Размер видео: 1280 X 720853 X 480640 X 360
Показать панель управления
Автовоспроизведение
Автоповтор
www.ted.com/talks/jill_bolte_taylor_my_stroke_of_insight
คุณอุ๋ย ผมไม่รู้ว่า จะสามารถปักมุดให้อยู่ด้านบนได้ไหมนะครับ จะสะดวกในการหาลิ้งนะครับ
หรือเพิ่มในส่วนคำบรรยาย ครับ
ruclips.net/video/UyyjU8fzEYU/видео.html
ขออนุญาตคัดลอกมาวางครับทำไมมนุษย์จึงมี2ตา มี2หู?-ตาสองข้างเห็นไม่เท่ากัน(องศา) ผลแห่งการเห็นเกิดเป็นภาพ3มิติในหัว-หูสองข้างได้ยินไม่เท่ากัน(เฟส) ผลแห่งการได้ยินเกิดเป็นเสียง3มิติในหัวความต่างของเสียงโมโนกับเสียงสเตอริโอเมื่อฟังจากลำโพง-เสียงโมโนอยู่ตรงกลางไม่มีเสียงที่แยกไปอยู่ข้างซ้ายและข้างขวา-สเตอริโอนอกจากได้เสียงที่แยกไปอยู่ข้างซ้ายและข้างขวา บางคนจะได้ยินบางเสียงอยู่ใกล้อยู่ไกลด้วยความคิดแบบเดียวกับเสียงโมโน-เสียงเครื่องดนตรีมากมายที่ฟังจากลำโพงไม่ว่าจะฟังทีละชิ้นหรือฟังพร้อมกันจะได้ยินเป็นโมโนเหมือนกัน-ความคิดของคนส่วนใหญ่ที่ใช้ตรรกะนั้นไม่ต่างกับการได้ยินเสียงแบบโมโนความเข้าใจทุกๆเรื่องอาศัยภาษาช่วยตีความ-ทำให้โลกทัศน์ของคนที่เห็นภาพได้เพียง2มิติหรือได้ยินเสียงแค่โมโนเท่านั้นไม่ต่างกับปุถุชนผู้เข้าใจคำสอนพระศาสดา-ถ้าไม่ยอมรับข้อจำกัดของตนเองดังกล่าวเสียแล้วย่อมถือทิฏฐิว่าเข้าใจอะไรๆได้หมด แสดงมานะ อัตตา อหังการ ไม่รู้ว่าถูกโมหะครอบอยู่จินตามยปัญญากับภาวนามยปัญญาอุปมาเหมือนหู2ข้าง-นักฟังหูทองเปิดเพลงโปรดฟังนับร้อยครั้งจากเครื่องเสียงสเตอริโอชั้นดียังรู้รายละเอียดของเสียงไม่เท่ากับซาวด์เอ็นจิเนียร์ผู้มิกซ์เพลงนั้น-พวกตีความธรรมะโดยไม่เห็นจากวิปัสสนาญาณจึงไม่ต่างกับผู้ฟังเครื่องเสียงธรรมดาทั่วไปที่ด้อยกว่ามากโลกทัศน์ของคนทั่วไปในเรื่องกรรม-การได้ยินเพลงเดียวกันจากเครื่องเสียงอย่างดีๆชุดเดียวกันของคนทั่วไปกับนักฟังหูทองและซาวด์เอ็นจิเนียร์ต่างใช้ภาษาอธิบายออกมาได้ไม่ละเอียดเท่ากัน-การอธิบายเรื่องกรรมให้คนทั่วไปเข้าใจนั้นยากดุจเดียวกับที่อุปมาถึงมิติของการได้ยินต่างกันไม่มีใครหยั่งรู้กรรมได้ทั้งหมด-เรื่องกรรมเป็นอิทัปปัจยตาที่ไม่ได้เป็นเส้นตรงเส้นเดียว ไม่ใช่1+1=2 ไม่ใช่ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ไม่ใช่เรื่องบุญบาปที่ได้รับผลแบบใช้ตาชั่ง เกิดสุขเกิดทุกข์สนองเท่ากัน ได้สวรรค์ได้นรกอย่างที่กำหนดไว้เหมือนกันหมด-กรรมจากบรรพบุรุษฝ่ายพ่อและกรรมจากบรรพบุรุษฝ่ายแม่มีมิติเหมือนเสียงระบบสเตอริโอ วิบากเกิดกับลูกแต่ละคนไม่เท่ากัน ลูกบางคนทำให้พ่อแม่เป็นทุกข์ ลูกบางคนทำให้พ่อแม่เป็นสุขมุมมองของศาสนาพุทธ-ตระหนักว่าสมองมนุษย์มีข้อจำกัดในการเรียนรู้ แม้จะมีข้อมูลมากมายมหาศาลมันก็ไม่สามารถหยั่งรู้เรื่องกรรมได้ทั่วถึง-พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้ยอมจำนนต่อกรรม แต่สอนให้แต่ละคนพัฒนาตนเองด้วยหลักอริยสัจ4สรุป-การสอนเรื่องกรรมให้รู้แจ้งแทงตลอดทุกมิตินั้นยากเกิน พระพุทธเจ้าจึงสอนให้รู้ทุกข์ ละสมุทัย แจ้งนิโรธและเจริญมรรค ซึ่งมนุษย์ธรรมดาๆทำได้ พ้นทุกข์ได้ ทำลายวัฏสงสารได้ โดยไม่ต้องเห็นอิทัปปัจยตาละเอียดเท่าพระพุทธเจ้า-มนุษย์นั้นต่างมีบริบทที่หลากหลายทำให้คิดและตัดสินใจแต่ละเรื่องไปตามโลกทัศน์ของตน หากไม่มีสัมมาทิฏฐิภายในกรอบของอริยสัจ4 ผลของการกระทำย่อมวนเวียนในกองทุกข์ ถูกอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาเล่นงานครั้งแล้วครั้งเล่า
นิพพานที่คนคิดเข้าใจกับนิพพานของจริงเป็นคนละอย่าง คนที่ไม่เคยมีสติรู้กายรู้ใจ ณ.ปัจจุบัน จะไม่มีวันประจักษ์ถึงนิพพานได้เลย มีแต่ปรุงแต่งขึ้นมาจากการอ่านการฟังทั้งนั้นครับคิดเรื่อง"อจินไตย"แล้วบ้าเพราะ"โลกทัศน์"ของเรานั้นเหมือน"กบอยู่ในกะลา" ถูก"ปรัชญาและศาสนา"ครอบงำให้คิดและเชื่อไปโดยมีข้อจำกัดของภาษาที่ใช้คิด"โลกทัศน์"เป็นโลกส่วนบุคคลที่เชื่อมโยงกับโลกภายนอก เราเกิด"ตัวตนรูปธรรม"เป็นคนบนโลกนี้ด้วยปัจจัยมากมายประกอบกัน(อิทัปปัจจยตา) เช่นเดียวกับการเกิด"ตัวตนนามธรรม"ในโลกทัศน์ก็มีปัจจัยมากมาย(ปฏิจจสมุปบาท)ทั้ง"ตัวตนรูปธรรม"และ"ตัวตนนามธรรม" สืบเนื่องมาจากอดีตเป็นผลผลิตของ"กรรม" ถ้าไม่มี"กรรม"ในอดีตจะไม่มีการเกิดตัวตนทั้งสองแบบ หากสืบกลับไปหาว่าอะไรมีมาก่อน"กรรม" ใช่จะตอบกันง่ายๆว่า"ความว่างเปล่า!" จากการใช้"เหตุผลนิยม"การคุยกันเพื่อแลกเปลี่ยนความคิด คือการสะท้อน"โลกทัศน์"ของแต่ละคนออกมาบอกผู้อื่นด้วยการพูด การเขียน การพิมพ์ ต้องยอมรับว่ามีข้อจำกัดในมิติที่ไม่ต่างกับการเห็นภาพ2มิติหรือการได้ยินแบบโมโน แม้ผู้พูดจะมี"โลกทัศน์"เป็น3มิติ หรือโอ้อวดว่ารู้ถึง4-5-6มิติก็ตามที อย่างไรเสียผู้ฟังแทบทั้งหมดเข้าใจแบบ2มิติเรามี2ตา มี2หูกันทุกคน แต่มีความเคยชินที่จับจ้องสิ่งต่างๆอันเป็น3มิติมาผ่านความคิด รับรู้ชัดเจนแค่เพียง2มิติพร้อมกับเบลอรายละเอียดที่เกินนั้นไป แม้จะใช้ภาษาอวดอ้างตนว่าบรรลุธรรมพ้นจากบัญญัติแล้ว แต่ก็ยังอยู่ใน"โลกทัศน์"เดิมๆที่คุ้นชิน เพราะมี"ตัวตนนามธรรม"เป็นผู้แสดงอยู่ด้วยว่า"พระอรหันต์อุปโลกน์" สาธยายความคิดออกมาจาก"โลกทัศน์"เดียวกับผู้ฟัง มันจึงพาให้เชื่อได้ง่าย ของปลอมแบบนี้ชวนให้คนทั่วไปยอมรับว่าเป็นของจริงได้ง่ายกว่าการฟังอะไรที่มันพ้นไปจาก"โลกทัศน์"ตัวเอง พ้นจากภาพ2มิติหรือเสียงโมโนการเสวนากันจึงเน้นให้คนทั่วไปที่ไม่มีวิปัสสนาญาณรู้เรื่อง ยอมรับเสียก่อนว่าความคิดมีข้อจำกัด ภาษามีข้อจำกัด อย่าได้ซื่อบื้อเถรตรงแปลคำสอนครูบาอาจารย์เป็นจริงจัง เหมือนเราดูเด็กเล่นขายของ"ติ๊งต่าง"อะไรๆแทน"ของจริง"อยู่ เราแยกแยะได้ว่า"ติ๊งต่าง"กับ"ของจริง"เป็นคนละสิ่งกัน
ขอบคุณคุณอุ๋ย และ FC คุณอุ๋ยทุกท่านที่ชวนผมมาคุยนะครับ สนุกมากครับผม
จากตามคุณอุ๋ย จนได้ฟังพี่หมอ จนได้พบพระอาจารย์สุชาติ ขอบคุณกัลยาณมิตรทุกท่านที่ชักนำให้กลับมาสู่ทางที่ควรครับ ตอนนี้ติดตามทุกท่านและหวังว่ามาสนทนากันบ่อยๆนะครับ
สาธุ
ขอบคุณมากๆค่ะทั้งคุณอุ๋ยและคุณหมอตั้งแต่มีคุณหมอเป็นเพื่อนพี่มีความสุขทั้งกายและใจสาธุๆนะคะ.🙏🙏🙏
ฟังแล้วชอบจ๊ะ ..
นาทีที่33:23 ปวดหัวเป็นภาวะร้อนของร่างกายอย่างหนึ่งเช่นเดียวกับเวลาไข้ขึ้น ความเครียดทางกายหรือจิต ทำให้ร่างกายร้อนขึ้น แต่อุณหภูมิร่างกายไม่สูงขึ้นจนถึงขนาดวัดไข้ได้ แต่แก้ไขได้ด้วยการลดภาวะร้อนนั้น โดยอาหารฤทธิ์เย็น เช่น พืชผักผลไม้ จะช่วยปรับสมดุลได้ การนอนหลับพักผ่อนให้เต็มที่ก็ช่วยลดภาวะเครื่องร้อนได้ ถ้าเกิดจากการคิดมาก สมองและจิตต้องทำงานมาก ก็แก้ได้ด้วยสมาธิ พักจิต แต่ในทางแพทย์แผนปัจจุบัน จะระงับได้ชั่วคราวด้วยยา แต่ไม่ได้แก้ที่เหตุจึงไม่หายขาด จึงเข้าใจผิดว่าไม่มีสาเหตุ
เมื่อใดอยากเมื่อนั้นใจเป็นทุกข์เมื่อใดหมดทุกข์เมื่อนั้นรู้นิโรธเมื่อใดหมดอยากเมื่อนั้นรู้นิพพาน
ผู้ปฏิบัติได้ของจริงย่อมดูออกว่าใครเป็นตัวจริง
สาธุเด้อ
เท่าทีาฟังครูบาอาจารย์ท่านบอก การที่รู้สึกว่าแขนขาไม่ใช่ของเราคือการแยกธาตุแยกขันธ์ เป็นด่านแรกที่จะเข้าสู่การบรรลุธรรมขั้นพระโสดาบัน เหมือนหลวงตามหาบัวท่านว่า ถ้าแยกธาตุแยกขันธ์ยังไม่ได้อย่ามาโม้เรื่องวิปัสสนา แค่ฟังมาค่ะ ยังไม่ได้สัมผัสด้วยตัวเอง
ขอบคุณ ผู้สร้างความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเกี่ยวกับอินเทอร์เน็ตและมือถือทำให้คนเรายุคนี้ได้เรียนรู้เรื่องธรรมะในพระพุทธศาสนาบูรณาการกับวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ได้อย่างสร้างสรรค์สันติวิธีละมุนละมัยผ่านการสนทนาธรรมระหว่างกัลยาณมิตรผู้เป็นปัญญาชนที่มีคุณธรรมน่าชื่นชมเช่นคุณอุ๋ยและคุณหมอท่านนี้เพื่อเป็นแรงบันดาลใจแก่คนยุคนี้ได้เกิดสัมมาทิฏฐิได้อย่างมีคุณค่าแก่สติปัญญาและการดำเนินชีวิตอย่างถูกต้องดีงามรู้เท่าทันมายาสภาวะที่เกิดขึ้นทุกขณะจิตได้อย่างน่าอัศจรรย์ไม่มากก็น้อยในระดับปุถุชนทั่วไป..อนุโมทนาสาธุ👍🙏🌧️🌅🌱🌎🌌🌹💞💕💕
สาธุครับ
คำถาม : ตายแล้วอะไรสูญ-อะไรไม่สูญ? คำตอบ : ไม่มีจิตดวงใดจากอดีตหรือชาติก่อนอย่างที่ฮินดูสอน จิตของเรามีขึ้นหลังจากเกิด ไม่มีจิตอมตะเป็นเราก่อนมาเกิด กรรมในอดีตของบรรพบุรุษ ของปู่ย่าตายายเป็นกรรมของเผ่าพันธุ์ สมองจำไม่ได้แต่จิตมีสัญญาจำได้หมด เป็นปัจจัยของสังขารทั้งรูปธรรมและนามธรรมของทุกคน ดังนั้นรูปและนามอันเป็นสังขตธรรมของเราตายแล้วสูญ แต่กรรมไม่สูญ ลูกหลานคือผู้รับกรรมต่อไป DNA ถ่ายทอดพันธุกรรม รวมทั้งกรรมที่สะสมมานับภพนับชาติไม่ถ้วน
สาธุุ
แต่ มำไมคุณไม่เอ่ยถึง ศีล5หละ ถ้าหากไม่มีศีล มันก็จะสุดโต่งไปทางใดทางหนึ่ง คือถ้าเราหลงไปในทางไม่ถูก คือผิดศีลธรรม แต่ยังหลงระเริงไปอยู่ แต่เพราะศีลเป็นเครื่อง เป็นเกาะป้องกันบาปอกุศลทั้งปวง เราก็จะไม่แตะต้องสิ่งที่ผิด เพราะเราลำรึกถึงศีลๆจะสะกิดเตือนเราทันที ต่อจากนั้นสติจะมีมาจึงเกิดปัญญาโดยอัตโนมัติ ...จึงเห็น ส่วน ที่ รู้ เขียน เห็น คำสอนทางพระศาสนา จะกล่าวคำว่า ศีลขึ้นก่อนตลอด คือ ศีล สมาธิ ปัญญางัยครับ สำหรับเรื่อง ฝึกฝนสมาธิ วิปัสสนาสมาธิฯ คุณก็ต้องมีครูบาอาจารย์ ชี้แนะควบคุมกำกับอยู่ก่อน จนชำนิชำนาญเสียก่อน จึงค่อยปฏิบัติเพียงลำพังครับ ไม่งั้นบ้านะครับ เอ๋อมามากเลยครับ อาจารย์ก็ต้องเลือกวสำนักด้วยวัดด้วยนะครับ แนะให้นะ วัดหลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน+หลวงพ่อฤาษีลิงดำ +อาจารย์สมภพสายหลวงปูมั่น แค่นี้ไม่ผิดหวังครับ
ขอบคุณ เทคโนโลยี ด้วยคน ทำให้การสนทนาธรรมข้ามโลกได้ และ โชคดีที่ชาตินี้ เรายังมีลมหายใจ ยังมีสัญญา และใจ เพราะพระพุทธเจ้าตรัสไว้ มีสัญญาและใจก็สามารถบรรลุธรรมได้ คำถาม เพราะอะไร สัญญาหรือความจำ เป็นส่วนของอดีต ทั้งหมด เราฟังอะไรมาเรียรรู้อะไรมาชาตินี้แหละ เราก็จำได้แล้วเอามาเสวนากันในวันนี้ ด้วย สังขาร คือการปรุงแต่งขึ้น เป็นส่วนของอนาคต คือ ถ้าคิดจะพูด เขาเรียก วจี +สังขาร คุ้นๆนะ พูดออกไปปั๊มเรียกวจีกรรม เพราะ กรรมเกิดจากเจตนา ฝ่านการคิดมาแล้ว กรรมสำเร็จแล้ว ถ้าพูดดี คือ อยู่ในกุศลกรรมบท10 ก็ดีไป ถ้าพูดแล้วเป็นอกุศล คือ อยู่ในอกุศลกรรมบท10 ก็ซวยไป กลายเป็นบาป เพ้อเจ้อ ส่อเสียด โกหก หลบหลู่ฯ เห็นไหมว่า ศาสนาพุทธ หากศึกษาจาก พุทธวจน คือ คำสอนที่ออกจากพระโอษฐ์พระศาสดาเองแล้ว เข้าใจง่าย ลัดสั้นตรง ไม่งมโข่งพายเรือในอ่างน้ำ เหมือนฟังสอนของสาวก ที่แต่งขึ้นตามความเข้าใจตนเอง มาพูดถึงนิพพาน กับสมอง หัวข้อในคลิปนี้ สมองคือ หน่วยความจำ หากความจำไม่เสียหายไม่บ้า ไม่วิปริต ก็บรรลุธรรมได้ ทุกขั้น จะด้วยปัญญาวิมุตติหรือ เจโตวิมุตติ สมาธิ ต้องมีเป็นบาทฐาน คือ สัมมาสมาธิ แต่ จะได้หรือไม่ได้ฌาณก็ได้ ใช้ปัญญา คือ การพิจารณา สภาพธรรมที่เกิดขึ้น ว่า สิ่งใดไม่เคยมีก็มีมา มีมาแล้วก็ดับไป เห็นอะไรในสภาพธรรมข้อนี้ ไตรลักษณ์ เห็นแล้วได้อะไร ได้ปัญญา เพราะ เห็นอริยสัจ +ธรรรม ว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวง ล้วนไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า พระศาสดาตรัสถามแก่ภิกษุทั้งหลาย เป็นเราก็ต้องตอบว่า เป็นทุกข์พระเจ้าข้า ก็สิ่งใดเป็นทุกข์มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา ควรหรือหนอจะเห็นว่า สิ่งนั้น ว่าเป็นเรา เป็นของๆเรา เป็นอัตตาของเรา ไม่ควรเห็นอย่างนั้นพระเจ้าข้า งั้นพวกเธอทั้งหลาย พึงถอนอุปปาทานจากสิ่งนั้นสิ พอถอนอุปปาทานคือ ความยึดมั่นว่ากายนี้เป็นเราเป็นของๆเราเป็นอัตตาตัวตนของเราได้แล้ว ใครมาด่า มาว่า เจ็บไหม ไม่เจ็บแล้ว ตายก็ตายสิ ร่างกายนี้ ก็เป็นของเกิดดับตามธรรมชาติ นี้แหละคือการปล่อยวางเป็นพระอรหันต์ ด้วยปัญญาวิวุติ ส่วนเจโตวิมุตติ ใครอยากรู้ว่ายังไงก็ค่อยถามมา ยาวแล้ว สงสารคุณหมอกับคุณอุ๋ย ที่รู้ธรรมมะเพียงเปลือกๆนอกใบ ยังไม่ถึงกระพี้ แต่เหตุปัจจัยมี หากไม่ยอมรับความจริง ก็ยาก เพราะอินทรีย์ ๕ ศรัทธา มาเป็นที่หนึ่ง ไม่มีศรัทธา หรือจะมี วิริยะ มาเรียนรู้สืบเสาะหาแก่นธรรมแท้ๆ ไม่ต้องพูดถึง สติ สมาธิ ปัญญา ที่จะเจาะแทงกิเลสได้เลย ปัญญาหาเงินทองมาใช้ คงพอได้ หากยังมีลมหายใจอยู่ รีบเลย หมอวี ด้วย มาถูกทางแล้ว คือ รู้ลม แต่ในความรู้ นั้น ต้องใช้ปัญญาประกอบ ด้วย จึงจะเจาะแทงกิเลสได้ ไม่งั้น ฤๅษี คงเป็นอรหันต์กันเต็ม เพราะทำสมาธิเก่งกันหมด เนอะ รู้อะไรรู้ให้จริง แล้วจะไม่เสียชาติเกิด เพราะการได้ความเป็นมนุษย์นั้นแสนนนนยากมาก ขอบอก
ชอบฟังรายการคุณอุ๋ย มากค่ะ เคยไปปฏิบัติธรรมตามคำแนะนำของเพื่อนร่วมงานรุ่นพี่ หลวงพ่อพาเดินจงกลม ตอนแรกไม่เข้าใจไม่อยากเดินเพราะมีคำถามในใจว่าเดินทำไมเหนื่อยเปล่า ๆ ไม่ชอบนอนดึกและตื่นเช้า กลัวนำ้ค้างเปียกผม กลัวป่วย ไม่อยากเสียเวลาอยากเอาเวลานอนดีกว่า หลวงพ่อดุและบอกว่าถ้าอยากนอนอย่ามาวัด ในที่สุดวันสุดท้ายก่อนกลับ คืนนั้น กัดฟันสู้ เดินก็เดิน ยอมให้นำ้ค้างเปียก เดินจนเหนื่อยตัวชุ่ม ไม่กลัวเหนื่อย เดินไปเรื่อย ๆ จนไม่สนใจว่าดึกแค่ไหน ไม่สนใจอะไร จดจ่อแค่ก้าวของตนเอง ในที่สุด ตัวเบาใจโล่ง ใจผ่อนคลายสบาย ๆ ตอนนี้เข้าใจแล้วค่ะว่าทำไมจึงมีการเดินจงกลม ดิฉันนั่งสมาธิไม่ติด จึงใช้วิธีเดิน และทำงานแทน การลดอัตตาตัวตนได้ ทำให้เราอยู่ในสังคมหรือที่ไหนก็มีความสุข ทำงานกับใครก็ไม่ทุกข์ใจค่ะ ติดยึดกับสมมุติ เป็นทุกข์
ซึมเศร้าเกิดจากการที่จิตมีกำลัง แต่ไปยึดติดผิดครับ สมองเราไม่ได้ป่วยครับแต่จิตเราไปยึดผิด ถ้ายึดดีๆก้อดีไป ยึดเรื่องแย่ๆก็ความทุกข์ทับทม เสียดายกำลังของจิต🙏🏼
จริง
นิพพานที่คิดว่าเป็นอย่างไรได้(ด้วยสมองซ้าย)นิพพานที่จินตนาการเป็นภาพได้(ด้วยสมองขวา)เป็นนิพพานที่ไม่มีอยู่จริง(ยิ่งอธิบายยิ่งพาให้เกิดมิจฉาทิฏฐิ)
@@failogy ต้องภาวนาจึงจะรู้ได้จริงเวลาที่อริยมรรคเกิดนั้น เกิดขึ้นชั่วขณะจิตเท่านั้นเอง แวบเดียวเท่านั้น ฉะนั้นบางท่านเกิดมรรคเกิดผล ไม่รู้เลย ไม่ทันมัน เหมือนฟ้าแลบ เร็วกว่าฟ้าแลบอีก แป๊บ กิเลสมันขาดสะบั้นไปแล้ว บางท่านจิตท่านชำนาญในสมาธิ ตอนที่เกิดอริยมรรคท่านเห็นกระบวนการที่เกิดอริยมรรค อริยผล ทั้งหมดนี้ 7 ขณะ แต่ถ้าจิตไม่ทรงฌานจริงจะไม่เห็นจริงหรอก กิเลสมันขาดไปเลยไม่รู้หรอก แล้วมันจะค่อยมาสังเกตที่หลัง เขาเรียกมีปัจจเวกขณญาณ มาตามรู้ทีหลังว่า อกุศลตัวนี้ขาดไปแล้ว ขาดเด็ดขาดไปแล้ว ยังเหลือกิเลสตัวไหน เหลืออกุศลตัวไหน จะมารู้ทีหลัง หลังจากเกิดกระบวนการของอริยมรรคอริยผลไปแล้วสรุปก็คืออ่านใจตัวเองไปเรื่อยๆ อ่านใจไป จิตมีราคะก็รู้ จิตไม่มีราคะก็รู้ จิตมีโทสะก็รู้ จิตไม่มีโทสะก็รู้ จิตหลงก็รู้ จิตรู้ตัวอยู่ก็รู้ จิตฟุ้งซ่านก็รู้ จิตซึมเซาหดหู่ก็รู้ หัดรู้อย่างนี้เรื่อยๆ ไป แล้วมรรคทั้งหลายก็จะเจริญขึ้นมาหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโชวัดสวนสันติธรรม9 กรกฎาคม 2565
แค่ทำ จิตรวมเป็น1 ยังไม่ถึง ชาน1จะรับรู้ มิติที่5 คือ เวลา มันยืดออก มีปิติ มาก ( เอ็นโดฟิน เยอะเกิน).. หยุด คิด จึง ผ่าน ..
เข้าใจ ภาวะ จิตนิ่ง จะรู้ว่า ในภาวะ จริง ที่เกิด มันอธิบายไม่ได้ ไม่เหมือน ตำรา สักนิด
เป็นสภาวะธรรมที่มีแต่ลมหายใจเข้าออก..ไม่มีขันธ์5..
นิพพาน ก็เป็นแค่ จินตนาการ ของแขกอินเดีย เริ่มจากพระปารศวนาถ แล้วพระพุทธเจ้าก็แค่ไปจำมาสอนต่อ
ตามลิงก์มาฟังด้วยคนค่ะ
ขอแปะหน่อย 😊 นะคะอริยสัจ4 ตอบโจทย์ชีวิตชาวพุทธทั้งมิติอันเป็นรูปธรรมและนามธรรม (จบกิจต่างกรรมต่างวาระ)อริยสัจ4 ของรูปธรรม (เจริญถึงอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ)ทุกข์รูปธรรม-ความเจ็บ ความแก่ ความตายของร่างกาย (ในแต่ละช่วงวัยของชีวิต)สมุทัยรูปธรรม-การเกิดตัวตนทางกาย (จึงไม่พ้นต้องเจ็บ ต้องแก่ ต้องตาย)นิโรธรูปธรรม-ไม่มีตัวตนเป็นทายาทสืบทอดธาตุขันธ์อีกต่อไป (ไม่มีลูก)มรรครูปธรรม-มรรคอันทำให้บริสุทธิ์ทางกาย (อินทรีสังวรศีล-วิราคะ)อริยสัจ4 ของนามธรรม (เจริญถึงสอุปาทิเสสนิพพานธาตุ)ทุกข์นามธรรม-ความนึกคิดปรุงแต่งต่อ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ (ในแต่ละช่วงเวลาของวัน)สมุทัยนามธรรม-การเกิดตัวตนทางใจ (จึงมีตัณหา 3 ไม่สิ้นสุด)นิโรธนามธรรม-ไม่มีตัวตนเป็นโอปปาติกะในความนึกคิด (วิสังขาร)มรรคนามธรรม-มรรคอันทำให้บริสุทธิ์ทางใจ (เจโตวิมุตติ-ปัญญาวิมุตติ)
คุณอุ๋ย อยากให้เชิญ อ.วรภัทร ภู่เจริญ อีกคน มาคุยเรื่องธรรมะ เรื่องนิพพานค่ะ
เคยใช้ พุทโธ..แบบ พุทเข้า โธออก..มันสะดุดกับการหายใจเข้า-ออก คร่อมจังหวะ..แต่ถ้ามาดูลมหายใจเข้า-ออก คุมได้ดีกว่า แต่มักเผลอไปตอนไหนไม่รู้ที่หลุดไปคิดอย่างอื่น แบบตามไม่ทัน..แต่โดยรวม มันควบคุมระบบของร่างกายได้...ประมาณนั้น...แต่มันก็ยังไม่ไปไหนเลย...🥴🥴
การปฏิบัติเพื่อพ้นทุกข์มาจากประสบการณ์นานตั้งแต่เริ่มบวชถวายในหลวง ร.9 ครั้งแรก 72 พรรษา 3 ครั้ง ครั้งละ 15 วัน ครั้งที่ 4 ตอนท่านสิ้นพระชน จนถึงท่านพระเพลิงสบ 1 ปี ผมเข้าปฏิบัติวิปัสนากรรมฐานทั้งปี ทำให้ผมปฏิบัติธรรมที่พระพุทธตรัสรู้ครบหมดจนถึงจิตหลุดพ้นครบมรรค 4 ผล 4โพธิปักขิยธรรม หรือ โพธิปักขิยธรรม 37 เป็นธรรมอันเป็นฝักฝ่ายแห่งความตรัสรู้ คือ เกื้อกูลแก่การตรัสรู้ เกื้อหนุนแก่อริยมรรค มี 37 ประการคือ สติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4 อินทรีย์ 5 พละ 5 โพชฌงค์ 7 มรรคมีองค์ 8 "ภิกษุทั้งหลาย ก็โพธิปักขิยธรรมเป็นไฉนการปฏิบัติธรรมเพื่อพ้นทุกข์ทั้งหมด อยู่ใน อริยสัจ 4 ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ทุกข์ เราต้องดับ ทุกข์เกิด คือสมุทัย ดับด้วยนิโรธ วิธีดับทุกข์คือ มรรค 8 วิธีแบ่งเป็น 3 อย่าง หรือไตรลักษณ์ 1 เจโตวิมุติ หรือ สมาถ หรือ สมาธิ คือ ฌาน 4 อรูป 4 ฌาน 1 ปฐมฌาน คือดับวิตกวิจาร ฌาน 2 ทุติยฌาน คือดับปิติ ฌาน 3 ตติยฌาน คือดับสุข ฌาน 4 จตุตถฌา คือลมหายใจดับ อรูป 1 คืออากาสานัญจายตนะ อากาสธาตุดับ อรูป 2 คืออากัญญายตนะ ความว่างเปล่าดับ อรูป 3 คืออากิญญายตนะจิตเกิดดับ อรูป 4 คือเนวสัญญา นาสัญญายตนะ มีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ จิตดับหรือตัวรู้ดับ จิตหลุดพ้น 4 ครั้ง 1 โสดาปฏิมรรค 2 สตคามิมรรค 3 อนาคามิมรรค 4 อรหันตมรรค 2 ปัญญาวิมุติหรือวิปัส สนา คือ สติปฐาน 4 1 กายานุปัสสยา เห็นการเกิดดับของกาย กายประกอบด้วยธาตุ 4 คือ ดิน น้ำ ลมไฟ 2 เวทนานุปัสสนา คือ ทุกข์ สุข และไม่ทุกข์ไม่สุขหรืออุเบกขา ต้องเห็ นการเกิดดับของเวทนา 3 จิตตานุปัสสนา คือจิตหรือตัวรู้ เห็นการเกิดดับของจิตหรือตัวรู้ 4 ธรรมมานุปัสสนา คือสมุทัยเกิด นิโรธดับ เห็นการเกิดดับ จิตต้องหลุดพ้น 4 ครั้ง 1 โสดาปฏิผล 2 สตตาคามิผล 3 อนาคามิผล 4 อรหันตผล เมือหลุดพ้นครบมรรค 4 ผล 4 แล้ว 3 เจริญเมตาเจโตวิมุต คือ แผ่เมตาถึงที่ ทั้งสามภพถูมิ สุดท้ายรอกายแตกดับ คือ นิพาน
จริงไม่คับ ท่านบรรลุพระอรหันต์จริงมั้ยคับ
อะไรเป็นปัจจัยให้เวทนาเกิดครับ และอะไรเป็นปัจจัยให้เวทนาดับไปครับ
@@tathagatasawago7895 เพราะมีผัสสะ เป็นปัจจัย จึงมีเวทนา เพราะมีความดับแห่งผัสสะ จึงมีความดับแห่งเวทนา
@@เเก่นศักดิ์เต้งเหี้ยง-ฬ9ฦ นิพพานของคนตาบอด
พอเข้ามาฟังแล้วรู้สึกคลิ๊กมากๆเลยค่ะ มีอาการรู้สึกร่างกายไม่ใช่ตัวเราเวลามองร่างกายตัวเองมานานมากแล้วค่ะตั้งแต่ช่วงวัยรุ่นจำไม่ได้อาจจะประมาณเรียนมหาวิทยาลัย และไม่เข้าใจว่าเป็นเพราะอะไรคิดว่าคนอื่นก็เป็นแบบนี้ ไม่ว่าจะมองแบบตั้งใจ หรือไม่ได้ตั้งใจเห็นตลอดว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ตัวเองทั้งแขน ขา หรือเวลามองกระจกถ้าไม่เห็นหัวตั้งแต่คางลงมาคือเหมือนมองร่างกายคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวเองเลยค่ะ ไม่รู้ว่าเคยปฏิบัติมาก่อนในชาติก่อนๆมาหรือเปล่าค่ะ ซึ่งตอนนี้อายุ 37 ปี แล้วสภาวะความรู้สึกนี้ก็ยังคงอยู่ ยิ่งเวลาไปปฏิบัติธรรมจะยิ่งชัดเจนมาก(แต่เพิ่งเริ่มปฏิบัติได้สอง สามปีค่ะ) อย่างเวลาก้มตัวอาบน้ำ แอบสะดุ้งตกใจว่านี่ขาใครมายืน จนต้องดึงสติกลับมาว่านี่ขาตัวเองค่ะ และมีจังหวะช่วงเดินจงกรมร่างกายหายไปทั้งตัวและเหมือนร่างกายกลืนไปกับธรรมชาติรอบๆ ทั้งอากาศ ต้นไม้ ทราย สัตว์ที่อยู่รอบๆ มันกลืนไปกับทุกๆสิ่ง ตอนนั้นร้องไห้โฮออกมาระลึกในใจขอบคุณพระอาจารย์ที่สอนวิปัสสนา ขอบคุณพระพุทธเจ้าและบอกกับตัวเองว่าหนูเห็นแล้วที่พระองค์สอนเป็นเช่นนี้เอง รู้สึกขอบคุณทุกๆอย่างเลยค่ะตอนนั้นเป็นสภาวะธรรมที่เกิดปิติสุขมากๆเลยค่ะขอบคุณ คุณอุ๋ย และ คุณหมอที่มาให้ความรู้กับผู้หาแนวทางกับชีวิตทางธรรมด้วยค่ะ อนุโมทนาสาธุในธรรมค่ะ 🙏🏻🤍🙇♀️
@@failogy ที่คอมเมนท์เพราะสนใจหัวข้อที่คุญอุ๋ย และคุณหมอนำเสนอซึ่งเกี่ยวข้องกับทั้งวิทยาศาสตร์ และหลักธรรมเนื่องจากเกิดความรู้สึกคล้ายๆ กับที่ตัวเองเป็น เลยอยากแชร์สภาวะที่เกิดขณะปฏิบัติธรรม และยังมิอาจเอื้อมถึงนิพพานเพราะยังเป็นปุถุชนมีรัก โลภ โกรธ หลงอยู่เป็นปกติ แต่ตอนนี้ก็ฝึกเจริญสติเพื่อให้ลดกิเลสต่างๆ เพื่อรู้ทันเวลามีผัสสะมากระทบ ก็พยายามค่อยๆฝึกไปเรื่อยๆ รู้บ้าง หลงบ้างค่ะ ขอบคุณมากๆนะคะ 🙏🏻😊
@@failogy ขอบคุณสำหรับความเมตตาที่ชี้แนะค่ะ 🙏🏻
ปฏิบัติไปเรื่อยๆ มันจะผ่านการคิดรู้เป็นเห็น ไม่ต้องใส่ใจว่าจะใช้เวลาเท่าใด ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ แค่เริ่มก้าวเดินทางธรรมก็ถือมีวาสนาแล้ว
จากที่อ่านๆดูคิดว่าน่าจะเป็นสภาวะที่ขันธ์แยกนะคับ อย่างเช่นจะเห็นว่าร่างกายไม่ใช่ของเรา เหมือนเราอยู่ในหุ่นหรือตัวอะไรสักอย่าง ขอให้ปฏิบัติไปเรื่อยๆนะคับ อนุโมทนาสาธุคับ
@@james31231 อนุโมทนาสาธุค่ะ 🙏🏻
สองท่านสนทนากันด้วยปัญญา ความสุข มธุรสวาจา ขอบคุณทั้งสองท่านมากเลยนะคะ
รายการดี มีสาระ ได้ประโยชน์ ได้ปัญญา ฟังไม่เบื่อ ขอให้ทั้งสองท่านเป็นกัลยาณมิตรซึ่งกันและกัน ไปตลอด นำเสนอหัวข้อทีทำให้ผู้ฟังผู้ติดตามเกิดบุญกุศลทางจิตใจ จัดรายการไปนานๆนะคะ และนำธรรมมะของพระพุทธเจ้า มา สนทนาร่วมกันบ่อยๆติดตามตลอดค่ะ อนุโมทนาสาธุค่ะ🙏😊
นิพพาน เท่าที่ฟังครูบาอาจารย์มา คือสภาวะธรรมที่จิตฝึกมาจนเห็นความจริง มันจึงไม่กระเพื่อมขึ้น กระเพื่อมลง ไปตามปัจจัยภายนอกที่มากระทบ ทิ้งแล้วทิ้งเลย ไม่กลับไปโง่ (อวิชชา) อีก จิตวางถาวร ไม่หิวอารมณ์อีกจิต คหสต คิดว่ามันคือ จิตใต้สำนึก subconscious เก็บทุกความทรงจำในส่วน 90%ที่ยังไม่ได้อันล็อคล่าสุดเพิ่งเจอในยูทูปว่า ความทรงจำ(จากทุกชาติภพ) ถูกส่งผ่านทางดีเอ็นเอ
เป็นคนที่ชอบฟังเรื่องแนวพุทธศาสตร์ ผสมกับวิทยาศาสตร์แบบนี้มากค่ะ ขอบคุณคุณอุ๋ยและคุณหมอที่นำเสนอให้ดูนะคะ
วิปัสสนาคือเห็นเกิดดับว่าตอนนี้เราคิดอะไรแล้วเห็นความคิดมันดับไปเกิดความคิดใหม่มาแทนคือเห็นเกิดดับตรงนี้วิเศษแล้วค่ะรวมความคิดฟุ้งไปให้อยู่ที่ลมโฟกัสต่อที่ลมเข้าออกฟุ้งไปก็รู้ตัวกลับมาใหม่ จิตเป็นสิ่งไม่นิ่งธรรมชาติของมันแค่มีสติรู้ว่ามันท่องไปก็ต้องดึงมันมาที่เสาหลักคือลมหายใจ รู้สึกทึ่งมากที่คุณหมอศรัทธาพระพุทธเจ้ามากถึงขนาดปฏิบัติธรรมคุณหมอมาถูกทางแล้วค่ะ ขอให้คุณหมอเจริญในธรรม มีปัญญาถึงวิมุติในที่สุดโดยเร็ว
การจะย่อยความรู้ขนาดนั้น ให้เข้าใจง่ายขนาดนี้พี่อุ๋ย ต้องศึกษามาเยอะมากๆชื่นชมพี่อุ๋ยมากๆคับ
อยากให้คุณอุ๋ยเชิญคุณหมอมาคุยกันบ่อยๆค่ะ ชอบมาก รู้สึกได้ยกระดับความคิด คิดเรื่องแย่ๆน้อยลง และนั่งสมาธิได้มากขึ้นด้วยค่ะ ขอขอบคุณและอนุโมทนาทั้งสองท่านที่สละเวลาแบ่งปันความรู้ ความเห็นนะคะ
คุณหมอดูนุ่มนวลใจเย็น มาก แสดงถึงจิตใจข้างใน เข้าใจผู้อื่นเป็นอย่างดี สมเป็นคุณหมอ ค่ะ
ขอบคุณๆหมอมากๆครับที่บอกว่าผมมีเพื่อนเป็นหมอ ผมคนไข้ป่วยทั้งกายและใจครับ แถมมีคุณอุ๋ยเป็นเพื่อนอีกดีใจมากๆครับ ถึงคุณหมอไม่บอกผมก็พอรู้ว่าทุกคนเป็นเพื่อนร่วมโลกเดียวกันครับ แต่ไม่ใช่เพื่อนร่วมโรคอย่างผมๆสารพัดโรคครับ
ขอบคุณคุณอุ๋ยและคุณหมอวี ที่ นำศาสตร์ทั้ง 2 แขนง มาถ่ายทอดได้อย่างเข้ากันและลงตัว จะติดตามต่อไปค่ะ
ขอบคุณคุณอุ๋ยและคุณหมอ ที่ทำให้ศาสนาพุทธดูแล้วมีความเป็นเหตุผลและน่าสนใจตามหลักที่ถูกต้องใช้ปัญญานำความเชื่อ
ขอบพระคุณคุณอุ๋ยกับคุณหมอ ทั้ง 2 ท่านทำให้สนใจเรื่องธรรมะ มีค่ากับชีวิตมากค่ะ 🙏🏻
มาฟังย้อนหลังก็ได้ค่ะเสียดายๆ
ทางวิปัสสนาสอนให้กำหนดรู้เวทนา ในขณะที่นั่งสมาธิวิปัสสนาเจอความเจ็บปวด ให้กำหนดรู้ โดยกำหนดรู้หนอๆๆ ไม่ต้องคิดแก้ไขให้ความเจ็บปวดหาย เพียงกำหนดรู้แบบเพียงแต่รู้ ให้ดูพองยุบหรือพุทโธตลอด ความปวดมันจะเบาบางลงค่ะ พระพุทธเจ้าก็ทรงสอนให้เรารู้ทุกข์ ทุกข์มีไว้ให้รู้ค่ะ ทำแบบนี้ทุกครั้งเมื่อเจอเวทนา เวทนาจะเบาบางลงไปจริงค่ะ
ขอขอบคุณคุณอุ๋ยและคุณหมอ และผู้มีส่วนร่วมทุกท่าน ที่ทำให้ได้รับฟังค่ะ
จิตสนใจรับรู้สิ่งใดโลกนั้นจึงได้ปรากฏ เมื่อรับรู้รูปธรรมโลกภายนอกก็ปรากฏเมื่อรับรู้นามธรรมโลกภายในก็ปรากฏนิพพานไม่ปรากฏต่อจิตยึดถือโลกทั้ง 2 จิตพ้นจากโลกทั้ง 2 จึงใช้การคิดเอาไม่ได้เจริญสติก็เพื่อถอยออกมาเห็นโลกทั้ง 2 นั้นว่าเป็นไตรลักษณ์ทั้งรูปธรรมและนามธรรมเมื่อใดศีล สมาธิ ปัญญา สมบูรณ์พร้อมกันเมื่อนั้นจิตจะเป็นอิสระจากโลกที่ยึดถืออยู่นิพพานจึงปรากฏ ณ. ปัจจุบันที่ยังมีชีวิตโดยที่จิตนี้ไม่ได้ออกจากร่างไปที่แห่งใดเลยจิตพระอริยทั้งหลายถึงนิพพานได้ชั่วคราวจิตพระอรหันต์ถึงนิพพานได้ถาวรแล้วเอกายนมรรคคือกระบวนการเพื่อพ้นจากโลกการอ่านการฟังไม่อาจทำให้หลุดพ้นได้จริงการปฏิบัติไม่ยาก ที่ยากเพราะไม่ปฏิบัติจริงความว่างเป็นกับดักของผู้ไม่มีปัญญาญาณความว่างที่แต่ละคนปรุงแต่งนั้นเป็นโมหะสุญตาที่คิดเข้าใจด้วยภาษาไม่ใช่ของจริงสุญตาของจริงรู้ได้เฉพาะจิตที่พ้นจากโลกโลกุตตรจิตใช้สมองสั่งให้เกิดขึ้นมาไม่ได้ทำเหตุไว้จึงจะได้ผลตามพระพุทธเจ้าสอน
สาธุเจ้าค่ะ
@ดูถัวะๆ 👀 คุณเป็นคนคิดลบ มองในแง่ร้าย จึงไปว่าคนอื่นบ้าบุญ เพ้อฝัน หิวแสง เพราะคนบ้าบุญดีกว่าบ้าบาป อยากไปสวรรค์นิพพานก็ยังดีกว่าอยากไปสรรค์ชั้น7 มัวเมาในกามคุณ อยากเป็นผู้มีบุญก็ยังดีกว่าชิงหมาเกิดหนีนรกมาเกิด หิวแสงแสดงบทบาทดีก็ยังดีกว่า สร้างภาพเพื่อหลอกลวงเอาประโยชน์จากคนอื่น การอยู่กับปัจจุบันด้วยการทำวันนนี้ให้ดีที่สุด แม้จะมีแรงบันดาลใจในอนาคต ก็ยังเป็นเรื่องดี เพราะอธิษฐานบารมีเป็นบารมีหนึ่งที่ทำให้คนเป็นเลิศได้ ด้วยการสร้างความดีให้กับตน อย่าง ตั้งมั่น มั่นคง ไม่หวั่นไหว
👏👏👏…สุดยอดเลยค่ะ อธิบายชัดเจนที่สุด…( มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ…แค่"ปฏิบัติ" )
เพราะ ยัง ไม่เข้าถึง จิตรวมเป็น1สัมผัส มิติที่5 เวลายืดขยายจึง เห็นว่า ทำบุญ ด้วย วัตถุ นั้นเลิศ
@@yongyuthtuntiwong7577 จิตรวมเป็น1 เรียกว่า จตุตถฌาน ฌานที่ ๔ ส่วนการสัมผัส มิติที่5 เวลายืดขยาย เป็นเพียงนิมิต หรือวิปัสสนึก การทำบุญด้วยวัตถุ แม้เป็นบุญเบื้องต้น แต่วัตถุบางอย่าง เช่น หนังสือธรรม ซีดี วีซีดี เป็นธรรมทาน ชนะการให้ทานทั้งปวง และเป็นเลิศในการกำจัดความตระหนี่ ความเห็นแก่ตัว เป็นฐานของศีล ภาวนา ไปสู่ทางพ้นทุกข์
ฟังคุณแล้วใจปล่อยวางได้มากๆเลย น้องอุ๋ยไม่ต้องพูดเลย เป็นที่สุดของพี่เลย ชอบมากค่ะ
" นิพพาน(อสังขตธรรม ธรรมชาติที่ไม่มีอะไรไปปรุงแต่งได้) เหล่าสรรพสัตว์ทั้งสังสารวัฏฏ(สังขตธรรม) ข้ามสภาพนิพพานแทบจะตลอดเวลา ข้ามสภาพนิพพานทุกๆครั้งระหว่างที่วิญญาณขันธ์ดับแล้วจะจับวิญญาณขันธ์ใหม่ในทันที ข้ามตลอดวันตลอดคืน ข้ามมาไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ เมื่อสัตว์ผู้มีอวิชชาเป็นเครื่องกั้น ตัณหาเป็นเครื่องผูก จะจับวิญญาณขันธ์ใหม่ๆตลอด ไม่เคยปล่อยวางวิญญาณขันธ์เลย " จนเมื่อเพียรอริยะมรรคมีองค์๘ ตั้งมั่นจนเห็นวิญญาณขันธ์ชัด(กิริยาที่รู้แจ้ง) จนเห็นว่าวิญญาณขันธ์ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่ใช่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา จนเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม จะ ไม่มีมา ไม่มีไป ไม่มีเกิด ไม่มีดับ นามรูปดับสนิท " ที่ใด ณ ที่ใด ไม่มีวิญญาณ ไม่มีนามรูป เอเสวันโต ทุกขัสสะ นั่นแหละคือที่สุดของทุกข์ละ "นะติยา อะสะติ อาคะติคะติ นะ โหติเมื่อความน้อมไป ไม่มี, การมาและการไป ย่อมไม่มีอาคะติคะติยา อะสะติ จุตูปะปาโต นะ โหติเมื่อการมาและการไป ไม่มี, การเคลื่อนและการเกิดขึ้น ย่อมไม่มีจุตูปะปาเต อะสะติ เนวิธะ นะ หุรัง นะ อุภะยะมันตะเรเมื่อการเคลื่อนและการเกิดขึ้น ไม่มี, อะไรๆ ก็ไม่มีในโลกนี้ไม่มีในโลกอื่น ไม่มีในระหว่างแห่งโลกทั้งสองเอเสวันโต ทุกขัสสะนั่นแหละ คือที่สุดแห่งทุกข์ละ.อุทานขุ. ๒๕๒๐๘๑๖๑
ติดตามคุณอุ๋ยกับคุณหมอวีค่ะ ขอบคุณในทุกๆคลิปค่ะ ตัวเอง stroke ข้างซ้ายคะ แต่โชคดีร่างกายฟื้นตัวเร็วค่ะ จะครบ 1ปีแล้ว สามารถใช้ชีวิตได้ปกติค่ะ ศรัทธาในคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ชอบฟังธรรมะ และปฎิบัติธรรมเพิ่มมากขึ้นค่ะ สาธุค่ะ
ได้ความรู้ทางโลกทางธรรมเยอะมากเลย พี่อุ๋ย กับคุณหมอ ธาตุเข้ากันมากค่ะ ได้แง่คิดเรื่องการปฎิบัติในหลายแง่มุม สาธุๆๆๆ ขอบคุณมากค่ะ
เสียงนุ่มน่าฟังทั้งคุณอุ๋ยและคุณหมอทำให้ฟังได้สบายหูสบายใจค่ะ ^^
ตีความเหมือน ตีไฟให้ร้อนฟื้น ตีรวนป่วน จิตรตื่น ถ่มถากถาง ธรรมไม่ทำ นำแต่ถ้อย ถ่อยผิดทาง ทับถมธาร ทิศดี ศิวิไล ขอบคุณกุญแจธรรมครับ ผมจะเลิกตีความแล้วมาตีกะบาลตัวเอง ให้ผมเริ่มทำซะที ฝึกหายใจให้เห็นธรรม
ชื่นชอบทบสนทนาของคุณทั้งสองมาก เรื่องการฝึกสมาธิสำหรับดิฉันก้ไม่ง่ายเลย ยังต้องพยายามอยู่เลย คุณหมอยังเก่ง ยินดีด้วยมากค่ะ ขออนุญาตแนะนำที่พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล ซึ่งท่านสอนการเริ่มทำสมาธิ
คุณอุ๋ย ขอบคุณมากนะคะ ที่ทำช่องดีๆ มีแระโยชน์จรรโลงชีวิตค่ะ
มารับชมทีหลัง..ขออนุโมทนาบุญกับทั้งสองท่านค่ะ สาธุค่ะ
ขอบคุณรายการนี้มากๆเลยค่ะ หลายๆคลิปที่ได้ดูได้เตือนสติ หลบความวุ่นวาย บางทีที่รู้สึกท้อแท้ก็มาฟังรายการคุยกับอุ๋ย และชอบการฟังแนวธรรมะกับหลักวิทยาศาสตร์มันดีมีประโยชน์มากๆจริงค่ะ
ได้แง่คิดดีมาก ประเทืองปัญญา ขอบคุณหัวข้อดีๆแบบนี้ จากคุณอุ๋ย และคุณหมอคับ
คุณหมอดูใจดี และเหมาะกับอาชีพหมอมากๆเลย ครับ
ไปฟังมาแล้วค่ะ ดีมากจริงๆ เห็นด้วยกับที่บอกว่า เป็นTedtalkที่ดีที่สุดที่เคยฟัง อินมากค่ะ ฟังจบอยากรีบแชร์ให้กับคนที่รักเลยค่ะ 💯👏 พี่อุ๋ยคือช่องคุณภาพ👍
ขอลิ้งTedtalkที่พูดถึงได้มั้ยค้า
@@TheNooprae ตามลิ้งนี้เลยค่ะ
@@Ploy-wt4pf ลิ้งก์ไหนคะ
@@TheNooprae แปะลิ้งแล้วยูทูปเอาออกค่ะ😅 เข้าGoogleเขียน Drj jill Tedtalk ก็ขึ้นแล้วค่าา
@@teya6328 แปะลิ้งแล้วยูทูปเอาออกค่ะ😅 เข้าGoogleเขียน Drj jill Tedtalk ก็ขึ้นแล้วค่าา
เป็นคลิปที่ฟังเพลิน ได้ประโยชน์มากๆค่ะ ขอบคุณค่ะ สาธุค่ะ
เป็นการสนทนาธรรมที่น่าสนใจมากค่ะ คิดแบบทันสมัย เสริมปัญญาให้ผู้ฟังแบบใช้ประสบการณ์จริงของพิธีกร ขอบคุณมากค่ะ
เวลาฟังพี่อุ๋ยกับคุณหมอ คุยกัน มันฟินค่ะ ได้ความรู้ได้ปัญญา มาคุยกันบ่อยๆนะคะ ชอบตรงที่คุณหมอบอกพี่อุ๋ยเป็นช่องที่ทำให้คนปฏิบัติมากขึ้น พี่อุ๋ยก็ถ่อมตน บอกไม่เท่าของคุณหมอ หรอกครับ เอาจริงคือแบบ ละสังโยชน์ได้แล้วทั้งคู่ ดีงามทั้งคู่ ชอบมากค่ะ
เป็นการพูดคุยที่ได้ทั้งปัญญา เเละความเพลิดเพลินในธรรม
ขอบพระคุณค่ะคุณหมอและคุณอุ๋ย อนุโมทนาสาธุความรู้ที่เผื่อแผ่ทั้งสองท่านค่ะ🙏❤️
ชื่นชอบการสนทนาระหว่างคุณอุ๋ยกับคุณหมอมากค่ะ ฟังแล้วสบายหูสบายใจ และแฝงประโยชน์ทั้งทางโลกและทางธรรมด้วยค่ะ 🥰
เป็นรายการที่ดีมากๆ ผมเป็นfc ทั้งสองท่าน ผมฟังธรรมมาเกือบ10ปี รู้สึกว่าวิธีคิดและการปฏิบัติตัวเปลี่ยนไป เน้นปฏิบัติ #ความรู้สึกตัว ตามแนว #หลวงพ่อเทียน ครับ
ขอบคุณคุณอุ๋ย ที่คุยกับผู้เชี่ยวชาญ เข้าใจตัวเองเลยว่า ที่ตัวเองปฏิบัติธรรมที่บ้าน ทำให้เข้าใจสมองของตัวเองและผู้อื่นได้ชัดเจนมากๆๆๆขึ้น ขอบคุณคะ
คุณหมอเก่งมาก แต่การเดินภาวนาว่าพุทโธ ไม่เรียกว่ามีสติในการเดิน เป็นจิตภาวนา สติในการเดินต้องรู้ว่ากล้ามเนื้อขาทำงานอย่างไร น้ำหนักเท้าหนักเบาแค่ไหน สมาธิ นั่ง เดิน ยืน นอน ทำได้ทั้งหมด ถ้ามีความคิดระหว่างปฏิบัติ ก็คิดเรื่องในกายไปเลย นั่งท่าไหน มือวางอย่างไร (จิตมีหน้าที่ รับ จำ คิด รู้) คิดเรื่องภายในกาย จนกายกับจิตรวมกัน จิตจะเลิกไปเอง หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับคุณหมอนะคะ ขอให้เจริญในธรรมะที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้แจ้งแล้วค่ะ
ฟังเสียงลมหายใจ ยึดเป็นอารมณ์ อันเดียว ถ้าหลุดไปมโน ให้รีบดึงสติกลับมาที่ลมหายใจ ดึงกลับมาไวได้ก่อนคือเริ่มพัฒนาจิต คุมมันได้
สาธุกับท่านทั้งสองค่ะณานสมาธิมีข้อเสียแค่มันก็ดับได้ เพราะมันก็ตกอยู่ภายใต้กฏไตรลักษณ์ ไม่ต้องกลัวติดค่ะ เป็นสุขที่ไม่มีอามิสทางโลกเป็นเหยื่อล่อ แต่จะล่อให้มีฉันทะในการปฏิบัติ อยากรู้จักตัวกิเลสก็ต้องเข้าไปเห็นมันใช้มันเป็นเครื่องมือในช่วงแรกค่ะ
ปฏิบัติต้องนำด้วยปริยัติเป็นแผนที่ จึงจะขุดพบบารมีที่เคยสั่งสมอุปนิสัยไว้ในชาติก่อนๆ เเสมือนการขุดสินแร่ต้องใช้อุปกรณ์ที่ถูกจึงพบแร่ การนำปริยัติมาปฏิบัติ ต้องเป็นไปตลอดสาย เป็นประโยชน์แก่ตนและผู้มาภายหลัง ในชีวิตเราทุ่มเทใช้เวลาเรียนทางโลก 20-30.. ปี สมองเก่งๆเพียรอย่างนี้เรียนตำราสืบทอดได้แน่ๆค่ะเป็นประโยชน์แก่ตนและผู้มาภายหลัง มิใช่นำมากล่าวเพียงส่วนใดส่วนหนึ่งแล้ว’ตีความ’ ด้วยความคิดมนุษย์อย่างเราๆ ศาสนาจะค่อยๆถูกพวกเราเองบิดเบีอนยไปโดยไม่รู้ตัวบารมีเก่าสำคัญ มีค่ามาก ควรขุดให้พบด้วยถูกวิธี ไม่งั้นพระโพธิสัตว์เจ้าไม่ต้องลำบากมาถึง 20 อสงไขยแสนกัลป์ ไม่ต้องลำบากให้พระพุทธองค์ทรงสั่งสมมาเพื่อตรัสรู้พระธรรมมาบอกพวกเรา
เคย เจอคุณอุ๋ยที่สนามบิน ขอนเเก่น คุณอุ๋ยเดินออกมาคนเดียว ใจเรา อยากทักทายมาก เเต่เกรงใจ เราชอบความคิด ความมีศีลของคุณอุ๋ย ติดตามรายการนะคะ ขอบคุณสำหรับสิ่งดีดี
ไม่อยากให้จบ เลยค่ะ ฟังแล้วลื่นหู ได้ความรู้ มากมาย. ถ้าเปนได้ ขออีก รอบนะคะ ขอบคุณ ไม่ว่าอะไร ที่ทำให้มาเจอ คลิ้บนี้ ขอบคุณ ขอบคุณค่ะ💖
ขอโอกาส_ครับ สิ่งที่คุณอุ๋ย พูดคือ วจีสังขารการจะระงับวจีสังขาร คือ ต้องกลับมาอยู่ที่สัมปชัญญะและสติ สาเหตุ ที่ มีเสียงคุยในใจ ก็เพราะปฏิบัติธรรมลัดขั้นตอน เพราะลำดับการปฏิบัติมันต้องเริ่มต้น1 อริยอุโบสถ(ศิล)2 สำรวมอินทรีย์ (ตา หู จมูก ลิ้น นำผัสทางกาย และ ธัมมารมณ์ 3 สติสัมปชัญญะ4 สันโดษ ต้องผ่านการปฏิบัติธรรมวินัยเหล่านี้ก่อน
อยากฟังไปเรื่อยๆเลยค่ะ ฟังได้ทุกประเด็นค่ะ 😊😊😊😊😊😊😊
อยากให้คุณอุ๋ย ได้เจอกับท่านอาจารย์ ธรรมะ บุญพลัง ท่านเป็นอาจารย์ที่อธิบายเรื่องพวกนี้ได้ดีมากๆครับ
คนป่วยใกล้ตาย เคยปฏิบัติมาบ้าง สามารถเข้าถึงนิพานกหรือขยับระดับจิตขึ้นไปได้ละรักโลบโกรธหลง ปล่อยวางทุกสิ้ง เข้าใจทุกอย่างทะลุไปหมด ผมว่า
นิพฺพานํ ปรมํสุญฺญํ นิพฺพานํ ปรมํสุขํ นตฺถิสนฺติ ปรํสุขํ นิพฺพานํ ปรมํวทนฺติ พุทฺธา รูป นาม เป็น อัญญมัญญปัจจัย พระอรหันต์จะเข้านิโรธสมาบัติ ท่านจะต้องอธิษฐานข้อหนึ่ง ถ้าชีวิตจะต้องสิ้นสุดลงก่อน ๗ วันที่เป็นอายุนิโรธสมบัติ ก็ให้นิโรธสมาบัติสิ้นสุด ณ ตรงนั้น (เพราะในนิโธสมาบัติ ชีวิตตินทรีย์ ขาด คือ ตายไม่ได้) เพื่อปัจเวกขณะนิพพานธรรม พิจารณาภพภูมิต่าง ๆ ในวัฏฏสงสารทั้ง ๓๑ ภูมิ ปัญญาญาณในการพิจารณานี้ นับรอบไม่ถ้วน ชัดแจ้ง ไม่มีภูมิใดเลยที่ไม่เหมือนหลุมถ่านเพลิง ไม่อาจข้องแวะเข้าถึงได้อีกเลย ปัญญา ที่พิจารณาดับ จิตที่เป็นนิสัยของปัญญาก็ดับด้วย (เจตสิก เป็นนิสิต จิต เป็นนิสัย) เมื่อทั้งจิตและเจตสิกดับ รูป อันเป็นที่อาศัยของจิตก็ดับด้วย (จิต เจตสิก เป็นนามธรรม รูป เป็นที่อาศัยของจิต นามและรูป เป็นอัญญมัญญปัจจัย) เมื่อทั้งรูป และนามดับ จึงไม่มีสิ่งใดเหลืออยู่อีก นิพฺพานํ จึงเป็น ปรมํสุญฺญํ. อาการ ๓๒ เกสา โลมา นขา.....มตฺถเก มตฺถลํุคนฺ (มันสมอง) เป็นแต่รูปทั้งสิ้นที่อุปกรณ์เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ กระทบได้ สัมผัสได้ แต่ จิตและเจตสิก เป็นนามธรรม อุปกรณ์ เครื่องมือใด ๆ ทางวิทยาศาสตร์ วัตถุนิยม กระทบไม่ได้ สัมผัสไม่ได้ ไม่อาจอธิบายได้ เป็น Intangible พ้นวิสัยของวิทยาศาสตร์.
คุณหมอพูดถูก ถ้าเข้าใจเรื่องการกระทำ จะทำให้เข้าใจอีกหลายเรื่องได้ง่ายขึ้น
🙏ฟังแล้วได้ประโยชน์อย่างยิ่งเลยค่ะ..ชอบคุณคุณอุ๋ยและคุณหมอค่ะ
พระพุทธองค์ตรัสรู้ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา(ไม่มีเรา บังคับบัญชาไม่ได้) อบรมปัญญาเพื่อรู้ตามความเป็นจริงของสิ่งที่กำลังมีว่าเป็นธรรมอย่างไร? ไม่ใช่เราแล้วเป็นอะไร? เพราะหนทางนี้เป็นหนทางละทั้งหมด ไม่ใช่จะใช้สติ ใช้ปัญญา!! ถ้าไม่มีล่ะ เพราะไม่ได้อบรมมา…สติ ปัญญา คิดดี คิดร้าย ฯลฯ เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยทั้งหมด พระองค์ตรัสรู้ความจริง ไม่ใช่ความคิด… ติดตามคลิปคุณอุ๋ย เพราะฟังแล้วมีเรื่องราวให้คิด เชื่อ ไม่เชื่อ เห็นด้วยหรือไม่ก็เป็นเรื่องหนึ่ง!! ประโยชน์คือได้คิดในเหตุในผล ขอบคุณค่ะ🙏🏻
ขอบคุณ คุณอุ๋ย ขอบคุณคุณหมอวีค่ะ❤️
ได้ความรู้ เกิดปัญญา ได้นำมาปรับใช้กับการปฏิบัติ ดีมากเลยค่ะ เป็นการให้ธรรมทานที่ดีมากๆเลยค่ะ อนุโมทนาสาธุกับการให้ความรู้ของคุณอุ๋ยและคุณหมอนะคะ🙏🙏🙏
ตามคุณหมอมา...😊🎉💖 สวัสดีคุณอุ๋ยครับ🙏
พระอาจารย์ที่ผมนับถือท่านบอกไว้ว่าพระพุทธเจ้ารู้ถึงเรื่องสมองมนุษย์ที่ทำงานต่างกัน การฝึกสมาธิจึงต้องใช้วิธีแตกต่างกัน พระพุทธองค์ถึงได้ให้มีกรรมฐาน 40 วิธี สำหรับแต่ละสมองแต่ละประเภท ผมเองเป็นอย่างที่ในคลิปว่าเลยครับ ใช้ความคิดทางตรรกะเยอะ ฝึกสมาธิไม่ไดเลย คิดไม่หยุดฟุ้งซ่านตลอด
ตัวสมองมีนามธรรมที่สถิตอยู่2ส่วนคือสัญญา(ความจำชั่วคราวแรม)และจิตสังขาร(การนึกคิดปรุงแต่งอารมณ์ประมวลผลตามความจำที่มีในสัญญา).แต่การตรัสรู้ใช้จิตตัวรู้ซึ่งไม่ได้อยู่ในสมอง แต่มันสถิตอยู่ในหัวใจแต่มันอยู่อย่างอิสระไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของหัวใจ.พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลายตรัสรู้ธรรมได้ก็ใช้จิตตัวรู้ที่มันสถิตที่หัวใจนี้เท่านั้นมันไม่ได้รู้อย่างเดียวมันบันทึกทุกการกระทำของเราเอาไว้ด้วยแม้แต่การคิดนึกทุกไมโครวินาทีรวมถึงความฝัน. และการตรัสรู้นั้นที่ต้องใช้สมาธิขั้นสูงเพราะต้องต้องปิดกั้นจิตสังขารไม่ให้มันมารบกวนจิตตัวรู้(นิวรณ์ห้า) นักวิทยาศาสตร์คิดค้นอะไรได้ก็ต้องอาศัยจิตตัวรู้นี้เท่านั้นแต่พวกนักวิทยาศาสตร์นี้รู้แล้วใช้จิตสังขารปรุงแต่งสิ่งที่รู้นั้นเสีย
@นนทวัฒน์ ปัญญาธิกะโพธิญาณ คุณจัดอยู่ในพวกขาดปัญญา เปรียบดังทัพพีไม่รู้รสแกง จึงเข้าใจผิด หลงผิดว่า จิตตัวรู้ที่สถิตที่หัวใจนี้เท้ล่านั้น ทั้งที่วิญญาณมีความหมายเดียวกับจิต เป็นนาม ...ไม่มีรูป จิตนี้ซุกซนเหมือนลิง ไม่อาจนิ่งอยู่ที่หัวใจได้ แม้แต่ขณะภาวนาก็อาจวางจิตไว้ที่ศูนย์กลางกายแบบธรรมกาย หรือวางจิตไว้ที่ลิ้นปี่แบบหลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม ยิ่งปุถุชนมักส่งจิตออกนอกไปไหนต่อไหนเรื่อยเปื่อยอยู่ตลอดเวลา การตรัสรู้นั้นไม่ต้องใช้สมาธิชั้นสูง ที่เกิดอภิญญา6 สมาบัติ8 ซึ่งฤาษีชีพราหมณ์ก็มีได้ แต่ต้องมีวิปัสสนา เพื่อรู้แจ้งเห็นจริง ส่วนนักวิทยาศาสตร์คิดค้นอะไรในทางโลก ใช้เพียงการมีนิสัยขี้สงสัย และชอบสังเกตุ ก็จะทดสอบสมมติฐานด้วยการทดลองจนค้นพบความจริงในความเจริญทางวัตถุ... ซึ่งไม่ใช่อริยสัจ4 ที่เป็นทางพ้นทุกข์ แต่กลับเพิ่มกิเลสตัณหาอุปาทาน ที่ทำให้ยิ่งวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏ
รีบๆปฏิบัติให้เดินทางทางธรรมให้เร็วที่สุด พอระยะ4 มาถึงจะได้หมดห่วงอะไร ไปแบบสบายใจ อย่างน้อยก็ให้ได้โสดาบรรนหรือไม่ลงไปข้างล่าง อยุ่กับลมหายใจให้ได้มากที่สุด พุดง่ายทำยากมากคะ
ป้าสุขใจจัง ที่ได้ฟัง คลิปนี้ได้ทั้งความรู้ความสุข thanks ทั้งคุณอุ๋ยและคุณหมอ ยิ่งรู้ว่าคุณคุยเรื่องธรรมะ ได้อย่างนี้ อึ้งเลย
ซาวด์เอ็นจิเนียร์ที่เจอนักดนตรีมามากมาย รู้ว่าสำเนียงกีต้าร์แต่ละคนมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนกัน ได้ยินความต่างของเสียงกีต้าร์แต่ละยี่ห้อ การเลือกเสียงปิ๊คอัฟตัวหน้าหรือตัวหลังหรือผสมกัน เพียงฟังผ่านลำโพงก็สามารถจำแนกแยกแยะความแตกต่างได้ซาวด์เอ็นจิเนียร์ที่เริ่มมาจากเรียนอิเลคทรอนิคกับซาวด์เอ็นจิเนียร์ที่เริ่มมาจากเรียนดนตรี ต่างยอมรับกันและกันว่ารู้ลึกในศาสตร์และศิลป์คนละด้าน ต่างก็ยกกันเป็นอาจารย์ขอคำแนะนำในเรื่องที่ตนเองด้อยกว่าการกล่าวว่า"ผู้มีบุญมาเกิด"เป็นมิฉาทิฏฐิแบบหนึ่งที่เรียกว่า"สัสสตทิฏฐิ" สอนให้ชาวพุทธเชื่อว่า"ตายแล้วเกิด" จึงคิดเอาเองว่าการสิ้นภพสิ้นชาติคือการไม่กลับมาเกิดอีกแล้วหลังจากสิ้นลมการวิจัยทางปรัชญาและศาสนามีทั้งคุณและโทษสามารถทำลายมิจฉาทิฏฐิหรือทำลายสัมมาทิฏฐิได้ศาสนาพุทธในประเทศไทยมีเปลือกพอกพูนอยู่มากมีความงมงายที่ผสมกลมกลืนกับความเชื่อสารพัดซึ่งความเด่นชัดรวมๆไม่พ้นไปจาก"ปรัชญาจิตนิยม"คือถือมั่นว่ามีจิตหรือวิญญาณเป็นอมตะหลังจากตายอันเป็นมิจฉาทิฏฐิแบบหนึ่งที่เชื่อว่า"ตายแล้วเกิด"การทำลายมิจฉาทิฏฐิอย่างนี้จะเกิดมิจฉาทิฏฐิอีกแบบกลับเชื่อว่า"ตายแล้วสูญ"ที่เรียกว่า"อุจเฉททิฏฐิ"พาให้ไม่เกรงกลัวบาปกรรม แม้ทำอะไรไว้ตายแล้วจบการวิจัยทางปรัชญาและศาสนาควรมีความรอบคอบศึกษาให้ถึงแก่นแท้คำสอนของพระพุทธเจ้าจริงๆการตีความพระสูตรใช่เพียงการแปลข้อความให้รู้เพราะการเทศนาทุกครั้งมีที่มาที่ไปมีจุดประสงค์เสมอทั้งบุคคลและหมู่คณะแต่ละพระสูตรมีมิจฉาทิฏฐิอะไรท่านเหล่านั้นมีต้นทุนใดที่ดีช่วยส่งเสริมให้บรรลุธรรมการประพฤติปฏิบัติแต่เดิมมีศีล สมาธิ ปัญญาหรือไม่สมบูรณ์หรือบกพร่อง เป็นมิจฉาหรือสัมมาตรงไหนเพราะการฟังเทศนาจากพระพุทธเจ้าแล้วบรรลุธรรมหรือใช้เวลาสำเร็จมรรคผลได้ย่อมมีต้นทุนที่มากพอใช่ว่าคนยุคนี้อ่านหรือฟังพระสูตรแล้วจะได้ผลอย่างนั้นการวิจัยทางปรัชญาและศาสนาจะช่วยให้เข้าใจได้บางคนใช้"วิสุทธิมรรค"หรือ"การละสังโยชน์"เทียบเคียงแจกแจงให้เห็นลำดับของการชำระล้างกายและใจคนในปัจจุบันอ่านหรือฟังพระสูตรแล้วไม่ได้มรรคผลก็เพราะศีลสิกขา จิตตสิกขา ปัญญาสิกขายังไม่ได้เรื่องยังมีมิจฉาทิฏฐิในเรื่องต่างๆ มีหลายปัจจัยพาให้เนิ่นช้าโดยเฉพาะการตีความ"พระไตรปิฎก"ผิดไปโดยไม่ตั้งใจบ้างก็ติดอยู่ใน"ปรัชญาจิตนิยม"เชื่อว่า"ตายแล้วเกิด"บ้างก็มักง่ายเอา"หลักวิทยาศาสตร์เก่า"มาลบล้างเชื่อว่า"ตายแล้วสูญ"ไม่อัพเดต"หลักวิทยาศาสตร์ใหม่"มีความรู้ใหม่เกี่ยวกับพันธุกรรมตรงกับหลักอิทัปปัจยตา"สัญญาและสังขาร"จากอดีตสามารถสืบทอดมาปัจจุบัน ถ่ายทอดสู่อนาคตจากคนรุ่นหนึ่งไปยังอีกรุ่นหนึ่งได้ไม่มีดวงจิตออกจากร่างหลังตายพร้อมข้อมูลไปเกิดดังนั้นการสอนว่า"ผู้มีบุญมาเกิด"จึงเป็นความหลงผิดเพราะติดอยู่กับ"ปรัชญาจิตนิยม"ไม่ต่างจากคำสอนฮินดูยกเว้นว่า"เจตนาในการสอนนั้น"เพื่อไม่หลงผิดคิดชั่วเป็นอย่างพวก"อุจเฉททิฏฐิ"แล้วไม่เอาศีลไม่เอาธรรมสนองความอยากในชีวิตนี้ด้วยถือว่าตายแล้วสิ้นสุดไม่มีนรก ไม่ต้องรับกรรมที่ก่อ จึงใช้กุศโลบายสอนอย่างที่ครูบาอาจารย์ในอดีตทั้งที่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรอย่าได้สรุปเอาเองว่า"ผู้มีบุญมาเกิด"เป็นเรื่องจริงจังพาให้ตีความเรื่องราวในพระไตรปิฎกผิดเพี้ยนหมดจึงหมายเอาว่ามีจิตเที่ยงจิตเดิมเป็นเราก่อนมาเกิด
สาธุเจ้าค่ะ/ลึกซึ้งจริงๆ
คือไม่ต้องปักใจทั้งเชื่อ/ไม่เชื่อใช่ไหมเจ้าคะ
@@รัชสุรีย์จันทเพชร-ฒ6ย ต้องภาวนาเห็นเองการเชื่อว่า"ตัวตนนามธรรม"เป็นเราที่อมตะมาก่อนเกิดและหลังตายนั้น พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า"เป็นมิจฉาทิฏฐิ"อย่างหนึ่งของพวกพราหมณ์ในสมัยพุทธกาล ในขณะที่พวกลัทธิอื่นเชื่อว่าตายแล้วสูญ ด้วยเห็น"ตัวตนนามธรรม"เป็นวิญญาณดวงเดียวที่ดับสิ้นพร้อมร่างกายพระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า"จิตดวงหนึ่งเกิดขึ้นแล้วดับไปตลอดเวลา" หรือจะอุปมาว่าเหมือนกับกระแสเสียงที่เป็นความถี่ในบทเพลงโน้ตตัวแรกเกิดขึ้นจากความถี่หนึ่ง แล้วดับไป โน้ตตัวต่อมาเกิดจากอีกความถี่หนึ่งแล้วก็ดับไป โน้ตที่เปลี่ยนเสียงสูงต่ำทำให้เรารู้ได้ว่ามันไม่ใช่โน้ตตัวเดียวกันจิตดวงหนึ่งก็ไม่ต่างกับความถี่หนึ่ง จิตอีกดวงหนึ่งก็เป็นคนละความถี่ แต่สันตติหลอกเราให้เชื่อว่าเป็นจิตดวงเดียวตลอดชีวิต การพิสูจน์ด้วยตัวเองจากการภาวนาจนเห็นจริงเท่านั้น จึงจะทำลายมิจฉาทิฏฐิทั้งสองอย่างได้จริง รู้ว่าศาสนาอื่น ลัทธิอื่นติดอยู่ใน"ปรัชญาจิตนิยม" ไม่มี"ตัวตนนามธรรม"ที่เที่ยงถาวรมาก่อนการเกิด"ตัวตนรูปธรรม" "การตอนตัวเอง"ในนิยายจีนกำลังภายในเรื่อง"กระบี่เย้ยยุทธจักร" มาจาก"คัมภีร์กระบี่ปราบมาร"ที่เขียนขึ้นโดย2คนท่องจำ"คัมภีร์ทานตะวัน"คนละครึ่ง เป็นปริศนาธรรมที่ท่าน"กิมย้ง"ใช้สอนให้ฉุกคิดอย่างจงใจเช่นเดียวกับคนคิดเรื่องอจินไตย มันเป็นบ้าได้ตั้งแต่ ตัดจู๋ตัวเองทิ้ง ฆ่าตัวตาย ฆ่าลูกหลาน ฆ่าพ่อแม่พี่น้อง ฆ่าล้างโคตร ไปถึงฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ หรืออยากให้ระเบิดนิวเคลียร์ฆ่าล้างโลกให้หมด เพราะคิดว่านิพพานคือการทำให้"ว่างเปล่า!" การที่พระพุทธเจ้าไม่สอนอะไรมากไปกว่าใบไม้ในกำมือ ก็เพราะคนที่รู้ได้ทั่วถึงมีน้อย คนที่ตีความกลายเป็นมิจฉาทิฏฐิมีมาก เป็นเหตุให้เกิดโทษภัยร้ายแรงต่อสังคมในทุกระดับ
@@รัชสุรีย์จันทเพชร-ฒ6ย สติปัฏฐาน4 เป็นทางเอกภาษาไทยดีมาก คำว่าเข้าใจ เข้าใจคือใจมันรู้ ไม่ใช่เข้าสมองแล้วก็จำเอาไว้ เข้าสมองแล้วก็จำเอาไว้ไม่นานมันก็ลืม อย่างเรียนปริยัติเรียนๆ ไปพออายุเยอะขึ้นก็ลืม ส่วนใหญ่ลืมตั้งแต่เรียนแล้วไปสอบ สอบเสร็จแล้วก็ลืมไม่ได้เอามาใช้ ฉะนั้นธรรมะอย่างนั้นมันไม่มีประโยชน์อะไร อยากเข้าใจก็ต้องลงมือปฏิบัติจริงๆธรรมะเข้าใจไม่ได้ด้วยการอ่าน ธรรมะก็เข้าใจไม่ได้ด้วยการฟังเยอะๆ ฟังนิดๆ หน่อยๆ พอให้รู้วิธีปฏิบัติ แล้วก็ลงมือปฏิบัติไปให้มันจริงจัง ไม่เคยรักษาศีลก็รักษาเสีย ไม่เคยฝึกจิตใจของตัวเองให้ตั้งมั่นก็ฝึกเสีย ไม่เคยเห็นกายเห็นใจตามความเป็นจริงก็เห็นเสีย อยากเห็นกายเห็นใจตามความเป็นจริง ก็ใช้วิธีมีสติรู้กายรู้ใจตามความเป็นจริง ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง ถ้าจิตไม่ตั้งมั่นและจิตไม่เป็นกลาง จะเห็นความจริงของกายของใจไม่ได้ จะไม่เห็นหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโชวัดสวนสันติธรรม18 มิถุนายน 2565
ร่วมเพศเลยเกิด
เมา กช.กันทั้งสวรรค์ 😃😃😃😍
ขอบคุณคุณหมอกับคุณอุ๋ยครับ ฟังแล้วเกิดความคิดความรู้สึกที่ดี
ขอบคุณ คุณอุ๋ย กับคุณหมอวี เป็นรายการที่ดีมีประโยชน์กับผู้ฟังฟังแล้วทำให้คิดตาม ชอบรายการที่คุณอุ๋ยจัดมากค่ะให้ความรู้เพิ่มเติม 🙏🏼
สวัสดี ค่ะคุณอุ๋ย เพิ่งเจอคลิปของคุณ ถูกใจมาก เลยไปไล่ดูทุกคลิปทั้งวัน ทั้งคืน ส่วนมากจะชอบแบบธรรมมะอยากให้คุณอุ๋ย เชิญทันตแพย์สม สุจีรามาคุย ธรรมมะในแบบวิทยาศาตร์ บ้าง
นอกจากความรู้ รู้สึกสนุก กับข้อมูล ค่ะ
เจ้าชายสิทธัตถะ บำเพ็ญเพียรมานับ500 ชาติ ออกแสวงหาความหลุดพ้นใช้เวลา 6 ปี ทรงตรัสรู้ อริยะสัจสี่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เป็นหนทางไปสู่นิพพาน คุณปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าซิครับ.!
อนุโมทนาสาธุครับ
ขอบคุณคุณอุ๋ยและคุณหมอมากๆ
สุขอื่นน่ากลัว แต่สุขของสมาธิ เปนสิ่งที่ไม่ควรกลัว พระองค์ให้ทำให้มาก เจริญให้มาก เปนทางได้ถึงปัญญาวิมุต นิพาน ถ้าได้เหนการเกิดดับในสมาธิทำสมาธิ หรือเจริญอนาปณสติ สามารถได้มรรค8มาพร้อมเลย ได้ยังไง พุทธวจนะเลยครับ พระองค์ตรัสไว้หมดแล้ว ได้เหนนิพพานด้วยตัวเองแน่นอนครับ ไม่ต้องมานั่งเดาไรกันแล้ว รู้ได้เฉพาะตน
กดติดตามให้แล้วนะคะ ดูบ้างไม่ดูบ้างไม่โกรธกันคะ เป็นกำลังใจให้ในการทำคลิปต่อๆไปนะคะ
แบบนี้สิของแท้ ต้องลองปฎิบัติดูเอง ไม่ต้องเอาแต่ตั้งขอ้ส่งสัยอยู่ อยากรู้ต้องลองฝึกปฏิบัติดูให้เต็มที่สักคลา ผมก็กำลังลองฝึกปฎิบัติอยู่ ได้ความรุู้จากท่านทั้ง2อย่างมาก
พี่ชอบฟังคุณทั้ง2คนพูดมากค่ะ..ติดตามมาเรื่อยๆ..ดีใจมากที่คุณอุ๋ยเชิญหมอวีมาคุย
ซึมเศร้า ภาวะอารมณ์ที่จับอยู่กับจิตที่ไม่มีสุขครับจิตที่เพลินกับสุขพอได้พอใจกับสุขก็ไม่อยากจับกับทุกข์ พอไม่อยากจับทุกข์ แต่อยากได้สุข อยู่กับความว่าง เพียงเสี้ยววิที่ว่างไม่ได้ สุขก็ไม่ได้ จิตก็จะไปจับกับอารมณ์ทุกข์โดยธรรมชาติ มนุษย์จึงจำทุกข์ได้ดีกว่าจำสุข อารมณ์เรานั้นเหมือนเราปลูกพืช ชนิดต่างๆในสวน เราให้อาหารพืชชนิดไหน พืชชนิดนั้นก็เติบโต เวลามันโต แล้วเรารู้ว่าปลูกผิด มันก็ถอนยาก ถอนก็เจ็บปวด วิธีแก้เลือกได้หลายทาง ให้อาหารพืชที่ควรให้ ดูแลมันอย่างดี ไม่ให้อาหารพืชที่ไม่ควรให้ มันก็ขาดอาหารตายเองครับ
ผมเคยเจอสภาวะว่างครับ ว่างจากทุกสิ่งว่างจากตัวตนว่างจากความคิด ตอนนั้นผมไม่รุ้มันคืออะไรกลัวมากๆ ในสมองจำไม่ได้ว่าตัวเองเป้นใคร จำไม่ได้ว่าในสมองมีความคิดอะไร
คุณหมอที่รักษาด้วย กับ ศิลปินที่ชอบ มาคุยกันในเรื่องที่ชอบอีก ดีมากๆเลยครับ เรื่องที่ตัดสินใจยากของผม คือมีความกลัวเข้ามา ยิ่งเกี่ยวกับคนสำคัญของเรา ตัดสินใจยากมากเลยครับ เรื่องปฏิบัติยิ่งปฏิบัติ อย่างหนึ่งที่ผมรู้สึก กิเลสมันก็เรียนไปกับผม แล้วมันก็เอาความรู้มันมาสู้กับเรา เหมือนจากแค่การบวกเลขธรรมดาในวันก่อน วันนี้มันเอาการคูณการหารมาเป็น โจทย์ให้เลย บ้าบอจริงเชียว
อยากให้พี่อุ๋ย สัมภาษณ์ ทันตแพทย์ สม สุจีรา อีกท่านครับพี่
ขอบคุณคุณอุ๋ยและคุณหมอมากๆนะคะ เป็นกำลังใจให้ทำรายการนี้ไปนานๆนะคะ
คู่นี้หนุกดีครับ ลองตั้งสมุติฐานเล่นๆว่า ถ้าสมองทั้งซ้าย-ขาว ถูกอวัยวะพิเศษคือใจ(ของเรา) ครอบงำ บงการได้ สมองทั้งสองฝั่งสิครับ บรรเทิงเกิด เพราะต่อให้เราเป็นนักคิด สุดท้ายเราก็ติดสิ่นสิ่งต่างๆตามใจอยู่ดี เบื้องต้นของการคิดอาจใช้เหตุผล แต่ตรงที่จะเลือกก็ใช้ใจเลือกอยู่ดี หรือบางท่านเป็นช่างศิลป์ ซึ่งศิลป์ที่ดีหรือไม่ดี ก็อยู่กับใจอยู่ดี ที่ตัดสิน ถ้ามีกระบวนท่า กระบวนวิธีการที่ฝึกใจ ให้ฉลาดแยกแยะการทำงานของสมองสองฝั่งออกได้อย่างชัดเจนสม่ำเสมอ เราก็จะตอบสนองต่อทั้งอารมณ์และเหตุผล ได้สมดุลมากขึ้น... สนุกน่าดูเลยนะครับถ้าฝึกแบบนั้นได้
เคยใช้นาฬิกายี่ห้อG ใส่ตลอด แล้วมาดุ จะเห๋นว่า เวลาปกติทำงาน stress level เยอะมาก พอนั่งสมาธิ stress level ต่ำเลย เป็นโซนสีฟ้า เป๋นความบังเอิญที่เห๋น เลยรุ่สึกว่า นาฬิกามันก็พอบอกได้ระดับนึง ยิ่งตอนประชุมจะเห็นเลยว่า stress level เป๋นโซนสีส้ม
จริงค่ะ เพิ่งไปปฏิบัติธรรมมา 7 วัน สังเกตุ stress level ตอนนั่ง ต่ำที่สุดตั้งแต่เคยเห็นมา ได้ 22 สีฟ้าค่ะ
ขอบคุณคุณหมอกับคุณอุ๋ยนะคะ ฟังแล้วเข้าใจเรื่องนิพพานขึ้นเยอะเลยค่ะ
ชอบฟังคุณอุ๋ยกับหมอวี ติดตามมาทุกคลิปค่ะ คุณอุ๋ยถามในสิ่งที่ตัวเองมีความสงสัย ขอบพระคุณทั้งสองท่านมากค่ะ
ได้รับความรู้จากทั้ง 2 ท่านมากมาย ขอบคุณมากค่ะ เคยฟัง Ted talk ของคุณเต๋อ นวพล แล้วชอบมากๆ หากคุณอุ๋ยสะดวก อยากให้ทำคลิปคุยกับคุณ เต๋อ นวพล จังเลยค่ะ
ติดตามทั้งสองท่านนะคะ เป็นหนึ่งใจเล็กๆ ให้ทั้งสองท่านทำรายการดีๆเผยแพร่ต่อไปนะคะ 🤍
คุณหมอที่มีครบ....น่ารัก..ให้ความรู้...^..ปวดบ่อยๆ”ไม่ชอบกินยา..แต่อยากหายขาด
ขอบคุณทั้งสองท่านเป็นอย่างมากฟังแล้วปัญญาเกิดทั้งทางโลกและทางธรรม
การทำสมาธิเป็นแนวทางการสร้างภูมิให้ร่างกายได้ ตามความเข้าใจของผมมีสองประการ คือ 1. การนั่งสมาธิที่ถูกวิธีทำให้เกิดความสงบส่งผลให้ร่างกายเราใช้พลังงานได้น้อย มีของเสียน้อย มีคนที่สามารถทำสมาธิ(ที่ไม่ใช่สายพุทธก็มี เพราะสมาธิเป็นสิ่งที่มีอยู่มานานแล้ว ) โดยไม่กินอาหารนั่งนิ่งสงบนานนับเดือนเหมือนที่เรียกว่าภาวะจำศีล โดยมีชีวิตอยู่ได้ สรุป ทำให้ไม่ต้องเผาผาญ ไม่เกิดมลภาวะ ร่างกายไม่มีภาระใด ๆ ที่เกิดจากกิจกรรมของความคิดเราเอง และ 2. การนั่งสมาธิที่ถูกวิธีตามข้อ 1. ทำให้รา่งกายมีประสิทธิภาพในการทำงานอย่างมากเพราะไม่มีความคิดรบกวน (ผมเข้าใจว่าเกือบทั้งหมดของโรคภัยเกิดจากความคิด คิดใช้พลังงานมาก เกิดของเสียมากร่างกายทำความสะอาดไม่ไหวได้เลยถ้าคิดมากกก)ไม่มีอะไรที่เป็นภาระเพิ่ม ทำให้อวัยวะและส่วนต่าง ๆ ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพครับ ภูมิต้านทางก็เพิ่มขึ้นโดยธรรม.....เหมือนหลายคนไปปฏิบัติแล้วหายจากโรคมะเร็ง และโรคอื่น ๆ (เพราะบางคนหวังปฏิบัติให้หายโรคแต่ไม่หายเพราะคิดจะหายไม่ได้ละวางปฏิบัติตามความเป็นจริง)
จริง เคยนั่งสมาธิแล้วมันโล่งเบาสบายเย็น อยู่ๆก็เห็นภาพน่ากลัวขึ้นมาตกใจเลยลืมตา ไม่กล้านั่งอีกเลย
เท่าที่ฟังพระเทศน์สอนมา นิพานไม่น่าจะเกี่ยวกับสมอง อยู่ที่จิต
ฟังเพลินมากค่ะ ได้ความรู้ด้วย 👏🏻👏🏻👏🏻
www.ted.com/talks/jill_bolte_taylor_my_stroke_of_insight
คุณอุ๋ย ผมไม่รู้ว่า จะสามารถปักมุดให้อยู่ด้านบนได้ไหมนะครับ จะสะดวกในการหาลิ้งนะครับ
หรือเพิ่มในส่วนคำบรรยาย ครับ
ruclips.net/video/UyyjU8fzEYU/видео.html
ขออนุญาตคัดลอกมาวางครับ
ทำไมมนุษย์จึงมี2ตา มี2หู?
-ตาสองข้างเห็นไม่เท่ากัน(องศา) ผลแห่งการเห็นเกิดเป็นภาพ3มิติในหัว
-หูสองข้างได้ยินไม่เท่ากัน(เฟส) ผลแห่งการได้ยินเกิดเป็นเสียง3มิติในหัว
ความต่างของเสียงโมโนกับเสียงสเตอริโอเมื่อฟังจากลำโพง
-เสียงโมโนอยู่ตรงกลางไม่มีเสียงที่แยกไปอยู่ข้างซ้ายและข้างขวา
-สเตอริโอนอกจากได้เสียงที่แยกไปอยู่ข้างซ้ายและข้างขวา บางคนจะได้ยินบางเสียงอยู่ใกล้อยู่ไกลด้วย
ความคิดแบบเดียวกับเสียงโมโน
-เสียงเครื่องดนตรีมากมายที่ฟังจากลำโพงไม่ว่าจะฟังทีละชิ้นหรือฟังพร้อมกันจะได้ยินเป็นโมโนเหมือนกัน
-ความคิดของคนส่วนใหญ่ที่ใช้ตรรกะนั้นไม่ต่างกับการได้ยินเสียงแบบโมโน
ความเข้าใจทุกๆเรื่องอาศัยภาษาช่วยตีความ
-ทำให้โลกทัศน์ของคนที่เห็นภาพได้เพียง2มิติหรือได้ยินเสียงแค่โมโนเท่านั้นไม่ต่างกับปุถุชนผู้เข้าใจคำสอนพระศาสดา
-ถ้าไม่ยอมรับข้อจำกัดของตนเองดังกล่าวเสียแล้วย่อมถือทิฏฐิว่าเข้าใจอะไรๆได้หมด แสดงมานะ อัตตา อหังการ ไม่รู้ว่าถูกโมหะครอบอยู่
จินตามยปัญญากับภาวนามยปัญญาอุปมาเหมือนหู2ข้าง
-นักฟังหูทองเปิดเพลงโปรดฟังนับร้อยครั้งจากเครื่องเสียงสเตอริโอชั้นดียังรู้รายละเอียดของเสียงไม่เท่ากับซาวด์เอ็นจิเนียร์ผู้มิกซ์เพลงนั้น
-พวกตีความธรรมะโดยไม่เห็นจากวิปัสสนาญาณจึงไม่ต่างกับผู้ฟังเครื่องเสียงธรรมดาทั่วไปที่ด้อยกว่ามาก
โลกทัศน์ของคนทั่วไปในเรื่องกรรม
-การได้ยินเพลงเดียวกันจากเครื่องเสียงอย่างดีๆชุดเดียวกันของคนทั่วไปกับนักฟังหูทองและซาวด์เอ็นจิเนียร์ต่างใช้ภาษาอธิบายออกมาได้ไม่ละเอียดเท่ากัน
-การอธิบายเรื่องกรรมให้คนทั่วไปเข้าใจนั้นยากดุจเดียวกับที่อุปมาถึงมิติของการได้ยินต่างกัน
ไม่มีใครหยั่งรู้กรรมได้ทั้งหมด
-เรื่องกรรมเป็นอิทัปปัจยตาที่ไม่ได้เป็นเส้นตรงเส้นเดียว ไม่ใช่1+1=2 ไม่ใช่ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ไม่ใช่เรื่องบุญบาปที่ได้รับผลแบบใช้ตาชั่ง เกิดสุขเกิดทุกข์สนองเท่ากัน ได้สวรรค์ได้นรกอย่างที่กำหนดไว้เหมือนกันหมด
-กรรมจากบรรพบุรุษฝ่ายพ่อและกรรมจากบรรพบุรุษฝ่ายแม่มีมิติเหมือนเสียงระบบสเตอริโอ วิบากเกิดกับลูกแต่ละคนไม่เท่ากัน ลูกบางคนทำให้พ่อแม่เป็นทุกข์ ลูกบางคนทำให้พ่อแม่เป็นสุข
มุมมองของศาสนาพุทธ
-ตระหนักว่าสมองมนุษย์มีข้อจำกัดในการเรียนรู้ แม้จะมีข้อมูลมากมายมหาศาลมันก็ไม่สามารถหยั่งรู้เรื่องกรรมได้ทั่วถึง
-พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้ยอมจำนนต่อกรรม แต่สอนให้แต่ละคนพัฒนาตนเองด้วยหลักอริยสัจ4
สรุป
-การสอนเรื่องกรรมให้รู้แจ้งแทงตลอดทุกมิตินั้นยากเกิน พระพุทธเจ้าจึงสอนให้รู้ทุกข์ ละสมุทัย แจ้งนิโรธและเจริญมรรค ซึ่งมนุษย์ธรรมดาๆทำได้ พ้นทุกข์ได้ ทำลายวัฏสงสารได้ โดยไม่ต้องเห็นอิทัปปัจยตาละเอียดเท่าพระพุทธเจ้า
-มนุษย์นั้นต่างมีบริบทที่หลากหลายทำให้คิดและตัดสินใจแต่ละเรื่องไปตามโลกทัศน์ของตน หากไม่มีสัมมาทิฏฐิภายในกรอบของอริยสัจ4 ผลของการกระทำย่อมวนเวียนในกองทุกข์ ถูกอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาเล่นงานครั้งแล้วครั้งเล่า
นิพพานที่คนคิดเข้าใจกับนิพพานของจริงเป็นคนละอย่าง คนที่ไม่เคยมีสติรู้กายรู้ใจ ณ.ปัจจุบัน จะไม่มีวันประจักษ์ถึงนิพพานได้เลย มีแต่ปรุงแต่งขึ้นมาจากการอ่านการฟังทั้งนั้นครับ
คิดเรื่อง"อจินไตย"แล้วบ้าเพราะ"โลกทัศน์"ของเรานั้นเหมือน"กบอยู่ในกะลา" ถูก"ปรัชญาและศาสนา"ครอบงำให้คิดและเชื่อไปโดยมีข้อจำกัดของภาษาที่ใช้คิด
"โลกทัศน์"เป็นโลกส่วนบุคคลที่เชื่อมโยงกับโลกภายนอก เราเกิด"ตัวตนรูปธรรม"เป็นคนบนโลกนี้ด้วยปัจจัยมากมายประกอบกัน(อิทัปปัจจยตา) เช่นเดียวกับการเกิด"ตัวตนนามธรรม"ในโลกทัศน์ก็มีปัจจัยมากมาย(ปฏิจจสมุปบาท)
ทั้ง"ตัวตนรูปธรรม"และ"ตัวตนนามธรรม" สืบเนื่องมาจากอดีตเป็นผลผลิตของ"กรรม" ถ้าไม่มี"กรรม"ในอดีตจะไม่มีการเกิดตัวตนทั้งสองแบบ หากสืบกลับไปหาว่าอะไรมีมาก่อน"กรรม" ใช่จะตอบกันง่ายๆว่า"ความว่างเปล่า!" จากการใช้"เหตุผลนิยม"
การคุยกันเพื่อแลกเปลี่ยนความคิด คือการสะท้อน"โลกทัศน์"ของแต่ละคนออกมาบอกผู้อื่นด้วยการพูด การเขียน การพิมพ์ ต้องยอมรับว่ามีข้อจำกัดในมิติที่ไม่ต่างกับการเห็นภาพ2มิติหรือการได้ยินแบบโมโน แม้ผู้พูดจะมี"โลกทัศน์"เป็น3มิติ หรือโอ้อวดว่ารู้ถึง4-5-6มิติก็ตามที อย่างไรเสียผู้ฟังแทบทั้งหมดเข้าใจแบบ2มิติ
เรามี2ตา มี2หูกันทุกคน แต่มีความเคยชินที่จับจ้องสิ่งต่างๆอันเป็น3มิติมาผ่านความคิด รับรู้ชัดเจนแค่เพียง2มิติพร้อมกับเบลอรายละเอียดที่เกินนั้นไป แม้จะใช้ภาษาอวดอ้างตนว่าบรรลุธรรมพ้นจากบัญญัติแล้ว แต่ก็ยังอยู่ใน"โลกทัศน์"เดิมๆที่คุ้นชิน เพราะมี"ตัวตนนามธรรม"เป็นผู้แสดงอยู่
ด้วยว่า"พระอรหันต์อุปโลกน์" สาธยายความคิดออกมาจาก"โลกทัศน์"เดียวกับผู้ฟัง มันจึงพาให้เชื่อได้ง่าย ของปลอมแบบนี้ชวนให้คนทั่วไปยอมรับว่าเป็นของจริงได้ง่ายกว่าการฟังอะไรที่มันพ้นไปจาก"โลกทัศน์"ตัวเอง พ้นจากภาพ2มิติหรือเสียงโมโน
การเสวนากันจึงเน้นให้คนทั่วไปที่ไม่มีวิปัสสนาญาณรู้เรื่อง ยอมรับเสียก่อนว่าความคิดมีข้อจำกัด ภาษามีข้อจำกัด อย่าได้ซื่อบื้อเถรตรงแปลคำสอนครูบาอาจารย์เป็นจริงจัง เหมือนเราดูเด็กเล่นขายของ"ติ๊งต่าง"อะไรๆแทน"ของจริง"อยู่ เราแยกแยะได้ว่า"ติ๊งต่าง"กับ"ของจริง"เป็นคนละสิ่งกัน
ขอบคุณคุณอุ๋ย และ FC คุณอุ๋ยทุกท่านที่ชวนผมมาคุยนะครับ สนุกมากครับผม
จากตามคุณอุ๋ย จนได้ฟังพี่หมอ จนได้พบพระอาจารย์สุชาติ ขอบคุณกัลยาณมิตรทุกท่านที่ชักนำให้กลับมาสู่ทางที่ควรครับ ตอนนี้ติดตามทุกท่านและหวังว่ามาสนทนากันบ่อยๆนะครับ
สาธุ
ขอบคุณมากๆค่ะทั้งคุณอุ๋ยและคุณหมอตั้งแต่มีคุณหมอเป็นเพื่อนพี่มีความสุขทั้งกายและใจสาธุๆนะคะ.🙏🙏🙏
ฟังแล้วชอบจ๊ะ ..
นาทีที่33:23 ปวดหัวเป็นภาวะร้อนของร่างกายอย่างหนึ่งเช่นเดียวกับเวลาไข้ขึ้น ความเครียดทางกายหรือจิต ทำให้ร่างกายร้อนขึ้น แต่อุณหภูมิร่างกายไม่สูงขึ้นจนถึงขนาดวัดไข้ได้ แต่แก้ไขได้ด้วยการลดภาวะร้อนนั้น โดยอาหารฤทธิ์เย็น เช่น พืชผักผลไม้ จะช่วยปรับสมดุลได้ การนอนหลับพักผ่อนให้เต็มที่ก็ช่วยลดภาวะเครื่องร้อนได้ ถ้าเกิดจากการคิดมาก สมองและจิตต้องทำงานมาก ก็แก้ได้ด้วยสมาธิ พักจิต แต่ในทางแพทย์แผนปัจจุบัน จะระงับได้ชั่วคราวด้วยยา แต่ไม่ได้แก้ที่เหตุจึงไม่หายขาด จึงเข้าใจผิดว่าไม่มีสาเหตุ
เมื่อใดอยากเมื่อนั้นใจเป็นทุกข์
เมื่อใดหมดทุกข์เมื่อนั้นรู้นิโรธ
เมื่อใดหมดอยากเมื่อนั้นรู้นิพพาน
ผู้ปฏิบัติได้ของจริงย่อมดูออกว่าใครเป็นตัวจริง
สาธุเด้อ
เท่าทีาฟังครูบาอาจารย์ท่านบอก การที่รู้สึกว่าแขนขาไม่ใช่ของเราคือการแยกธาตุแยกขันธ์ เป็นด่านแรกที่จะเข้าสู่การบรรลุธรรมขั้นพระโสดาบัน เหมือนหลวงตามหาบัวท่านว่า ถ้าแยกธาตุแยกขันธ์ยังไม่ได้อย่ามาโม้เรื่องวิปัสสนา แค่ฟังมาค่ะ ยังไม่ได้สัมผัสด้วยตัวเอง
ขอบคุณ ผู้สร้างความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเกี่ยวกับอินเทอร์เน็ตและมือถือทำให้คนเรายุคนี้ได้เรียนรู้เรื่องธรรมะในพระพุทธศาสนาบูรณาการกับวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ได้อย่างสร้างสรรค์สันติวิธีละมุนละมัยผ่านการสนทนาธรรมระหว่างกัลยาณมิตรผู้เป็นปัญญาชนที่มีคุณธรรมน่าชื่นชมเช่นคุณอุ๋ยและคุณหมอท่านนี้เพื่อเป็นแรงบันดาลใจแก่คนยุคนี้ได้เกิดสัมมาทิฏฐิได้อย่างมีคุณค่าแก่สติปัญญาและการดำเนินชีวิตอย่างถูกต้องดีงามรู้เท่าทันมายาสภาวะที่เกิดขึ้นทุกขณะจิตได้อย่างน่าอัศจรรย์ไม่มากก็น้อยในระดับปุถุชนทั่วไป..อนุโมทนาสาธุ👍🙏🌧️🌅🌱🌎🌌🌹💞💕💕
สาธุครับ
คำถาม : ตายแล้วอะไรสูญ-อะไรไม่สูญ?
คำตอบ : ไม่มีจิตดวงใดจากอดีตหรือชาติก่อนอย่างที่ฮินดูสอน จิตของเรามีขึ้นหลังจากเกิด ไม่มีจิตอมตะเป็นเราก่อนมาเกิด กรรมในอดีตของบรรพบุรุษ ของปู่ย่าตายายเป็นกรรมของเผ่าพันธุ์ สมองจำไม่ได้แต่จิตมีสัญญาจำได้หมด เป็นปัจจัยของสังขารทั้งรูปธรรมและนามธรรมของทุกคน ดังนั้นรูปและนามอันเป็นสังขตธรรมของเราตายแล้วสูญ แต่กรรมไม่สูญ ลูกหลานคือผู้รับกรรมต่อไป DNA ถ่ายทอดพันธุกรรม รวมทั้งกรรมที่สะสมมานับภพนับชาติไม่ถ้วน
สาธุุ
แต่ มำไมคุณไม่เอ่ยถึง ศีล5หละ ถ้าหากไม่มีศีล มันก็จะสุดโต่งไปทางใดทางหนึ่ง คือถ้าเราหลงไปในทางไม่ถูก คือผิดศีลธรรม แต่ยังหลงระเริงไปอยู่ แต่เพราะศีลเป็นเครื่อง เป็นเกาะป้องกันบาปอกุศลทั้งปวง เราก็จะไม่แตะต้องสิ่งที่ผิด เพราะเราลำรึกถึงศีลๆจะสะกิดเตือนเราทันที ต่อจากนั้นสติจะมีมาจึงเกิดปัญญาโดยอัตโนมัติ ...จึงเห็น ส่วน ที่ รู้ เขียน เห็น คำสอนทางพระศาสนา จะกล่าวคำว่า ศีลขึ้นก่อนตลอด คือ ศีล สมาธิ ปัญญางัยครับ สำหรับเรื่อง ฝึกฝนสมาธิ วิปัสสนาสมาธิฯ คุณก็ต้องมีครูบาอาจารย์ ชี้แนะควบคุมกำกับอยู่ก่อน จนชำนิชำนาญเสียก่อน จึงค่อยปฏิบัติเพียงลำพังครับ ไม่งั้นบ้านะครับ เอ๋อมามากเลยครับ อาจารย์ก็ต้องเลือกวสำนักด้วยวัดด้วยนะครับ แนะให้นะ วัดหลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน+หลวงพ่อฤาษีลิงดำ +อาจารย์สมภพสายหลวงปูมั่น แค่นี้ไม่ผิดหวังครับ
ขอบคุณ เทคโนโลยี ด้วยคน ทำให้การสนทนาธรรมข้ามโลกได้ และ โชคดีที่ชาตินี้ เรายังมีลมหายใจ ยังมีสัญญา และใจ เพราะพระพุทธเจ้าตรัสไว้ มีสัญญาและใจก็สามารถบรรลุธรรมได้ คำถาม เพราะอะไร สัญญาหรือความจำ เป็นส่วนของอดีต ทั้งหมด เราฟังอะไรมาเรียรรู้อะไรมาชาตินี้แหละ เราก็จำได้แล้วเอามาเสวนากันในวันนี้ ด้วย สังขาร คือการปรุงแต่งขึ้น เป็นส่วนของอนาคต คือ ถ้าคิดจะพูด เขาเรียก วจี +สังขาร คุ้นๆนะ พูดออกไปปั๊มเรียกวจีกรรม เพราะ กรรมเกิดจากเจตนา ฝ่านการคิดมาแล้ว กรรมสำเร็จแล้ว ถ้าพูดดี คือ อยู่ในกุศลกรรมบท10 ก็ดีไป ถ้าพูดแล้วเป็นอกุศล คือ อยู่ในอกุศลกรรมบท10 ก็ซวยไป กลายเป็นบาป เพ้อเจ้อ ส่อเสียด โกหก หลบหลู่ฯ เห็นไหมว่า ศาสนาพุทธ หากศึกษาจาก พุทธวจน คือ คำสอนที่ออกจากพระโอษฐ์พระศาสดาเองแล้ว เข้าใจง่าย ลัดสั้นตรง ไม่งมโข่งพายเรือในอ่างน้ำ เหมือนฟังสอนของสาวก ที่แต่งขึ้นตามความเข้าใจตนเอง มาพูดถึงนิพพาน กับสมอง หัวข้อในคลิปนี้ สมองคือ หน่วยความจำ หากความจำไม่เสียหายไม่บ้า ไม่วิปริต ก็บรรลุธรรมได้ ทุกขั้น จะด้วยปัญญาวิมุตติหรือ เจโตวิมุตติ สมาธิ ต้องมีเป็นบาทฐาน คือ สัมมาสมาธิ แต่ จะได้หรือไม่ได้ฌาณก็ได้ ใช้ปัญญา คือ การพิจารณา สภาพธรรมที่เกิดขึ้น ว่า สิ่งใดไม่เคยมีก็มีมา มีมาแล้วก็ดับไป เห็นอะไรในสภาพธรรมข้อนี้ ไตรลักษณ์ เห็นแล้วได้อะไร ได้ปัญญา เพราะ เห็นอริยสัจ +ธรรรม ว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวง ล้วนไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า พระศาสดาตรัสถามแก่ภิกษุทั้งหลาย เป็นเราก็ต้องตอบว่า เป็นทุกข์พระเจ้าข้า ก็สิ่งใดเป็นทุกข์มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา ควรหรือหนอจะเห็นว่า สิ่งนั้น ว่าเป็นเรา เป็นของๆเรา เป็นอัตตาของเรา ไม่ควรเห็นอย่างนั้นพระเจ้าข้า งั้นพวกเธอทั้งหลาย พึงถอนอุปปาทานจากสิ่งนั้นสิ พอถอนอุปปาทานคือ ความยึดมั่นว่ากายนี้เป็นเราเป็นของๆเราเป็นอัตตาตัวตนของเราได้แล้ว ใครมาด่า มาว่า เจ็บไหม ไม่เจ็บแล้ว ตายก็ตายสิ ร่างกายนี้ ก็เป็นของเกิดดับตามธรรมชาติ นี้แหละคือการปล่อยวางเป็นพระอรหันต์ ด้วยปัญญาวิวุติ ส่วนเจโตวิมุตติ ใครอยากรู้ว่ายังไงก็ค่อยถามมา ยาวแล้ว สงสารคุณหมอกับคุณอุ๋ย ที่รู้ธรรมมะเพียงเปลือกๆนอกใบ ยังไม่ถึงกระพี้ แต่เหตุปัจจัยมี หากไม่ยอมรับความจริง ก็ยาก เพราะอินทรีย์ ๕ ศรัทธา มาเป็นที่หนึ่ง ไม่มีศรัทธา หรือจะมี วิริยะ มาเรียนรู้สืบเสาะหาแก่นธรรมแท้ๆ ไม่ต้องพูดถึง สติ สมาธิ ปัญญา ที่จะเจาะแทงกิเลสได้เลย ปัญญาหาเงินทองมาใช้ คงพอได้ หากยังมีลมหายใจอยู่ รีบเลย หมอวี ด้วย มาถูกทางแล้ว คือ รู้ลม แต่ในความรู้ นั้น ต้องใช้ปัญญาประกอบ ด้วย จึงจะเจาะแทงกิเลสได้ ไม่งั้น ฤๅษี คงเป็นอรหันต์กันเต็ม เพราะทำสมาธิเก่งกันหมด เนอะ รู้อะไรรู้ให้จริง แล้วจะไม่เสียชาติเกิด เพราะการได้ความเป็นมนุษย์นั้นแสนนนนยากมาก ขอบอก
ชอบฟังรายการคุณอุ๋ย มากค่ะ เคยไปปฏิบัติธรรมตามคำแนะนำของเพื่อนร่วมงานรุ่นพี่ หลวงพ่อพาเดินจงกลม ตอนแรกไม่เข้าใจไม่อยากเดินเพราะมีคำถามในใจว่าเดินทำไมเหนื่อยเปล่า ๆ ไม่ชอบนอนดึกและตื่นเช้า กลัวนำ้ค้างเปียกผม กลัวป่วย ไม่อยากเสียเวลาอยากเอาเวลานอนดีกว่า หลวงพ่อดุและบอกว่าถ้าอยากนอนอย่ามาวัด ในที่สุดวันสุดท้ายก่อนกลับ คืนนั้น กัดฟันสู้ เดินก็เดิน ยอมให้นำ้ค้างเปียก เดินจนเหนื่อยตัวชุ่ม ไม่กลัวเหนื่อย เดินไปเรื่อย ๆ จนไม่สนใจว่าดึกแค่ไหน ไม่สนใจอะไร จดจ่อแค่ก้าวของตนเอง ในที่สุด ตัวเบาใจโล่ง ใจผ่อนคลายสบาย ๆ ตอนนี้เข้าใจแล้วค่ะว่าทำไมจึงมีการเดินจงกลม ดิฉันนั่งสมาธิไม่ติด จึงใช้วิธีเดิน และทำงานแทน การลดอัตตาตัวตนได้ ทำให้เราอยู่ในสังคมหรือที่ไหนก็มีความสุข ทำงานกับใครก็ไม่ทุกข์ใจค่ะ ติดยึดกับสมมุติ เป็นทุกข์
ซึมเศร้าเกิดจากการที่จิตมีกำลัง แต่ไปยึดติดผิดครับ สมองเราไม่ได้ป่วยครับแต่จิตเราไปยึดผิด ถ้ายึดดีๆก้อดีไป ยึดเรื่องแย่ๆก็ความทุกข์ทับทม เสียดายกำลังของจิต🙏🏼
จริง
นิพพานที่คิดว่าเป็นอย่างไรได้(ด้วยสมองซ้าย)
นิพพานที่จินตนาการเป็นภาพได้(ด้วยสมองขวา)
เป็นนิพพานที่ไม่มีอยู่จริง(ยิ่งอธิบายยิ่งพาให้เกิดมิจฉาทิฏฐิ)
@@failogy ต้องภาวนาจึงจะรู้ได้จริง
เวลาที่อริยมรรคเกิดนั้น เกิดขึ้นชั่วขณะจิตเท่านั้นเอง แวบเดียวเท่านั้น ฉะนั้นบางท่านเกิดมรรคเกิดผล ไม่รู้เลย ไม่ทันมัน เหมือนฟ้าแลบ เร็วกว่าฟ้าแลบอีก แป๊บ กิเลสมันขาดสะบั้นไปแล้ว บางท่านจิตท่านชำนาญในสมาธิ ตอนที่เกิดอริยมรรคท่านเห็นกระบวนการที่เกิดอริยมรรค อริยผล ทั้งหมดนี้ 7 ขณะ แต่ถ้าจิตไม่ทรงฌานจริงจะไม่เห็นจริงหรอก กิเลสมันขาดไปเลยไม่รู้หรอก แล้วมันจะค่อยมาสังเกตที่หลัง เขาเรียกมีปัจจเวกขณญาณ มาตามรู้ทีหลังว่า อกุศลตัวนี้ขาดไปแล้ว ขาดเด็ดขาดไปแล้ว ยังเหลือกิเลสตัวไหน เหลืออกุศลตัวไหน จะมารู้ทีหลัง หลังจากเกิดกระบวนการของอริยมรรคอริยผลไปแล้ว
สรุปก็คืออ่านใจตัวเองไปเรื่อยๆ อ่านใจไป จิตมีราคะก็รู้ จิตไม่มีราคะก็รู้ จิตมีโทสะก็รู้ จิตไม่มีโทสะก็รู้ จิตหลงก็รู้ จิตรู้ตัวอยู่ก็รู้ จิตฟุ้งซ่านก็รู้ จิตซึมเซาหดหู่ก็รู้ หัดรู้อย่างนี้เรื่อยๆ ไป แล้วมรรคทั้งหลายก็จะเจริญขึ้นมา
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
9 กรกฎาคม 2565
แค่ทำ จิตรวมเป็น1 ยังไม่ถึง ชาน1
จะรับรู้ มิติที่5 คือ เวลา มันยืดออก
มีปิติ มาก ( เอ็นโดฟิน เยอะเกิน)
.. หยุด คิด จึง ผ่าน ..
เข้าใจ ภาวะ จิตนิ่ง จะรู้ว่า
ในภาวะ จริง ที่เกิด มันอธิบายไม่ได้
ไม่เหมือน ตำรา สักนิด
เป็นสภาวะธรรมที่มีแต่ลมหายใจเข้าออก..ไม่มีขันธ์5..
นิพพาน ก็เป็นแค่ จินตนาการ ของแขกอินเดีย เริ่มจากพระปารศวนาถ แล้วพระพุทธเจ้าก็แค่ไปจำมาสอนต่อ
ตามลิงก์มาฟังด้วยคนค่ะ
ขอแปะหน่อย 😊 นะคะ
อริยสัจ4 ตอบโจทย์ชีวิตชาวพุทธทั้งมิติอันเป็นรูปธรรมและนามธรรม (จบกิจต่างกรรมต่างวาระ)
อริยสัจ4 ของรูปธรรม (เจริญถึงอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ)
ทุกข์รูปธรรม-ความเจ็บ ความแก่ ความตายของร่างกาย (ในแต่ละช่วงวัยของชีวิต)
สมุทัยรูปธรรม-การเกิดตัวตนทางกาย (จึงไม่พ้นต้องเจ็บ ต้องแก่ ต้องตาย)
นิโรธรูปธรรม-ไม่มีตัวตนเป็นทายาทสืบทอดธาตุขันธ์อีกต่อไป (ไม่มีลูก)
มรรครูปธรรม-มรรคอันทำให้บริสุทธิ์ทางกาย (อินทรีสังวรศีล-วิราคะ)
อริยสัจ4 ของนามธรรม (เจริญถึงสอุปาทิเสสนิพพานธาตุ)
ทุกข์นามธรรม-ความนึกคิดปรุงแต่งต่อ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ (ในแต่ละช่วงเวลาของวัน)
สมุทัยนามธรรม-การเกิดตัวตนทางใจ (จึงมีตัณหา 3 ไม่สิ้นสุด)
นิโรธนามธรรม-ไม่มีตัวตนเป็นโอปปาติกะในความนึกคิด (วิสังขาร)
มรรคนามธรรม-มรรคอันทำให้บริสุทธิ์ทางใจ (เจโตวิมุตติ-ปัญญาวิมุตติ)
คุณอุ๋ย อยากให้เชิญ อ.วรภัทร ภู่เจริญ อีกคน มาคุยเรื่องธรรมะ เรื่องนิพพานค่ะ
เคยใช้ พุทโธ..แบบ พุทเข้า โธออก..มันสะดุดกับการหายใจเข้า-ออก คร่อมจังหวะ..แต่ถ้ามาดูลมหายใจเข้า-ออก คุมได้ดีกว่า แต่มักเผลอไปตอนไหนไม่รู้ที่หลุดไปคิดอย่างอื่น แบบตามไม่ทัน..แต่โดยรวม มันควบคุมระบบของร่างกายได้...ประมาณนั้น...แต่มันก็ยังไม่ไปไหนเลย...🥴🥴
การปฏิบัติเพื่อพ้นทุกข์มาจากประสบการณ์นานตั้งแต่เริ่มบวชถวายในหลวง ร.9 ครั้งแรก 72 พรรษา 3 ครั้ง ครั้งละ 15 วัน ครั้งที่ 4 ตอนท่านสิ้นพระชน จนถึงท่านพระเพลิงสบ 1 ปี ผมเข้าปฏิบัติวิปัสนากรรมฐานทั้งปี ทำให้ผมปฏิบัติธรรมที่พระพุทธตรัสรู้ครบหมดจนถึงจิตหลุดพ้นครบมรรค 4 ผล 4
โพธิปักขิยธรรม หรือ โพธิปักขิยธรรม 37 เป็นธรรมอันเป็นฝักฝ่ายแห่งความตรัสรู้ คือ เกื้อกูลแก่การตรัสรู้ เกื้อหนุนแก่อริยมรรค มี 37 ประการคือ สติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4 อินทรีย์ 5 พละ 5 โพชฌงค์ 7 มรรคมีองค์ 8 "ภิกษุทั้งหลาย ก็โพธิปักขิยธรรมเป็นไฉน
การปฏิบัติธรรมเพื่อพ้นทุกข์ทั้งหมด อยู่ใน อริยสัจ 4
ทุกข์
สมุทัย
นิโรธ
มรรค
ทุกข์ เราต้องดับ ทุกข์เกิด คือสมุทัย ดับด้วยนิโรธ
วิธีดับทุกข์คือ มรรค 8
วิธีแบ่งเป็น 3 อย่าง หรือไตรลักษณ์
1 เจโตวิมุติ หรือ สมาถ หรือ สมาธิ
คือ ฌาน 4 อรูป 4
ฌาน 1 ปฐมฌาน คือดับวิตกวิจาร
ฌาน 2 ทุติยฌาน คือดับปิติ
ฌาน 3 ตติยฌาน คือดับสุข
ฌาน 4 จตุตถฌา คือลมหายใจดับ
อรูป 1 คืออากาสานัญจายตนะ อากาสธาตุดับ
อรูป 2 คืออากัญญายตนะ ความว่างเปล่าดับ
อรูป 3 คืออากิญญายตนะจิตเกิดดับ
อรูป 4 คือเนวสัญญา นาสัญญายตนะ มีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ จิตดับหรือตัวรู้ดับ
จิตหลุดพ้น 4 ครั้ง
1 โสดาปฏิมรรค
2 สตคามิมรรค
3 อนาคามิมรรค
4 อรหันตมรรค
2 ปัญญาวิมุติหรือวิปัส สนา คือ สติปฐาน 4
1 กายานุปัสสยา เห็นการเกิดดับของกาย กายประกอบด้วยธาตุ 4 คือ ดิน น้ำ ลมไฟ
2 เวทนานุปัสสนา คือ ทุกข์ สุข และไม่ทุกข์ไม่สุขหรืออุเบกขา ต้องเห็ นการเกิดดับของเวทนา
3 จิตตานุปัสสนา คือจิตหรือตัวรู้ เห็นการเกิดดับของจิตหรือตัวรู้
4 ธรรมมานุปัสสนา คือสมุทัยเกิด นิโรธดับ เห็นการเกิดดับ
จิตต้องหลุดพ้น 4 ครั้ง
1 โสดาปฏิผล
2 สตตาคามิผล
3 อนาคามิผล
4 อรหันตผล
เมือหลุดพ้นครบมรรค 4 ผล 4 แล้ว
3 เจริญเมตาเจโตวิมุต คือ แผ่เมตาถึงที่ ทั้งสามภพถูมิ
สุดท้ายรอกายแตกดับ คือ นิพาน
จริงไม่คับ ท่านบรรลุพระอรหันต์จริงมั้ยคับ
อะไรเป็นปัจจัยให้เวทนาเกิดครับ
และอะไรเป็นปัจจัยให้เวทนาดับไปครับ
@@tathagatasawago7895 เพราะมีผัสสะ เป็นปัจจัย จึงมีเวทนา เพราะมีความดับแห่งผัสสะ จึงมีความดับแห่งเวทนา
@@เเก่นศักดิ์เต้งเหี้ยง-ฬ9ฦ นิพพานของคนตาบอด
พอเข้ามาฟังแล้วรู้สึกคลิ๊กมากๆเลยค่ะ มีอาการรู้สึกร่างกายไม่ใช่ตัวเราเวลามองร่างกายตัวเองมานานมากแล้วค่ะตั้งแต่ช่วงวัยรุ่นจำไม่ได้อาจจะประมาณเรียนมหาวิทยาลัย และไม่เข้าใจว่าเป็นเพราะอะไรคิดว่าคนอื่นก็เป็นแบบนี้ ไม่ว่าจะมองแบบตั้งใจ หรือไม่ได้ตั้งใจเห็นตลอดว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ตัวเองทั้งแขน ขา หรือเวลามองกระจกถ้าไม่เห็นหัวตั้งแต่คางลงมาคือเหมือนมองร่างกายคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวเองเลยค่ะ ไม่รู้ว่าเคยปฏิบัติมาก่อนในชาติก่อนๆมาหรือเปล่าค่ะ ซึ่งตอนนี้อายุ 37 ปี แล้วสภาวะความรู้สึกนี้ก็ยังคงอยู่ ยิ่งเวลาไปปฏิบัติธรรมจะยิ่งชัดเจนมาก(แต่เพิ่งเริ่มปฏิบัติได้สอง สามปีค่ะ) อย่างเวลาก้มตัวอาบน้ำ แอบสะดุ้งตกใจว่านี่ขาใครมายืน จนต้องดึงสติกลับมาว่านี่ขาตัวเองค่ะ และมีจังหวะช่วงเดินจงกรมร่างกายหายไปทั้งตัวและเหมือนร่างกายกลืนไปกับธรรมชาติรอบๆ ทั้งอากาศ ต้นไม้ ทราย สัตว์ที่อยู่รอบๆ มันกลืนไปกับทุกๆสิ่ง ตอนนั้นร้องไห้โฮออกมาระลึกในใจขอบคุณพระอาจารย์ที่สอนวิปัสสนา ขอบคุณพระพุทธเจ้าและบอกกับตัวเองว่าหนูเห็นแล้วที่พระองค์สอนเป็นเช่นนี้เอง รู้สึกขอบคุณทุกๆอย่างเลยค่ะตอนนั้นเป็นสภาวะธรรมที่เกิดปิติสุขมากๆเลยค่ะขอบคุณ คุณอุ๋ย และ คุณหมอที่มาให้ความรู้กับผู้หาแนวทางกับชีวิตทางธรรมด้วยค่ะ อนุโมทนาสาธุในธรรมค่ะ 🙏🏻🤍🙇♀️
@@failogy ที่คอมเมนท์เพราะสนใจหัวข้อที่คุญอุ๋ย และคุณหมอนำเสนอซึ่งเกี่ยวข้องกับทั้งวิทยาศาสตร์ และหลักธรรมเนื่องจากเกิดความรู้สึกคล้ายๆ กับที่ตัวเองเป็น เลยอยากแชร์สภาวะที่เกิดขณะปฏิบัติธรรม และยังมิอาจเอื้อมถึงนิพพานเพราะยังเป็นปุถุชนมีรัก โลภ โกรธ หลงอยู่เป็นปกติ แต่ตอนนี้ก็ฝึกเจริญสติเพื่อให้ลดกิเลสต่างๆ เพื่อรู้ทันเวลามีผัสสะมากระทบ ก็พยายามค่อยๆฝึกไปเรื่อยๆ รู้บ้าง หลงบ้างค่ะ ขอบคุณมากๆนะคะ 🙏🏻😊
@@failogy ขอบคุณสำหรับความเมตตาที่ชี้แนะค่ะ 🙏🏻
ปฏิบัติไปเรื่อยๆ มันจะผ่านการคิดรู้เป็นเห็น ไม่ต้องใส่ใจว่าจะใช้เวลาเท่าใด ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ แค่เริ่มก้าวเดินทางธรรมก็ถือมีวาสนาแล้ว
จากที่อ่านๆดูคิดว่าน่าจะเป็นสภาวะที่ขันธ์แยกนะคับ อย่างเช่นจะเห็นว่าร่างกายไม่ใช่ของเรา เหมือนเราอยู่ในหุ่นหรือตัวอะไรสักอย่าง ขอให้ปฏิบัติไปเรื่อยๆนะคับ อนุโมทนาสาธุคับ
@@james31231 อนุโมทนาสาธุค่ะ 🙏🏻
สองท่านสนทนากันด้วยปัญญา ความสุข มธุรสวาจา ขอบคุณทั้งสองท่านมากเลยนะคะ
รายการดี มีสาระ ได้ประโยชน์ ได้ปัญญา ฟังไม่เบื่อ ขอให้ทั้งสองท่านเป็นกัลยาณมิตรซึ่งกันและกัน ไปตลอด นำเสนอหัวข้อทีทำให้ผู้ฟังผู้ติดตามเกิดบุญกุศลทางจิตใจ จัดรายการไปนานๆนะคะ และนำธรรมมะของพระพุทธเจ้า มา สนทนาร่วมกันบ่อยๆติดตามตลอดค่ะ อนุโมทนาสาธุค่ะ🙏😊
นิพพาน เท่าที่ฟังครูบาอาจารย์มา คือสภาวะธรรมที่จิตฝึกมาจนเห็นความจริง มันจึงไม่กระเพื่อมขึ้น กระเพื่อมลง ไปตามปัจจัยภายนอกที่มากระทบ ทิ้งแล้วทิ้งเลย ไม่กลับไปโง่ (อวิชชา) อีก จิตวางถาวร ไม่หิวอารมณ์อีก
จิต คหสต คิดว่ามันคือ จิตใต้สำนึก subconscious เก็บทุกความทรงจำในส่วน 90%ที่ยังไม่ได้อันล็อค
ล่าสุดเพิ่งเจอในยูทูปว่า ความทรงจำ(จากทุกชาติภพ) ถูกส่งผ่านทางดีเอ็นเอ
เป็นคนที่ชอบฟังเรื่องแนวพุทธศาสตร์ ผสมกับวิทยาศาสตร์แบบนี้มากค่ะ ขอบคุณคุณอุ๋ยและคุณหมอที่นำเสนอให้ดูนะคะ
วิปัสสนาคือเห็นเกิดดับว่าตอนนี้เราคิดอะไรแล้วเห็นความคิดมันดับไปเกิดความคิดใหม่มาแทนคือเห็นเกิดดับตรงนี้วิเศษแล้วค่ะรวมความคิดฟุ้งไปให้อยู่ที่ลมโฟกัสต่อที่ลมเข้าออกฟุ้งไปก็รู้ตัวกลับมาใหม่ จิตเป็นสิ่งไม่นิ่งธรรมชาติของมันแค่มีสติรู้ว่ามันท่องไปก็ต้องดึงมันมาที่เสาหลักคือลมหายใจ รู้สึกทึ่งมากที่คุณหมอศรัทธาพระพุทธเจ้ามากถึงขนาดปฏิบัติธรรมคุณหมอมาถูกทางแล้วค่ะ ขอให้คุณหมอเจริญในธรรม มีปัญญาถึงวิมุติในที่สุดโดยเร็ว
การจะย่อยความรู้ขนาดนั้น ให้เข้าใจง่ายขนาดนี้
พี่อุ๋ย ต้องศึกษามาเยอะมากๆ
ชื่นชมพี่อุ๋ยมากๆคับ
อยากให้คุณอุ๋ยเชิญคุณหมอมาคุยกันบ่อยๆค่ะ ชอบมาก รู้สึกได้ยกระดับความคิด คิดเรื่องแย่ๆน้อยลง และนั่งสมาธิได้มากขึ้นด้วยค่ะ ขอขอบคุณและอนุโมทนาทั้งสองท่านที่สละเวลาแบ่งปันความรู้ ความเห็นนะคะ
คุณหมอดูนุ่มนวลใจเย็น มาก แสดงถึงจิตใจข้างใน เข้าใจผู้อื่นเป็นอย่างดี สมเป็นคุณหมอ ค่ะ
ขอบคุณๆหมอมากๆครับที่บอกว่าผมมีเพื่อนเป็นหมอ ผมคนไข้ป่วยทั้งกายและใจครับ แถมมีคุณอุ๋ยเป็นเพื่อนอีกดีใจมากๆครับ ถึงคุณหมอไม่บอกผมก็พอรู้ว่าทุกคนเป็นเพื่อนร่วมโลกเดียวกันครับ แต่ไม่ใช่เพื่อนร่วมโรคอย่างผมๆสารพัดโรคครับ
ขอบคุณคุณอุ๋ยและคุณหมอวี ที่ นำศาสตร์ทั้ง 2 แขนง มาถ่ายทอดได้อย่างเข้ากันและลงตัว จะติดตามต่อไปค่ะ
ขอบคุณคุณอุ๋ยและคุณหมอ ที่ทำให้ศาสนาพุทธดูแล้วมีความเป็นเหตุผลและน่าสนใจตามหลักที่ถูกต้องใช้ปัญญานำความเชื่อ
ขอบพระคุณคุณอุ๋ยกับคุณหมอ ทั้ง 2 ท่านทำให้สนใจเรื่องธรรมะ มีค่ากับชีวิตมากค่ะ 🙏🏻
มาฟังย้อนหลังก็ได้ค่ะเสียดายๆ
ทางวิปัสสนาสอนให้กำหนดรู้เวทนา ในขณะที่นั่งสมาธิวิปัสสนาเจอความเจ็บปวด ให้กำหนดรู้ โดยกำหนดรู้หนอๆๆ ไม่ต้องคิดแก้ไขให้ความเจ็บปวดหาย เพียงกำหนดรู้แบบเพียงแต่รู้ ให้ดูพองยุบหรือพุทโธตลอด ความปวดมันจะเบาบางลงค่ะ พระพุทธเจ้าก็ทรงสอนให้เรารู้ทุกข์ ทุกข์มีไว้ให้รู้ค่ะ ทำแบบนี้ทุกครั้งเมื่อเจอเวทนา เวทนาจะเบาบางลงไปจริงค่ะ
ขอขอบคุณคุณอุ๋ยและคุณหมอ และผู้มีส่วนร่วมทุกท่าน ที่ทำให้ได้รับฟังค่ะ
จิตสนใจรับรู้สิ่งใดโลกนั้นจึงได้ปรากฏ
เมื่อรับรู้รูปธรรมโลกภายนอกก็ปรากฏ
เมื่อรับรู้นามธรรมโลกภายในก็ปรากฏ
นิพพานไม่ปรากฏต่อจิตยึดถือโลกทั้ง 2
จิตพ้นจากโลกทั้ง 2 จึงใช้การคิดเอาไม่ได้
เจริญสติก็เพื่อถอยออกมาเห็นโลกทั้ง 2 นั้น
ว่าเป็นไตรลักษณ์ทั้งรูปธรรมและนามธรรม
เมื่อใดศีล สมาธิ ปัญญา สมบูรณ์พร้อมกัน
เมื่อนั้นจิตจะเป็นอิสระจากโลกที่ยึดถืออยู่
นิพพานจึงปรากฏ ณ. ปัจจุบันที่ยังมีชีวิต
โดยที่จิตนี้ไม่ได้ออกจากร่างไปที่แห่งใดเลย
จิตพระอริยทั้งหลายถึงนิพพานได้ชั่วคราว
จิตพระอรหันต์ถึงนิพพานได้ถาวรแล้ว
เอกายนมรรคคือกระบวนการเพื่อพ้นจากโลก
การอ่านการฟังไม่อาจทำให้หลุดพ้นได้จริง
การปฏิบัติไม่ยาก ที่ยากเพราะไม่ปฏิบัติจริง
ความว่างเป็นกับดักของผู้ไม่มีปัญญาญาณ
ความว่างที่แต่ละคนปรุงแต่งนั้นเป็นโมหะ
สุญตาที่คิดเข้าใจด้วยภาษาไม่ใช่ของจริง
สุญตาของจริงรู้ได้เฉพาะจิตที่พ้นจากโลก
โลกุตตรจิตใช้สมองสั่งให้เกิดขึ้นมาไม่ได้
ทำเหตุไว้จึงจะได้ผลตามพระพุทธเจ้าสอน
สาธุเจ้าค่ะ
@ดูถัวะๆ 👀 คุณเป็นคนคิดลบ มองในแง่ร้าย จึงไปว่าคนอื่นบ้าบุญ เพ้อฝัน หิวแสง เพราะคนบ้าบุญดีกว่าบ้าบาป อยากไปสวรรค์นิพพานก็ยังดีกว่าอยากไปสรรค์ชั้น7 มัวเมาในกามคุณ อยากเป็นผู้มีบุญก็ยังดีกว่าชิงหมาเกิดหนีนรกมาเกิด หิวแสงแสดงบทบาทดีก็ยังดีกว่า สร้างภาพเพื่อหลอกลวงเอาประโยชน์จากคนอื่น การอยู่กับปัจจุบันด้วยการทำวันนนี้ให้ดีที่สุด แม้จะมีแรงบันดาลใจในอนาคต ก็ยังเป็นเรื่องดี เพราะอธิษฐานบารมีเป็นบารมีหนึ่งที่ทำให้คนเป็นเลิศได้ ด้วยการสร้างความดีให้กับตน อย่าง ตั้งมั่น มั่นคง ไม่หวั่นไหว
👏👏👏…สุดยอดเลยค่ะ อธิบายชัดเจนที่สุด…
( มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ…แค่"ปฏิบัติ" )
เพราะ ยัง ไม่เข้าถึง จิตรวมเป็น1
สัมผัส มิติที่5 เวลายืดขยาย
จึง เห็นว่า ทำบุญ ด้วย วัตถุ นั้นเลิศ
@@yongyuthtuntiwong7577 จิตรวมเป็น1 เรียกว่า จตุตถฌาน ฌานที่ ๔
ส่วนการสัมผัส มิติที่5 เวลายืดขยาย เป็นเพียงนิมิต หรือวิปัสสนึก
การทำบุญด้วยวัตถุ แม้เป็นบุญเบื้องต้น แต่วัตถุบางอย่าง เช่น หนังสือธรรม ซีดี วีซีดี เป็นธรรมทาน ชนะการให้ทานทั้งปวง และเป็นเลิศในการกำจัดความตระหนี่ ความเห็นแก่ตัว เป็นฐานของศีล ภาวนา ไปสู่ทางพ้นทุกข์
ฟังคุณแล้วใจปล่อยวางได้มากๆเลย น้องอุ๋ยไม่ต้องพูดเลย เป็นที่สุดของพี่เลย ชอบมากค่ะ
" นิพพาน(อสังขตธรรม ธรรมชาติที่ไม่มีอะไรไปปรุงแต่งได้) เหล่าสรรพสัตว์ทั้งสังสารวัฏฏ(สังขตธรรม) ข้ามสภาพนิพพานแทบจะตลอดเวลา ข้ามสภาพนิพพานทุกๆครั้งระหว่างที่วิญญาณขันธ์ดับแล้วจะจับวิญญาณขันธ์ใหม่ในทันที ข้ามตลอดวันตลอดคืน ข้ามมาไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ เมื่อสัตว์ผู้มีอวิชชาเป็นเครื่องกั้น ตัณหาเป็นเครื่องผูก จะจับวิญญาณขันธ์ใหม่ๆตลอด ไม่เคยปล่อยวางวิญญาณขันธ์เลย " จนเมื่อเพียรอริยะมรรคมีองค์๘ ตั้งมั่นจนเห็นวิญญาณขันธ์ชัด(กิริยาที่รู้แจ้ง) จนเห็นว่าวิญญาณขันธ์ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่ใช่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา จนเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม จะ ไม่มีมา ไม่มีไป ไม่มีเกิด ไม่มีดับ นามรูปดับสนิท " ที่ใด ณ ที่ใด ไม่มีวิญญาณ ไม่มีนามรูป เอเสวันโต ทุกขัสสะ นั่นแหละคือที่สุดของทุกข์ละ "
นะติยา อะสะติ อาคะติคะติ นะ โหติ
เมื่อความน้อมไป ไม่มี, การมาและการไป ย่อมไม่มี
อาคะติคะติยา อะสะติ จุตูปะปาโต นะ โหติ
เมื่อการมาและการไป ไม่มี, การเคลื่อนและการเกิดขึ้น ย่อมไม่มี
จุตูปะปาเต อะสะติ เนวิธะ นะ หุรัง นะ อุภะยะมันตะเร
เมื่อการเคลื่อนและการเกิดขึ้น ไม่มี, อะไรๆ ก็ไม่มีในโลกนี้
ไม่มีในโลกอื่น ไม่มีในระหว่างแห่งโลกทั้งสอง
เอเสวันโต ทุกขัสสะนั่นแหละ คือที่สุดแห่งทุกข์ละ.
อุทานขุ. ๒๕๒๐๘๑๖๑
ติดตามคุณอุ๋ยกับคุณหมอวีค่ะ ขอบคุณในทุกๆคลิปค่ะ ตัวเอง stroke ข้างซ้ายคะ แต่โชคดีร่างกายฟื้นตัวเร็วค่ะ จะครบ 1ปีแล้ว สามารถใช้ชีวิตได้ปกติค่ะ ศรัทธาในคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ชอบฟังธรรมะ และปฎิบัติธรรมเพิ่มมากขึ้นค่ะ สาธุค่ะ
ได้ความรู้ทางโลกทางธรรมเยอะมากเลย พี่อุ๋ย กับคุณหมอ ธาตุเข้ากันมากค่ะ ได้แง่คิดเรื่องการปฎิบัติในหลายแง่มุม สาธุๆๆๆ ขอบคุณมากค่ะ
เสียงนุ่มน่าฟังทั้งคุณอุ๋ยและคุณหมอ
ทำให้ฟังได้สบายหูสบายใจค่ะ ^^
ตีความเหมือน ตีไฟให้ร้อนฟื้น ตีรวนป่วน จิตรตื่น ถ่มถากถาง ธรรมไม่ทำ นำแต่ถ้อย ถ่อยผิดทาง ทับถมธาร ทิศดี ศิวิไล
ขอบคุณกุญแจธรรมครับ ผมจะเลิกตีความแล้วมาตีกะบาลตัวเอง ให้ผมเริ่มทำซะที ฝึกหายใจให้เห็นธรรม
ชื่นชอบทบสนทนาของคุณทั้งสองมาก เรื่องการฝึกสมาธิสำหรับดิฉันก้ไม่ง่ายเลย ยังต้องพยายามอยู่เลย คุณหมอยังเก่ง ยินดีด้วยมากค่ะ ขออนุญาตแนะนำที่พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล ซึ่งท่านสอนการเริ่มทำสมาธิ
คุณอุ๋ย ขอบคุณมากนะคะ ที่ทำช่องดีๆ มีแระโยชน์จรรโลงชีวิตค่ะ
มารับชมทีหลัง..ขออนุโมทนาบุญกับทั้งสองท่านค่ะ สาธุค่ะ
ขอบคุณรายการนี้มากๆเลยค่ะ หลายๆคลิปที่ได้ดูได้เตือนสติ หลบความวุ่นวาย บางทีที่รู้สึกท้อแท้ก็มาฟังรายการคุยกับอุ๋ย และชอบการฟังแนวธรรมะกับหลักวิทยาศาสตร์มันดีมีประโยชน์มากๆจริงค่ะ
ได้แง่คิดดีมาก ประเทืองปัญญา ขอบคุณหัวข้อดีๆแบบนี้ จากคุณอุ๋ย และคุณหมอคับ
คุณหมอดูใจดี และเหมาะกับอาชีพหมอมากๆเลย ครับ
ไปฟังมาแล้วค่ะ ดีมากจริงๆ เห็นด้วยกับที่บอกว่า เป็นTedtalkที่ดีที่สุดที่เคยฟัง อินมากค่ะ ฟังจบอยากรีบแชร์ให้กับคนที่รักเลยค่ะ 💯👏 พี่อุ๋ยคือช่องคุณภาพ👍
ขอลิ้งTedtalkที่พูดถึงได้มั้ยค้า
@@TheNooprae ตามลิ้งนี้เลยค่ะ
@@Ploy-wt4pf ลิ้งก์ไหนคะ
@@TheNooprae แปะลิ้งแล้วยูทูปเอาออกค่ะ😅 เข้าGoogleเขียน Drj jill Tedtalk ก็ขึ้นแล้วค่าา
@@teya6328 แปะลิ้งแล้วยูทูปเอาออกค่ะ😅 เข้าGoogleเขียน Drj jill Tedtalk ก็ขึ้นแล้วค่าา
เป็นคลิปที่ฟังเพลิน ได้ประโยชน์มากๆค่ะ ขอบคุณค่ะ สาธุค่ะ
เป็นการสนทนาธรรมที่น่าสนใจมากค่ะ คิดแบบทันสมัย เสริมปัญญาให้ผู้ฟังแบบใช้ประสบการณ์จริงของพิธีกร ขอบคุณมากค่ะ
เวลาฟังพี่อุ๋ยกับคุณหมอ คุยกัน มันฟินค่ะ ได้ความรู้ได้ปัญญา มาคุยกันบ่อยๆนะคะ
ชอบตรงที่คุณหมอบอกพี่อุ๋ยเป็นช่องที่ทำให้คนปฏิบัติมากขึ้น พี่อุ๋ยก็ถ่อมตน บอกไม่เท่าของคุณหมอ หรอกครับ เอาจริงคือแบบ ละสังโยชน์ได้แล้วทั้งคู่ ดีงามทั้งคู่ ชอบมากค่ะ
เป็นการพูดคุยที่ได้ทั้งปัญญา เเละความเพลิดเพลินในธรรม
ขอบพระคุณค่ะคุณหมอและคุณอุ๋ย อนุโมทนาสาธุความรู้ที่เผื่อแผ่ทั้งสองท่านค่ะ🙏❤️
ชื่นชอบการสนทนาระหว่างคุณอุ๋ยกับคุณหมอมากค่ะ ฟังแล้วสบายหูสบายใจ และแฝงประโยชน์ทั้งทางโลกและทางธรรมด้วยค่ะ 🥰
เป็นรายการที่ดีมากๆ ผมเป็นfc ทั้งสองท่าน ผมฟังธรรมมาเกือบ10ปี รู้สึกว่าวิธีคิดและการปฏิบัติตัวเปลี่ยนไป เน้นปฏิบัติ #ความรู้สึกตัว ตามแนว #หลวงพ่อเทียน ครับ
ขอบคุณคุณอุ๋ย ที่คุยกับผู้เชี่ยวชาญ เข้าใจตัวเองเลยว่า ที่ตัวเองปฏิบัติธรรมที่บ้าน ทำให้เข้าใจสมองของตัวเองและผู้อื่นได้ชัดเจนมากๆๆๆขึ้น ขอบคุณคะ
คุณหมอเก่งมาก แต่การเดินภาวนาว่าพุทโธ ไม่เรียกว่ามีสติในการเดิน เป็นจิตภาวนา สติในการเดินต้องรู้ว่ากล้ามเนื้อขาทำงานอย่างไร น้ำหนักเท้าหนักเบาแค่ไหน สมาธิ นั่ง เดิน ยืน นอน ทำได้ทั้งหมด ถ้ามีความคิดระหว่างปฏิบัติ ก็คิดเรื่องในกายไปเลย นั่งท่าไหน มือวางอย่างไร (จิตมีหน้าที่ รับ จำ คิด รู้) คิดเรื่องภายในกาย จนกายกับจิตรวมกัน จิตจะเลิกไปเอง หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับคุณหมอนะคะ ขอให้เจริญในธรรมะที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้แจ้งแล้วค่ะ
ฟังเสียงลมหายใจ ยึดเป็นอารมณ์ อันเดียว ถ้าหลุดไปมโน ให้รีบดึงสติกลับมาที่ลมหายใจ ดึงกลับมาไวได้ก่อนคือเริ่มพัฒนาจิต คุมมันได้
สาธุกับท่านทั้งสองค่ะ
ณานสมาธิมีข้อเสียแค่มันก็ดับได้ เพราะมันก็ตกอยู่ภายใต้กฏไตรลักษณ์
ไม่ต้องกลัวติดค่ะ เป็นสุขที่ไม่มีอามิสทางโลกเป็นเหยื่อล่อ แต่จะล่อให้มีฉันทะในการปฏิบัติ อยากรู้จักตัวกิเลสก็ต้องเข้าไปเห็นมันใช้มันเป็นเครื่องมือในช่วงแรกค่ะ
ปฏิบัติต้องนำด้วยปริยัติเป็นแผนที่ จึงจะขุดพบบารมีที่เคยสั่งสมอุปนิสัยไว้ในชาติก่อนๆ เเสมือนการขุดสินแร่ต้องใช้อุปกรณ์ที่ถูกจึงพบแร่
การนำปริยัติมาปฏิบัติ ต้องเป็นไปตลอดสาย เป็นประโยชน์แก่ตนและผู้มาภายหลัง ในชีวิตเราทุ่มเทใช้เวลาเรียนทางโลก 20-30.. ปี สมองเก่งๆเพียรอย่างนี้เรียนตำราสืบทอดได้แน่ๆค่ะเป็นประโยชน์แก่ตนและผู้มาภายหลัง
มิใช่นำมากล่าวเพียงส่วนใดส่วนหนึ่งแล้ว’ตีความ’ ด้วยความคิดมนุษย์อย่างเราๆ ศาสนาจะค่อยๆถูกพวกเราเองบิดเบีอนยไปโดยไม่รู้ตัว
บารมีเก่าสำคัญ มีค่ามาก ควรขุดให้พบด้วยถูกวิธี ไม่งั้นพระโพธิสัตว์เจ้าไม่ต้องลำบากมาถึง 20 อสงไขยแสนกัลป์
ไม่ต้องลำบากให้พระพุทธองค์ทรงสั่งสมมาเพื่อตรัสรู้พระธรรมมาบอกพวกเรา
เคย เจอคุณอุ๋ยที่สนามบิน ขอนเเก่น คุณอุ๋ยเดินออกมาคนเดียว ใจเรา อยากทักทายมาก เเต่เกรงใจ เราชอบความคิด ความมีศีลของคุณอุ๋ย ติดตามรายการนะคะ ขอบคุณสำหรับสิ่งดีดี
ไม่อยากให้จบ เลยค่ะ ฟังแล้วลื่นหู ได้ความรู้ มากมาย. ถ้าเปนได้ ขออีก รอบนะคะ ขอบคุณ ไม่ว่าอะไร ที่ทำให้มาเจอ คลิ้บนี้ ขอบคุณ ขอบคุณค่ะ💖
ขอโอกาส_ครับ สิ่งที่คุณอุ๋ย พูดคือ วจีสังขาร
การจะระงับวจีสังขาร คือ ต้องกลับมาอยู่ที่สัมปชัญญะ
และสติ สาเหตุ ที่ มีเสียงคุยในใจ ก็เพราะ
ปฏิบัติธรรมลัดขั้นตอน เพราะลำดับการปฏิบัติ
มันต้องเริ่มต้น
1 อริยอุโบสถ(ศิล)
2 สำรวมอินทรีย์ (ตา หู จมูก ลิ้น นำผัสทางกาย
และ ธัมมารมณ์
3 สติสัมปชัญญะ
4 สันโดษ
ต้องผ่านการปฏิบัติธรรมวินัยเหล่านี้ก่อน
อยากฟังไปเรื่อยๆเลยค่ะ ฟังได้ทุกประเด็นค่ะ 😊😊😊😊😊😊😊
อยากให้คุณอุ๋ย ได้เจอกับท่านอาจารย์ ธรรมะ บุญพลัง ท่านเป็นอาจารย์ที่อธิบายเรื่องพวกนี้ได้ดีมากๆครับ
คนป่วยใกล้ตาย เคยปฏิบัติมาบ้าง สามารถเข้าถึงนิพานกหรือขยับระดับจิตขึ้นไปได้
ละรักโลบโกรธหลง ปล่อยวางทุกสิ้ง เข้าใจทุกอย่างทะลุไปหมด ผมว่า
นิพฺพานํ ปรมํสุญฺญํ นิพฺพานํ ปรมํสุขํ นตฺถิสนฺติ ปรํสุขํ นิพฺพานํ ปรมํวทนฺติ พุทฺธา รูป นาม เป็น อัญญมัญญปัจจัย พระอรหันต์จะเข้านิโรธสมาบัติ ท่านจะต้องอธิษฐานข้อหนึ่ง ถ้าชีวิตจะต้องสิ้นสุดลงก่อน ๗ วันที่เป็นอายุนิโรธสมบัติ ก็ให้นิโรธสมาบัติสิ้นสุด ณ ตรงนั้น (เพราะในนิโธสมาบัติ ชีวิตตินทรีย์ ขาด คือ ตายไม่ได้) เพื่อปัจเวกขณะนิพพานธรรม พิจารณาภพภูมิต่าง ๆ ในวัฏฏสงสารทั้ง ๓๑ ภูมิ ปัญญาญาณในการพิจารณานี้ นับรอบไม่ถ้วน ชัดแจ้ง ไม่มีภูมิใดเลยที่ไม่เหมือนหลุมถ่านเพลิง ไม่อาจข้องแวะเข้าถึงได้อีกเลย ปัญญา ที่พิจารณาดับ จิตที่เป็นนิสัยของปัญญาก็ดับด้วย (เจตสิก เป็นนิสิต จิต เป็นนิสัย) เมื่อทั้งจิตและเจตสิกดับ รูป อันเป็นที่อาศัยของจิตก็ดับด้วย (จิต เจตสิก เป็นนามธรรม รูป เป็นที่อาศัยของจิต นามและรูป เป็นอัญญมัญญปัจจัย) เมื่อทั้งรูป และนามดับ จึงไม่มีสิ่งใดเหลืออยู่อีก นิพฺพานํ จึงเป็น ปรมํสุญฺญํ. อาการ ๓๒ เกสา โลมา นขา.....มตฺถเก มตฺถลํุคนฺ (มันสมอง) เป็นแต่รูปทั้งสิ้นที่อุปกรณ์เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ กระทบได้ สัมผัสได้ แต่ จิตและเจตสิก เป็นนามธรรม อุปกรณ์ เครื่องมือใด ๆ ทางวิทยาศาสตร์ วัตถุนิยม กระทบไม่ได้ สัมผัสไม่ได้ ไม่อาจอธิบายได้ เป็น Intangible พ้นวิสัยของวิทยาศาสตร์.
คุณหมอพูดถูก ถ้าเข้าใจเรื่องการกระทำ จะทำให้เข้าใจอีกหลายเรื่องได้ง่ายขึ้น
🙏ฟังแล้วได้ประโยชน์อย่างยิ่งเลยค่ะ..ชอบคุณคุณอุ๋ยและคุณหมอค่ะ
พระพุทธองค์ตรัสรู้ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา(ไม่มีเรา บังคับบัญชาไม่ได้) อบรมปัญญาเพื่อรู้ตามความเป็นจริงของสิ่งที่กำลังมีว่าเป็นธรรมอย่างไร? ไม่ใช่เราแล้วเป็นอะไร? เพราะหนทางนี้เป็นหนทางละทั้งหมด ไม่ใช่จะใช้สติ ใช้ปัญญา!! ถ้าไม่มีล่ะ เพราะไม่ได้อบรมมา…สติ ปัญญา คิดดี คิดร้าย ฯลฯ เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยทั้งหมด พระองค์ตรัสรู้ความจริง ไม่ใช่ความคิด… ติดตามคลิปคุณอุ๋ย เพราะฟังแล้วมีเรื่องราวให้คิด เชื่อ ไม่เชื่อ เห็นด้วยหรือไม่ก็เป็นเรื่องหนึ่ง!! ประโยชน์คือได้คิดในเหตุในผล ขอบคุณค่ะ🙏🏻
ขอบคุณ คุณอุ๋ย ขอบคุณคุณหมอวีค่ะ❤️
ได้ความรู้ เกิดปัญญา ได้นำมาปรับใช้กับการปฏิบัติ ดีมากเลยค่ะ เป็นการให้ธรรมทานที่ดีมากๆเลยค่ะ อนุโมทนาสาธุกับการให้ความรู้ของคุณอุ๋ยและคุณหมอนะคะ🙏🙏🙏
ตามคุณหมอมา...😊🎉💖 สวัสดีคุณอุ๋ยครับ🙏
พระอาจารย์ที่ผมนับถือท่านบอกไว้ว่าพระพุทธเจ้ารู้ถึงเรื่องสมองมนุษย์ที่ทำงานต่างกัน การฝึกสมาธิจึงต้องใช้วิธีแตกต่างกัน พระพุทธองค์ถึงได้ให้มีกรรมฐาน 40 วิธี สำหรับแต่ละสมองแต่ละประเภท ผมเองเป็นอย่างที่ในคลิปว่าเลยครับ ใช้ความคิดทางตรรกะเยอะ ฝึกสมาธิไม่ไดเลย คิดไม่หยุดฟุ้งซ่านตลอด
ตัวสมองมีนามธรรมที่สถิตอยู่2ส่วนคือสัญญา(ความจำชั่วคราวแรม)และจิตสังขาร(การนึกคิดปรุงแต่งอารมณ์ประมวลผลตามความจำที่มีในสัญญา).แต่การตรัสรู้ใช้จิตตัวรู้ซึ่งไม่ได้อยู่ในสมอง แต่มันสถิตอยู่ในหัวใจแต่มันอยู่อย่างอิสระไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของหัวใจ.พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลายตรัสรู้ธรรมได้ก็ใช้จิตตัวรู้ที่มันสถิตที่หัวใจนี้เท่านั้นมันไม่ได้รู้อย่างเดียวมันบันทึกทุกการกระทำของเราเอาไว้ด้วยแม้แต่การคิดนึกทุกไมโครวินาทีรวมถึงความฝัน. และการตรัสรู้นั้นที่ต้องใช้สมาธิขั้นสูงเพราะต้องต้องปิดกั้นจิตสังขารไม่ให้มันมารบกวนจิตตัวรู้(นิวรณ์ห้า) นักวิทยาศาสตร์คิดค้นอะไรได้ก็ต้องอาศัยจิตตัวรู้นี้เท่านั้นแต่พวกนักวิทยาศาสตร์นี้รู้แล้วใช้จิตสังขารปรุงแต่งสิ่งที่รู้นั้นเสีย
@นนทวัฒน์ ปัญญาธิกะโพธิญาณ คุณจัดอยู่ในพวกขาดปัญญา เปรียบดังทัพพีไม่รู้รสแกง จึงเข้าใจผิด หลงผิดว่า จิตตัวรู้ที่สถิตที่หัวใจนี้เท้ล่านั้น ทั้งที่วิญญาณมีความหมายเดียวกับจิต เป็นนาม ...ไม่มีรูป จิตนี้ซุกซนเหมือนลิง ไม่อาจนิ่งอยู่ที่หัวใจได้ แม้แต่ขณะภาวนาก็อาจวางจิตไว้ที่ศูนย์กลางกายแบบธรรมกาย หรือวางจิตไว้ที่ลิ้นปี่แบบหลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม ยิ่งปุถุชนมักส่งจิตออกนอกไปไหนต่อไหนเรื่อยเปื่อยอยู่ตลอดเวลา การตรัสรู้นั้นไม่ต้องใช้สมาธิชั้นสูง ที่เกิดอภิญญา6 สมาบัติ8 ซึ่งฤาษีชีพราหมณ์ก็มีได้ แต่ต้องมีวิปัสสนา เพื่อรู้แจ้งเห็นจริง ส่วนนักวิทยาศาสตร์คิดค้นอะไรในทางโลก ใช้เพียงการมีนิสัยขี้สงสัย และชอบสังเกตุ ก็จะทดสอบสมมติฐานด้วยการทดลองจนค้นพบความจริงในความเจริญทางวัตถุ... ซึ่งไม่ใช่อริยสัจ4 ที่เป็นทางพ้นทุกข์ แต่กลับเพิ่มกิเลสตัณหาอุปาทาน ที่ทำให้ยิ่งวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏ
รีบๆปฏิบัติให้เดินทางทางธรรมให้เร็วที่สุด พอระยะ4 มาถึงจะได้หมดห่วงอะไร ไปแบบสบายใจ อย่างน้อยก็ให้ได้โสดาบรรนหรือไม่ลงไปข้างล่าง อยุ่กับลมหายใจให้ได้มากที่สุด พุดง่ายทำยากมากคะ
ป้าสุขใจจัง ที่ได้ฟัง คลิปนี้ได้ทั้งความรู้ความสุข thanks ทั้งคุณอุ๋ยและคุณหมอ ยิ่งรู้ว่าคุณคุยเรื่องธรรมะ ได้อย่างนี้ อึ้งเลย
ซาวด์เอ็นจิเนียร์ที่เจอนักดนตรีมามากมาย รู้ว่าสำเนียงกีต้าร์แต่ละคนมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนกัน ได้ยินความต่างของเสียงกีต้าร์แต่ละยี่ห้อ การเลือกเสียงปิ๊คอัฟตัวหน้าหรือตัวหลังหรือผสมกัน เพียงฟังผ่านลำโพงก็สามารถจำแนกแยกแยะความแตกต่างได้
ซาวด์เอ็นจิเนียร์ที่เริ่มมาจากเรียนอิเลคทรอนิคกับซาวด์เอ็นจิเนียร์ที่เริ่มมาจากเรียนดนตรี ต่างยอมรับกันและกันว่ารู้ลึกในศาสตร์และศิลป์คนละด้าน ต่างก็ยกกันเป็นอาจารย์ขอคำแนะนำในเรื่องที่ตนเองด้อยกว่า
การกล่าวว่า"ผู้มีบุญมาเกิด"เป็นมิฉาทิฏฐิแบบหนึ่งที่เรียกว่า"สัสสตทิฏฐิ" สอนให้ชาวพุทธเชื่อว่า"ตายแล้วเกิด" จึงคิดเอาเองว่าการสิ้นภพสิ้นชาติคือการไม่กลับมาเกิดอีกแล้วหลังจากสิ้นลม
การวิจัยทางปรัชญาและศาสนามีทั้งคุณและโทษ
สามารถทำลายมิจฉาทิฏฐิหรือทำลายสัมมาทิฏฐิได้
ศาสนาพุทธในประเทศไทยมีเปลือกพอกพูนอยู่มาก
มีความงมงายที่ผสมกลมกลืนกับความเชื่อสารพัด
ซึ่งความเด่นชัดรวมๆไม่พ้นไปจาก"ปรัชญาจิตนิยม"
คือถือมั่นว่ามีจิตหรือวิญญาณเป็นอมตะหลังจากตาย
อันเป็นมิจฉาทิฏฐิแบบหนึ่งที่เชื่อว่า"ตายแล้วเกิด"
การทำลายมิจฉาทิฏฐิอย่างนี้จะเกิดมิจฉาทิฏฐิอีกแบบ
กลับเชื่อว่า"ตายแล้วสูญ"ที่เรียกว่า"อุจเฉททิฏฐิ"
พาให้ไม่เกรงกลัวบาปกรรม แม้ทำอะไรไว้ตายแล้วจบ
การวิจัยทางปรัชญาและศาสนาควรมีความรอบคอบ
ศึกษาให้ถึงแก่นแท้คำสอนของพระพุทธเจ้าจริงๆ
การตีความพระสูตรใช่เพียงการแปลข้อความให้รู้
เพราะการเทศนาทุกครั้งมีที่มาที่ไปมีจุดประสงค์เสมอ
ทั้งบุคคลและหมู่คณะแต่ละพระสูตรมีมิจฉาทิฏฐิอะไร
ท่านเหล่านั้นมีต้นทุนใดที่ดีช่วยส่งเสริมให้บรรลุธรรม
การประพฤติปฏิบัติแต่เดิมมีศีล สมาธิ ปัญญาหรือไม่
สมบูรณ์หรือบกพร่อง เป็นมิจฉาหรือสัมมาตรงไหน
เพราะการฟังเทศนาจากพระพุทธเจ้าแล้วบรรลุธรรม
หรือใช้เวลาสำเร็จมรรคผลได้ย่อมมีต้นทุนที่มากพอ
ใช่ว่าคนยุคนี้อ่านหรือฟังพระสูตรแล้วจะได้ผลอย่างนั้น
การวิจัยทางปรัชญาและศาสนาจะช่วยให้เข้าใจได้
บางคนใช้"วิสุทธิมรรค"หรือ"การละสังโยชน์"เทียบเคียง
แจกแจงให้เห็นลำดับของการชำระล้างกายและใจ
คนในปัจจุบันอ่านหรือฟังพระสูตรแล้วไม่ได้มรรคผล
ก็เพราะศีลสิกขา จิตตสิกขา ปัญญาสิกขายังไม่ได้เรื่อง
ยังมีมิจฉาทิฏฐิในเรื่องต่างๆ มีหลายปัจจัยพาให้เนิ่นช้า
โดยเฉพาะการตีความ"พระไตรปิฎก"ผิดไปโดยไม่ตั้งใจ
บ้างก็ติดอยู่ใน"ปรัชญาจิตนิยม"เชื่อว่า"ตายแล้วเกิด"
บ้างก็มักง่ายเอา"หลักวิทยาศาสตร์เก่า"มาลบล้าง
เชื่อว่า"ตายแล้วสูญ"ไม่อัพเดต"หลักวิทยาศาสตร์ใหม่"
มีความรู้ใหม่เกี่ยวกับพันธุกรรมตรงกับหลักอิทัปปัจยตา
"สัญญาและสังขาร"จากอดีตสามารถสืบทอดมาปัจจุบัน
ถ่ายทอดสู่อนาคตจากคนรุ่นหนึ่งไปยังอีกรุ่นหนึ่งได้
ไม่มีดวงจิตออกจากร่างหลังตายพร้อมข้อมูลไปเกิด
ดังนั้นการสอนว่า"ผู้มีบุญมาเกิด"จึงเป็นความหลงผิด
เพราะติดอยู่กับ"ปรัชญาจิตนิยม"ไม่ต่างจากคำสอนฮินดู
ยกเว้นว่า"เจตนาในการสอนนั้น"เพื่อไม่หลงผิดคิดชั่ว
เป็นอย่างพวก"อุจเฉททิฏฐิ"แล้วไม่เอาศีลไม่เอาธรรม
สนองความอยากในชีวิตนี้ด้วยถือว่าตายแล้วสิ้นสุด
ไม่มีนรก ไม่ต้องรับกรรมที่ก่อ จึงใช้กุศโลบายสอน
อย่างที่ครูบาอาจารย์ในอดีตทั้งที่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร
อย่าได้สรุปเอาเองว่า"ผู้มีบุญมาเกิด"เป็นเรื่องจริงจัง
พาให้ตีความเรื่องราวในพระไตรปิฎกผิดเพี้ยนหมด
จึงหมายเอาว่ามีจิตเที่ยงจิตเดิมเป็นเราก่อนมาเกิด
สาธุเจ้าค่ะ/ลึกซึ้งจริงๆ
คือไม่ต้องปักใจทั้งเชื่อ/ไม่เชื่อใช่ไหมเจ้าคะ
@@รัชสุรีย์จันทเพชร-ฒ6ย ต้องภาวนาเห็นเอง
การเชื่อว่า"ตัวตนนามธรรม"เป็นเราที่อมตะมาก่อนเกิดและหลังตายนั้น พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า"เป็นมิจฉาทิฏฐิ"อย่างหนึ่งของพวกพราหมณ์ในสมัยพุทธกาล ในขณะที่พวกลัทธิอื่นเชื่อว่าตายแล้วสูญ ด้วยเห็น"ตัวตนนามธรรม"เป็นวิญญาณดวงเดียวที่ดับสิ้นพร้อมร่างกาย
พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า"จิตดวงหนึ่งเกิดขึ้นแล้วดับไปตลอดเวลา" หรือจะอุปมาว่าเหมือนกับกระแสเสียงที่เป็นความถี่ในบทเพลงโน้ตตัวแรกเกิดขึ้นจากความถี่หนึ่ง แล้วดับไป โน้ตตัวต่อมาเกิดจากอีกความถี่หนึ่งแล้วก็ดับไป โน้ตที่เปลี่ยนเสียงสูงต่ำทำให้เรารู้ได้ว่ามันไม่ใช่โน้ตตัวเดียวกัน
จิตดวงหนึ่งก็ไม่ต่างกับความถี่หนึ่ง จิตอีกดวงหนึ่งก็เป็นคนละความถี่ แต่สันตติหลอกเราให้เชื่อว่าเป็นจิตดวงเดียวตลอดชีวิต การพิสูจน์ด้วยตัวเองจากการภาวนาจนเห็นจริงเท่านั้น จึงจะทำลายมิจฉาทิฏฐิทั้งสองอย่างได้จริง รู้ว่าศาสนาอื่น ลัทธิอื่นติดอยู่ใน"ปรัชญาจิตนิยม"
ไม่มี"ตัวตนนามธรรม"ที่เที่ยงถาวรมาก่อนการเกิด"ตัวตนรูปธรรม"
"การตอนตัวเอง"ในนิยายจีนกำลังภายในเรื่อง"กระบี่เย้ยยุทธจักร" มาจาก"คัมภีร์กระบี่ปราบมาร"ที่เขียนขึ้นโดย2คนท่องจำ"คัมภีร์ทานตะวัน"คนละครึ่ง เป็นปริศนาธรรมที่ท่าน"กิมย้ง"ใช้สอนให้ฉุกคิดอย่างจงใจ
เช่นเดียวกับคนคิดเรื่องอจินไตย มันเป็นบ้าได้ตั้งแต่ ตัดจู๋ตัวเองทิ้ง ฆ่าตัวตาย ฆ่าลูกหลาน ฆ่าพ่อแม่พี่น้อง ฆ่าล้างโคตร ไปถึงฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ หรืออยากให้ระเบิดนิวเคลียร์ฆ่าล้างโลกให้หมด เพราะคิดว่านิพพานคือการทำให้"ว่างเปล่า!"
การที่พระพุทธเจ้าไม่สอนอะไรมากไปกว่าใบไม้ในกำมือ ก็เพราะคนที่รู้ได้ทั่วถึงมีน้อย คนที่ตีความกลายเป็นมิจฉาทิฏฐิมีมาก เป็นเหตุให้เกิดโทษภัยร้ายแรงต่อสังคมในทุกระดับ
@@รัชสุรีย์จันทเพชร-ฒ6ย สติปัฏฐาน4 เป็นทางเอก
ภาษาไทยดีมาก คำว่าเข้าใจ เข้าใจคือใจมันรู้ ไม่ใช่เข้าสมองแล้วก็จำเอาไว้ เข้าสมองแล้วก็จำเอาไว้ไม่นานมันก็ลืม อย่างเรียนปริยัติเรียนๆ ไปพออายุเยอะขึ้นก็ลืม ส่วนใหญ่ลืมตั้งแต่เรียนแล้วไปสอบ สอบเสร็จแล้วก็ลืมไม่ได้เอามาใช้ ฉะนั้นธรรมะอย่างนั้นมันไม่มีประโยชน์อะไร อยากเข้าใจก็ต้องลงมือปฏิบัติจริงๆ
ธรรมะเข้าใจไม่ได้ด้วยการอ่าน ธรรมะก็เข้าใจไม่ได้ด้วยการฟังเยอะๆ
ฟังนิดๆ หน่อยๆ พอให้รู้วิธีปฏิบัติ แล้วก็ลงมือปฏิบัติไปให้มันจริงจัง ไม่เคยรักษาศีลก็รักษาเสีย ไม่เคยฝึกจิตใจของตัวเองให้ตั้งมั่นก็ฝึกเสีย ไม่เคยเห็นกายเห็นใจตามความเป็นจริงก็เห็นเสีย อยากเห็นกายเห็นใจตามความเป็นจริง ก็ใช้วิธีมีสติรู้กายรู้ใจตามความเป็นจริง ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง ถ้าจิตไม่ตั้งมั่นและจิตไม่เป็นกลาง จะเห็นความจริงของกายของใจไม่ได้ จะไม่เห็น
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
18 มิถุนายน 2565
ร่วมเพศเลยเกิด
เมา กช.กันทั้งสวรรค์ 😃😃😃😍
ขอบคุณคุณหมอกับคุณอุ๋ยครับ ฟังแล้วเกิดความคิดความรู้สึกที่ดี
ขอบคุณ คุณอุ๋ย กับคุณหมอวี เป็นรายการที่ดีมีประโยชน์กับผู้ฟังฟังแล้วทำให้คิดตาม ชอบรายการที่คุณอุ๋ยจัดมากค่ะให้ความรู้เพิ่มเติม 🙏🏼
สวัสดี ค่ะคุณอุ๋ย เพิ่งเจอคลิปของคุณ ถูกใจมาก เลยไปไล่ดูทุกคลิปทั้งวัน ทั้งคืน ส่วนมากจะชอบแบบธรรมมะอยากให้คุณอุ๋ย เชิญทันตแพย์สม สุจีรามาคุย ธรรมมะในแบบวิทยาศาตร์ บ้าง
นอกจากความรู้ รู้สึกสนุก กับข้อมูล ค่ะ
เจ้าชายสิทธัตถะ บำเพ็ญเพียรมานับ500 ชาติ ออกแสวงหาความหลุดพ้นใช้เวลา 6 ปี ทรงตรัสรู้ อริยะสัจสี่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เป็นหนทางไปสู่นิพพาน คุณปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าซิครับ.!
อนุโมทนาสาธุครับ
ขอบคุณคุณอุ๋ยและคุณหมอมากๆ
สุขอื่นน่ากลัว แต่สุขของสมาธิ เปนสิ่งที่ไม่ควรกลัว พระองค์ให้ทำให้มาก เจริญให้มาก เปนทางได้ถึงปัญญาวิมุต นิพาน ถ้าได้เหนการเกิดดับในสมาธิ
ทำสมาธิ หรือเจริญอนาปณสติ สามารถได้มรรค8มาพร้อมเลย ได้ยังไง พุทธวจนะเลยครับ พระองค์ตรัสไว้หมดแล้ว ได้เหนนิพพานด้วยตัวเองแน่นอนครับ ไม่ต้องมานั่งเดาไรกันแล้ว รู้ได้เฉพาะตน
กดติดตามให้แล้วนะคะ ดูบ้างไม่ดูบ้างไม่โกรธกันคะ เป็นกำลังใจให้ในการทำคลิปต่อๆไปนะคะ
แบบนี้สิของแท้ ต้องลองปฎิบัติดูเอง ไม่ต้องเอาแต่ตั้งขอ้ส่งสัยอยู่ อยากรู้ต้องลองฝึกปฏิบัติดูให้เต็มที่สักคลา ผมก็กำลังลองฝึกปฎิบัติอยู่ ได้ความรุู้จากท่านทั้ง2อย่างมาก
พี่ชอบฟังคุณทั้ง2คนพูดมากค่ะ..ติดตามมาเรื่อยๆ..ดีใจมากที่คุณอุ๋ยเชิญหมอวีมาคุย
ซึมเศร้า ภาวะอารมณ์ที่จับอยู่กับจิตที่ไม่มีสุขครับ
จิตที่เพลินกับสุขพอได้พอใจกับสุขก็ไม่อยากจับกับทุกข์ พอไม่อยากจับทุกข์ แต่อยากได้สุข อยู่กับความว่าง เพียงเสี้ยววิที่ว่างไม่ได้ สุขก็ไม่ได้ จิตก็จะไปจับกับอารมณ์ทุกข์โดยธรรมชาติ มนุษย์จึงจำทุกข์ได้ดีกว่าจำสุข อารมณ์เรานั้นเหมือนเราปลูกพืช ชนิดต่างๆในสวน เราให้อาหารพืชชนิดไหน พืชชนิดนั้นก็เติบโต เวลามันโต แล้วเรารู้ว่าปลูกผิด มันก็ถอนยาก ถอนก็เจ็บปวด วิธีแก้เลือกได้หลายทาง ให้อาหารพืชที่ควรให้ ดูแลมันอย่างดี ไม่ให้อาหารพืชที่ไม่ควรให้ มันก็ขาดอาหารตายเองครับ
ผมเคยเจอสภาวะว่างครับ ว่างจากทุกสิ่งว่างจากตัวตนว่างจากความคิด ตอนนั้นผมไม่รุ้มันคืออะไรกลัวมากๆ ในสมองจำไม่ได้ว่าตัวเองเป้นใคร จำไม่ได้ว่าในสมองมีความคิดอะไร
คุณหมอที่รักษาด้วย กับ ศิลปินที่ชอบ มาคุยกันในเรื่องที่ชอบอีก ดีมากๆเลยครับ
เรื่องที่ตัดสินใจยากของผม คือมีความกลัวเข้ามา ยิ่งเกี่ยวกับคนสำคัญของเรา ตัดสินใจยากมากเลยครับ
เรื่องปฏิบัติยิ่งปฏิบัติ อย่างหนึ่งที่ผมรู้สึก กิเลสมันก็เรียนไปกับผม แล้วมันก็เอาความรู้มันมาสู้กับเรา เหมือนจากแค่การบวกเลขธรรมดาในวันก่อน วันนี้มันเอาการคูณการหารมาเป็น โจทย์ให้เลย บ้าบอจริงเชียว
อยากให้พี่อุ๋ย สัมภาษณ์ ทันตแพทย์ สม สุจีรา อีกท่านครับพี่
ขอบคุณคุณอุ๋ยและคุณหมอมากๆนะคะ เป็นกำลังใจให้ทำรายการนี้ไปนานๆนะคะ
คู่นี้หนุกดีครับ ลองตั้งสมุติฐานเล่นๆว่า ถ้าสมองทั้งซ้าย-ขาว ถูกอวัยวะพิเศษคือใจ(ของเรา) ครอบงำ บงการได้ สมองทั้งสองฝั่งสิครับ บรรเทิงเกิด เพราะต่อให้เราเป็นนักคิด สุดท้ายเราก็ติดสิ่นสิ่งต่างๆตามใจอยู่ดี เบื้องต้นของการคิดอาจใช้เหตุผล แต่ตรงที่จะเลือกก็ใช้ใจเลือกอยู่ดี หรือบางท่านเป็นช่างศิลป์ ซึ่งศิลป์ที่ดีหรือไม่ดี ก็อยู่กับใจอยู่ดี ที่ตัดสิน ถ้ามีกระบวนท่า กระบวนวิธีการที่ฝึกใจ ให้ฉลาดแยกแยะการทำงานของสมองสองฝั่งออกได้อย่างชัดเจนสม่ำเสมอ เราก็จะตอบสนองต่อทั้งอารมณ์และเหตุผล ได้สมดุลมากขึ้น... สนุกน่าดูเลยนะครับถ้าฝึกแบบนั้นได้
เคยใช้นาฬิกายี่ห้อG ใส่ตลอด แล้วมาดุ จะเห๋นว่า เวลาปกติทำงาน stress level เยอะมาก พอนั่งสมาธิ stress level ต่ำเลย เป็นโซนสีฟ้า เป๋นความบังเอิญที่เห๋น เลยรุ่สึกว่า นาฬิกามันก็พอบอกได้ระดับนึง ยิ่งตอนประชุมจะเห็นเลยว่า stress level เป๋นโซนสีส้ม
จริงค่ะ เพิ่งไปปฏิบัติธรรมมา 7 วัน สังเกตุ stress level ตอนนั่ง ต่ำที่สุดตั้งแต่เคยเห็นมา ได้ 22 สีฟ้าค่ะ
ขอบคุณคุณหมอกับคุณอุ๋ยนะคะ ฟังแล้วเข้าใจเรื่องนิพพานขึ้นเยอะเลยค่ะ
ชอบฟังคุณอุ๋ยกับหมอวี ติดตามมาทุกคลิปค่ะ คุณอุ๋ยถามในสิ่งที่ตัวเองมีความสงสัย ขอบพระคุณทั้งสองท่านมากค่ะ
ได้รับความรู้จากทั้ง 2 ท่านมากมาย ขอบคุณมากค่ะ
เคยฟัง Ted talk ของคุณเต๋อ นวพล แล้วชอบมากๆ หากคุณอุ๋ยสะดวก อยากให้ทำคลิปคุยกับคุณ เต๋อ นวพล จังเลยค่ะ
ติดตามทั้งสองท่านนะคะ เป็นหนึ่งใจเล็กๆ ให้ทั้งสองท่านทำรายการดีๆเผยแพร่ต่อไปนะคะ 🤍
คุณหมอที่มีครบ....น่ารัก..
ให้ความรู้...
^..ปวดบ่อยๆ”ไม่ชอบกินยา..
แต่อยากหายขาด
ขอบคุณทั้งสองท่านเป็นอย่างมาก
ฟังแล้วปัญญาเกิดทั้งทางโลกและทางธรรม
การทำสมาธิเป็นแนวทางการสร้างภูมิให้ร่างกายได้ ตามความเข้าใจของผมมีสองประการ คือ 1. การนั่งสมาธิที่ถูกวิธีทำให้เกิดความสงบส่งผลให้ร่างกายเราใช้พลังงานได้น้อย มีของเสียน้อย มีคนที่สามารถทำสมาธิ(ที่ไม่ใช่สายพุทธก็มี เพราะสมาธิเป็นสิ่งที่มีอยู่มานานแล้ว ) โดยไม่กินอาหารนั่งนิ่งสงบนานนับเดือนเหมือนที่เรียกว่าภาวะจำศีล โดยมีชีวิตอยู่ได้ สรุป ทำให้ไม่ต้องเผาผาญ ไม่เกิดมลภาวะ ร่างกายไม่มีภาระใด ๆ ที่เกิดจากกิจกรรมของความคิดเราเอง และ 2. การนั่งสมาธิที่ถูกวิธีตามข้อ 1. ทำให้รา่งกายมีประสิทธิภาพในการทำงานอย่างมากเพราะไม่มีความคิดรบกวน (ผมเข้าใจว่าเกือบทั้งหมดของโรคภัยเกิดจากความคิด คิดใช้พลังงานมาก เกิดของเสียมากร่างกายทำความสะอาดไม่ไหวได้เลยถ้าคิดมากกก)ไม่มีอะไรที่เป็นภาระเพิ่ม ทำให้อวัยวะและส่วนต่าง ๆ ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพครับ ภูมิต้านทางก็เพิ่มขึ้นโดยธรรม.....เหมือนหลายคนไปปฏิบัติแล้วหายจากโรคมะเร็ง และโรคอื่น ๆ (เพราะบางคนหวังปฏิบัติให้หายโรคแต่ไม่หายเพราะคิดจะหายไม่ได้ละวางปฏิบัติตามความเป็นจริง)
จริง เคยนั่งสมาธิแล้วมันโล่งเบาสบายเย็น อยู่ๆก็เห็นภาพน่ากลัวขึ้นมาตกใจเลยลืมตา ไม่กล้านั่งอีกเลย
เท่าที่ฟังพระเทศน์สอนมา นิพานไม่น่าจะเกี่ยวกับสมอง อยู่ที่จิต
ฟังเพลินมากค่ะ ได้ความรู้ด้วย 👏🏻👏🏻👏🏻