Размер видео: 1280 X 720853 X 480640 X 360
Показать панель управления
Автовоспроизведение
Автоповтор
ผมเรียนเพียววิทยาศาสตร์ ปรัชญานี่นามมธรรมไปไกลมาก นึกภาพ 2 สาขานี้นั่งคุยกันน่าสนุกดี
ในความไม่รู้ ความรักดำรงอยู่
เรียนปรัชญา ทำให้มีความกล้าหาญ
ชอบอยู่ครับ
ขอบคุณครับ
เรามีทั้งความจริงและความรู้
รอคลิปต่อไปคับ
ทุกสิ่ง ล้วนเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป
ไม่ใช่และ เขาคุยปรัชญาในแง่การศึกษา รากฐานความรู้ตั้งแต่ยุคโบราณอันนี้ก๊อปมาให้ดูPhilos : Love of หรือ Loving of (ความรัก)Sophia : Wisdom หรือ Knowledge (ความรู้, ปัญญา, ความฉลาด)คำว่า “Philosophy” จึงหมายถึง “Loving of Wisdom” ความรักในความรู้^จากที่น้องเขาพูด ถ้าตั้งอยู่ดับไป มันดูปลงง่ายๆมันไม่ใช่เว้ย มันต้องหาความหมาย เช่น ที่เป็นๆอยู่เนี่ย เป็นอยู่คืออะไร ดับไปคืออะไร เบื่อคนไทยเอาปรัชญามาพวงคำคมศาสนา
@@TheK-f1t ก็ถูกของเขาแล้วไง แล็วคุณคิดว่าอะไรล่ะที่เกิดที่ดับไป
เลือกหัวข้อยากซะด้วย คำตอบก็ขึ้นอยู่กับว่าใช้หลักการแบบไหนในการตอบ.ยกตัวอย่างรีโมทนั่น ใช่ มันคือรีโมท และมันเหลืองเพราะมันเก่าคำถามคือ แล้วรู้ได้อย่างไรว่ามันคือรีโมท และทำไมมันถึงเหลือง ทำไมมันถึงเก่าเราควรใช้ความรู้ของศาสตร์ด้านไหนในการตอบ? สำหรับผมก็ต้องดูเหตุว่าเราตั้งคำถามถึงอะไรเมื่อตั้งคำถามถึงสิ่งของชนิดหนึ่งอย่างรีโมท = สิ่งของที่มีหน้าที่ของตัวมันเอง สามัญสำนึกของเราเรียกมันตามที่ผู้สร้างมันขึ้นมาโดยหน้าที่การใช้งานของมัน ว่ามันคือรีโมท ตามภาพก็เอาไว้ควบคุมแอร์ ลดเพิ่มอุณหภูมิให้กับห้อง ทำไมมันถึงเก่า ทำไมสีมันถึงเหลือง อันนั้นก็ใช้วิทยาศาสตร์ตอบได้หลักความรู้ก็ตามนั้นส่วนหลักความจริงล่ะ? แน่ใจได้ยังไงว่าเราถือรีโมทอยู่ มันเป็นภาพลวงตาหรือเปล่า?มีคำพูดนึงที่มีคนเคยพูดไว้ ." ถ้าความเป็นจริงคือสิ่งที่ตาเห็นได้ ดมกลิ่นได้ สัมผัสได้ ได้ยินเสียงได้ หรือลิ้มรสได้ งั้นความเป็นจริงก็คือสัญญาณไฟฟ้าที่เกิดขึ้นในสมองของเรา ".หลักพุทธได้เสริมในจุดนี้อีกอย่างนึง สอนให้เรายอมรับ และ ปล่อยวาง ในสิ่งที่ไม่จีรังยั่งยืน สุขหรือทุกข์ในชีวิต ยอมรับที่จะมีมัน และปล่อยมันในวันที่เราไม่สามารถจับมันไว้ได้อีก สุขก็ชั่วครู่ ทุกข์ก็ไม่นาน ชีวิตนึงก็ผ่านไปเช่นนั้น.อย่าเพิ่งคิดว่าชีวิตไร้ค่า ไม่มีใครอยากมีทุกข์ เพราะงั้นก็ทำตัวเองให้มีความสุข แล้วหลบเลี่ยงความทุกข์ให้ได้มากที่สุดครับ.อิอิ
โอ้โห ดีใจมาก มีคนอุตส่าห์มาตอบหนูด้วยใช่ค่ะ การตอบคำถามนี้สามารถตอบได้หลายแบบมากๆขึ้นอยู่กับว่าเราจะใช้กรอบไหนในการตอบ นี่แหละค่ะคือส่วนที่สนุกของปรัชญาจริงอยู่ที่ยุคนี้เราสามารถใช้หลักวิทยาศาสตร์มาตอบคำถามในเรื่องสีสัน สัมผัส หรือองค์ประกอบในเชิงวัตถุอื่นๆของมัน ซึ่งคำตอบเหล่านี้ก็เกิดขึ้นได้เพราะเป็นผลลัพธ์จากการตั้งคำถามเหล่านี้ในยุคก่อนหน้า ในยุคก่อนหน้าที่คำถามนี้เกิดขึ้น มันเป็นคำถามที่เคยไม่ได้รับคำตอบมาก่อน และนักปรัชญาในยุคนั้นก็เลยตอบคำถามนี้ภายใต้คอนเซปต์ทางปรัชญาของยุคและวิทยาศาสตร์ของยุคนั้น (หรือที่เรียกว่าวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ) ส่วนวิทยาศาสตร์และศาสตร์อื่นๆหลังจากนั้นคือสิ่งที่มาเติมเต็มคำถามนี้ให้มีคำตอบในภายหลัง ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็นการตอบคำถามนี้ใหม่ในกรอบของนักคิดยุคใหม่ แนวคิดจิตนิยมของเดส์การ์ตก็สามารถโยงกับตัวอย่างประโยคอย่างที่พี่โควทไว้ได้ค่ะในแง่ของหลักพุทธที่พี่ยกมาก็น่าสนใจไม่แพ้กัน ในปรัชญาตะวันออกและตะวันตกแอบมีส่วนที่เชื่อมโยงและใกล้ชิดกันอย่างน่าทึ่ง ยินดีมากๆที่พี่แวะมาคุยในนี้นะคะ
@@natasha_looknam มีแนวคิดนึงที่ว่า "คนที่ชอบตั้งคำถาม คือคนที่ยังไม่เข้าใจตัวเอง" ซึ่งผมก็เห็นด้วยครึ่งนึง เพราะคนเราจะเข้าใจตัวเองได้ยาก หากไม่มีความรู้ในสิ่งที่เกี่ยวข้องเพียงพอ แต่ถ้าลองมองตามแนวคิดที่ว่าบวกกับการใช้ชีวิตที่ผ่านมาแล้ว จะเห็นว่า "เราไม่มีความรู้เกี่ยวกับตัวเองเหรอ?" ทำให้กรณีนี้เกิดขึ้นได้กับคนทุกคนและตลอดเวลา.ด้วยคำถามว่า "เราไม่เข้าใจตัวเองได้ยังไง ในเมื่อเป็นตัวของเราเอง?" ถ้าอย่างนั้นมันจะก้าวไปสู่อีกแนวคิดนึงที่เคยได้ยินมาก็คือ "หากไม่เข้าใจตัวเอง จะไปเข้าใจคนอื่นได้ยังไง?".ในมุมนี้มันเหมือนจะเชื่อมโยงกันอยู่หลายอย่าง มันก็ใช่ที่เมื่อลองพิจารณาดูแล้ว เราที่กำลังนั่งถามตัวเองอยู่ว่า "เราเข้าใจตัวเองรึยัง?" เราจะเจอคำตอบง่ายๆเลยก็คือ " ไม่ " แต่คำว่า " ไม่ " มันจะไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจ100% แต่มันหมายถึง เราเข้าใจตัวเองยังไม่ดีพอต่างหาก เช่นนั้นจึงกลายเป็น " ถ้าเรายังเข้าใจตัวเองไม่ดีพอ เราก็คงจะเข้าใจคนอื่นได้ไม่ดีพอเช่นกัน ".หลักการ+แนวคิดนี้ ถูกรวมไว้ใช้ในกรณีนึงที่ผมยกให้เป็นสัจธรรมบทหนึ่งคือเรื่อง " ใจเขาใจเรา ".เมื่อเราเข้าใจอีกฝ่าย และอยากให้อีกฝ่ายทำดีกับเราเหมือนที่เราทำดีกับเขา เราจะเอาใจเขามาใส่ใจเรา ซึ่งอันนี้ยาวเกินไป ข้ามไปก่อน.ที่จริงแล้วคำตอบของผมนั้นต้องการให้มองในมุมของตัวเองมากกว่า เราสามารถคิดตาม ไม่เข้าใจก็ต้องตั้งคำถาม และสามารถหาคำตอบได้เองหรือหาคำตอบจากผู้อื่นซึ่งเราเห็นด้วยกับคำตอบนั้น.ให้เน้นที่ความสำคัญของคำถาม ว่าเป็นคำถามที่เราต้องการรู้คำตอบ หรือรู้คำตอบอยู่แล้วแต่อยากพิสูจน์คำตอบว่ามันถูกต้องไหม เมื่อกำหนดความสำคัญได้ เราจะไม่หลงไปกับคำถามที่ใช้ประโยชน์ได้ยาก หรือเป็นคำถามที่ไม่ชัดเจน ซึ่งมันสามารถนำไปสู่สิ่งที่จะเปิดคลังความรู้ สร้างความเข้าใจของตัวเราได้.เพราะงั้นผมจึงขอยกปรัชญาที่ว่า "คำถามที่เกิดขึ้นในตอนที่เราเข้าใจตัวเองมากขึ้น จะนำคำตอบที่เราจะนำไปใช้เข้าใจคนอื่นหรือสิ่งอื่นได้เช่นกัน" โดยไม่แบ่งแยกสิ่งใดๆออกไปแม้แต่ชิ้นเดียว.ยินดีที่ได้คุยเช่นกันครับ
@@natasha_looknam เดส์การ์ต เป็นเจ้าของทฤษฏีทางคณิตศาสตร์ที่นักเรียนสายวิทย์ต้องเรียนด้วยค่ะ
ความว่างไม่มีอะไรเลยคือของจริง
รอติดตามตอนหน้าฮะ 🙏
ขยับไมค์ใกล้ๆ แบบ podcast เสียงจะดีขึ้นครับ ขอสมัครเป็น นักเรียนด้วยครับ
ติดตามครับ 🤩
ติดตามครับ
เสพวิชาการไปก่อน...รอเสพผลงานเพลงนะครับ 😊
ปรัชญา คือ... !!!!!! ???? ความงาม, ความดี, ความจริง !ถ้าทอด (ข้าพเจ้าใช้คำว่าทอดนะครับ ไม่ใช่...ถอด) สมการสามข้อนี้ได้...ก็จะเห็นเจ้าของคอนเท้นท์งาม-ดี-จริงๆ!!!!!!!!!!คือเรามองเห็นเธอแล้วน่าทอดกินจริงๆ😂😂😂😂😂(อย่าซีเรียส!) นะครับเชิญโต้แย้งได้ตามแนวทางของนักปรัชญา ได้เลย... หรือใครว่าไม่จริง! ไม่ดี! ไม่งาม! 😅😅😅 งง มะ....
คนที่เรียนแขนงนี้ไป ได้หลักยึดถือในชีวิตไหมครับ หรือยังคงค้นหาต่อไป
ได้สิครับ...เพราะว่าการตั้งคำถามเป็นจุดเริ่มของความรู้..คุณอยากรู้อะไร?
@@jirayutphonyiam6220 หนูกลับรู้สึกว่าการเรียนปรัชญาไม่ได้ให้คำตอบหรือหลักยึดถือในชีวิตเราเสมอไปค่ะ ถูกต้องค่ะ การเรียนปรัชญามันคือการตั้งคำถาม แต่มันก็ไม่แน่ที่ว่าการตั้งคำถามนั้นมันจะได้รับคำตอบเสมอไป คำตอบที่ทุกคนเห็นหรือรู้สึกว่าถูกต้องอาจจะไม่ใช่คำตอบสำหรับเราก็ได้ค่ะ เราอาจจะพยายามหาคำตอบของตัวเองที่ไม่เหมือนคำตอบของคนอื่น แต่สุดท้ายแล้วมันก็อาจจะยังไม่ใช่อยู่ดีก็ได้ค่ะไม่ได้หมายความว่าการเรียนปรัชญาจะไม่ให้หลักยึดอะไรกับชีวิตเราเลย มันก็เป็นไปได้อีกเช่นกันที่เราจะพบคำตอบจากการเรียนปรัชญาหรือเรียนอะไรอย่างอื่นก็ตาม อาจจะอย่างง่ายดายหรืออย่างยากเย็น ซึ่งนั่นก็น่าจะขึ้นอยู่กับคนแต่สำหรับหนูการเรียนปรัชญาเหมือนกันมาเรียนรู้กรอบคิดจากหลายๆมุมมองโดยที่ตัวหนูเองก็ไม่ได้ยึดถือว่าจะต้องมีคำตอบใดเป็นคำตอบที่ถูกต้องที่สุดหรือสมควรยึดถือมากที่สุดขนาดนั้น ทุกๆทฤษฎีทางปรัชญามีจุดแข็งและจุดอ่อน ดังนั้นจึงยังไม่มีทฤษฎีไหนที่สามารถยึดถือเป็นหลักแห่งความจริงเพียงหนึ่งเดียวได้ ถ้าถามถึงหลักยึดในชีวิตจริงๆ หนูไม่ได้มีหลักยึดอะไรชัดเจนขนาดนั้น หรืออีกนัยหนึ่งอาจจะกล่าวได้ว่า หลักยึดของหนูก็คือไม่ได้ยึดถืออะไรเป็นพิเศษมั้งคะ55ขอบคุณที่มาร่วมพูดคุยด้วยกันค่ะ
@@natasha_looknam ขอบคุณสำหรับคำตอบครับ แสดงว่ามันขึ้นอยู่กับบุคคล และเปลี่ยนแปลงได้ตลอดสินะครับ
อะไรครับเนี้ย จับทางไปถูกแล้ว😂😂
ทำไมถึงชอบปรัชญาครับ
@@framee1795 เดี๋ยวไว้ทำคลิปเกี่ยวกับหัวข้อนี้นะคะ
รีโมทเก่ามากกก
นางขาวจัด
ผมเรียนเพียววิทยาศาสตร์ ปรัชญานี่นามมธรรมไปไกลมาก นึกภาพ 2 สาขานี้นั่งคุยกันน่าสนุกดี
ในความไม่รู้ ความรักดำรงอยู่
เรียนปรัชญา ทำให้มีความกล้าหาญ
ชอบอยู่ครับ
ขอบคุณครับ
เรามีทั้งความจริงและความรู้
รอคลิปต่อไปคับ
ทุกสิ่ง ล้วนเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป
ไม่ใช่และ เขาคุยปรัชญาในแง่การศึกษา รากฐานความรู้ตั้งแต่ยุคโบราณ
อันนี้ก๊อปมาให้ดู
Philos : Love of หรือ Loving of (ความรัก)
Sophia : Wisdom หรือ Knowledge (ความรู้, ปัญญา, ความฉลาด)
คำว่า “Philosophy” จึงหมายถึง “Loving of Wisdom” ความรักในความรู้
^จากที่น้องเขาพูด ถ้าตั้งอยู่ดับไป มันดูปลงง่ายๆมันไม่ใช่เว้ย มันต้องหาความหมาย เช่น ที่เป็นๆอยู่เนี่ย เป็นอยู่คืออะไร ดับไปคืออะไร
เบื่อคนไทยเอาปรัชญามาพวงคำคมศาสนา
@@TheK-f1t ก็ถูกของเขาแล้วไง แล็วคุณคิดว่าอะไรล่ะที่เกิดที่ดับไป
เลือกหัวข้อยากซะด้วย คำตอบก็ขึ้นอยู่กับว่าใช้หลักการแบบไหนในการตอบ
.
ยกตัวอย่างรีโมทนั่น ใช่ มันคือรีโมท และมันเหลืองเพราะมันเก่า
คำถามคือ แล้วรู้ได้อย่างไรว่ามันคือรีโมท และทำไมมันถึงเหลือง ทำไมมันถึงเก่า
เราควรใช้ความรู้ของศาสตร์ด้านไหนในการตอบ? สำหรับผมก็ต้องดูเหตุว่าเราตั้งคำถามถึงอะไร
เมื่อตั้งคำถามถึงสิ่งของชนิดหนึ่งอย่างรีโมท = สิ่งของที่มีหน้าที่ของตัวมันเอง สามัญสำนึกของเราเรียกมันตามที่ผู้สร้างมันขึ้นมาโดยหน้าที่การใช้งานของมัน ว่ามันคือรีโมท ตามภาพก็เอาไว้ควบคุมแอร์ ลดเพิ่มอุณหภูมิให้กับห้อง
ทำไมมันถึงเก่า ทำไมสีมันถึงเหลือง อันนั้นก็ใช้วิทยาศาสตร์ตอบได้
หลักความรู้ก็ตามนั้น
ส่วนหลักความจริงล่ะ? แน่ใจได้ยังไงว่าเราถือรีโมทอยู่ มันเป็นภาพลวงตาหรือเปล่า?
มีคำพูดนึงที่มีคนเคยพูดไว้
.
" ถ้าความเป็นจริงคือสิ่งที่ตาเห็นได้ ดมกลิ่นได้ สัมผัสได้ ได้ยินเสียงได้ หรือลิ้มรสได้ งั้นความเป็นจริงก็คือสัญญาณไฟฟ้าที่เกิดขึ้นในสมองของเรา "
.
หลักพุทธได้เสริมในจุดนี้อีกอย่างนึง สอนให้เรายอมรับ และ ปล่อยวาง ในสิ่งที่ไม่จีรังยั่งยืน สุขหรือทุกข์ในชีวิต ยอมรับที่จะมีมัน และปล่อยมันในวันที่เราไม่สามารถจับมันไว้ได้อีก สุขก็ชั่วครู่ ทุกข์ก็ไม่นาน ชีวิตนึงก็ผ่านไปเช่นนั้น
.
อย่าเพิ่งคิดว่าชีวิตไร้ค่า ไม่มีใครอยากมีทุกข์ เพราะงั้นก็ทำตัวเองให้มีความสุข แล้วหลบเลี่ยงความทุกข์ให้ได้มากที่สุดครับ
.
อิอิ
โอ้โห ดีใจมาก มีคนอุตส่าห์มาตอบหนูด้วย
ใช่ค่ะ การตอบคำถามนี้สามารถตอบได้หลายแบบมากๆขึ้นอยู่กับว่าเราจะใช้กรอบไหนในการตอบ นี่แหละค่ะคือส่วนที่สนุกของปรัชญา
จริงอยู่ที่ยุคนี้เราสามารถใช้หลักวิทยาศาสตร์มาตอบคำถามในเรื่องสีสัน สัมผัส หรือองค์ประกอบในเชิงวัตถุอื่นๆของมัน ซึ่งคำตอบเหล่านี้ก็เกิดขึ้นได้เพราะเป็นผลลัพธ์จากการตั้งคำถามเหล่านี้ในยุคก่อนหน้า
ในยุคก่อนหน้าที่คำถามนี้เกิดขึ้น มันเป็นคำถามที่เคยไม่ได้รับคำตอบมาก่อน และนักปรัชญาในยุคนั้นก็เลยตอบคำถามนี้ภายใต้คอนเซปต์ทางปรัชญาของยุคและวิทยาศาสตร์ของยุคนั้น (หรือที่เรียกว่าวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ)
ส่วนวิทยาศาสตร์และศาสตร์อื่นๆหลังจากนั้นคือสิ่งที่มาเติมเต็มคำถามนี้ให้มีคำตอบในภายหลัง ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็นการตอบคำถามนี้ใหม่ในกรอบของนักคิดยุคใหม่
แนวคิดจิตนิยมของเดส์การ์ตก็สามารถโยงกับตัวอย่างประโยคอย่างที่พี่โควทไว้ได้ค่ะ
ในแง่ของหลักพุทธที่พี่ยกมาก็น่าสนใจไม่แพ้กัน ในปรัชญาตะวันออกและตะวันตกแอบมีส่วนที่เชื่อมโยงและใกล้ชิดกันอย่างน่าทึ่ง
ยินดีมากๆที่พี่แวะมาคุยในนี้นะคะ
@@natasha_looknam มีแนวคิดนึงที่ว่า "คนที่ชอบตั้งคำถาม คือคนที่ยังไม่เข้าใจตัวเอง" ซึ่งผมก็เห็นด้วยครึ่งนึง เพราะคนเราจะเข้าใจตัวเองได้ยาก หากไม่มีความรู้ในสิ่งที่เกี่ยวข้องเพียงพอ แต่ถ้าลองมองตามแนวคิดที่ว่าบวกกับการใช้ชีวิตที่ผ่านมาแล้ว จะเห็นว่า "เราไม่มีความรู้เกี่ยวกับตัวเองเหรอ?" ทำให้กรณีนี้เกิดขึ้นได้กับคนทุกคนและตลอดเวลา
.
ด้วยคำถามว่า "เราไม่เข้าใจตัวเองได้ยังไง ในเมื่อเป็นตัวของเราเอง?" ถ้าอย่างนั้นมันจะก้าวไปสู่อีกแนวคิดนึงที่เคยได้ยินมาก็คือ "หากไม่เข้าใจตัวเอง จะไปเข้าใจคนอื่นได้ยังไง?"
.
ในมุมนี้มันเหมือนจะเชื่อมโยงกันอยู่หลายอย่าง มันก็ใช่ที่เมื่อลองพิจารณาดูแล้ว เราที่กำลังนั่งถามตัวเองอยู่ว่า "เราเข้าใจตัวเองรึยัง?" เราจะเจอคำตอบง่ายๆเลยก็คือ " ไม่ " แต่คำว่า " ไม่ " มันจะไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจ100% แต่มันหมายถึง เราเข้าใจตัวเองยังไม่ดีพอต่างหาก เช่นนั้นจึงกลายเป็น " ถ้าเรายังเข้าใจตัวเองไม่ดีพอ เราก็คงจะเข้าใจคนอื่นได้ไม่ดีพอเช่นกัน "
.
หลักการ+แนวคิดนี้ ถูกรวมไว้ใช้ในกรณีนึงที่ผมยกให้เป็นสัจธรรมบทหนึ่งคือเรื่อง " ใจเขาใจเรา "
.
เมื่อเราเข้าใจอีกฝ่าย และอยากให้อีกฝ่ายทำดีกับเราเหมือนที่เราทำดีกับเขา เราจะเอาใจเขามาใส่ใจเรา ซึ่งอันนี้ยาวเกินไป ข้ามไปก่อน
.
ที่จริงแล้วคำตอบของผมนั้นต้องการให้มองในมุมของตัวเองมากกว่า เราสามารถคิดตาม ไม่เข้าใจก็ต้องตั้งคำถาม และสามารถหาคำตอบได้เองหรือหาคำตอบจากผู้อื่นซึ่งเราเห็นด้วยกับคำตอบนั้น
.
ให้เน้นที่ความสำคัญของคำถาม ว่าเป็นคำถามที่เราต้องการรู้คำตอบ หรือรู้คำตอบอยู่แล้วแต่อยากพิสูจน์คำตอบว่ามันถูกต้องไหม เมื่อกำหนดความสำคัญได้ เราจะไม่หลงไปกับคำถามที่ใช้ประโยชน์ได้ยาก หรือเป็นคำถามที่ไม่ชัดเจน ซึ่งมันสามารถนำไปสู่สิ่งที่จะเปิดคลังความรู้ สร้างความเข้าใจของตัวเราได้
.
เพราะงั้นผมจึงขอยกปรัชญาที่ว่า "คำถามที่เกิดขึ้นในตอนที่เราเข้าใจตัวเองมากขึ้น จะนำคำตอบที่เราจะนำไปใช้เข้าใจคนอื่นหรือสิ่งอื่นได้เช่นกัน" โดยไม่แบ่งแยกสิ่งใดๆออกไปแม้แต่ชิ้นเดียว
.
ยินดีที่ได้คุยเช่นกันครับ
@@natasha_looknam เดส์การ์ต เป็นเจ้าของทฤษฏีทางคณิตศาสตร์ที่นักเรียนสายวิทย์ต้องเรียนด้วยค่ะ
ความว่างไม่มีอะไรเลยคือของจริง
รอติดตามตอนหน้าฮะ 🙏
ขยับไมค์ใกล้ๆ แบบ podcast เสียงจะดีขึ้นครับ ขอสมัครเป็น นักเรียนด้วยครับ
ติดตามครับ 🤩
ติดตามครับ
เสพวิชาการไปก่อน...รอเสพผลงานเพลงนะครับ 😊
ปรัชญา คือ... !!!!!! ????
ความงาม, ความดี, ความจริง !
ถ้าทอด (ข้าพเจ้าใช้คำว่าทอดนะครับ ไม่ใช่...ถอด) สมการสามข้อนี้ได้...
ก็จะเห็นเจ้าของคอนเท้นท์
งาม-ดี-จริงๆ!!!!!!!!!!
คือเรามองเห็นเธอแล้วน่าทอดกินจริงๆ😂😂😂😂😂(อย่าซีเรียส!) นะครับ
เชิญโต้แย้งได้ตามแนวทางของนักปรัชญา ได้เลย... หรือใครว่าไม่จริง! ไม่ดี! ไม่งาม! 😅😅😅 งง มะ....
คนที่เรียนแขนงนี้ไป ได้หลักยึดถือในชีวิตไหมครับ หรือยังคงค้นหาต่อไป
ได้สิครับ...เพราะว่าการตั้งคำถามเป็นจุดเริ่มของความรู้..คุณอยากรู้อะไร?
@@jirayutphonyiam6220 หนูกลับรู้สึกว่าการเรียนปรัชญาไม่ได้ให้คำตอบหรือหลักยึดถือในชีวิตเราเสมอไปค่ะ
ถูกต้องค่ะ การเรียนปรัชญามันคือการตั้งคำถาม แต่มันก็ไม่แน่ที่ว่าการตั้งคำถามนั้นมันจะได้รับคำตอบเสมอไป คำตอบที่ทุกคนเห็นหรือรู้สึกว่าถูกต้องอาจจะไม่ใช่คำตอบสำหรับเราก็ได้ค่ะ เราอาจจะพยายามหาคำตอบของตัวเองที่ไม่เหมือนคำตอบของคนอื่น แต่สุดท้ายแล้วมันก็อาจจะยังไม่ใช่อยู่ดีก็ได้ค่ะ
ไม่ได้หมายความว่าการเรียนปรัชญาจะไม่ให้หลักยึดอะไรกับชีวิตเราเลย มันก็เป็นไปได้อีกเช่นกันที่เราจะพบคำตอบจากการเรียนปรัชญาหรือเรียนอะไรอย่างอื่นก็ตาม อาจจะอย่างง่ายดายหรืออย่างยากเย็น ซึ่งนั่นก็น่าจะขึ้นอยู่กับคน
แต่สำหรับหนูการเรียนปรัชญาเหมือนกันมาเรียนรู้กรอบคิดจากหลายๆมุมมองโดยที่ตัวหนูเองก็ไม่ได้ยึดถือว่าจะต้องมีคำตอบใดเป็นคำตอบที่ถูกต้องที่สุดหรือสมควรยึดถือมากที่สุดขนาดนั้น ทุกๆทฤษฎีทางปรัชญามีจุดแข็งและจุดอ่อน ดังนั้นจึงยังไม่มีทฤษฎีไหนที่สามารถยึดถือเป็นหลักแห่งความจริงเพียงหนึ่งเดียวได้
ถ้าถามถึงหลักยึดในชีวิตจริงๆ หนูไม่ได้มีหลักยึดอะไรชัดเจนขนาดนั้น หรืออีกนัยหนึ่งอาจจะกล่าวได้ว่า หลักยึดของหนูก็คือไม่ได้ยึดถืออะไรเป็นพิเศษมั้งคะ55
ขอบคุณที่มาร่วมพูดคุยด้วยกันค่ะ
@@natasha_looknam ขอบคุณสำหรับคำตอบครับ แสดงว่ามันขึ้นอยู่กับบุคคล และเปลี่ยนแปลงได้ตลอดสินะครับ
อะไรครับเนี้ย จับทางไปถูกแล้ว😂😂
ทำไมถึงชอบปรัชญาครับ
@@framee1795 เดี๋ยวไว้ทำคลิปเกี่ยวกับหัวข้อนี้นะคะ
รีโมทเก่ามากกก
นางขาวจัด
ขอบคุณครับ