Размер видео: 1280 X 720853 X 480640 X 360
Показать панель управления
Автовоспроизведение
Автоповтор
อยู่อเมริกา เจอแฟนคนอินเดียมาเรียน ป โท คบกัน 4 ปี พ่อแม่ให้กลับไปแต่งงาน ตอนแรกแฟนก็คิดจะคุยกับพ่อแม่ แต่พอกลับไปเยี่ยมบ้าน 1 เดือนแล้วก็กลับมาบอกว่า ไม่มีหวัง ทรยศพ่อแม่ไม่ได้จริง ๆ เพราะทางบ้านพ่อแม่ไม่ได้รวย แต่ยอมลำบากส่งเสียให้มาเรียนที่อเมริกา ถึงแม้ตัวเขาจะสอบชิงทุนมาได้แต่ค่าใช้จ่ายระหว่างเรียนก็เล่นเอาทางบ้านต้องขายบ้านในเมืองกลับไปอยู่หมู่บ้านเล็ก ๆ ที่เคยอยู่ ใช้ชีวิตอย่างประหยัดส่งลูกเรียนเพราะเป็นความหวังของครอบครัว เสียใจมากทั้งคู่ แต่ก็เลิกกันด้วยความเข้าใจ
เสียใจด้วยค่ะ จากที่อ่านแฟนคุณเป็นคนดีกตัญญูรู้คุณและไม่เห็นแก่ตัว
โกรธ ไม่ลงจริงๆ ไม่มีทางเลือก เข้าใจทั้งสองฝ่าย
พยายามทำใจอยุ่ค่ะ.😢😢
ตอนนี้กำลังทำใจอยู่ค่ะ
ฟังดูเป็นประเทศที่ปราศจากความรักไปเลยแฮะ ไม่ได้มีความเชื่อในความรัก มองการแต่งงานเป็นแค่ขั้นหนึ่งของชีวิตเหมือนเรียนจบ รับปริญญา ทำงาน อะไรแบบนี้ เราฟังแล้วดูน่าเศร้าแต่เขาคงทำกันมาจนคิดว่าการอยู่แบบไม่มีความรักเป็นเรื่องปกติ
อาจารย์ของผมมีเพื่อนชาวอินเดียที่แต่งงานแบบคลุมถุงชน และได้ถามถึงประเด็นแต่งงานแบบคลุมถุงชน ชาวอินเดียให้คำตอบว่า คนอินเดียส่วนมากจะสละความรู้สึกส่วนตัวที่จะหาความสุขกับความรัก เพื่อประโยชน์ของตระกูลที่จะต้องยกไว้ให้ยิ่งใหญ่กว่าตัวเขา หญิงหรือชายที่แต่งงานข้ามตระกูลเห็นได้ชัดว่าทำตามใจตัวเองไม่สนใจตระกูลหรือจารีตจึงถูกรังเกียจมาก
Wj¹
เคยถามแฟนที่เป็นฮินดู คำตอบที่ได้มาประมาณนี้เลยค่ะ i dont believe in love i believe in family
อีกปัจจัย 1ของการคุมถุงชน คือการคาดหวังของพ่อแม่นั้นเอง จึงทำให้มีการนอกใจน้อยมาก เพราะมีคนจับตามอและคาดหวัง ไม่ใช่แค่ คน2คน
พวกที่แต่งงานแบบคลุมถุงชน มันก็อยู่กันแต่ในกลุ่มหมู่บ้านนั้น คงไม่ไปอยู่ที่รัฐอื่นหรือจังหวัดอื่น สมมุติ จับแต่ง งานกันในรัฐทางเหนือ แล้วมาทำงานในเมืองหลวง (มุมใบ) ต่างคนต่างทำงาน เจอสังคมที่แตกต่างจากรัฐบ้านเกิด ความเป็นอยู่แตกต่างชนิดหน้ามือหลังมือ ผมว่า หากคู่นี้สาวสวย หนุ่มหล่อ มีโอกาสเจอคนที่ดีๆ เยอะมาก ทัศนคติต่อชีวิตที่คลุมถุงมากแน่นอน ผู้หญิงอาจเจอผู้ชายที่ใช้ชีวิตแบบสากล ให้เกียรติผู้หญิง และเขามีงานทำ หาเงินเองได้ ส่วนผู้ชายก็อาจยึดประเพณีเก่าแก่ที่บ้านเกิด ถือว่าผู้หญิงเป็นแค่ที่ระบายความยาก อีกอย่างทั้งสองคนไม่ได้รู้จักกันมาก่อน ไม่ถึงกับแบบตะวันตก หรือไทย เรา ที่บอกว่าเราต้องอยู่กันแบบผัวเมียเพื่อทดสอบเรื่องบนเตียงว่าเข้ากันได้ไหมสัก2-3ปี พอเบื่อ ค่อยหาใหม่
จริง สังคมของเขาจะเชื่อฟังพ่อแม่มาก และวนเวียนอยู่กับญาติๆวงศตระกูลพวกเขานั่นแหละ ถ้่าจะเลิกกันก็กลัวพ่อแม่ญาติพี่น้องขายหน้าอับอาย นี่มีเพืื่อนคนอินเดีย กับปากีสถาน ที่ถูกจับแต่งงานแบบนี้ ถามพวกเขาพวกว่าทำไมต้องยอม เขาบอกว่าเพราะพ่อแม่ย่อมเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูก พูดเหมือนวัยรุ่นในคลิปนี้เลย
คาดว่าสาเหตุที่คลุมถุงชนแบบอินเดียไปรอด เพราะความต่างทางวรรณะด้วยค่ะ เพราะวรรณะเดียวกันก็มีอะไรที่คล้ายๆกัน
มนุษย์ไม่คล้ายกันสิแปลก ไม่ได้เกิดออกมาสี่ตัวห้าบาทมีหลายแขน หลายขา แค่นิสัยใจคอหน้าที่การงาน มันเหมือนกันทุกคนแหละสันดานดิบคือหนึ่งในนั้น
ไม่ใช่หรอกคับ เพราะวัฒนธรรมเค้านั้นแหละ หากเป็นม่ายยิ่งกว่าไร้ค่าและผู้ชายเป็นใหญ่ จะเลิกก็มีปัญหามามากมายคับ ไม่ใช่เหมือนบ้านเราเข้ากันไม่ได้ก็เลิกหาใหม่ได้แบบง่ายๆ
คนที่โตมาต่างบริบทสังคมกัน บางคู่ก็ยากจะเข้ากันได้จริง แต่บางคู่ก็เข้ากันได้ หากมี mindset หรือ รสนิยมการใข้ชีวิตที่คล้ายๆกัน
@@lannastory1841 ล
@@phalangbai4x100 ใช่ค่ะ ถ้าเลิกกันและเป็นม่าย เขายอมทนแบบนั้นไปตลอดชีวิตดีกว่า เพราะมันเหมือนโดนรังเกียจไปเลย
ขอบคุณที่สร้างรายการแนวนี้มากๆค่ะ ได้เปิดมุมมองใหม่ๆรอบโลก รับรู้ถึงวัฒนธรรมและประเพณีที่ต่างกัน เลยอยากให้ทำรายการแบบนี้ตลอดไปเลยค่ะ
เราที่นึกว่าทุกคนรู้หมดแล้ว
ความเชื่อแบบนี้เปิดโลกเรามาก คิดไม่ออกเลยว่าถ้าพ่อแม่จับคลุมถุงชน เราจะระเบิดบ้านเละแค่ไหน😂
คิดว่าที่เขาคิดเเบบนี้กันมันก็ไ่ม่ผิดหรอก เพราะเขาถูกปลูกฝั่งมาอย่างนี้ ความเชื่อที่ถูกส่งต่อกันมามันลบล้างกันยาก เเต่ความรักมันไม่ได้มีไว้เพื่อสร้างครอบครัวอย่างเดียว มันมีไว้เพื่อให้เราไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยวหรือเป็นคนเดียวที่เข้าใจเราคนเดียวในโลก ชีวิตจะอยู่กับความไม่คาดหวังอะไรเลยมันยากเเม้จะถูกคลุมถุงชนก็ยังมีความคาดหวังอยู่ มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมาบอกว่า อยู่ด้วยกันเพราะไม่ได้คาดหวัง เเค่เราถูกจับคลุมถุงชน นั้นก็เป็นความคาดหวังของตัวพ่อเเม่เเล้ว
แต่ไหนแต่ไร การแต่งงานกับความรักเหมือนจะเป็นเรื่องเดียวกันแต่มันไม่ใช่ความรักเป็นเรื่องของคนสองคนการแต่งงานเป็นเรื่องของครอบครัวสองครอบครัวยิ่งการแต่งงานเกิดขึ้นในภาวะสังคมที่เคร่งครัดอย่างอินเดีย ไม่มีทางเลยที่ความรักจะสำคัญพอจะเป็นตัวตัดสินในการเลือก ความเหมาะสมทางสังคมต่างหากที่จะเลือกว่าจะแต่งกับใคร
สุดท้ายก็คือบังคับแต่ง คลอดลูก และล้นประเทศ ... งมงายแบบไร้อนาคต (อนาคตที่หมายถึงความสมดุลในการจัดสรรค์เพื่อบุคคลมีคุณภาพต่อการพัฒนาประเทศ)
@@tanakimpradit205 ในระบบวรรณะก็เป็นอย่างที่คุณว่าจริง แต่ถ้าพูดถึงประเด็นแต่งงานโดยใช้ความเหมาะเป็นเกณฑ์ละก็ พบเจอได้ทุกที่ค่ะ คนที่เติบโตมาในวิถีชีวิตใกล้เคียงกัน สามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันได้ง่ายกว่าคนที่เติบโตมาต่างกัน สถานะที่เสมอกันสามารถส่งเสริมชีวิตของกันและกันได้มากกว่า ความง่ายจะทำให้ชีวิตคู่ยืนยาว เมื่อใดที่คุณแต่งงานจากความรักเพียงอย่างเดียว ถ้าความรักมันไม่ได้เข้มข้นอีกต่อไป ต้องพบอุปสรรคมากมายและความจริงที่ว่าชีวิตคู่มันเหนื่อยจากความแตกต่างที่เข้ากันไม่ได้ รวมถึงข้อเสียต่างๆอีก อย่างที่บอกปฏิเสธไม่ได้หรอกค่ะความรักเป็นเรื่องของคนสองคนจริงค่ะ แต่การแต่งงานเป็นเรื่องของครอบครัวสองครอบครัว มันต่างกันเหมือนหมอกกับควัน
เรารู้จักกับเพื่อนอินเดียที่มาเรียนป.เอกในไทย รู้จักกันมาเกือบจะสิบปีละ เราสองคนมีค.รู้สึกดีๆให้กัน เขาบอกรักเรา อยากอยู่กับเรา แล้วเมื่อไม่นานมานี้ หลังจากที่เขากลับประเทศ เขามาบอกเราว่าเขาจะแต่งงานปีหน้า เราก็..ห๊ะ เขาบอกพ่อแม่เขาหาผญมาให้แต่งด้วย เราถามเคยเจอผญคนนั้นหรือยัง เขาบอกยัง เราถามต่อคุณจะอยู่กับผญที่คุณไม่ได้รักได้หรอ เขาตอบ "ได้" .....เราก็โอเค วฒนธ.บ้านคุณกับบ้านฉันมันคงต่างกันเกินไป อีกอย่างพ่อแม่เขาไม่อยากได้สะใภ้ต่างชาติ 😔😔 แส้ววว
เซอร์ไพรส์กับคำตอบของเด็กๆ นอกจากตัวเองที่น่าจะรู้จักตัวเองดีที่สุด แต่เด็กๆกลับเชื่อว่าพ่อแม่รู้จักตัวเองดียิ่งกว่า วางใจกับสิ่งที่ดีๆที่พ่อแม่เลือกให้ และยิ่้มรับอย่างเต็มใจถ้าพอ่แม่เลือกให้ด้วย ความแตกต่างทำเอาเซอร์ไพรส์ได้เสมอเลยค่ะ
สงสารเด็กๆนะคะ ถ้าเป็นเราอยู่ในสังคมแบบนั้นก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน ด้วยความเชื่อที่เหนียวแน่นขนาดนั้น และเด็กๆไม่ดิ้นด้วยเพราะไม่มีที่ให้ไปเลยยากที่จะเปลี่ยนความคิดคลุมถุงชนของอินเดียมากๆ
นึกถึงคนไทยไม่นานมานี้ที่น้ำหูน้ำตาไหลบอกว่าฝรั่งจะมาเข้าใจอะไร ก็คงคล้ายๆกัน ในมุมมองคนนอกอาจมองเห็นแค่โง่ชิบหายไม่เห็นต้องทำตามพ่อแม่ จบHonor killing ที่ได้ยินบ่อยๆส่วนหนึ่งก็มาจากแต่งงานข้ามวรรณะ หรือท้องก่อนแต่งเพราะพ่อแม่ไม่ให้แต่งงานด้วย หรือปฏิเสธครอบครัวผู้ชายและญาติฝั่งนั้นเสียหน้าบางทีที่เออออกัน ก็มาจากความกลัวตาย กลัวเสียหน้า กลัวพ่อแม่ อยากแต่งงานไวๆ อยากอวดเพื่อน และอีกหลายๆมิติ อยากไปช่วยหรือไปสอนดีไม่ดีโดนด่ากลับมา เพราะคนที่ได้ประโยชน์มันก็มี
@@john.blovelykook9083 บางครั้งการที่ผู้ใหญ่หาให้ มันคือทางเลือกที่ดีน่ะ เพราะเห็นที่หากันเอง เลิกกัน70%
หวานอมขมกลืน
@@AgeofHistory-br2rj ส่วนใหญ่ที่ผู้ใหญ่เลือกให้อาจจะไม่เลิกกันเพราะสถานะทางสังคมนะ แต่ก็อยู่ในสภาพที่เลิกกันแต่ยังอยู่ด้วยกัน90%
ฟังไปฟังมามันก็จริงของเขานะ การจะรักใครเราก็มีสเปคของเรา เราก็จะเลือกและคาดหวังให้เขาเป็นอย่างที่เราต้องการ แต่ถ้าคลุมถุงชนเราจะเน้นการปรับตัวเข้าหากันจนลงตัว อันนี้คือดี 😁❤
ปรับตัวเข้าหากัน? สุดท้ายก็อยู่ร่วมกันสืบพันธุ์กัน ประชากรล้นประเทศ... ไม่เข้าใจรัฐบาลวางแผนค้ามนุษย์ค้าอวัยวะคนรึไง ถึงไม่ห้ามการกระทำที่ทำให้เด็กกำเนิดใหม่กลายเป็นทาสชนชั้นถูกหลอกหลอนว่าเชื่อฝังผู้ใหญ่คือดี ถูกสั่งสอนว่าชั้นต่ำๆกว่าอัปปลีอย่าคบหาความเจริญทางด้านความคิดตกต่ำ เทคโนโลยีอ่อนด้อย แต่ดันมีประชากรส่วนหนึ่งที่มีความสามารถจริงๆดึงประเทศขึ้นสูงท่ามกลางปรสิตโกงกินชาติ...
@@tanakimpradit205 มีปมด้อยอะไรหรือปล่าว? ผมพูดถึงความคิดการที่มีคู่ครองคือการปรับตัวเข้าหากัน ไม่ใช่การพยายามหาคนที่ตรงกับสเปคของเรามากที่สุดก็แค่นั้น ยังไม่ได้เห็นดีด้วยกับรัฐบาลหรือการแบ่งชนชั้นเลยสักนิด สักแต่จะด่าไม่อ่านเนื้อหาที่ผมพิมพ์ไป ฟังไม่ได้ศัพท์..จับไปกระเดียด 👎
น่าคิดนะ หลายครั้งที่อะไรที่เกิดจากความคาดหวัง มันมักตาม มาด้วนความผิดหวังจริงๆ เจ็บปวด
@@apinyapooc พอไม่ได้คาดหวังก็ไม่เจ็บใจ แต่เจ็บการจากการถูกผัวตบตีอยู่ทุกวัน ในบางครอบครัว
ในประเทศทางยุโรป(จำไม่ได้แล้วประเทศไหน)สมัยก่อนถึงกับมีคดีขายน้ำหอมที่ให้ฆ่าสามีตัวเองเพราะถูกทำร้ายจากคู่แต่งงานที่มาจากคลุมถุงชนและไม่มีสิทธิหย่าเองได้ ถ้าอยู่ยุคนั้นคนก็จะบอกว่าถึงเลือกเองแล้วสุดท้ายต้องหย่าก็ดีกว่าไม่ได้เลือกแล้วอยากหย่าแต่ทำไม่ได้
การแต่งงานแบบคลุมถุงชนมีอัตราการหย่าร้างน้อยเพราะมีความคาดหวังน้อย และยอมรับพฤติกรรมของกันและกัน การแต่งงานที่เกิดจากความรัก มักจะเริ่มต้นด้วยความคาดหวัง // จากแนวคิดนี้ เห็นได้ว่าแนวคิดเขาคือ ไม่คาดหวัง = ไม่ผิดหวัง
สุดท้ายสิ่งที่คุณจะกล่าวมนุษย์ก็แค่สัตว์ไร้ปัญญา จับผสมพันธุ์กันกับใครก็ได้ไม่ต้องสน แค่ฐานะดีก็จับมัดรวมกัน และผสมพันธุ์ก่อนออกลูกมาเป็นทาสระบบ หรือไม่ก็ล้นประเทศอืมๆการกระทำแบบนั้นทำให้การจัดการทรัพยากรมนุษย์ยากไปอีก บังคับมีลูกจับแต่งงาน จนทรัพยากรประเทศไม่พอใช้การศึกษาเหลื่อมล้ำ อาชีพไม่พอต่อประชากร แข่งขันไม่ได้ก็โกงกันเอาเพื่อได้มีอยู่มีกิน
หาหมอมั้ย
@@tanakimpradit205 คุณอย่าได้แปลกใจหากอินเดียมันยังเป็นที่เราเห็นๆ รวยจนเผาเงินเล่นก็ยังไม่หมด ที่จน ๆ ก็แทบจะหาผ้าพันตัวไม่ได้
อันนี้จริง พ่อแม่เราก็คลุมถุงชน ป่านนี้ยังอยู่ด้วยกันดี แม้ว่าจะทะเลาะกันบ้างแต่ก็อยู่ด้วยกันเพราะความเกรงใจต่อผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย พอเห็นคนรุ่นใหม่ที่ไม่ยอมแต่งงานกับคนที่ไม่รัก อัตราการหย่าร้างกลับมากกว่าสมัยก่อนแต่อาจเนื่องด้วยวัฒนธรรมที่ต่างไปจากเมื่อก่อนมาก ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับทั้งคู่ว่าจะยอมรับความเป็นตัวตนที่แท้จริงได้หรือไม่
@@nata.5270 คนละยุคสมัยแล้วครับ เมื่อก่อนใครมีลูกผู้หญิง คือเสนียดบ้าน ต้องให้ผู้ชายดูแล ลูกผู้หญิงก็ขายมันออกไป (บังคับแต่งงานพ่อแม่ได้เงินสินสอด จบ) ผ่านไป 30-40ปี ลูกผู้หญิงเข่ไปอยู่ในสภาพแวดล้อมดี ขยัน ค้าขายจนมีฐานะร่ำรวย มีลูกหญิงชาย ส่งให้เรียน มีงานทำดีๆ พ่อแม่ ที่ยกสมบัติให้ลูกชายดูแล มันขาย ให้ลูกมัน ไม่แบ่งให้น้องๆเลย ตอนนี้พ่อแม่ แทบจะไม่มีกิน จะเดินไปขอเงินลูก ที่เขาถีบส่งไม่ให้อะไรเลย ผมว่าคนแบบนี้ไม่สมควรเลี้ยงก็ให้เขาอยู่กับคนที่มอบทรัพย์ให้ระ่นแหละ
ขอบคุณบรรพบุรุษที่ได้เกิดในประเทศไทย
เมืองไทยก็มีเยอะครับ เรื่องคลุมถุงชน
สมัยก่อนไทยก็มีครับ คลุมถุงชน 😅😅😅 ต้องขอบคุณคนสมัยนี้ครับ
สำหรับผมช่องนี้คือที่สุดของใจเป็นช่องที่ดีมากๆ ความบรรเทิงความรู้ได้ทุกรูปแบบ
ได้เห็นหลายๆมุม บนโลกจากช่องนี้ ชอบมากครับ
ถึงเราจะไม่เห็นด้วยกับความคิดของคนอินเดียที่มีการคลุมถุงชน แต่เราก็มองว่าน่าสนใจนะ สังคมอินเดียมีระบบวรรณะที่ชัดเจนมาก รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่ลูกที่เป็นลักษณะเฉพาะ
ผมชอบแบบอินเดียอย่างนึงคือ ไม่คาดหวัง เพราะบางทีเราคาดหวังกับความรักคาดหวังว่าคนที่เรารักต้องเป็นแบบนี้แบบนั้น พอไม่ได้เป็นแบบที่เราต้องการ ก็เกิดการเบื่อกัน ไม่พอใจกัน ต่างคนต่างเริ่มเอาเหตุผลของตัวเองมา สุดท้ายก็เลิกกัน บางครั้งเราอยู่กับการไม่คาดหวัง มันก็ดีน่ะ ทุกเรื่องเลยไม่ใช่แค่เรื่องความรักอ่ะ คือแบบไม่ต้องคาดหวังว่าคนที่เรารัก จะเป็นคนแบบที่เราต้องการอ่ะ อยู่กันไปก็ค่อยๆปรับเปลี่ยนไป เพราะบางทีเราจะให้อีกคนนึงทำให้ถูกใจเราทุกอย่างคงไม่ได้อ่ะ เพราะขนาดตัวเราเองยังทำให้อีกคนถูกใจทุกเรื่องยังไม่ได้เลย พูดง่ายๆคือ ถ้าเราไม่ได้คาดหวังว่าเราจะถูกหวย ถึงเราจะไม่ถูกเราก็ไม่ได้เสียใจอะไร แต่ถ้าเราไปคาดหวัง ไปนอนหวังว่างวดนี้เราจะถูกหวย แต่พอมันไม่ถูกขึ้นมา เราก็เสียใจ และก็พูดกับตัวเองว่างวดหน้าเอาใหม่รู้งี้น่าจะเล่นเลขนี้ ถึงมีคำพูดไง รู้ไร ไม่เท่ารู้งี้
จากที่ฟังๆคนส่วนมากเค้าก็ดูมีความสุขกันดีนะคะ ที่พ่อแม่เป็นคนเลือกคู่ให้ มีแต่เรานี้แหละค่ะไปตัดสินคิดแทนเค้าเอาโลกตัวเองเป็นบรรทัดฐานว่าอันนี้ไม่โอเค
👍🏼👍🏼
ก็เราใช้มาตราฐานสากล มาเปรียบเทียบ ว่าดีหรือ ไม่ดี ดังนั้น เราจึงไม่ค่อยจะได้เห็นคนอินเดียแต่งงานกับชาวต่างชาติ เว้นแต่ไปอยู่ต่างประเทศ ดังนั้นประชากรอินเดียจึงเพิ่มในอัตราก้าวหน้า
@VAN Series ได้ดูให้จบหรือปล่าว...นอกจากจะใช้สมองและสติในการหาคู่ให้ลูกแล้ว พวกเขายังจ้างนักสืบเพื่อตรวจสอบประวัติอีกฝ่ายด้วย...จริงอยู่การคลุมถุงชนมันเป็นเรื่องไม่ชอบธรรม แต่ในมุมของความรักแล้ว แสดงให้เห็นว่าพวกเขารักลูกมาก อยากให้ลูกมีความสุขกับครอบครัวของตัวเองตลอดไป
@VAN Series ท้องก่อนแต่งเหรอ?...หรือว่าหาพ่อของเด็กไม่ได้
@VAN Series เหรอ? แล้วไง?
17:44 ก็นึกมาตลอดว่าความรักคือความรู้สึกต่อบางอย่าง แต่การที่พ่อบอกว่าใช้สมอง เหตุและผลในการเลือกคู่ สุดท้ายมันก็เหมือนกับดูว่า เลือกคนนี้แล้วเรา(ลูกหรือครอบครัว)จะได้อะไร เสียอะไร ผมฟังนี่เหวอเลยครับ แต่ก็แปลกดี พอเข้าใจได้ ในสังคมของอินเดีย ครอบครัวและความเชื่อมีอิทธิพลมากที่สุด
มันเหมือนความรักคือผลประโยชน์ของครอบครัวเลยเนอะ
จริงครับ เราฟังแล้วแปลกมาก
แปลกแต่จริง เขาน้อมรับวัฒนธรรมนี้อย่างเต็มใจ 100% ไม่เกี่ยงงอนยกเว้นใดๆ ทึ่งมากกกก
เป็น ep ที่เต็มไปด้วย bias มีแต่ อคติ ล้วนๆสภาพสังคม สถาบันครอบครัวอินเดียพ่อแม่เลี้ยงลูก ดูแลลูก สร้างความสนิทสนมไม่แปลก ที่ลูกไว้วางใจพ่อแม่ ยอมให้คลุมถุงชนไม่ใช่ว่า สิ่งที่ประเทศนึง คิดว่าดี จะดีกับทุกๆ ประเทศ
ผมก็คิดว่า ถ้ามันไม่ดีมันคงไม่อยู่มาได้จนทุกวันนี้และวัยรุ่นที่ได้รับการศึกษาแบบสมัยใหม่ก็ยังพอใจกับแนวคิดนี้อยู่ แสดงว่าต้องมีอะไรดีที่เรายังไม่ได้สัมผัสจนเข้าใจ . . .
ไม่คาดหวัง = ไม่ผิดหวัง คือสิ่งที่จริงที่สุด แต่การที่เราหวังมันเป็นสิ่งที่บอกว่าเรามีความคิดความรู้สึก
ชอบความคิดของเขานะที่ว่า "ไม่คาดหวังก็เลยไม่ผิดหวัง" เหมือนต่างคนมีหน้าที่อะไรก็ปฏิบัติไปตามหน้าที่ของตน เป็นสามีก็ทำหน้าที่สามีเป็นภรรยาก็ทำหน้าที่ภรรยา
มันก็มีอีกมุมหนึ่ง ที่การแต่งงานแบบคลุมถุงชนมีอัตราการหย่าน้อยกว่าเพราะว่าคู่แต่งงานต้องแบกสถานะทางสังคมกับครอบครัวทั้งสองฝ่าย ทำให้ตัดสินใจหย่ากันยากขึ้น มีหลายข่าวที่นำเสนอเรื่องผู้หญิงอินเดียถูกทำร้ายโดยสามีแต่ไม่กล้าหย่าเพราะเป็นคนที่พ่อแม่เลือกให้นี่แหละ
ชอบเรื่องเกี่ยวกับอินเดียๆมากๆเลยค่ะ ขอบคุณที่นำมาให้ดูนะคะ เราทั้งอ่านทั้งดูสารคดีเกี่ยวกับอินเดียวเลยค่ะเพราะชอบ5555 อาหารอินเดียสก็อยากกินมากแต่แพงมากในไทย อยากลองไปมากๆ😆😆
ผมเองก็แต่งกับภรรยาที่เพิ่งรู้จักกัน 3เดือน และพ่อแม่เป็นคนจัดการให้ทุกอย่าง ตอนแรกก็ไม่อยากแต่ง อยากทำความรู้จักก่อน แต่ก่อนหน้ามีแฟนมากี่คนๆพ่อแม่ไม่เคยว่า แต่ก็ไม่รอดสักคน เลยเชื่อแล้วก็แต่ง ตอนนี้แต่งกันมา 5ปีแล้ว ชีวิตมีความสุขมาก เหมือนยังจีบ ยังเขินกันทุกวัน ไม่เคยทะเลาะกันสักครั้งเดียวตลอด 5ปี แม้นแต่ขึ้นเสียง หรือตะคอก หรือเถียงกันก็ไม่เคย คิดอยู่เสมอว่าน่าจะเชื่อพ่อแม่ตั้งแต่แรก
ขอบคุณมากค่ะ พี่ณาและทีมงาน ที่ทำคลิปดีๆแบบนี้ให้พวกเราได้เห็นวิถีชีวิตของผู้คนทุกชนชาติเป็นกำลังใจให้ทำคลิปดีๆแบบนี้ตลอดไปนะค่ะ😍😍😍😍😍ไม่กดข้ามโฆษณาเลยค่ะ ❤️❤️❤️
' การคลุมถุงชนเหมือนการบังคับ ' ผมเห็นด้วยบางอย่างแต่ผมก็คิดต่างนะ ความรักเริ่มแรกก็เกิดจากคนสองคนไม่รู้จักกัน คนทุกคนใช่ว่าจะแสวงหาความรักในช่วงวัยรุ่นทุกคน ดูตัวอย่างเพื่อนเราในตอนเรียนสิครับบางคนคลั่งรักมีแฟนบางคนตั้งใจเรียนบางคนไม่อะไรกับความรักก็มีเยอะแยะไป ผมว่าคนคลุมถุงชนก็ใช่ว่าจะเป็นคนมีความรักมาก่อนแล้วรู้สึกว่าถูกตัวเองถูกบังคับแค่รอเวลาทำความรู้จักคนที่พ่อแม่เลือกให้ไว้ในเวลาที่เหมาะสม เคยนั่งฟังเพื่อนที่ไปเรียน รร.นานาชาติที่อินเดีย เพื่อนบอกว่าเด็กอินเดียส่วนใหญ่พ่อแม่คลุมถุงชนให้หมด ใครขอเป็นแฟนก็ปฏิเสธกันหมดบอกว่ามีคนที่พ่อแม่เลือกไว้ให้แล้ว ถามว่าเหมือนโดนบังคับมั้ยส่วนใหญ่ก็ตอบว่าไม่.คิดว่าพ่อแม่แนะนำยังไงก็คือสิ่งที่ดีที่สุดเหมือนในคลิปเลย สุดท้ายแล้วมันก็คือรักแรกที่พ่อแม่เลือกให้ในเวลาที่เหมาะสมในกรอบจริยธรรม ซึ่งมันก็มีดีมีแย่ปนกันไป
จะจีบเองก็ดี จะให้พ่อ แม่จับคู่ให้ ก็ได้ ขอให้ทั่งคู่ ทั่งครอบครัว เข้ากันได้ ถูกใจ ถูกกาย รักกัน เป็นพอ....
ครั้งแรกในชีวิตที่ได้ยินเรื่องคลุมถุงชน ความรู้สึกความคิดแรกที่เกิดขึ้นมาที่จำความได้ มันมีแต่ความคัดค้าน ไม่เห็นด้วย แต่พอผ่านชีวิตมาจนถึง30 ผมเคยแอบคิดเรื่องนี้อยู่คนเดียวบ่อยๆว่า ชีวิตยุคสมัยนี้คนเราเหนื่อย เครียดหลายเรื่องมาก ทำงาน หาเงิน ความก้าวหน้าทางอาชีพการงาน ความมั่นคง ฯลฯ และยังต้องมาเหนื่อย เครียดเรื่องหาคู่ที่ไม่รู้จะมีจุดพอใจที่ตรงไหน ดูจากสถิติการแต่งงานของคนยุคนี้ที่ลดลง จนทำให้ผมคิดว่าถ้าบางทีเรามีวัฒนธรรมการคลุมถุงชนที่ไม่ได้บังคับแต่งงานไปเลย แต่เป็นการที่พ่อแม่คอยแนะนำ ญ/ช ให้เรารู้จัก ชีวิตอาจจะเหนื่อยน้อยลงบ้างหรือเปล่าจริงๆผมว่าการไม่มีคู่ มันเป็นความเครียดนึงของมนุษย์ปถุชนนะครับ การไม่มีคู่ สำหรับผมคือ 1.คุณไม่มีคนที่ไว้ใจได้จริงๆเลย ในชีวิต (ยกเว้นพ่อ-แม่) 2. ตอนแก่เฒ่าไปใครจะคอยดูแลกัน บางคนบอกหาเงินให้หมอพยาบาลดูแล ผมคิดสภาพไม่ออกเลยถ้าจะให้ใครก็ไม่รู้มาคอยเช็ดตัว เช็ดขี้ เช็ดดเยี่ยวให้ทุกวัน (หรือไม่งั้นถ้าอยู่ในภาพนั้นคงต้องผูกคอตายไปซะให้มันจบๆ) 3. ไม่รู้จะแชร์เรื่องราวในขีวิตให้ใครฟังได้ จะคอยปรับสุขทุกข์ กับใคร คงต้องนั่งน้ำลายบูดคนเดียวดูยูทูป เนตฟลิกตอน 60 70 80 ไปเรื่อยๆยังงี้หรือเปล่าแต่ถามว่าการคบุมถุงชนจะแก้ปัญหานี้ได้ไหมผมก็ไม่ทราบเพราะเกิดมาในยุคที่คลุมถุงชนถูกมองว่าเป็นสิ่งผิดไปแล้ว แต่เกิดมาในยุคที่การเลือกคู่ครองเองเป็นสิ่งถูก แต่ความประสบความสำเร็จในขีวิตคู่ที่เลือกกันเองยุคนี้ นับคนได้เลยว่ามีความสุขกี่คนอิงจากคนรอบตัวที่เห็น ได้พบเจอ
คิดเหมือนกันเลย ผมอายุเข้าเลข 3 แล้ว วันๆทำแต่งาน ไม่มีเวลาไปคุยกับใครเลย ส่วนนึงสภาพแวดล้อมก็เปนตัวบีบให้เราต้องมีแฟน ไม่ว่าจะเพื่อนที่มีแฟนกันหมด หรือครอบครัวที่คอยถามอยู่ตลอดว่าเมื่อไรจะมีแฟน
@@ξεβυ หัวอกเดียวกันครับ เหนื่อยจริงๆเนอะครับชีวิตคนเลข3 สมัยนี้ ต้องแข่งขันทุกเรื่องจริง 🥲
ตอนผมเป็นเด็ก แถวบ้าน ก็แต่งแบบพ่อแม่เลือกให้ และส่วนใหญ่จะหย่าร้างน้อยมาก แต่ทุกวันนี้แม้แต่แถวบ้านผม ปัญหาการเป็นชู้กันเยอะมาก ขนาดเป็นบ้านนอกนะ
มันไม่มีถูกผิด หลักปรัชญาซ้อนปรัชญา เช่น การคาดหวังนำมาซึ่งความผิดหวัง การไม่คาดหวังนำมาซึ่งความสมหวังที่ไม่คาดไว้ แล้วแต่ว่าชอบปรัชญาแนวไหน
เป็นประเทศที่เป็นต้นกำเนิดศาสนา แต่น่าจะเปลี่ยนแปลงอะไรยาก เพราะมีหลายปัจจัย แต่ในอนาคตก็จะเปลี่ยนแน่ แต่ก็อาจจะช้ากว่าที่อื่นๆ เหมือนไทย ตอนนี้อะไรต่างๆก็เปลี่ยนไปเยอะ
การคลุมถุงชนทำให้พวกเขาไม่เกิดปัญหาการขาดแรงงาน เกิดมาต้องแต่งงานมีลูกไว้สืบสกุลมากๆ แนวคิดโบราณแต่ส่งผลต่อเศรษฐกิจ ในอนาคตของประเทศอย่างมาก
มันเป็นเรื่องที่สังคมของเขาคุ้นเคยกันมาเป็นพันๆปีแล้ว เราเป็นคนที่อยู่นอกสังคมและนอกชุมชนของเขา เราไม่จำเป็นต้องไปเปลี่ยนแปลงเขา แค่มองดูและเรียนรู้เท่านั้น
โชคดีที่กูเกิดที่ไทย มีอิสระทางเดินชีวิต พ่อแม่ ไม่บังคับให้แต่งงาน ชีวิต เราเลือกเอง
ของเราถึงจะเลือกคู่เอง แต่เราก็ดูหลายอย่าง โดยให้ความสำคัญว่าเค้าจะเป็นพ่อที่ดีของลูกเราได้หรือไม่ เค้ามีความรับผิดชอบมากแค่ไหน ถ้าเราแต่งกับเค้าเค้าต้องทำให้เราเป็นคนดีขึ้นได้ ด้วยความดีของเขายิ่งอยู่กันไปก็ยิ่งรักมากขึ้นไปเอง แถมยังเป็นได้ทั้งเพื่อน พี่ชาย และสามีในคนๆเดียวกัน เพราะเราไม่ได้คาดหวังให้เค้าทำตัวเป็นสามีเราตลอดเวลา เป็นเพื่อนกันมั่งก็ได้ เป็นพี่ชายมั่งก็ได้... มันทำให้เราแทบไม่เคยทะเลาะกัน คุยกันได้ทุกเรื่อง ปรึกษากันได้ทุกเรื่อง ไม่ด่ากันหยาบคาย.. ถ้าเลือกคู่ครองโดยใช้เหตุผลนำหน้าความรัก สำหรับเราคิดว่าดีที่สุดแล้ว😊
การแต่งงาน ในมุมของพ่อแม่ มันก็ถูก ที่เราต้องใช้สมองด้วย แต่ในขณะเดียวกัน แนวคิดที่ว่า อยู่ไปเดี๋ยวก็รักกันเอง ก็ใช่ว่าจะใช้ได้กับทุกคู่เช่นกัน ถ้าคนมันไม่ได้ปิ๊งกันแต่แรกๆ อะไรๆก็ยากไปหมด
ขอเสริมครับความคิดส่วนตัวพ่อแม่เค้าอาดจะอาบน้ำร้อนมาก่อน แน่นอนว่าเค้าย้อมมองว่าชีวิตหลังจากนี้คือการมีลูกมีครอบครัวหน้าที่การงาน การทำมาหากินอะไรที่มากว่าความรัก พ่อแม่รู้ความคิดความอ้านนิสัยลูกดี แต่ถ้าเลือกจากความรักก็ไม่ผิดเพียงแต่เรากว่าจะรู้ว่าใครเข้ากับเราได้ก็เปลี่ยนแฟนไปหลายคนแล้ว
รักรายการนี้สุดๆเลยคะ.. ได้เปิดโลก
ประเทศอินเดีย.... มีความเชื่อทางด้านศาสนาเป็นอย่างมาก....จึงยากที่จะเปลื่ยนเเปลงอะไรง่ายๆ ...เเต่ถึงอย่างไรผมเชื่อนะ...ว่าถ้ามนุษย์ยิ่งมีความฉลาดมากขึ้นเท่าไหร่ ....มนุษย์จะยึดเหตุเเละผลมากขึ้น....ความเชื่อทั้งหลายจะค่อยๆ หายไปในที่สุด '
แล้วอีกกี่ปีล่ะท่าน?
@@หน่วยต่อต้านพวกแพะกินเด็ก อันนี้ตอบยากครับ... เป็นเรื่องของอนาคต...เเละสติปัญญาเเละการพัฒนาของมนุษย์
ไม่เสมอไปถ้าการบูลลี่ของสังคม ยังมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจ
แต่ไม่ใช่กับที่นี่ค่ะ
@@punnaraounlum3262 ที่ไหนครับ
ดูทุกเรื่อง ก็ชอบทุกเรื่องค่ะ ขอบคุณมากนะคะ
การคบหาดูใจกันก่อนแต่งงาน ไม่ได้เป็นการการันตีว่า คู่นั้น จะอยู่ด้วยกันยั่งยืน เพราะความสำคัญของการใช้ชีวิตคู่ คือการยอมรับ ปรับตัวเข้าหากัน เพื่อให้ทุกอย่างลงตัว และดำเนินไปอย่างมีความสุข เนื่องจาก ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ เช่นเดียวกับตัวฉันกับสามีฝรั่ง รู้จักกันทางเว็บไซต์หาคู่ แชทกันแค่3-4วันก็นัดเจอตัว คุยกันตัวเป็นๆช่วงเช้าจนบ่าย ช่วงเย็นฉันก็ตัดสินใจใช้ชีวิตอยู่กับเขาเลย 24มิถุนานี้ ก็จะครบรอบวันแต่งงาน4ปีแล้วค่ะ ถ้านับตั้งแต่วันที่อยู่ก่อนแต่ง ก็ 5ปีค่ะ.
น่าสงสารทั้งผู้หญิงและผู้ชาย พ่อแม่ก็เคยถูกคุมถุงชนน่าจะเข้าใจความรู้สึกนี้ดีแต่บังคับลูกอีก
ก็ถามนิดนะครับเขาเปิดเผยชีวิตจริงให้รายการสัมภาษณ์ขนาดนี้เลยเหรอครับแค่สงสัยครับหรือเป็นการถ่ายทำเป็นรายการที่ดีนะครับ
สงสัยเหมือนกัน ชีวิตมันมีความยากของมันอยู่ แต่ทุกคนใน interview ดู happy ตลอดเวลา มันใช่เรื่องทั้งหมดจริงๆมั้ย? แล้ว background เค้าคืออะไร คือถ้ามันดีจริงมากกว่าแค่อินเดียก็ต้องคลุมถุงชนสิ
@@babybaby-wt8pk ที่ส่วนใหญ่ดู happy กันเพราะเค้าไม่ได้เล่าด้านที่ไม่ดีออกมารึเปล่าคะ แบบอาจจะมีทะเลาะกันบ้าง แต่โดยรวมเค้าค่อนข้างโอเคกับชีวิตแบบนี้เลยให้สัมฯเชิงบวกต่อการแต่งงานรูปแบบนี้
เขาก็มีความสุขดี สีสันของสังคม ความเชื่อ และวัฒนธรรมที่แตกต่าง
ความสุข? การฝืนตัวเองและเรียกปรับตัว มันไม่ใช่ความสุข มันก็แค่ข้ออ้างว่าเราไม่มีทางเลือกก็ต้องจำใจมันไม่ต่างจากการจับสัตว์ชั้นต่ำมาผสมพันธุ์กันว่าดูมันแข็งแรงหรืออ่อนแอ จับคู่ให้เหมาะ ไม่ให้มันเลือกเอง แต่เราต้องเลือก และจับมันมาสอดใส่กันจนกว่าจะท้อง (มันคือวิธีการผสมพันธุ์ของสัตว์ ไม่ใช่คน) แต่ก็ดันเอาวิธีนี้มา จนสุดท้ายประชากรล้นประเทศ รถลบต่างๆไม่ดีพอรองรับบุคคลมากมาย
ข้อดีของการจับคู่ให้ด้วยพ่อแม่..๑.เป็นการกตัญญุตาต่อพ่อแม่..ย่อมได้ดี.เพราะไม่เป็นลูกดื้อมันจะบาปถ้าพ่อแม่จัดหาให้..แต่ถ้าพ่อแม่ไม่ได้จัดหาให้อันนี้ก็ต้องแล้วแต่ลูกเอง๒.ความตื่นเต้น.ย่อมมีมากกว่าหาเอง..และการที่จัดหาให้ย่อมมีการสืบความประพฤติให้ระดับหนึ่งแล้วว่าจะไปกันได้...
ชอบอินเดียเพราะความหลากหลาย.แต่มอบความรักและบูชาพระพุทธองค์ด้วยลมหายใจ.เกิดที่ใดๆๆบนโลกมีแต่ความ.คร่ำครวญ.ขอบคุณดินแดนอินเดียที่ให้บุรุษที่รักแล้วไม่มีเรื่องความทุกข์ตามมาขอบคุณเรื่องราวค่ะ
เค้าไม่ได้บูชาพระพุทธองค์ (หรือพระพุทธเจ้า) นะคะ คนอินเดียนับถือพุทธน้อยมากค่ะถ้าคนในประเทศอินเดียนับถือพระพุทธองค์ ป่านนี้ประเทศเค้าคงไม่มีระบบวรรณะแล้ว เพราะเป็นสิ่งที่พระพุทธองค์ไม่สนับสนุน คนอินเดียส่วนมากเค้านับถือเทพเจ้าพราหมณ์ฮินดูค่ะ
คู่คุณบราชุน-รัตนา ที่สัมภาษ น่าจะเป็นรักแรกพบนะ เพราะผู้ชายเห็นหญิงสาว ในงานแต่งญาติ แล้วขอแต่ง😍
ศาสนาฮินดูผู้ไฮโซขี้กลางแจ้ง แต่ดันย้ำยีจัณฑาลและหญิงแม่หม้าย
ถึงจะดูเหมือนล้าหลัง แต่โดยรวมดีกว่าการแต่งงานจากความรัก อย่าร้างน้อยกว่า ปัญหาสังคม เด็กพร้าน้อยกว่า บริบทของสังคม ตน ในแต่ละที่ไม่เหมือนกัน เราควรเคารพ ยอมรับ ในความเชื่อ ประเพณี ของกันและกัน และไม่ควรทำลายความเชื่อของไคร
ความรักเป็นส่วนหนึ่งของขั้นตอนการเติบโต การผิดหวังหรือการหย่าร้างจากความรักไม่ใช่เรื่องที่ผิด เหมือนที่รายการกล่าวไว้ข้างต้นว่าบางคนอาจจะดูไม่รู้จักโตสักที มันขาดขั้นตอนที่เขาต้องเรียนรู้และใช้ในการเติบโต ชอบตรงแนวคิดการปรับตัวเข้าหากันมาก หลายๆคู่กันอยู่ก่อนแต่งว่าสามารถปรับตัวหากันได้ไหม ไม่ใช่การทนอยู่หรือกล้ำกลืนเพื่ออยู่ ให้พวกเขาได้ใช้ชีวิตและเลือกคู่เองน่าจะดีกว่านะคะ
วัฒนธรรมทางสังคม เป็นตัวกำหนดแนวคิด... ดูเขาก็พึงพอใจและมีความสุขดี...คงเหมือนผมโตและเป็นในแบบที่ผมเป็นเช่นกัน.. ชอบและมีความสุข กับดวงนารีอุปถัมของผมแบบนี้.. คบกัน.. เธอหรือเรา จะรอดไม่รอดก็ไม่ได้แปลว่าล้มเหลว.... (เช่นเดียวกัน กับที่เรามีความสุขดี แบบนี้)ไม่สามารถเอาความคิดเราไปตัดสินใครได้จริงๆ เนอะ....
ดวงนารีอุปถัมภ์แปลว่าอะไรครับ
@@RockStar-xo4ny แนวคิด หรืออาจจะเป็นปรัชญา ส่วนตัวครับ... , ความสำเร็จเรา เกิดขึ้นได้จากคนรอบข้างครับ.. โดยเฉพาะผู้หญิงสาวที่คอยให้การดูแลช่วยเหลือเราครับมีคนรักที่ดี มีชัยไปกว่าครึ่งครับ... , ลาภยศ เงินทอง หรือ ชื่อเสียง จะมีค่าหรือมีความหมายอะไร หากเราต้องเดียวดาย ไม่มีใครอยู่ชื่นชม เคียงข้างเรา
@@siphankiratisevee390 ผมเชื่อเรื่องนี้เหมือนกัน มีคู่ดีอะไรๆก็ผ่านได้หมด
คลุมถุงชน นี่ ยังดีกว่า บางวัฒนธรรมแต่งในตระกูลสายเลือดเดียวกัน เคยเห็นลูกชายทั้ง 2 คน มีพิการทางสมอง น่าสงสาร
ชอบทุกคลิปเลยค่ะ ได้เห็นมุมมองต่างๆ ได้เห็นโลกกว้าง ขอบคุณที่ทำคลิปดีๆมาให้ดูนะคะ
เรื่องแปลกแต่จริง การแต่งงานแบบคลุมถุงชน ส่วนใหญ่จะอยู่ด้วยกันจนตาย แทบจะไม่หย่าร้างกันเลย
Epนี้ทั้งบันเทิง สนุก และภาพสวย ชอบช่องนี้สุดใจค่า 👏🏻👏🏻👏🏻👏🏻
ไม่มีอะไรสมบูรณ์สูงสุด ไม่ว่าจะเกิดจากความ รัก หรือคลุมถุงชน แต่เราเชื่อเรื่องของวาสนามากกว่า ถ้ามีวาสนาดีต่อกันแต่งแล้วก็รอด ถ้าไม่มีวาสนา หมดวาสนาก็ไปไม่รอด คู่กันอยู่บุญกรรมนำแต่ง ทั้งอดีตและการปฏิบัติต่อกัน ไม่ใช่คาดหวังกับไม่คาดหวัง แต่คือการคอยเติมเต็ม และรับผิดชอบต่อหน้าที่ทั้ง 2 มากกว่า ถ้าเดินไปทั้งคู่อีกคนไม่เดินไปพร้อมกัน ปล่อยให้อีกฝ่ายจูง อุ้ม แบก วันหนึ่งความรักก็หมดได้ เราเชื่อว่าความรักต้องประคับประครอง จากคนที่เคยแต่งงานแล้วไปไม่รอด เพราะถ้าพยายามเกินไปอยู่ข้างเดียวมันจะเหนื่อยไง ครอบครัวอีกฝ่ายก็มีผลมาก ถ้าไม่เห็นแก่ผลประโยชน์อย่างเดียวมีคุณธรรมในใจ เชื่อว่าส่วนใหญ่น่าจะไปรอด คนเราทนได้สุดก็คือเกือบตายแต่ไม่ตาย สุดท้ายก็ต้องเลิก รักกันชั่วชีวิตจึงต้องเป็นคู่ที่สมดุลกัน ทุกวันนี้ก็โอทำไหวทำเหนื่อยก็พักรักษาตัว องค์ประกอบชีวิตมีหลายอย่างนะความเจ็บป่วยก็มีส่วนในการใช้ชีวิต ถ้าได้คู่ที่คอยเติมกำลังใจให้กันก็ดี เชื่อว่าเจออะไรก็อยากสู้ไปด้วยกัน แต่ถ้าคนรอบข้างมีแต่พลังลบๆแจกให้ทุกวันจะมีแรงไปทำอะไร ต้องให้กำลังใจตัวเองทุกวัน ดังนั้นถ้ามีคู่ต้องดีกว่าไม่มี ถ้ามีแล้วแย่กว่าอย่ามีดีกว่า คิดงั้น
ขอบคุณสำหรับข้อมูลที่ดีๆค่ะ
การบังคับรักฟังดูเหมือนข่มขืน แต่คู่ผัวตัวเมียทุกวันนี้ก็ผ่านสื่อเกือบทั้งนั้น ผ่านเพื่อน เพื่อนของเพื่อน ผ่านพี่ป้าน้าอา ผู้หลักผู้ใหญ่ คนเมื่อเริ่มหนุ่มสาวส่วนใหญ่ก็อย่ากมีความรัก แต่ไม่ได้เลือกซื้อเหมือนเดินเข้า 7ผู้ชายหรือหญิงไม่ได้กล้าแสดงออกเหมือนๆกัน ผมรู้จักหญิงข้างบ้านวันหนึ่งผมก็พูดกับเขาว่าเมื่อคืนผมฝันถึงพี่ด้วยซึ่งเป็นครูแก่กว่าผม พี่พูดว่าแล้วพี่ขาดทุนหรือเปล่า ผมไม่ได้ตอบอะไรไม่เข้าใจผ่านไปอีกสิบปีจึงรู้ความหมายการจัดหาคู่ดังกล่าวเป็นเรื่องที่ดีไม่อย่างนั้นคงเลิกไปนานแล้วถ้าผมอยู่ประเทศนั้นคงไม่ต้องรอจนอายู40
จากที่มีเพื่อนอินเดียหลายคน การคลุมถุงชนไม่ใช่ว่าอัตราการหย่าร้างจะต่ำตาม แต่ที่ไม่หย่าเพราะหน้าบาง กลัวถูกนินทา และต้องรักษาหน้าของพ่อแม่ ถ้าได้คู่ไม่ดี จะไม่ต้องโทษตัวเอง เค้าจะโทษพ่อแม่ที่หาคู่ไม่ดีให้ ปัจจุบันนี้..การแก้ปัญหาคือ ไม่หย่า แต่แยกกันอยู่ค่ะ ผู้ชายอินเดียบางคนแยกกันอยู่กับเมีย มาหาแฟนใหม่เป็นต่างชาติเยอะแยะไป ส่วนผู้หญิงก็จำทนเลี้ยงลูกไปค่ะ
ตกใจมากนะ กับคำพูดของคนเป็นพ่อช่วงท้าย ความรักเป็นเรื่องของสมองเหรอ ไม่ใช่หัวใจกับความรู้สึกเหรอ เลือกเองแล้วเจ็บอย่างน้อยเขาก็ได้เลือกเองป่าว? ปลูกฝังอะไรแบบนี้ก็ไม่แปลกที่เป็นประเทศที่ส่วนใหญ่ยังล้าหลัง แบ่งชนชั้นบ้าบอ และดักดานด้วยความเชื่อห่าอะไรก็ไม่รู้ ไม่คิดจะไปเที่ยวเลย
ดูแล้วศึกษาพอ อย่าเอาความคิดและความรู้สึกของตัวเอง ไปตัดสินเค้าครับ
อย่าไปตัดสินเค้าเลย มองว่าโลกเรามันมีความแตกต่างแบบนี้แหละ แต่กาลเวลาจะค่อยๆเปลี่ยนแปลงความคิดของคนในสังคมไปเอง
เราว่าเค้ามองว่าความรักเป็นเรื่องของความรู้สึก(ไม่ใช่สมอง) ซึ่งอาจจะผิดพลาดได้ค่ะ แต่การตัดสินใจของพ่อแม่คือการใช้สมองคัดเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูก จึงเหมาะสมกว่า
อย่าไปตัดสินใจความเชื่อ วัฒนธรรมของเค้าเลยค่ะ ไทยกับอินเดียไม่เหมือนกัน อินเดียอยู่กับความเชื่อและมีวัฒนธรรมแบบนี้มายาวนานมาก และการไปเที่ยวอินเดีย ถ้ามองว่าสนุก มันก็สนุกมากค่ะ
อึ้งกับประโยคที่ว่า "การแต่งงานแบบคลุมถุงชนนั้นมีการหย่าร้างน้อยมาก" ทั้งๆที่ไม่เคยรู้จักนิสัยของกันเเละกันเลย แต่เขาก็อยู่กันได้
ใครจะไปกล้าหย่า วัฒนธรรมแบบนี้หย่าร้างเป็นม่ายก็โดนรังเกียจเป็นตัวประหลาดในสังคมเค้าจะกล้าออกมาพูดเหรอว่า ชีวิตแต่งงานเหมือนตกนรก ไม่มีความสุข อกไหม้ใส้ขม หวานอมขมกลืนไปค่ะ ดีกว่าต้องกระโดดเข้ากองไฟตายตามไปค่ะ
ไม่กล้าหย่ามากกว่าค่ะ หย่าจะเป็นหม้าย ผญ.จะผิดจารีตมาก สังคมคงมองไม่ดี
ชูจอย ขอให้นายได้เจอคนดีๆ นะ
โชคดีที่ไม่เกิดในประเทศที่เหมือนนรกแบบนี้ ชีวิตตัวเองยังเลือกไม่ได้
รุ่นกงม่าเราก็คลุมถึงชนค่ะ ส่วนรุ่นพ่อแม่เราคือรักกัน จากประสบการณ์ส่วนตัวเรามองว่าแบบไหนก็มีชีวิตคู่ที่ดีได้ สำคัญสุดคือนิสัยของคู่ชีวิตต่างหากที่จะทำให้ชีวิตแต่งงานรอดหรือเละ
เราคิดว่า คนเป็นพ่อเป็นแม่เขาคงไม่น่าให้ลูกในไส้ไปแต่งงานกับคนไม่ดีหรอก เขาน่าจะคัดประวัติคู่แต่งงานให้ลูกมาในระดับหนึ่งแหละ(แต่ทฤษฎีนี้ไม่น่าใช้กับพ่อแม่ไทยได้แฮะ โดยเฉพาะครอบครัวที่ยากจน)สมัยนี้ยังมีให้ดูตัวแล้วคบหาดูใจกันไปก่อนนะ เราว่ามันก็ได้อยู่แหละ ลูกมีสิทธิ์ตัดสินใจจะแต่งหรือไม่แต่ง (ไม่ชอบก็เปลี่ยนคนได้ 555) และพ่อแม่เองก็จะสบายใจด้วยว่าคู่หมั่นของลูกเป็นลูกเต้าเหล่าใคร
ปัญหาคือควรลบความเชื่อที่ว่าลูกคือทรัพย์สินของของพ่อแม่ จะให้ทำอาชีพอะไรแต่งกับใคร ทำให้เกิดมาก็ตีความแล้วว่าเราติดหนี้บุญคุณ
แล้วเกิดมาถ้าพ่อแม่ไม่เลี้ยงจะโตมาได้ไงล่ะทำให้เกิดก็ดีแล้วอีกทั้งเลี้ยงดูจนโตมาได้แบบนี้เค้าไม่เรียกติดหนี้เหรอคนอื่นที่เคยช่วยเรายังถือเป็นบุญคุณเลยอย่าบรรทัดฐานพ่อแม่ตัวเองไปวัดกับพ่อแม่คนอื่นคนเราถ้าไม่เคารพคนที่มีบุญคุณแล้วก็คงน่าจะอายมันนะหมาเก็บความคิดนี้ไว้สอนลูกตัวเองเถอะ
@@โนเนม-ร4ฮ เราว่าเค้าคงจะไม่ได้หมายถึงการที่ลืมบุญคุณพ่อแม่ว่าสำคัญแค่ไหนนะคะ เพราะการที่พ่อแม่ส่วนมากที่ยังมีความคิดว่าลูกเป็นสมบัติ ทั้งที่ตัวเองอยากให้เค้าเกิดมา พอลูกทำอะไรขัดใจก็ด่าว่าลูกว่าจะเกิดมาทำไมลูกเนรคุณบ้างอะไรบ้างคาดหวังกับลูกมากมายจนมันอึดอัด ทั้งๆที่ลูกโตแล้วควรจะได้ทำตามความฝัน แต่ดันบังคับเลือกทางให้ลูกเอง แล้วบอกว่าเป็นการตอบแทนบุญคุณ ถ้าลูกรักพ่อแม่พอ ต่อให้ไม่บอกว่าต้องตอบแทนบุญคุณ ก็ต้องเลี้ยงดูพ่อแม่อยู่แล้ว เพราะมันขึ้นอยู่กับความรัก มันไม่ใช่การตอบแทนบุญคุณแต่มันมาจากความรักความผูกพันของลูก
ว๊าวกับสิ่งที่เคยคิดต่าง มันจะไปดียังไงโดนบังคับ แต่พอมาฟังรายละเอียดกับสิ่งที่ทำกันมา แล้วมันดันดี แบบเปิดโลกอีกมุมมากๆ โอ้โห... โลกใหม่สุดๆ สิ่งที่เคยคิดว่าไม่ดี กลับดีในด้านผลลัพธ์มากกว่า
เพราะสังคมให้ความสำคัญกับชีวิตคู่มากเกินไป ไม่แต่งก็แปลก เป็นม่ายก็ลำบากเข้าไปอีก ดังนั้นถ้าให้เลือกเองก็คงกลัว หนึ่งคือกลัวไปไม่รอด สองไปไม่รอดไม่พอ ยังโดนพ่อแม่ตัดหางปล่อยวัดอีก อย่างน้อยๆ ถ้าแต่งตามพ่อแม่เลือกให้ต่างฝ่ายจะทำอะไรก็ต้องเกรงใจพ่อแม่ตัวเองที่คุยๆกัน ก็จะเหมือนอย่างที่เค้าบอกคือไม่ได้คาดหวังว่าจะได้คนที่ดีที่สุด แต่ก็จะได้คนที่สามารถอยู่ด้วยกันได้ เพราะพ่อแม่จะเลือกคนที่การดำเนินชีวิตใกล้เคียงกัน ไม่ต่างกันมาก
อีกแง่นึงก็อยากจะบ้าตายรายวันกับอินเดีย อีกแง่ก็ว่าวัฒนธรรม วรรณะ สังคม แต่เค้าก็รักษาธรรมเนียมนี้มาหลายปีแล้ว เค้าก็อยู่ได้นะ เพราะจุดหลักของเค้าของความกตัญญู พ่อแม่ต้องมาก่อน เรามีเพื่อนอินเดีย แม้กระทั่งแฟนก็อินเดีย ถ้าเป็นพวกคนหนุ่ม วัย20-30จะอารมณ์แบบ ถ้าพ่อแม่หาให้ก็ต้องแต่ง ถ้าหาเองได้ ละถูกใจพ่อแม่ก็โชคดีไป ส่วนคนที่วัย35ขึ้นไป หรือเคยผ่านแต่งงานมาแล้ว หย่าแล้ว คนกลุ่มนี้เหมือนจะขอเลือกความรักเอง บางคนก็หาเมียน้อย ปลดแอกในหลายๆเรื่อง แล้วมักจะบอกว่า โตแล้ว ชีวิตเลือกเองได้แล้ว ก็จะแต่งกับชาวต่างชาติเลือกจะออกเดทด้วยตัวเอง หรือไม่แคร์เรื่องศาสานา วัฒนธรรม เชื้อชาติสักเท่าไหร่ ปล.ความเห็นส่วนตัวนะคะ
รายการนี้ดีจัง เปิดโลกมาก
เหมือนแค่ใช้ชีวิตตามสิ่งที่ควรจะเป็นไม่ได้ใช้ความรู้สึกหรือความต้องการจริงๆในการดำเนินชีวิตมากกว่า ทีนี้พอความรู้สึกบอกว่าทนไม่ไหวสุดท้ายก็ต้องทนความรู้สึกบอกว่าไม่แต่หน้าที่ก็สั่งให้ทำ สุดท้ายก็ใช้ชีวิตตามหน้าที่ไปจวบจนวันสุดท้ายที่ความตายจะมาแยกให้จากกันไปมากกว่าที่จะหย่าร้างแล้วแยกกันไปใช้ชีวิตตามที่ตัวเองอยากจะใช้
เสียงพากย์ดีมากขึ้นจังหวะน้ำเสียงเหมือนคุณกรุณา เยี่ยมยอดครับน่าติดตามแล้ว
นักสืบให้ข้อมูลชัดเจนฉะฉานสุดๆ ไม่อ้อมค้อม
หลายๆปัจจัย หนักสุดก็ ความเชื่อกับวรรณะ เป็นการกดขี่กลายๆ ทาสไม่มีแต่ใช้คำอื่นมาแทนหนักยิ่งกว่าสายเลือดเชื้อชาติและชาติพันธุ์
ป่าเถื่อนที่สุดในโลก แบ่งชั้นวรรณะ หรือปกครองแบบเผด็จการศักดินาแบบกะสัตว์!
อยู่เป็นโสดมีมั้ย
สนุกดี ขอบคุณที่ทำรายการดีๆมาให้ชมค่ะ
ฟังทัศนคติของคนที่นั่นแล้วทำให้เข้าใจเหตุผลของแฟนเก่าขึ้นเยอะเลย เค้าทุ่มเทความรักทั้งหมดให้เราแล้วเพราะเค้ารู้ว่าสุดท้ายเค้าต้องแต่งกับคนที่พ่อเลือกให้ ส่วนเราก็รักษาใจตัวเองต่อไป
การคลุมถุงชนว่าแย่แล้ว แต่การแบ่งชั้นวรรณะของอินเดียแย่ยิ่งกว่า
อดิตตำรวจ/เจ้าของโรงแรม มีงานอดิเรกคือนักสืบ โคตรจ๊าบเลยลูกพี่
ถึงว่าหนัง ละคร อินเดียทุกเรื่อง แต่งงาน พิธีกรรม สำคัญกว่าที่สุด
ผมหารักเเท้ด้วยตัวเองไม่เคยเจอ...เจอก็ไป.ไม่รอดสักราย.. สุดท้ายก็ไห้พ่อเเม่หาไห้... เเต่งงานอยู่ดีกินดีมีลูกสองคนจนมาถึงทุกวันนี้...
ระบบอาวุโส เคารพในคนที่มีประสบการณ์ชีวิต นับว่าเป็นอะไรที่ดีไม่น้อย สังคมไหนถ้าคนรุ่นใหม่ให้การเคารพคนรุ่นเก่า สังคมนั้นจะอยู่กันอย่างเป็นสุข สุขเพราะสิ่งดีๆจะไม่พังทลายไปง่าย และก็ไม่ดีเช่นกันถ้าสิ่งเดิมๆที่คนรุ่นเก่าทำกันมาตกทอดถึงคนรุ่นใหม่แล้วคนรุ่นใหม่ไม่ยอมปรับเปลี่ยนสำหรับผมแล้วคลุมถุงชนก็ไม่ได้แย่ แต่ก็ไม่ใช่ดีซะทีเดียว ยังไงก็ตามการที่ลูกเชื่อฟังพ่อแม่ สังคมไหนๆก็(มักจะ)ดี
แต่คำถามอยู่ที่ว่า ถ้าเจอคนที่ไม่ถูกใจละ มันจะไม่ทรมานเหรอ เช่น ฝ่ายชายถูกใจฝ่ายหยิงแต่ฝ่ายเดียว แบบนี้ ฝ่ายชายไม่เห็นแก่ตัวเหรอ สมมุติทั้งคู่มีความเหมาะสมกัน ในเรื่องรูปร่างหน้าตา มันก็ไม่ยากที่จะปรับตัวให้รักกันได้ แต่หากเป็นคู่ไม่เหมาะสมกันในเรื่องรูปร่างหน้าตาละ มันจะไหวเหรออย่างผมหน้าตาไม่ดี พ่อแม่เลือก ผญ หน้าดีมาให้ ผมฝ่ายเดียวที่มีความสุข แต่ ผญ กลับทุกข์ใจ แบบนี้ผมว่าผมคือคนเห็นแก่ตัวสุดๆ ทั้งน่ารังเกียจสุดๆด้วยถ้าผมหน้าตาไม่ดี แล้วผมมีคู่ที่หน้าตาดี ผมคงทนไม่ได้ในความเห็นแก่ตัวแบบนี้ครับ เว้นแต่เขาจะเต็มใจด้วยเท่านั้น
เรื่องครอบครัวมีผลจริง ๆ ค่ะ ส่วนตัวมีสามีอินเดีย
ถึงเราจะเป็นลูก เราก็ไม่ยอมให้พ่อแม่มากำหนดชีวิตเราหรอก ชีวิตของเรา เราเป็นคนเลือกเอง แต่ไม่ได้ว่าวัยรุ่นอินเดียนะ ต้องบอกว่าสังคมบ้านเค้าสั่งสอนคนมาได้อย่างเข้มข้นจริงๆ เพราะสิ่งที่ทำมาแต่โบราณก็ยังคงซึ่งมันเอาไว้
การบังคับ มันดีสำหรับคนที่ใช้มัน ส่วนคนที่ถุกบังคับ จิตใจความรู้สึกมันพัง.
กินเครื่องเทศเยอะ คึกคัก ลั้นลา อิ่มอร่อย เลยวุ่นวายเรื่องรัก
นางไปหาข้อมูลเก่งมาก
เห็นคนในหมู่บ้าน โดนคุมถุงชน แต่อายุมากกว่าพ่อแม่เราอีก เขาก็ดูรักกันดีมีลูกสองคน แต่พอพ่อแม่เขาตายก็หย่ากันเฉย มันเหมือนว่าเขามีความคิดว่าถ้าหย่าก็เหมือนหักหน้าพ่อแม่ ต่อให้เกลียด ไม่ชอบ ไม่พอใจก็ทนเอา แต่ถ้าหาเองมันเป็นเรื่องของความสัมพันธ์ที่เราสมัครใจตั้งแต่แรก ไม่แปลกที่จะมีอัตราเลิกกันมากกว่า
ความรัก เริ่มที่รัก หากจะต้องจบลง ก็ควรลงท้ายด้วยความรักเช่นกัน อกหักก็ว่าเจ็บแล้ว แต่ความเหงา เจ็บยิ่งกว่า
สงสารผญ..ที่เกิดในอินเดียมากๆ เอาความเชื่อผิดๆมาปกครองผู้คน ทำให้เกิดโศกนาฏกรรมวนไปเวียนมา
คนอินเดียพูดอังกฤษเก่งทุกคนเลยอะ😯
ผมโชคดีที่เกิดเมืองไทย ขอเกิดในไทยทุกชาติไป
เรื่องจริง ผมมีเพื่อนที่รู้ตัก10คน(หญิง5ชาย5) 5 คนเลือกเอง อีก5คนพ่อแม่หาไห้ สรุป คู่ที่พ่อแม่หาไห้มีคู่เดียวที่เลิก 4คนอยู่เกิน10ปีขึ้น ส่วนหาเอง รอดแค่1คู่ (คู่ที่พ่อแม่หาไห้ คือ ผู้ชายที่เลิก ส่วนอีก4ที่เบิกคือหาเอง)ปล.ผมโสดไม่มีใครเอาแถมพ่อแม่ดันหัวสมัยใหม่ไห้หาเองเลยไม่มีใครเอา555
ขนลุกนะต้องแต่งงานแบบคลุมถุงชน ใช้ชีวิตกับคนที่ไม่ได้เลือก ร้ายที่สุดคือต้องมีลูกด้วยกัน
ได้มุมมองใหม่ดีจริงๆขอบคุณคะ
ก็จริงของเขานะ ทุกวันนี้คนเลิกกันก็เพราะทัศนคติ ไลฟสไตล์ไม่ตรงกัน ถ้าพ่อแม่ซึ่งเป็นบุคคลที่สามมาเลือกให้ ก็คงจะมองออกว่าถ้าหมดความเสน่หาแล้วจะไปกันรอดรึเปล่า
มีสาระ.น่ารับรู้.เรื่องราว.ความแตกต่างของชีวืตร
ความเชื่อ ต้องแต่งงาน สุดท้ายเพราะเหตุนี้ประชากรจึงล้นเกินประเทศรับไหว ทรัพยากรในการส่งเสริมเติบโตต่ำเกินไป
อยู่อเมริกา เจอแฟนคนอินเดียมาเรียน ป โท คบกัน 4 ปี พ่อแม่ให้กลับไปแต่งงาน ตอนแรกแฟนก็คิดจะคุยกับพ่อแม่ แต่พอกลับไปเยี่ยมบ้าน 1 เดือนแล้วก็กลับมาบอกว่า ไม่มีหวัง ทรยศพ่อแม่ไม่ได้จริง ๆ เพราะทางบ้านพ่อแม่ไม่ได้รวย แต่ยอมลำบากส่งเสียให้มาเรียนที่อเมริกา ถึงแม้ตัวเขาจะสอบชิงทุนมาได้แต่ค่าใช้จ่ายระหว่างเรียนก็เล่นเอาทางบ้านต้องขายบ้านในเมืองกลับไปอยู่หมู่บ้านเล็ก ๆ ที่เคยอยู่ ใช้ชีวิตอย่างประหยัดส่งลูกเรียนเพราะเป็นความหวังของครอบครัว เสียใจมากทั้งคู่ แต่ก็เลิกกันด้วยความเข้าใจ
เสียใจด้วยค่ะ จากที่อ่านแฟนคุณเป็นคนดีกตัญญูรู้คุณและไม่เห็นแก่ตัว
โกรธ ไม่ลงจริงๆ ไม่มีทางเลือก เข้าใจทั้งสองฝ่าย
พยายามทำใจอยุ่ค่ะ.😢😢
ตอนนี้กำลังทำใจอยู่ค่ะ
ฟังดูเป็นประเทศที่ปราศจากความรักไปเลยแฮะ ไม่ได้มีความเชื่อในความรัก มองการแต่งงานเป็นแค่ขั้นหนึ่งของชีวิตเหมือนเรียนจบ รับปริญญา ทำงาน อะไรแบบนี้ เราฟังแล้วดูน่าเศร้าแต่เขาคงทำกันมาจนคิดว่าการอยู่แบบไม่มีความรักเป็นเรื่องปกติ
อาจารย์ของผมมีเพื่อนชาวอินเดียที่แต่งงานแบบคลุมถุงชน และได้ถามถึงประเด็นแต่งงานแบบคลุมถุงชน ชาวอินเดียให้คำตอบว่า คนอินเดียส่วนมากจะสละความรู้สึกส่วนตัวที่จะหาความสุขกับความรัก เพื่อประโยชน์ของตระกูลที่จะต้องยกไว้ให้ยิ่งใหญ่กว่าตัวเขา หญิงหรือชายที่แต่งงานข้ามตระกูลเห็นได้ชัดว่าทำตามใจตัวเองไม่สนใจตระกูลหรือจารีตจึงถูกรังเกียจมาก
Wj¹
เคยถามแฟนที่เป็นฮินดู คำตอบที่ได้มาประมาณนี้เลยค่ะ i dont believe in love i believe in family
อีกปัจจัย 1ของการคุมถุงชน คือการคาดหวังของพ่อแม่นั้นเอง จึงทำให้มีการนอกใจน้อยมาก เพราะมีคนจับตามอและคาดหวัง ไม่ใช่แค่ คน2คน
พวกที่แต่งงานแบบคลุมถุงชน มันก็อยู่กันแต่ในกลุ่มหมู่บ้านนั้น คงไม่ไปอยู่ที่รัฐอื่นหรือจังหวัดอื่น สมมุติ จับแต่ง งานกันในรัฐทางเหนือ แล้วมาทำงานในเมืองหลวง (มุมใบ) ต่างคนต่างทำงาน เจอสังคมที่แตกต่างจากรัฐบ้านเกิด ความเป็นอยู่แตกต่างชนิดหน้ามือหลังมือ ผมว่า หากคู่นี้สาวสวย หนุ่มหล่อ มีโอกาสเจอคนที่ดีๆ เยอะมาก ทัศนคติต่อชีวิตที่คลุมถุงมากแน่นอน ผู้หญิงอาจเจอผู้ชายที่ใช้ชีวิตแบบสากล ให้เกียรติผู้หญิง และเขามีงานทำ หาเงินเองได้ ส่วนผู้ชายก็อาจยึดประเพณีเก่าแก่ที่บ้านเกิด ถือว่าผู้หญิงเป็นแค่ที่ระบายความยาก อีกอย่างทั้งสองคนไม่ได้รู้จักกันมาก่อน ไม่ถึงกับแบบตะวันตก หรือไทย เรา ที่บอกว่าเราต้องอยู่กันแบบผัวเมียเพื่อทดสอบเรื่องบนเตียงว่าเข้ากันได้ไหมสัก2-3ปี พอเบื่อ ค่อยหาใหม่
จริง สังคมของเขาจะเชื่อฟังพ่อแม่มาก และวนเวียนอยู่กับญาติๆวงศตระกูลพวกเขานั่นแหละ ถ้่าจะเลิกกันก็กลัวพ่อแม่ญาติพี่น้องขายหน้าอับอาย นี่มีเพืื่อนคนอินเดีย กับปากีสถาน ที่ถูกจับแต่งงานแบบนี้ ถามพวกเขาพวกว่าทำไมต้องยอม เขาบอกว่าเพราะพ่อแม่ย่อมเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูก พูดเหมือนวัยรุ่นในคลิปนี้เลย
คาดว่าสาเหตุที่คลุมถุงชนแบบอินเดียไปรอด เพราะความต่างทางวรรณะด้วยค่ะ เพราะวรรณะเดียวกันก็มีอะไรที่คล้ายๆกัน
มนุษย์ไม่คล้ายกันสิแปลก ไม่ได้เกิดออกมาสี่ตัวห้าบาทมีหลายแขน หลายขา แค่นิสัยใจคอหน้าที่การงาน มันเหมือนกันทุกคนแหละสันดานดิบคือหนึ่งในนั้น
ไม่ใช่หรอกคับ เพราะวัฒนธรรมเค้านั้นแหละ หากเป็นม่ายยิ่งกว่าไร้ค่าและผู้ชายเป็นใหญ่ จะเลิกก็มีปัญหามามากมายคับ ไม่ใช่เหมือนบ้านเราเข้ากันไม่ได้ก็เลิกหาใหม่ได้แบบง่ายๆ
คนที่โตมาต่างบริบทสังคมกัน บางคู่ก็ยากจะเข้ากันได้จริง แต่บางคู่ก็เข้ากันได้ หากมี mindset หรือ รสนิยมการใข้ชีวิตที่คล้ายๆกัน
@@lannastory1841
ล
@@phalangbai4x100 ใช่ค่ะ ถ้าเลิกกันและเป็นม่าย เขายอมทนแบบนั้นไปตลอดชีวิตดีกว่า เพราะมันเหมือนโดนรังเกียจไปเลย
ขอบคุณที่สร้างรายการแนวนี้มากๆค่ะ ได้เปิดมุมมองใหม่ๆรอบโลก รับรู้ถึงวัฒนธรรมและประเพณีที่ต่างกัน เลยอยากให้ทำรายการแบบนี้ตลอดไปเลยค่ะ
เราที่นึกว่าทุกคนรู้หมดแล้ว
ความเชื่อแบบนี้เปิดโลกเรามาก คิดไม่ออกเลยว่าถ้าพ่อแม่จับคลุมถุงชน เราจะระเบิดบ้านเละแค่ไหน😂
คิดว่าที่เขาคิดเเบบนี้กันมันก็ไ่ม่ผิดหรอก เพราะเขาถูกปลูกฝั่งมาอย่างนี้ ความเชื่อที่ถูกส่งต่อกันมามันลบล้างกันยาก เเต่ความรักมันไม่ได้มีไว้เพื่อสร้างครอบครัวอย่างเดียว มันมีไว้เพื่อให้เราไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยวหรือเป็นคนเดียวที่เข้าใจเราคนเดียวในโลก ชีวิตจะอยู่กับความไม่คาดหวังอะไรเลยมันยากเเม้จะถูกคลุมถุงชนก็ยังมีความคาดหวังอยู่ มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมาบอกว่า อยู่ด้วยกันเพราะไม่ได้คาดหวัง เเค่เราถูกจับคลุมถุงชน นั้นก็เป็นความคาดหวังของตัวพ่อเเม่เเล้ว
แต่ไหนแต่ไร การแต่งงานกับความรักเหมือนจะเป็นเรื่องเดียวกันแต่มันไม่ใช่
ความรักเป็นเรื่องของคนสองคน
การแต่งงานเป็นเรื่องของครอบครัวสองครอบครัว
ยิ่งการแต่งงานเกิดขึ้นในภาวะสังคมที่เคร่งครัดอย่างอินเดีย ไม่มีทางเลยที่ความรักจะสำคัญพอจะเป็นตัวตัดสินในการเลือก ความเหมาะสมทางสังคมต่างหากที่จะเลือกว่าจะแต่งกับใคร
สุดท้ายก็คือบังคับแต่ง คลอดลูก และล้นประเทศ ... งมงายแบบไร้อนาคต (อนาคตที่หมายถึงความสมดุลในการจัดสรรค์เพื่อบุคคลมีคุณภาพต่อการพัฒนาประเทศ)
@@tanakimpradit205 ในระบบวรรณะก็เป็นอย่างที่คุณว่าจริง แต่ถ้าพูดถึงประเด็นแต่งงานโดยใช้ความเหมาะเป็นเกณฑ์ละก็ พบเจอได้ทุกที่ค่ะ คนที่เติบโตมาในวิถีชีวิตใกล้เคียงกัน สามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันได้ง่ายกว่าคนที่เติบโตมาต่างกัน สถานะที่เสมอกันสามารถส่งเสริมชีวิตของกันและกันได้มากกว่า ความง่ายจะทำให้ชีวิตคู่ยืนยาว เมื่อใดที่คุณแต่งงานจากความรักเพียงอย่างเดียว ถ้าความรักมันไม่ได้เข้มข้นอีกต่อไป ต้องพบอุปสรรคมากมายและความจริงที่ว่าชีวิตคู่มันเหนื่อยจากความแตกต่างที่เข้ากันไม่ได้ รวมถึงข้อเสียต่างๆอีก อย่างที่บอกปฏิเสธไม่ได้หรอกค่ะความรักเป็นเรื่องของคนสองคนจริงค่ะ แต่การแต่งงานเป็นเรื่องของครอบครัวสองครอบครัว มันต่างกันเหมือนหมอกกับควัน
เรารู้จักกับเพื่อนอินเดียที่มาเรียนป.เอกในไทย รู้จักกันมาเกือบจะสิบปีละ เราสองคนมีค.รู้สึกดีๆให้กัน เขาบอกรักเรา อยากอยู่กับเรา แล้วเมื่อไม่นานมานี้ หลังจากที่เขากลับประเทศ เขามาบอกเราว่าเขาจะแต่งงานปีหน้า เราก็..ห๊ะ เขาบอกพ่อแม่เขาหาผญมาให้แต่งด้วย เราถามเคยเจอผญคนนั้นหรือยัง เขาบอกยัง เราถามต่อคุณจะอยู่กับผญที่คุณไม่ได้รักได้หรอ เขาตอบ "ได้" .....เราก็โอเค วฒนธ.บ้านคุณกับบ้านฉันมันคงต่างกันเกินไป อีกอย่างพ่อแม่เขาไม่อยากได้สะใภ้ต่างชาติ 😔😔 แส้ววว
เซอร์ไพรส์กับคำตอบของเด็กๆ นอกจากตัวเองที่น่าจะรู้จักตัวเองดีที่สุด
แต่เด็กๆกลับเชื่อว่าพ่อแม่รู้จักตัวเองดียิ่งกว่า วางใจกับสิ่งที่ดีๆที่พ่อแม่เลือกให้
และยิ่้มรับอย่างเต็มใจถ้าพอ่แม่เลือกให้ด้วย
ความแตกต่างทำเอาเซอร์ไพรส์ได้เสมอเลยค่ะ
สงสารเด็กๆนะคะ ถ้าเป็นเราอยู่ในสังคมแบบนั้นก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน ด้วยความเชื่อที่เหนียวแน่นขนาดนั้น และเด็กๆไม่ดิ้นด้วยเพราะไม่มีที่ให้ไปเลยยากที่จะเปลี่ยนความคิดคลุมถุงชนของอินเดียมากๆ
นึกถึงคนไทยไม่นานมานี้ที่น้ำหูน้ำตาไหลบอกว่าฝรั่งจะมาเข้าใจอะไร ก็คงคล้ายๆกัน ในมุมมองคนนอกอาจมองเห็นแค่โง่ชิบหายไม่เห็นต้องทำตามพ่อแม่ จบ
Honor killing ที่ได้ยินบ่อยๆส่วนหนึ่งก็มาจากแต่งงานข้ามวรรณะ หรือท้องก่อนแต่งเพราะพ่อแม่ไม่ให้แต่งงานด้วย หรือปฏิเสธครอบครัวผู้ชายและญาติฝั่งนั้นเสียหน้า
บางทีที่เออออกัน ก็มาจากความกลัวตาย กลัวเสียหน้า กลัวพ่อแม่ อยากแต่งงานไวๆ อยากอวดเพื่อน และอีกหลายๆมิติ
อยากไปช่วยหรือไปสอนดีไม่ดีโดนด่ากลับมา เพราะคนที่ได้ประโยชน์มันก็มี
@@john.blovelykook9083 บางครั้งการที่ผู้ใหญ่หาให้ มันคือทางเลือกที่ดีน่ะ เพราะเห็นที่หากันเอง เลิกกัน70%
หวานอมขมกลืน
@@AgeofHistory-br2rj ส่วนใหญ่ที่ผู้ใหญ่เลือกให้อาจจะไม่เลิกกันเพราะสถานะทางสังคมนะ แต่ก็อยู่ในสภาพที่เลิกกันแต่ยังอยู่ด้วยกัน90%
ฟังไปฟังมามันก็จริงของเขานะ การจะรักใครเราก็มีสเปคของเรา เราก็จะเลือกและคาดหวังให้เขาเป็นอย่างที่เราต้องการ แต่ถ้าคลุมถุงชนเราจะเน้นการปรับตัวเข้าหากันจนลงตัว อันนี้คือดี 😁❤
ปรับตัวเข้าหากัน? สุดท้ายก็อยู่ร่วมกันสืบพันธุ์กัน ประชากรล้นประเทศ... ไม่เข้าใจรัฐบาลวางแผนค้ามนุษย์ค้าอวัยวะคนรึไง ถึงไม่ห้ามการกระทำที่ทำให้เด็กกำเนิดใหม่กลายเป็นทาสชนชั้นถูกหลอกหลอนว่าเชื่อฝังผู้ใหญ่คือดี ถูกสั่งสอนว่าชั้นต่ำๆกว่าอัปปลีอย่าคบหา
ความเจริญทางด้านความคิดตกต่ำ เทคโนโลยีอ่อนด้อย แต่ดันมีประชากรส่วนหนึ่งที่มีความสามารถจริงๆดึงประเทศขึ้นสูงท่ามกลางปรสิตโกงกินชาติ...
@@tanakimpradit205 มีปมด้อยอะไรหรือปล่าว? ผมพูดถึงความคิดการที่มีคู่ครองคือการปรับตัวเข้าหากัน ไม่ใช่การพยายามหาคนที่ตรงกับสเปคของเรามากที่สุดก็แค่นั้น ยังไม่ได้เห็นดีด้วยกับรัฐบาลหรือการแบ่งชนชั้นเลยสักนิด สักแต่จะด่าไม่อ่านเนื้อหาที่ผมพิมพ์ไป ฟังไม่ได้ศัพท์..จับไปกระเดียด 👎
น่าคิดนะ หลายครั้งที่อะไรที่เกิดจากความคาดหวัง มันมักตาม มาด้วนความผิดหวังจริงๆ เจ็บปวด
@@apinyapooc พอไม่ได้คาดหวังก็ไม่เจ็บใจ แต่เจ็บการจากการถูกผัวตบตีอยู่ทุกวัน ในบางครอบครัว
ในประเทศทางยุโรป(จำไม่ได้แล้วประเทศไหน)สมัยก่อนถึงกับมีคดีขายน้ำหอมที่ให้ฆ่าสามีตัวเองเพราะถูกทำร้ายจากคู่แต่งงานที่มาจากคลุมถุงชนและไม่มีสิทธิหย่าเองได้ ถ้าอยู่ยุคนั้นคนก็จะบอกว่าถึงเลือกเองแล้วสุดท้ายต้องหย่าก็ดีกว่าไม่ได้เลือกแล้วอยากหย่าแต่ทำไม่ได้
การแต่งงานแบบคลุมถุงชนมีอัตราการหย่าร้างน้อยเพราะมีความคาดหวังน้อย และยอมรับพฤติกรรมของกันและกัน การแต่งงานที่เกิดจากความรัก มักจะเริ่มต้นด้วยความคาดหวัง // จากแนวคิดนี้ เห็นได้ว่าแนวคิดเขาคือ ไม่คาดหวัง = ไม่ผิดหวัง
สุดท้ายสิ่งที่คุณจะกล่าวมนุษย์ก็แค่สัตว์ไร้ปัญญา จับผสมพันธุ์กันกับใครก็ได้ไม่ต้องสน แค่ฐานะดีก็จับมัดรวมกัน และผสมพันธุ์ก่อนออกลูกมาเป็นทาสระบบ หรือไม่ก็ล้นประเทศ
อืมๆการกระทำแบบนั้นทำให้การจัดการทรัพยากรมนุษย์ยากไปอีก บังคับมีลูกจับแต่งงาน จนทรัพยากรประเทศไม่พอใช้การศึกษาเหลื่อมล้ำ อาชีพไม่พอต่อประชากร แข่งขันไม่ได้ก็โกงกันเอาเพื่อได้มีอยู่มีกิน
หาหมอมั้ย
@@tanakimpradit205 คุณอย่าได้แปลกใจหากอินเดียมันยังเป็นที่เราเห็นๆ รวยจนเผาเงินเล่นก็ยังไม่หมด ที่จน ๆ ก็แทบจะหาผ้าพันตัวไม่ได้
อันนี้จริง พ่อแม่เราก็คลุมถุงชน ป่านนี้ยังอยู่ด้วยกันดี แม้ว่าจะทะเลาะกันบ้างแต่ก็อยู่ด้วยกันเพราะความเกรงใจต่อผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย พอเห็นคนรุ่นใหม่ที่ไม่ยอมแต่งงานกับคนที่ไม่รัก อัตราการหย่าร้างกลับมากกว่าสมัยก่อนแต่อาจเนื่องด้วยวัฒนธรรมที่ต่างไปจากเมื่อก่อนมาก ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับทั้งคู่ว่าจะยอมรับความเป็นตัวตนที่แท้จริงได้หรือไม่
@@nata.5270 คนละยุคสมัยแล้วครับ เมื่อก่อนใครมีลูกผู้หญิง คือเสนียดบ้าน ต้องให้ผู้ชายดูแล ลูกผู้หญิงก็ขายมันออกไป (บังคับแต่งงานพ่อแม่ได้เงินสินสอด จบ) ผ่านไป 30-40ปี ลูกผู้หญิงเข่ไปอยู่ในสภาพแวดล้อมดี ขยัน ค้าขายจนมีฐานะร่ำรวย มีลูกหญิงชาย ส่งให้เรียน มีงานทำดีๆ พ่อแม่ ที่ยกสมบัติให้ลูกชายดูแล มันขาย ให้ลูกมัน ไม่แบ่งให้น้องๆเลย ตอนนี้พ่อแม่ แทบจะไม่มีกิน จะเดินไปขอเงินลูก ที่เขาถีบส่งไม่ให้อะไรเลย ผมว่าคนแบบนี้ไม่สมควรเลี้ยงก็ให้เขาอยู่กับคนที่มอบทรัพย์ให้ระ่นแหละ
ขอบคุณบรรพบุรุษ
ที่ได้เกิดในประเทศไทย
เมืองไทยก็มีเยอะครับ เรื่องคลุมถุงชน
สมัยก่อนไทยก็มีครับ คลุมถุงชน 😅😅😅 ต้องขอบคุณคนสมัยนี้ครับ
สำหรับผมช่องนี้คือที่สุดของใจเป็นช่องที่ดีมากๆ ความบรรเทิงความรู้ได้ทุกรูปแบบ
ได้เห็นหลายๆมุม บนโลกจากช่องนี้ ชอบมากครับ
ถึงเราจะไม่เห็นด้วยกับความคิดของคนอินเดียที่มีการคลุมถุงชน แต่เราก็มองว่าน่าสนใจนะ สังคมอินเดียมีระบบวรรณะที่ชัดเจนมาก รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่ลูกที่เป็นลักษณะเฉพาะ
ผมชอบแบบอินเดียอย่างนึงคือ ไม่คาดหวัง เพราะบางทีเราคาดหวังกับความรักคาดหวังว่าคนที่เรารักต้องเป็นแบบนี้แบบนั้น พอไม่ได้เป็นแบบที่เราต้องการ ก็เกิดการเบื่อกัน ไม่พอใจกัน ต่างคนต่างเริ่มเอาเหตุผลของตัวเองมา สุดท้ายก็เลิกกัน บางครั้งเราอยู่กับการไม่คาดหวัง มันก็ดีน่ะ ทุกเรื่องเลยไม่ใช่แค่เรื่องความรักอ่ะ คือแบบไม่ต้องคาดหวังว่าคนที่เรารัก จะเป็นคนแบบที่เราต้องการอ่ะ อยู่กันไปก็ค่อยๆปรับเปลี่ยนไป เพราะบางทีเราจะให้อีกคนนึงทำให้ถูกใจเราทุกอย่างคงไม่ได้อ่ะ เพราะขนาดตัวเราเองยังทำให้อีกคนถูกใจทุกเรื่องยังไม่ได้เลย พูดง่ายๆคือ ถ้าเราไม่ได้คาดหวังว่าเราจะถูกหวย ถึงเราจะไม่ถูกเราก็ไม่ได้เสียใจอะไร แต่ถ้าเราไปคาดหวัง ไปนอนหวังว่างวดนี้เราจะถูกหวย แต่พอมันไม่ถูกขึ้นมา เราก็เสียใจ และก็พูดกับตัวเองว่างวดหน้าเอาใหม่
รู้งี้น่าจะเล่นเลขนี้ ถึงมีคำพูดไง รู้ไร ไม่เท่ารู้งี้
จากที่ฟังๆคนส่วนมากเค้าก็ดูมีความสุขกันดีนะคะ ที่พ่อแม่เป็นคนเลือกคู่ให้ มีแต่เรานี้แหละค่ะไปตัดสินคิดแทนเค้าเอาโลกตัวเองเป็นบรรทัดฐานว่าอันนี้ไม่โอเค
👍🏼👍🏼
ก็เราใช้มาตราฐานสากล มาเปรียบเทียบ ว่าดีหรือ ไม่ดี ดังนั้น เราจึงไม่ค่อยจะได้เห็นคนอินเดียแต่งงานกับชาวต่างชาติ เว้นแต่ไปอยู่ต่างประเทศ ดังนั้นประชากรอินเดียจึงเพิ่มในอัตราก้าวหน้า
@VAN Series ได้ดูให้จบหรือปล่าว...นอกจากจะใช้สมองและสติในการหาคู่ให้ลูกแล้ว พวกเขายังจ้างนักสืบเพื่อตรวจสอบประวัติอีกฝ่ายด้วย...จริงอยู่การคลุมถุงชนมันเป็นเรื่องไม่ชอบธรรม แต่ในมุมของความรักแล้ว แสดงให้เห็นว่าพวกเขารักลูกมาก อยากให้ลูกมีความสุขกับครอบครัวของตัวเองตลอดไป
@VAN Series ท้องก่อนแต่งเหรอ?...หรือว่าหาพ่อของเด็กไม่ได้
@VAN Series เหรอ? แล้วไง?
17:44 ก็นึกมาตลอดว่าความรักคือความรู้สึกต่อบางอย่าง แต่การที่พ่อบอกว่าใช้สมอง เหตุและผลในการเลือกคู่ สุดท้ายมันก็เหมือนกับดูว่า เลือกคนนี้แล้วเรา(ลูกหรือครอบครัว)จะได้อะไร เสียอะไร ผมฟังนี่เหวอเลยครับ แต่ก็แปลกดี พอเข้าใจได้ ในสังคมของอินเดีย ครอบครัวและความเชื่อมีอิทธิพลมากที่สุด
มันเหมือนความรักคือผลประโยชน์ของครอบครัวเลยเนอะ
จริงครับ เราฟังแล้วแปลกมาก
แปลกแต่จริง เขาน้อมรับวัฒนธรรมนี้อย่างเต็มใจ 100% ไม่เกี่ยงงอนยกเว้นใดๆ ทึ่งมากกกก
เป็น ep ที่เต็มไปด้วย bias มีแต่ อคติ ล้วนๆ
สภาพสังคม สถาบันครอบครัวอินเดีย
พ่อแม่เลี้ยงลูก ดูแลลูก สร้างความสนิทสนม
ไม่แปลก ที่ลูกไว้วางใจพ่อแม่ ยอมให้คลุมถุงชน
ไม่ใช่ว่า สิ่งที่ประเทศนึง คิดว่าดี จะดีกับทุกๆ ประเทศ
ผมก็คิดว่า ถ้ามันไม่ดีมันคงไม่อยู่มาได้จนทุกวันนี้และวัยรุ่นที่ได้รับการศึกษาแบบสมัยใหม่ก็ยังพอใจกับแนวคิดนี้อยู่ แสดงว่าต้องมีอะไรดีที่เรายังไม่ได้สัมผัสจนเข้าใจ . . .
ไม่คาดหวัง = ไม่ผิดหวัง คือสิ่งที่จริงที่สุด แต่การที่เราหวังมันเป็นสิ่งที่บอกว่าเรามีความคิดความรู้สึก
ชอบความคิดของเขานะที่ว่า "ไม่คาดหวังก็เลยไม่ผิดหวัง" เหมือนต่างคนมีหน้าที่อะไรก็ปฏิบัติไปตามหน้าที่ของตน เป็นสามีก็ทำหน้าที่สามีเป็นภรรยาก็ทำหน้าที่ภรรยา
มันก็มีอีกมุมหนึ่ง ที่การแต่งงานแบบคลุมถุงชนมีอัตราการหย่าน้อยกว่าเพราะว่าคู่แต่งงานต้องแบกสถานะทางสังคมกับครอบครัวทั้งสองฝ่าย ทำให้ตัดสินใจหย่ากันยากขึ้น มีหลายข่าวที่นำเสนอเรื่องผู้หญิงอินเดียถูกทำร้ายโดยสามีแต่ไม่กล้าหย่าเพราะเป็นคนที่พ่อแม่เลือกให้นี่แหละ
ชอบเรื่องเกี่ยวกับอินเดียๆมากๆเลยค่ะ ขอบคุณที่นำมาให้ดูนะคะ เราทั้งอ่านทั้งดูสารคดีเกี่ยวกับอินเดียวเลยค่ะเพราะชอบ5555 อาหารอินเดียสก็อยากกินมากแต่แพงมากในไทย อยากลองไปมากๆ😆😆
ผมเองก็แต่งกับภรรยาที่เพิ่งรู้จักกัน 3เดือน และพ่อแม่เป็นคนจัดการให้ทุกอย่าง ตอนแรกก็ไม่อยากแต่ง อยากทำความรู้จักก่อน แต่ก่อนหน้ามีแฟนมากี่คนๆพ่อแม่ไม่เคยว่า แต่ก็ไม่รอดสักคน เลยเชื่อแล้วก็แต่ง ตอนนี้แต่งกันมา 5ปีแล้ว ชีวิตมีความสุขมาก เหมือนยังจีบ ยังเขินกันทุกวัน ไม่เคยทะเลาะกันสักครั้งเดียวตลอด 5ปี แม้นแต่ขึ้นเสียง หรือตะคอก หรือเถียงกันก็ไม่เคย คิดอยู่เสมอว่าน่าจะเชื่อพ่อแม่ตั้งแต่แรก
ขอบคุณมากค่ะ พี่ณาและทีมงาน ที่ทำคลิปดีๆแบบนี้ให้พวกเราได้เห็นวิถีชีวิตของผู้คนทุกชนชาติเป็นกำลังใจให้ทำคลิปดีๆแบบนี้ตลอดไปนะค่ะ😍😍😍😍😍
ไม่กดข้ามโฆษณาเลยค่ะ ❤️❤️❤️
' การคลุมถุงชนเหมือนการบังคับ ' ผมเห็นด้วยบางอย่างแต่ผมก็คิดต่างนะ ความรักเริ่มแรกก็เกิดจากคนสองคนไม่รู้จักกัน คนทุกคนใช่ว่าจะแสวงหาความรักในช่วงวัยรุ่นทุกคน ดูตัวอย่างเพื่อนเราในตอนเรียนสิครับบางคนคลั่งรักมีแฟนบางคนตั้งใจเรียนบางคนไม่อะไรกับความรักก็มีเยอะแยะไป ผมว่าคนคลุมถุงชนก็ใช่ว่าจะเป็นคนมีความรักมาก่อนแล้วรู้สึกว่าถูกตัวเองถูกบังคับแค่รอเวลาทำความรู้จักคนที่พ่อแม่เลือกให้ไว้ในเวลาที่เหมาะสม เคยนั่งฟังเพื่อนที่ไปเรียน รร.นานาชาติที่อินเดีย เพื่อนบอกว่าเด็กอินเดียส่วนใหญ่พ่อแม่คลุมถุงชนให้หมด ใครขอเป็นแฟนก็ปฏิเสธกันหมดบอกว่ามีคนที่พ่อแม่เลือกไว้ให้แล้ว ถามว่าเหมือนโดนบังคับมั้ยส่วนใหญ่ก็ตอบว่าไม่.คิดว่าพ่อแม่แนะนำยังไงก็คือสิ่งที่ดีที่สุดเหมือนในคลิปเลย สุดท้ายแล้วมันก็คือรักแรกที่พ่อแม่เลือกให้ในเวลาที่เหมาะสมในกรอบจริยธรรม ซึ่งมันก็มีดีมีแย่ปนกันไป
จะจีบเองก็ดี จะให้พ่อ แม่จับคู่ให้ ก็ได้ ขอให้ทั่งคู่ ทั่งครอบครัว เข้ากันได้ ถูกใจ ถูกกาย รักกัน เป็นพอ....
ครั้งแรกในชีวิตที่ได้ยินเรื่องคลุมถุงชน ความรู้สึกความคิดแรกที่เกิดขึ้นมาที่จำความได้ มันมีแต่ความคัดค้าน ไม่เห็นด้วย แต่พอผ่านชีวิตมาจนถึง30 ผมเคยแอบคิดเรื่องนี้อยู่คนเดียวบ่อยๆว่า ชีวิตยุคสมัยนี้คนเราเหนื่อย เครียดหลายเรื่องมาก ทำงาน หาเงิน ความก้าวหน้าทางอาชีพการงาน ความมั่นคง ฯลฯ และยังต้องมาเหนื่อย เครียดเรื่องหาคู่ที่ไม่รู้จะมีจุดพอใจที่ตรงไหน ดูจากสถิติการแต่งงานของคนยุคนี้ที่ลดลง จนทำให้ผมคิดว่าถ้าบางทีเรามีวัฒนธรรมการคลุมถุงชนที่ไม่ได้บังคับแต่งงานไปเลย แต่เป็นการที่พ่อแม่คอยแนะนำ ญ/ช ให้เรารู้จัก ชีวิตอาจจะเหนื่อยน้อยลงบ้างหรือเปล่า
จริงๆผมว่าการไม่มีคู่ มันเป็นความเครียดนึงของมนุษย์ปถุชนนะครับ การไม่มีคู่ สำหรับผมคือ
1.คุณไม่มีคนที่ไว้ใจได้จริงๆเลย ในชีวิต (ยกเว้นพ่อ-แม่)
2. ตอนแก่เฒ่าไปใครจะคอยดูแลกัน บางคนบอกหาเงินให้หมอพยาบาลดูแล ผมคิดสภาพไม่ออกเลยถ้าจะให้ใครก็ไม่รู้มาคอยเช็ดตัว เช็ดขี้ เช็ดดเยี่ยวให้ทุกวัน
(หรือไม่งั้นถ้าอยู่ในภาพนั้นคงต้องผูกคอตายไปซะให้มันจบๆ)
3. ไม่รู้จะแชร์เรื่องราวในขีวิตให้ใครฟังได้ จะคอยปรับสุขทุกข์ กับใคร คงต้องนั่งน้ำลายบูดคนเดียวดูยูทูป เนตฟลิกตอน 60 70 80 ไปเรื่อยๆยังงี้หรือเปล่า
แต่ถามว่าการคบุมถุงชนจะแก้ปัญหานี้ได้ไหมผมก็ไม่ทราบเพราะเกิดมาในยุคที่คลุมถุงชนถูกมองว่าเป็นสิ่งผิดไปแล้ว แต่เกิดมาในยุคที่การเลือกคู่ครองเองเป็นสิ่งถูก แต่ความประสบความสำเร็จในขีวิตคู่ที่เลือกกันเองยุคนี้ นับคนได้เลยว่ามีความสุขกี่คนอิงจากคนรอบตัวที่เห็น ได้พบเจอ
คิดเหมือนกันเลย ผมอายุเข้าเลข 3 แล้ว วันๆทำแต่งาน ไม่มีเวลาไปคุยกับใครเลย ส่วนนึงสภาพแวดล้อมก็เปนตัวบีบให้เราต้องมีแฟน ไม่ว่าจะเพื่อนที่มีแฟนกันหมด หรือครอบครัวที่คอยถามอยู่ตลอดว่าเมื่อไรจะมีแฟน
@@ξεβυ หัวอกเดียวกันครับ เหนื่อยจริงๆเนอะครับชีวิตคนเลข3 สมัยนี้ ต้องแข่งขันทุกเรื่องจริง 🥲
ตอนผมเป็นเด็ก แถวบ้าน ก็แต่งแบบพ่อแม่เลือกให้ และส่วนใหญ่จะหย่าร้างน้อยมาก แต่ทุกวันนี้แม้แต่แถวบ้านผม ปัญหาการเป็นชู้กันเยอะมาก ขนาดเป็นบ้านนอกนะ
มันไม่มีถูกผิด หลักปรัชญาซ้อนปรัชญา เช่น การคาดหวังนำมาซึ่งความผิดหวัง การไม่คาดหวังนำมาซึ่งความสมหวังที่ไม่คาดไว้ แล้วแต่ว่าชอบปรัชญาแนวไหน
เป็นประเทศที่เป็นต้นกำเนิดศาสนา แต่น่าจะเปลี่ยนแปลงอะไรยาก เพราะมีหลายปัจจัย แต่ในอนาคตก็จะเปลี่ยนแน่ แต่ก็อาจจะช้ากว่าที่อื่นๆ เหมือนไทย ตอนนี้อะไรต่างๆก็เปลี่ยนไปเยอะ
การคลุมถุงชนทำให้พวกเขาไม่เกิดปัญหาการขาดแรงงาน เกิดมาต้องแต่งงานมีลูกไว้สืบสกุลมากๆ แนวคิดโบราณแต่ส่งผลต่อเศรษฐกิจ ในอนาคตของประเทศอย่างมาก
มันเป็นเรื่องที่สังคมของเขาคุ้นเคยกันมาเป็นพันๆปีแล้ว เราเป็นคนที่อยู่นอกสังคมและนอกชุมชนของเขา เราไม่จำเป็นต้องไปเปลี่ยนแปลงเขา แค่มองดูและเรียนรู้เท่านั้น
โชคดีที่กูเกิดที่ไทย มีอิสระทางเดินชีวิต พ่อแม่ ไม่บังคับให้แต่งงาน ชีวิต เราเลือกเอง
ของเราถึงจะเลือกคู่เอง แต่เราก็ดูหลายอย่าง โดยให้ความสำคัญว่าเค้าจะเป็นพ่อที่ดีของลูกเราได้หรือไม่ เค้ามีความรับผิดชอบมากแค่ไหน ถ้าเราแต่งกับเค้าเค้าต้องทำให้เราเป็นคนดีขึ้นได้ ด้วยความดีของเขายิ่งอยู่กันไปก็ยิ่งรักมากขึ้นไปเอง แถมยังเป็นได้ทั้งเพื่อน พี่ชาย และสามีในคนๆเดียวกัน เพราะเราไม่ได้คาดหวังให้เค้าทำตัวเป็นสามีเราตลอดเวลา เป็นเพื่อนกันมั่งก็ได้ เป็นพี่ชายมั่งก็ได้... มันทำให้เราแทบไม่เคยทะเลาะกัน คุยกันได้ทุกเรื่อง ปรึกษากันได้ทุกเรื่อง ไม่ด่ากันหยาบคาย.. ถ้าเลือกคู่ครองโดยใช้เหตุผลนำหน้าความรัก สำหรับเราคิดว่าดีที่สุดแล้ว😊
การแต่งงาน ในมุมของพ่อแม่ มันก็ถูก ที่เราต้องใช้สมองด้วย แต่ในขณะเดียวกัน แนวคิดที่ว่า อยู่ไปเดี๋ยวก็รักกันเอง ก็ใช่ว่าจะใช้ได้กับทุกคู่เช่นกัน ถ้าคนมันไม่ได้ปิ๊งกันแต่แรกๆ อะไรๆก็ยากไปหมด
ขอเสริมครับความคิดส่วนตัวพ่อแม่เค้าอาดจะอาบน้ำร้อนมาก่อน แน่นอนว่าเค้าย้อมมองว่าชีวิตหลังจากนี้คือการมีลูกมีครอบครัวหน้าที่การงาน การทำมาหากินอะไรที่มากว่าความรัก พ่อแม่รู้ความคิดความอ้านนิสัยลูกดี แต่ถ้าเลือกจากความรักก็ไม่ผิดเพียงแต่เรากว่าจะรู้ว่าใครเข้ากับเราได้ก็เปลี่ยนแฟนไปหลายคนแล้ว
รักรายการนี้สุดๆเลยคะ.. ได้เปิดโลก
ประเทศอินเดีย.... มีความเชื่อทางด้านศาสนาเป็นอย่างมาก....จึงยากที่จะเปลื่ยนเเปลงอะไรง่ายๆ ...เเต่ถึงอย่างไรผมเชื่อนะ...ว่าถ้ามนุษย์ยิ่งมีความฉลาดมากขึ้นเท่าไหร่ ....มนุษย์จะยึดเหตุเเละผลมากขึ้น....ความเชื่อทั้งหลายจะค่อยๆ หายไปในที่สุด '
แล้วอีกกี่ปีล่ะท่าน?
@@หน่วยต่อต้านพวกแพะกินเด็ก อันนี้ตอบยากครับ... เป็นเรื่องของอนาคต...เเละสติปัญญาเเละการพัฒนาของมนุษย์
ไม่เสมอไปถ้าการบูลลี่ของสังคม ยังมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจ
แต่ไม่ใช่กับที่นี่ค่ะ
@@punnaraounlum3262 ที่ไหนครับ
ดูทุกเรื่อง ก็ชอบทุกเรื่องค่ะ ขอบคุณมากนะคะ
การคบหาดูใจกันก่อนแต่งงาน ไม่ได้เป็นการการันตีว่า คู่นั้น จะอยู่ด้วยกันยั่งยืน เพราะความสำคัญของการใช้ชีวิตคู่ คือการยอมรับ ปรับตัวเข้าหากัน เพื่อให้ทุกอย่างลงตัว และดำเนินไปอย่างมีความสุข เนื่องจาก ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ เช่นเดียวกับตัวฉันกับสามีฝรั่ง รู้จักกันทางเว็บไซต์หาคู่ แชทกันแค่3-4วันก็นัดเจอตัว คุยกันตัวเป็นๆช่วงเช้าจนบ่าย ช่วงเย็นฉันก็ตัดสินใจใช้ชีวิตอยู่กับเขาเลย 24มิถุนานี้ ก็จะครบรอบวันแต่งงาน4ปีแล้วค่ะ ถ้านับตั้งแต่วันที่อยู่ก่อนแต่ง ก็ 5ปีค่ะ.
น่าสงสารทั้งผู้หญิงและผู้ชาย พ่อแม่ก็เคยถูกคุมถุงชนน่าจะเข้าใจความรู้สึกนี้ดีแต่บังคับลูกอีก
ก็ถามนิดนะครับเขาเปิดเผยชีวิตจริงให้รายการสัมภาษณ์ขนาดนี้เลยเหรอครับแค่สงสัยครับหรือเป็นการถ่ายทำ
เป็นรายการที่ดีนะครับ
สงสัยเหมือนกัน ชีวิตมันมีความยากของมันอยู่ แต่ทุกคนใน interview ดู happy ตลอดเวลา มันใช่เรื่องทั้งหมดจริงๆมั้ย? แล้ว background เค้าคืออะไร คือถ้ามันดีจริงมากกว่าแค่อินเดียก็ต้องคลุมถุงชนสิ
@@babybaby-wt8pk ที่ส่วนใหญ่ดู happy กันเพราะเค้าไม่ได้เล่าด้านที่ไม่ดีออกมารึเปล่าคะ แบบอาจจะมีทะเลาะกันบ้าง แต่โดยรวมเค้าค่อนข้างโอเคกับชีวิตแบบนี้เลยให้สัมฯเชิงบวกต่อการแต่งงานรูปแบบนี้
เขาก็มีความสุขดี สีสันของสังคม ความเชื่อ และวัฒนธรรมที่แตกต่าง
ความสุข? การฝืนตัวเองและเรียกปรับตัว มันไม่ใช่ความสุข มันก็แค่ข้ออ้างว่าเราไม่มีทางเลือกก็ต้องจำใจ
มันไม่ต่างจากการจับสัตว์ชั้นต่ำมาผสมพันธุ์กันว่าดูมันแข็งแรงหรืออ่อนแอ จับคู่ให้เหมาะ ไม่ให้มันเลือกเอง แต่เราต้องเลือก และจับมันมาสอดใส่กันจนกว่าจะท้อง (มันคือวิธีการผสมพันธุ์ของสัตว์ ไม่ใช่คน) แต่ก็ดันเอาวิธีนี้มา จนสุดท้ายประชากรล้นประเทศ รถลบต่างๆไม่ดีพอรองรับบุคคลมากมาย
ข้อดีของการจับคู่ให้ด้วยพ่อแม่..
๑.เป็นการกตัญญุตาต่อพ่อแม่..ย่อมได้ดี.เพราะไม่เป็นลูกดื้อมันจะบาปถ้าพ่อแม่จัดหาให้..แต่ถ้าพ่อแม่ไม่ได้จัดหาให้อันนี้ก็ต้องแล้วแต่ลูกเอง
๒.ความตื่นเต้น.ย่อมมีมากกว่าหาเอง..และการที่จัดหาให้ย่อมมีการสืบความประพฤติให้ระดับหนึ่งแล้วว่าจะไปกันได้...
ชอบอินเดียเพราะความหลากหลาย.แต่มอบความรักและบูชาพระพุทธองค์ด้วยลมหายใจ.เกิดที่ใดๆๆบนโลกมีแต่ความ.คร่ำครวญ.ขอบคุณดินแดนอินเดียที่ให้บุรุษที่รักแล้วไม่มีเรื่องความทุกข์ตามมาขอบคุณเรื่องราวค่ะ
เค้าไม่ได้บูชาพระพุทธองค์ (หรือพระพุทธเจ้า) นะคะ คนอินเดียนับถือพุทธน้อยมากค่ะถ้าคนในประเทศอินเดียนับถือพระพุทธองค์ ป่านนี้ประเทศเค้าคงไม่มีระบบวรรณะแล้ว เพราะเป็นสิ่งที่พระพุทธองค์ไม่สนับสนุน
คนอินเดียส่วนมากเค้านับถือเทพเจ้าพราหมณ์ฮินดูค่ะ
คู่คุณบราชุน-รัตนา ที่สัมภาษ น่าจะเป็นรักแรกพบนะ เพราะผู้ชายเห็นหญิงสาว ในงานแต่งญาติ แล้วขอแต่ง😍
ศาสนาฮินดูผู้ไฮโซขี้กลางแจ้ง แต่ดันย้ำยีจัณฑาลและหญิงแม่หม้าย
ถึงจะดูเหมือนล้าหลัง แต่โดยรวมดีกว่าการแต่งงานจากความรัก อย่าร้างน้อยกว่า ปัญหาสังคม เด็กพร้าน้อยกว่า บริบทของสังคม ตน ในแต่ละที่ไม่เหมือนกัน เราควรเคารพ ยอมรับ ในความเชื่อ ประเพณี ของกันและกัน และไม่ควรทำลายความเชื่อของไคร
ความรักเป็นส่วนหนึ่งของขั้นตอนการเติบโต การผิดหวังหรือการหย่าร้างจากความรักไม่ใช่เรื่องที่ผิด เหมือนที่รายการกล่าวไว้ข้างต้นว่าบางคนอาจจะดูไม่รู้จักโตสักที มันขาดขั้นตอนที่เขาต้องเรียนรู้และใช้ในการเติบโต ชอบตรงแนวคิดการปรับตัวเข้าหากันมาก หลายๆคู่กันอยู่ก่อนแต่งว่าสามารถปรับตัวหากันได้ไหม ไม่ใช่การทนอยู่หรือกล้ำกลืนเพื่ออยู่ ให้พวกเขาได้ใช้ชีวิตและเลือกคู่เองน่าจะดีกว่านะคะ
วัฒนธรรมทางสังคม เป็นตัวกำหนดแนวคิด... ดูเขาก็พึงพอใจและมีความสุขดี...
คงเหมือนผมโตและเป็นในแบบที่ผมเป็นเช่นกัน.. ชอบและมีความสุข กับดวงนารีอุปถัมของผมแบบนี้.. คบกัน.. เธอหรือเรา จะรอดไม่รอดก็ไม่ได้แปลว่าล้มเหลว.... (เช่นเดียวกัน กับที่เรามีความสุขดี แบบนี้)
ไม่สามารถเอาความคิดเราไปตัดสินใครได้จริงๆ เนอะ....
ดวงนารีอุปถัมภ์แปลว่าอะไรครับ
@@RockStar-xo4ny แนวคิด หรืออาจจะเป็นปรัชญา ส่วนตัวครับ... , ความสำเร็จเรา เกิดขึ้นได้จากคนรอบข้างครับ.. โดยเฉพาะผู้หญิงสาวที่คอยให้การดูแลช่วยเหลือเราครับ
มีคนรักที่ดี มีชัยไปกว่าครึ่งครับ... , ลาภยศ เงินทอง หรือ ชื่อเสียง จะมีค่าหรือมีความหมายอะไร หากเราต้องเดียวดาย ไม่มีใครอยู่ชื่นชม เคียงข้างเรา
@@siphankiratisevee390 ผมเชื่อเรื่องนี้เหมือนกัน มีคู่ดีอะไรๆก็ผ่านได้หมด
คลุมถุงชน นี่ ยังดีกว่า
บางวัฒนธรรมแต่งในตระกูลสายเลือดเดียวกัน เคยเห็นลูกชายทั้ง 2 คน มีพิการทางสมอง
น่าสงสาร
ชอบทุกคลิปเลยค่ะ ได้เห็นมุมมองต่างๆ ได้เห็นโลกกว้าง ขอบคุณที่ทำคลิปดีๆมาให้ดูนะคะ
เรื่องแปลกแต่จริง การแต่งงานแบบคลุมถุงชน ส่วนใหญ่จะอยู่ด้วยกันจนตาย แทบจะไม่หย่าร้างกันเลย
Epนี้ทั้งบันเทิง สนุก และภาพสวย ชอบช่องนี้สุดใจค่า 👏🏻👏🏻👏🏻👏🏻
ไม่มีอะไรสมบูรณ์สูงสุด ไม่ว่าจะเกิดจากความ รัก หรือคลุมถุงชน แต่เราเชื่อเรื่องของวาสนามากกว่า ถ้ามีวาสนาดีต่อกันแต่งแล้วก็รอด ถ้าไม่มีวาสนา หมดวาสนาก็ไปไม่รอด คู่กันอยู่บุญกรรมนำแต่ง ทั้งอดีตและการปฏิบัติต่อกัน ไม่ใช่คาดหวังกับไม่คาดหวัง แต่คือการคอยเติมเต็ม และรับผิดชอบต่อหน้าที่ทั้ง 2 มากกว่า ถ้าเดินไปทั้งคู่อีกคนไม่เดินไปพร้อมกัน ปล่อยให้อีกฝ่ายจูง อุ้ม แบก วันหนึ่งความรักก็หมดได้ เราเชื่อว่าความรักต้องประคับประครอง จากคนที่เคยแต่งงานแล้วไปไม่รอด เพราะถ้าพยายามเกินไปอยู่ข้างเดียวมันจะเหนื่อยไง ครอบครัวอีกฝ่ายก็มีผลมาก ถ้าไม่เห็นแก่ผลประโยชน์อย่างเดียวมีคุณธรรมในใจ เชื่อว่าส่วนใหญ่น่าจะไปรอด คนเราทนได้สุดก็คือเกือบตายแต่ไม่ตาย สุดท้ายก็ต้องเลิก รักกันชั่วชีวิตจึงต้องเป็นคู่ที่สมดุลกัน ทุกวันนี้ก็โอทำไหวทำเหนื่อยก็พักรักษาตัว องค์ประกอบชีวิตมีหลายอย่างนะความเจ็บป่วยก็มีส่วนในการใช้ชีวิต ถ้าได้คู่ที่คอยเติมกำลังใจให้กันก็ดี เชื่อว่าเจออะไรก็อยากสู้ไปด้วยกัน แต่ถ้าคนรอบข้างมีแต่พลังลบๆแจกให้ทุกวันจะมีแรงไปทำอะไร ต้องให้กำลังใจตัวเองทุกวัน ดังนั้นถ้ามีคู่ต้องดีกว่าไม่มี ถ้ามีแล้วแย่กว่าอย่ามีดีกว่า คิดงั้น
ขอบคุณสำหรับข้อมูลที่ดีๆค่ะ
การบังคับรักฟังดูเหมือนข่มขืน แต่คู่ผัวตัวเมียทุกวันนี้ก็ผ่านสื่อเกือบทั้งนั้น ผ่านเพื่อน เพื่อนของเพื่อน ผ่านพี่ป้าน้าอา ผู้หลักผู้ใหญ่ คนเมื่อเริ่มหนุ่มสาวส่วนใหญ่ก็อย่ากมีความรัก แต่ไม่ได้เลือกซื้อเหมือนเดินเข้า 7ผู้ชายหรือหญิงไม่ได้กล้าแสดงออกเหมือนๆกัน ผมรู้จักหญิงข้างบ้านวันหนึ่งผมก็พูดกับเขาว่าเมื่อคืนผมฝันถึงพี่ด้วยซึ่งเป็นครูแก่กว่าผม พี่พูดว่าแล้วพี่ขาดทุนหรือเปล่า ผมไม่ได้ตอบอะไรไม่เข้าใจผ่านไปอีกสิบปีจึงรู้ความหมายการจัดหาคู่ดังกล่าวเป็นเรื่องที่ดีไม่อย่างนั้นคงเลิกไปนานแล้วถ้าผมอยู่ประเทศนั้นคงไม่ต้องรอจนอายู40
จากที่มีเพื่อนอินเดียหลายคน การคลุมถุงชนไม่ใช่ว่าอัตราการหย่าร้างจะต่ำตาม แต่ที่ไม่หย่าเพราะหน้าบาง กลัวถูกนินทา และต้องรักษาหน้าของพ่อแม่
ถ้าได้คู่ไม่ดี จะไม่ต้องโทษตัวเอง เค้าจะโทษพ่อแม่ที่หาคู่ไม่ดีให้
ปัจจุบันนี้..การแก้ปัญหาคือ ไม่หย่า แต่แยกกันอยู่ค่ะ
ผู้ชายอินเดียบางคนแยกกันอยู่กับเมีย มาหาแฟนใหม่เป็นต่างชาติเยอะแยะไป ส่วนผู้หญิงก็จำทนเลี้ยงลูกไปค่ะ
ตกใจมากนะ กับคำพูดของคนเป็นพ่อช่วงท้าย ความรักเป็นเรื่องของสมองเหรอ ไม่ใช่หัวใจกับความรู้สึกเหรอ เลือกเองแล้วเจ็บอย่างน้อยเขาก็ได้เลือกเองป่าว? ปลูกฝังอะไรแบบนี้ก็ไม่แปลกที่เป็นประเทศที่ส่วนใหญ่ยังล้าหลัง แบ่งชนชั้นบ้าบอ และดักดานด้วยความเชื่อห่าอะไรก็ไม่รู้ ไม่คิดจะไปเที่ยวเลย
ดูแล้วศึกษาพอ อย่าเอาความคิดและความรู้สึกของตัวเอง ไปตัดสินเค้าครับ
อย่าไปตัดสินเค้าเลย มองว่าโลกเรามันมีความแตกต่างแบบนี้แหละ แต่กาลเวลาจะค่อยๆเปลี่ยนแปลงความคิดของคนในสังคมไปเอง
เราว่าเค้ามองว่าความรักเป็นเรื่องของความรู้สึก(ไม่ใช่สมอง) ซึ่งอาจจะผิดพลาดได้ค่ะ แต่การตัดสินใจของพ่อแม่คือการใช้สมองคัดเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูก จึงเหมาะสมกว่า
อย่าไปตัดสินใจความเชื่อ วัฒนธรรมของเค้าเลยค่ะ ไทยกับอินเดียไม่เหมือนกัน อินเดียอยู่กับความเชื่อและมีวัฒนธรรมแบบนี้มายาวนานมาก และการไปเที่ยวอินเดีย ถ้ามองว่าสนุก มันก็สนุกมากค่ะ
อึ้งกับประโยคที่ว่า "การแต่งงานแบบคลุมถุงชนนั้นมีการหย่าร้างน้อยมาก" ทั้งๆที่ไม่เคยรู้จักนิสัยของกันเเละกันเลย แต่เขาก็อยู่กันได้
ใครจะไปกล้าหย่า วัฒนธรรมแบบนี้หย่าร้างเป็นม่ายก็โดนรังเกียจเป็นตัวประหลาดในสังคม
เค้าจะกล้าออกมาพูดเหรอว่า ชีวิตแต่งงานเหมือนตกนรก ไม่มีความสุข อกไหม้ใส้ขม หวานอมขมกลืนไปค่ะ ดีกว่าต้องกระโดดเข้ากองไฟตายตามไปค่ะ
ไม่กล้าหย่ามากกว่าค่ะ หย่าจะเป็นหม้าย ผญ.จะผิดจารีตมาก สังคมคงมองไม่ดี
ชูจอย ขอให้นายได้เจอคนดีๆ นะ
โชคดีที่ไม่เกิดในประเทศที่เหมือนนรกแบบนี้ ชีวิตตัวเองยังเลือกไม่ได้
รุ่นกงม่าเราก็คลุมถึงชนค่ะ ส่วนรุ่นพ่อแม่เราคือรักกัน จากประสบการณ์ส่วนตัวเรามองว่าแบบไหนก็มีชีวิตคู่ที่ดีได้ สำคัญสุดคือนิสัยของคู่ชีวิตต่างหากที่จะทำให้ชีวิตแต่งงานรอดหรือเละ
เราคิดว่า คนเป็นพ่อเป็นแม่เขาคงไม่น่าให้ลูกในไส้ไปแต่งงานกับคนไม่ดีหรอก เขาน่าจะคัดประวัติคู่แต่งงานให้ลูกมาในระดับหนึ่งแหละ
(แต่ทฤษฎีนี้ไม่น่าใช้กับพ่อแม่ไทยได้แฮะ โดยเฉพาะครอบครัวที่ยากจน)
สมัยนี้ยังมีให้ดูตัวแล้วคบหาดูใจกันไปก่อนนะ เราว่ามันก็ได้อยู่แหละ ลูกมีสิทธิ์ตัดสินใจจะแต่งหรือไม่แต่ง (ไม่ชอบก็เปลี่ยนคนได้ 555) และพ่อแม่เองก็จะสบายใจด้วยว่าคู่หมั่นของลูกเป็นลูกเต้าเหล่าใคร
ปัญหาคือควรลบความเชื่อที่ว่าลูกคือทรัพย์สินของของพ่อแม่ จะให้ทำอาชีพอะไรแต่งกับใคร ทำให้เกิดมาก็ตีความแล้วว่าเราติดหนี้บุญคุณ
แล้วเกิดมาถ้าพ่อแม่ไม่เลี้ยงจะโตมาได้ไงล่ะทำให้เกิดก็ดีแล้วอีกทั้งเลี้ยงดูจนโตมาได้แบบนี้เค้าไม่เรียกติดหนี้เหรอคนอื่นที่เคยช่วยเรายังถือเป็นบุญคุณเลยอย่าบรรทัดฐานพ่อแม่ตัวเองไปวัดกับพ่อแม่คนอื่นคนเราถ้าไม่เคารพคนที่มีบุญคุณแล้วก็คงน่าจะอายมันนะหมาเก็บความคิดนี้ไว้สอนลูกตัวเองเถอะ
@@โนเนม-ร4ฮ เราว่าเค้าคงจะไม่ได้หมายถึงการที่ลืมบุญคุณพ่อแม่ว่าสำคัญแค่ไหนนะคะ เพราะการที่พ่อแม่ส่วนมากที่ยังมีความคิดว่าลูกเป็นสมบัติ ทั้งที่ตัวเองอยากให้เค้าเกิดมา พอลูกทำอะไรขัดใจก็ด่าว่าลูกว่าจะเกิดมาทำไมลูกเนรคุณบ้างอะไรบ้าง
คาดหวังกับลูกมากมายจนมันอึดอัด ทั้งๆที่ลูกโตแล้วควรจะได้ทำตามความฝัน แต่ดันบังคับเลือกทางให้ลูกเอง แล้วบอกว่าเป็นการตอบแทนบุญคุณ ถ้าลูกรักพ่อแม่พอ ต่อให้ไม่บอกว่าต้องตอบแทนบุญคุณ ก็ต้องเลี้ยงดูพ่อแม่อยู่แล้ว เพราะมันขึ้นอยู่กับความรัก มันไม่ใช่การตอบแทนบุญคุณแต่มันมาจากความรักความผูกพันของลูก
ว๊าวกับสิ่งที่เคยคิดต่าง มันจะไปดียังไงโดนบังคับ แต่พอมาฟังรายละเอียดกับสิ่งที่ทำกันมา แล้วมันดันดี แบบเปิดโลกอีกมุมมากๆ โอ้โห... โลกใหม่สุดๆ สิ่งที่เคยคิดว่าไม่ดี กลับดีในด้านผลลัพธ์มากกว่า
เพราะสังคมให้ความสำคัญกับชีวิตคู่มากเกินไป ไม่แต่งก็แปลก เป็นม่ายก็ลำบากเข้าไปอีก ดังนั้นถ้าให้เลือกเองก็คงกลัว หนึ่งคือกลัวไปไม่รอด สองไปไม่รอดไม่พอ ยังโดนพ่อแม่ตัดหางปล่อยวัดอีก อย่างน้อยๆ ถ้าแต่งตามพ่อแม่เลือกให้ต่างฝ่ายจะทำอะไรก็ต้องเกรงใจพ่อแม่ตัวเองที่คุยๆกัน ก็จะเหมือนอย่างที่เค้าบอกคือไม่ได้คาดหวังว่าจะได้คนที่ดีที่สุด แต่ก็จะได้คนที่สามารถอยู่ด้วยกันได้ เพราะพ่อแม่จะเลือกคนที่การดำเนินชีวิตใกล้เคียงกัน ไม่ต่างกันมาก
อีกแง่นึงก็อยากจะบ้าตายรายวันกับอินเดีย อีกแง่ก็ว่าวัฒนธรรม วรรณะ สังคม แต่เค้าก็รักษาธรรมเนียมนี้มาหลายปีแล้ว เค้าก็อยู่ได้นะ เพราะจุดหลักของเค้าของความกตัญญู พ่อแม่ต้องมาก่อน เรามีเพื่อนอินเดีย แม้กระทั่งแฟนก็อินเดีย ถ้าเป็นพวกคนหนุ่ม วัย20-30จะอารมณ์แบบ ถ้าพ่อแม่หาให้ก็ต้องแต่ง ถ้าหาเองได้ ละถูกใจพ่อแม่ก็โชคดีไป ส่วนคนที่วัย35ขึ้นไป หรือเคยผ่านแต่งงานมาแล้ว หย่าแล้ว คนกลุ่มนี้เหมือนจะขอเลือกความรักเอง บางคนก็หาเมียน้อย ปลดแอกในหลายๆเรื่อง แล้วมักจะบอกว่า โตแล้ว ชีวิตเลือกเองได้แล้ว ก็จะแต่งกับชาวต่างชาติเลือกจะออกเดทด้วยตัวเอง หรือไม่แคร์เรื่องศาสานา วัฒนธรรม เชื้อชาติสักเท่าไหร่ ปล.ความเห็นส่วนตัวนะคะ
รายการนี้ดีจัง เปิดโลกมาก
เหมือนแค่ใช้ชีวิตตามสิ่งที่ควรจะเป็นไม่ได้ใช้ความรู้สึกหรือความต้องการจริงๆในการดำเนินชีวิตมากกว่า ทีนี้พอความรู้สึกบอกว่าทนไม่ไหวสุดท้ายก็ต้องทน
ความรู้สึกบอกว่าไม่แต่หน้าที่ก็สั่งให้ทำ สุดท้ายก็ใช้ชีวิตตามหน้าที่ไปจวบจนวันสุดท้ายที่ความตายจะมาแยกให้จากกันไปมากกว่าที่จะหย่าร้างแล้วแยกกันไป
ใช้ชีวิตตามที่ตัวเองอยากจะใช้
เสียงพากย์ดีมากขึ้นจังหวะน้ำเสียงเหมือนคุณกรุณา เยี่ยมยอดครับน่าติดตามแล้ว
นักสืบให้ข้อมูลชัดเจนฉะฉานสุดๆ ไม่อ้อมค้อม
หลายๆปัจจัย หนักสุดก็ ความเชื่อกับวรรณะ เป็นการกดขี่กลายๆ ทาสไม่มีแต่ใช้คำอื่นมาแทนหนักยิ่งกว่าสายเลือดเชื้อชาติและชาติพันธุ์
ป่าเถื่อนที่สุดในโลก แบ่งชั้นวรรณะ หรือปกครองแบบเผด็จการศักดินาแบบกะสัตว์!
อยู่เป็นโสดมีมั้ย
สนุกดี ขอบคุณที่ทำรายการดีๆมาให้ชมค่ะ
ฟังทัศนคติของคนที่นั่นแล้วทำให้เข้าใจเหตุผลของแฟนเก่าขึ้นเยอะเลย เค้าทุ่มเทความรักทั้งหมดให้เราแล้วเพราะเค้ารู้ว่าสุดท้ายเค้าต้องแต่งกับคนที่พ่อเลือกให้ ส่วนเราก็รักษาใจตัวเองต่อไป
การคลุมถุงชนว่าแย่แล้ว แต่การแบ่งชั้นวรรณะของอินเดียแย่ยิ่งกว่า
อดิตตำรวจ/เจ้าของโรงแรม มีงานอดิเรกคือนักสืบ โคตรจ๊าบเลยลูกพี่
ถึงว่าหนัง ละคร อินเดียทุกเรื่อง แต่งงาน พิธีกรรม สำคัญกว่าที่สุด
ผมหารักเเท้ด้วยตัวเองไม่เคยเจอ...เจอก็ไป.ไม่รอดสักราย.. สุดท้ายก็ไห้พ่อเเม่หาไห้... เเต่งงานอยู่ดีกินดีมีลูกสองคนจนมาถึงทุกวันนี้...
ระบบอาวุโส เคารพในคนที่มีประสบการณ์ชีวิต นับว่าเป็นอะไรที่ดีไม่น้อย สังคมไหนถ้าคนรุ่นใหม่ให้การเคารพคนรุ่นเก่า สังคมนั้นจะอยู่กันอย่างเป็นสุข สุขเพราะสิ่งดีๆจะไม่พังทลายไปง่าย และก็ไม่ดีเช่นกันถ้าสิ่งเดิมๆที่คนรุ่นเก่าทำกันมาตกทอดถึงคนรุ่นใหม่แล้วคนรุ่นใหม่ไม่ยอมปรับเปลี่ยน
สำหรับผมแล้วคลุมถุงชนก็ไม่ได้แย่ แต่ก็ไม่ใช่ดีซะทีเดียว ยังไงก็ตามการที่ลูกเชื่อฟังพ่อแม่ สังคมไหนๆก็(มักจะ)ดี
แต่คำถามอยู่ที่ว่า ถ้าเจอคนที่ไม่ถูกใจละ มันจะไม่ทรมานเหรอ เช่น ฝ่ายชายถูกใจฝ่ายหยิงแต่ฝ่ายเดียว แบบนี้ ฝ่ายชายไม่เห็นแก่ตัวเหรอ
สมมุติทั้งคู่มีความเหมาะสมกัน ในเรื่องรูปร่างหน้าตา มันก็ไม่ยากที่จะปรับตัวให้รักกันได้ แต่หากเป็นคู่ไม่เหมาะสมกันในเรื่องรูปร่างหน้าตาละ มันจะไหวเหรอ
อย่างผมหน้าตาไม่ดี พ่อแม่เลือก ผญ หน้าดีมาให้ ผมฝ่ายเดียวที่มีความสุข แต่ ผญ กลับทุกข์ใจ แบบนี้ผมว่าผมคือคนเห็นแก่ตัวสุดๆ ทั้งน่ารังเกียจสุดๆด้วย
ถ้าผมหน้าตาไม่ดี แล้วผมมีคู่ที่หน้าตาดี ผมคงทนไม่ได้ในความเห็นแก่ตัวแบบนี้ครับ เว้นแต่เขาจะเต็มใจด้วยเท่านั้น
เรื่องครอบครัวมีผลจริง ๆ ค่ะ ส่วนตัวมีสามีอินเดีย
ถึงเราจะเป็นลูก เราก็ไม่ยอมให้พ่อแม่มากำหนดชีวิตเราหรอก ชีวิตของเรา เราเป็นคนเลือกเอง แต่ไม่ได้ว่าวัยรุ่นอินเดียนะ ต้องบอกว่าสังคมบ้านเค้าสั่งสอนคนมาได้อย่างเข้มข้นจริงๆ เพราะสิ่งที่ทำมาแต่โบราณก็ยังคงซึ่งมันเอาไว้
การบังคับ มันดีสำหรับคนที่ใช้มัน ส่วนคนที่ถุกบังคับ จิตใจความรู้สึกมันพัง.
กินเครื่องเทศเยอะ คึกคัก ลั้นลา อิ่มอร่อย เลยวุ่นวายเรื่องรัก
นางไปหาข้อมูลเก่งมาก
เห็นคนในหมู่บ้าน โดนคุมถุงชน แต่อายุมากกว่าพ่อแม่เราอีก เขาก็ดูรักกันดีมีลูกสองคน แต่พอพ่อแม่เขาตายก็หย่ากันเฉย มันเหมือนว่าเขามีความคิดว่าถ้าหย่าก็เหมือนหักหน้าพ่อแม่ ต่อให้เกลียด ไม่ชอบ ไม่พอใจก็ทนเอา แต่ถ้าหาเองมันเป็นเรื่องของความสัมพันธ์ที่เราสมัครใจตั้งแต่แรก ไม่แปลกที่จะมีอัตราเลิกกันมากกว่า
ความรัก เริ่มที่รัก หากจะต้องจบลง ก็ควรลงท้ายด้วยความรักเช่นกัน อกหักก็ว่าเจ็บแล้ว แต่ความเหงา เจ็บยิ่งกว่า
สงสารผญ..ที่เกิดในอินเดียมากๆ เอาความเชื่อผิดๆมาปกครองผู้คน ทำให้เกิดโศกนาฏกรรมวนไปเวียนมา
คนอินเดียพูดอังกฤษเก่งทุกคนเลยอะ😯
ผมโชคดีที่เกิดเมืองไทย ขอเกิดในไทยทุกชาติไป
เรื่องจริง ผมมีเพื่อนที่รู้ตัก10คน(หญิง5ชาย5) 5 คนเลือกเอง อีก5คนพ่อแม่หาไห้ สรุป คู่ที่พ่อแม่หาไห้มีคู่เดียวที่เลิก 4คนอยู่เกิน10ปีขึ้น ส่วนหาเอง รอดแค่1คู่ (คู่ที่พ่อแม่หาไห้ คือ ผู้ชายที่เลิก ส่วนอีก4ที่เบิกคือหาเอง)
ปล.ผมโสดไม่มีใครเอาแถมพ่อแม่ดันหัวสมัยใหม่ไห้หาเองเลยไม่มีใครเอา555
ขนลุกนะต้องแต่งงานแบบคลุมถุงชน ใช้ชีวิตกับคนที่ไม่ได้เลือก ร้ายที่สุดคือต้องมีลูกด้วยกัน
ได้มุมมองใหม่ดีจริงๆขอบคุณคะ
ก็จริงของเขานะ ทุกวันนี้คนเลิกกันก็เพราะทัศนคติ ไลฟสไตล์ไม่ตรงกัน ถ้าพ่อแม่ซึ่งเป็นบุคคลที่สามมาเลือกให้ ก็คงจะมองออกว่าถ้าหมดความเสน่หาแล้วจะไปกันรอดรึเปล่า
มีสาระ.น่ารับรู้.เรื่องราว.ความแตกต่างของชีวืตร
ความเชื่อ ต้องแต่งงาน สุดท้ายเพราะเหตุนี้ประชากรจึงล้นเกินประเทศรับไหว ทรัพยากรในการส่งเสริมเติบโตต่ำเกินไป