมเศร้า ไม่แนะนำให้ฝึกสมาธิครับ
เพราะสติไม่สามารถจดจ่อกับเรื่องใดได้นาน และแม้มีเรื่องที่จดจ่อก็เป็นอาการไหลไปตามอารมณ์คือมิจฉาสมาธิ ไม่ใช่จดจ่ออย่างสติตื่นตัวรู้สึกตัวซึ่งเป็นสัมมาสมาธิ
เวลานั่งสมาธิจึงไม่ได้ผลเลย และถ้าเข้าสมาธิได้บ้างอาจเกิดความเสียหายต่อจิตใจได้ด้วย
1 คนป่วยอาการโคม่า เทคยาก่อนครับ รักษาทางกายภาพให้อาการสงบไปก่อนครับ
2 เมื่ออาการดีขึ้น สามารถดูแลตัวเองได้ ทำกิจวัตรประจำวันได้เองแทบหมดแล้ว แต่ยังมีอาการซึมเศร้าในอารมณ์ ให้ถือศีลเพื่อปรับสภาพจิตใจให้เอื้อต่อการฝึกเจริญสติครับ อันนี้เหมือนพ้นจากโคม่าระยะหนึ่งก็จะดีขึ้น แต่ยังไม่คล่องตัวครับ การถือศีลทางพุทธ เราใช้เจตนาเป็นหลักครับ แต่ละการกระทำอาจพลาดพลั้งไปบ้าง เช่นเดินเหยียบหอยทากตายอะไรงี้
เรามีแค่เจตนาเดิน ไม่มีเจตนาฆ่า ก็ใช้ได้แล้วครับ หอยก็มีกรรมของเขาที่ต้องรับวิบากกรรมนะครับ เราอาจต้องแก้ไขเช่นเดินทางอื่น หรือเดินช้าลง แต่ถ้าโทษตัวเองทุกเรื่องทั้งที่ไร้เจตนาฆ่า ก็แสดงว่ายังไม่เข้าใจเรื่องศีลครับ ปกติคือ ถ้ามีเจตนาดีต่อตนเองและผู้อื่น ไม่มีเจตนาเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น ก็ใช้ได้ครับ
3 การฝึกเจริญสติพื้นฐานก็เปรียบการทำกายภาพบำบัดทางจิตนะครับ
ฝึกเจริญสติ โดยรู้สึกตัวบ่อยๆว่า ร่างกายแขนขาเราอยู่เคลื่อนไหวอย่างไร
ยืน เหยียบ ยก ย่าง เดิน นั่ง นอน หยิบ จับ กิน เคี้ยว กลืน เอื้อม เอน ขยับ แขน ขา มือ หัน อะไรต่างๆ ทุกอิริยาบถฝึกรู้สึกตัวตามร่างกายไปเลยครับ
เพื่อจะได้ตัดตอนอาการคิดที่หลงในอารมณ์ต่างๆให้ขาดช่วง กลับมามีสติ รับรู้อาการของร่างกายเป็นปัจจุบันแทนนะครับ
อาจจะตั้งนาฬิกาโทรศัพท์เตือน เช่น ทุกสิบนาที แล้วก็ตัดอาการคิด เลิกไหลไปตามอารมณ์ กลับมาต้องรู้สึกตัวก่อนหละ
4 การฝึกเจริญสติได้เอง ก็เปรียบการหัดออกกำลังกายทางจิตนะครับ พอทำได้ดีขึ้นหน่อย คือสามารถรู้สึกตัวได้เองตามความเคยชินโดยไม่ต้องใช้นาฬิกาแล้ว อันนี้คือ ไกล้เคียงคนทั่วไปก็ใช้ การเจริญสติให้ละเอียดกว่าเดิมไปอีกก็ฝึกให้ถี่ขึ้นกว่าเดิม คือทำจนเกิดอาการรู้สึกตัวได้สดๆ ทุกนาทีเลยครับ อาจต้องใช้เวลา สองสามเดือนหรือถึงปีเลย ถ้าทำได้ถึงตอนนี้ กำลังสติก็ดีกว่าคนทั่วไปเสียอีกนะครับ
5 การฝึกเจริญสมาธิก็เปรียบการแข่งขันกีฬาทางจิตนะครับ
ถ้าให้คนคนสมาธิสั้นและซึมเศร้า ฝึก ก็เท่ากับเอาคนไข้อาการโคม่ามาลงแข่งขันเล่นกีฬามันไม่ได้เลยนะครับ นอกจากไม่ได้ผลแล้วยังจะเสียหายไปอีก ใครแนะนำก็อย่าไปเชื่อครับ
(ถ้าจะฝึกสมาธิต้องเทคยาและฝึกเจริญสติไปก่อนก็เพื่อปูพื้นฐานและฝึกซ้อมเบาๆไงครับ ขนาดคนปกติส่วนใหญ่ จู่ๆไปนั่งสมาธิก็ฝึกสมาธิไม่ได้ผลนะครับ ยังต้องปูพื้นฐานเจริญสติก่อนอยู่ดีนะครับ ถ้าสามารถรักษาศีลฝึกเจริญสติมาได้จนเกิดอาการรู้สึกตัวสดๆได้ทุกนาที ก็ฝึกต่อไปให้รู้สึกตัวได้สดๆทุกลมหายใจ ควบคู่ไปกับการฝึกเจริญสมาธิได้เลยครับ เพราะถ้ากำลังสติไวขนาดนั้นก็มาหัดเล่นกีฬาทางจิตได้แล้วนะครับ
ขอบคุณครับ อยากให้อาจารย์แนะนำหนังสือที่ชอบอ่านบ้างครับ ....
ได้เลยค่ะ คลิปหน้านะคะ ^^
@@ByPichawee ขอบคุณครับ ....
ถูกต้องเลยครับ😊😊❤❤
ฟังครั้งแรก
กดติดตามเลยครับ❤️
เนื้อหาดีมากครับ ขอบคุณสำหรับคำแนะนำดีดีครับ
PS.แต่อยากให้ลดการตัดภาพในคลิปทุกๆ 3 วินาทีอะครับ เหมือนดูแล้วภาพมันกระตุกอยู่ตลอดเวลาอะครับ พอพ้นข้อ 1 เลยฟังแต่เสียงอย่างเดียวเลยครับ
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์ค่ะ ต่อไปเราจะพยายามตัดให้น้อยที่สุดนะคะ
สาระดีมากๆ ขอบคุณครับ
ดีมากเลยค่ะชอบฟังค่ะ
ขอบคุณค่ะ ^^
ขอบคุณ ครับ
จากการที่เราได้ ศึกษา ความโกด
ของเรา เรามองว่า ความโกด
ของเรา เป็นอะไรที่ น่าขยะแขยงมากอี้😬😬😬ขนลุก
😬😬😬
ขอบคุณมากครับ
ครับขอบคุณ ....
หาเหตุเเละผล ตั้งใจรับฟังข้อมูลของเค้าและตอบโต้ถามคำถามเค้าไปบ้างเวลาเค้าพูดจบ
ชอบฟังมากๆจ้า
หรือพูดง่ายๆว่าคนที่มี EQ มีความ mature กว่าคนที่ไม่มี หรือมีต่ำ และทำอะไรตามอารมณ์ตัวเองเหมือนเด็ก
ขอบคุณนะคะ
น่าสงสารเขาเหล่านั้นมากแทนที่จะรังเกียจ ผมเคยสัมผัสกับคนเหล่านี้ ดูเขาจะเลี้ยงตัวเองให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีไม่ได้ สงสารครับ.บกพร่องทางสมองแน่นอนครับ.