Размер видео: 1280 X 720853 X 480640 X 360
Показать панель управления
Автовоспроизведение
Автоповтор
ถ้าใครมีอะไรอยากเสริมเพิ่มเติม หรือแก้ไขอะไร บอกได้ในโพสนี้นะครับ
ว่าที่อาจารย์ในฝัน ใน ร.ร. ผม
มันไม่มีเวลา ครับ ....เวลาที่เราใช้กันอยู่ ก็คือ การยึดมั่นอยูในความทรงจำและจินตนาการ มีเอาไว้เพื่อคิดคำนวนเท่านั้น ไม่มีทางที่จะย้อนกลับไปในอดีต หรือไปในอนคต ตามที่นักคิดทั้งหลายได้จินตนาการกันเอาไว้. ...อดีตคือความทรงจำ ....อนาคตคือจินตนาการ .....ปัจจุบัน เป็นเพียง สมุติบัญญัติ ที่"สมอง"ของเราบัญัญติขึ้นมาทั้งนั้น
ถ้าจะไปมิติที่5คือเพิ่มความเร็วรึเปล่าครับต่อยอดจากแนวคิดที่ว่าถ้าทำความเร็วเหนือแสงเวลาจะชาลง....ก็เหมือนกับเรามองเห็นมิติที่4ได้.......
เป็นไปไม่ได้ ถ้าเป็นไปได้คงมีคนกลับมาจากอนาคตมาบอกเราบ้างแล้ว
ถ้าทุกอย่างกำหนดไว้แล้ว แสดงว่ามีผู้สร้างหรือพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าสร้างจักรวาลโดยให้สิทธิ์มนุษย์เป็นผู้เลือก แสดงว่ามนุษย์เป็นคนกำหนดอนาคตด้วยการกระทำ อนาคตที่สร้างไว้สมบูรณ์ไม่มีจริง ลองนึกถึงพวกหยั่งรู้อนาคตทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้า ทำไมพวกนี้จะรู้เหตุการณ์ แต่ไม่รู้เวลาที่แน่ชัดละ เรารู้ว่าซักวันโลกต้องแตก แต่ไม่รู้ว่าวันไหน ทามไลน์อนาคตกำลังถูกสร้างและถูกแก้ไขไปเรื่อยๆจากเรา เพราะพระเจ้าให้สิทธิ์กับมนุษย์ แค่พระเจ้ากำหนดไว้แล้วว่าวันหนึงโลกจะแตกตามที่กล่าวมาทั้งหมด ผมจึงคิดว่า มนุษย์4มิติแบบเรานั้นอยู่ในอดีตครับ มนุษย์5มิติ เขาจะอยู่ในช่วงปัจจุบันขณะอย่างสมบูรณ์ การเล่นกำเวลาผมว่ามนุษย์มิติที่5อาจเป็นแค่ผู้ชม คงไม่สามารถมาเปลี่ยนแปลงทามไลน์ หรือเข้ามาแทรกแซงอะไรได้
ตามศึกษาตามอ่านเรื่องมิติเที่สูงกว่ามานานมาก มาเจอคลิปนี้คือเข้าใจง่ายเลย ชอบตรงที่เปรียบเปรยว่ามิติที่ 4 คือหนังสือหนึ่งเล่ม แล้วสิ่งมีชีวิตในมิติที่ 5 ก็กำลังอ่านหนังสือเล่นนั้นอยู่ คือประทับใจมาก นึกภาพตามแล้วคือมันใช่เลยอะ อารมณ์แบบเรานั่งอ่านหนังสือการ์ตูนในโลกของ 2 มิติ เราที่อยู่ในมิติที่สูงกว่าก็สามารถข้ามไปดู หรือย้อนกลับไปอ่านใหม่ ไม่ว่าจะตอนไหนก็ทำได้ ชอบแนวคิดนี้มาก
ฟังคนอธิบายเรื่องมิติเวลามาตั้งเท่าไหร่ ก็พึ่งมาเข้าใจจากคลิปนี้ ขอบคุณค่ะ ขอบคุญมากๆ
มิติที่1= แกน xมิติที่ 2 = แกน Yมิติที่ 3 =แกน Z ที่ช่วยเพิ่มขนาดและตำแหน่งทิศทาง ที่หลุดจากแกน Xและแกน Yมิติที่ 4 = เวลา หรือการเคลื่อนที่ ไปตามทิศทางมิติที่ 5 = พลังงาน ที่ มีเวลาเป็นตัวคงที่ เมื่อวัตถุ เคลื่อนที่ไปทิศทางใด ทางหนึ่ง เสมือนแรงเฉื่อยแต่เมื่อมีพลังงานเข้ามา จะเห็นได้ว่า มีความเร่ง เพิ่ม ทำให้ ระยะเวลา ในการถึงที่หมายเร็วว่า แรงเฉื่อย ปริภูมิที่บิดเบี้ยว เหมือนกับ ตัวเราที่อยู่ในอวกาศ มีทั้ง 4มิติ แต่กลับกัน เวลานอกโลกกับบนโลกไม่เท่ากัน อาจเป็นความโค้งของ ปริภูมิมีผลต่อ การคงอยู่ของอนุภาคที่เกิดเป็นวัตถุ
อยู่ในอวกาศเราไม่ต้องแข่งกับเวลาเเต่อยู่บนโลกเราต้องทำอะไรๆแข่งกับเวลา
ผมว่ามันมีบางสิ่งที่เป็นจริงมีอยู่จริงแต่ยังอธิบายไม่ได้หรือไม่ชัดเจนครับ อย่างที่อธิบายว่า โฟตรอนของแสงวิ่งไปกระทบที่วัตถุแล้วสะท้อนมาที่ระบบดวงตาแล้วส่งต่อไปที่ระบบปราสาทหรือสมองเพื่อวิเคราะห์และสรุปว่ามันคือภาพ(อะไร) ซึ่งกระบวนการทั้งหมดแม้ใช้เวลาประมวลผลเพียงเศษเสี้ยวมิลิวินาทีก็ตาม แต่มันก็คือภาพอดีต(จริง)ที่อยู่ติดหรือใกล้ชิดที่สุดกับภาพปัจจุบัน แล้วก็จะไหลผ่านไปด้วยกระบวนการของมิติเวลา(ที่เดินหน้าอย่างเดียว) ตามที่รู้ๆกันมา เช่นนั้น.. ภาพที่เราสามารถเห็นได้ในปัจจุบันโดยไม่มีโฟตอนแสงเข้ามาเกี่ยวข้อง, ไม่มีวัตถุประกอบต่างๆอยู่จริง, ไม่มีแม้กระทั่งเวลา(กาลอวกาศ)แวดล้อมของวัตถุนั้น.. แต่ภาพ+วัตถุ+เรื่องราวที่เห็นนั้น(เคย)มีอยู่จริง..มันคืออะไร? อยู่ในกฎเกณฑ์ทฤษฎีทางฟิสิกส์ที่สามารถคำนาณและสรุปผลที่ชัดเจนได้หรือไม่? ทั้งๆที่พวกเราทุกคนคุ้นเคยกันดี มันคือ "ความทรงจำ" ครับ ผมยังจำ(หรือเห็น)เรื่องราวต่างๆตอน 5ขวบได้หลายเรื่องอย่างชัดเจนทั้งๆที่เวลาผ่านข้ามมาแล้วเกือบ50ปี.. ที่เกริ่นยาวมานี่เพราะมันมีสิ่งที่น่าตั้งคำถามและค้นหาว่า ร่างกายเราอยู่ในรูปแบบ3/4มิติ แต่ ความทรงจำหรือจิตของเรา อาจอยู่ในมิติที่สูงกว่านี้หรือเปล่า? หากเป็นเช่นนั้น ผมว่าแขนงวิชาวิทยาศาสตร์ทางจิต ก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจนะครับ และเราพอจะสามารถศึกษาเรียนรู้ได้ ซึ่งต่างจากวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีก้าวหน้าที่คนธรรมดาอย่างเราๆไม่สามารถจะแตะต้องได้ เช่น จะสร้างไทม์แมชชีน,เครื่องวาร์ป,ทดลองสร้างรูหนอนหลุมดำ หรืออุโมงค์ทดสอบการชนของสสารด้วยความเร็วแสง..ฯลฯ แต่ถ้าเป็นอิรอนมาส หรือ นาซ่า เขาคงมีศักยภาพที่ทำได้ครับ..ขอบคุณสำหรับข้อมูลและเนื้อหาที่ดี ที่สามารถอธิบายหรือสื่อให้เข้าใจได้ง่ายๆ..ชอบมากครับ ขอเป็น FC ยาววววววววเลยครับ
วงการศึกษาต้องการบุคลากรแบบคุณ อธิบายเรื่องยากให้เข้าใจง่ายมาก ผมตามหามานานแล้งเพจแบบนี้ ขอบคุณมากครับ
ประเด็นนี้ พอยิ่งทำความเข้าใจ ยิ่งรู้สึกน่ากลัวรู้สึกหวิวๆ ยังไงบอกไม่ถูก ประเด็นที่บอกว่า ทุกสิ่งทุกอย่างถูกกำหนดไว้หมดแล้ว เพียงแต่เรายังไปไม่ถึง เรากำลังดำเนินชีวิตปกติอยู่ใน (เวลา ณ ปัจจุบัน ) ซึ่งแสดงว่าทุกสิ่งทุกอย่าง จักรวาล เอกภพ มีจุดเริ่มต้น และ จุดจบ สมบูรณ์ ซึ่งเราใช้ชีวิตอยู่ในดวงดาว 1 ในจักรวาลที่มีเวลาเป็นปัจจุบัน อาจอยู่ในช่วงใดช่วงหนึ่งของเวลาที่ถูกกำหนดไว้หมดแล้ว เพราะมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในมิติที่3 ไม่สามารถรับรู้อะไรไปได้มากกว่าปัจจุบัน และ มองเห็นหรือจดจำเฉพาะเรื่องราวในอดีตได้เท่านั้น ซึ่งแล้วอะไรละ ที่กำหนดจุดเริ่มต้น และ จุดจบของสิ่งที่ยิ่งใหญ่แสนกว้างใหญ่มหาศาล เช่น จักรวาลแห่งนี้ใครกันที่สร้างจุดเริ่มต้นและจุดจบของมัน และสิ่งที่กำหนดมันจะมีรูปลักษณ์หน้าตาเป็นยังไงหรือแม้แต่ ขนาดของมัน อย่างที่อีรอนมัส เชื่ออย่างสนิทใจว่าเรามนุษย์บนโลกอาจเป็นเพียงแค่Ai NPCในเกมๆนึงเท่านั้น เหมือนที่มนุษย์สร้างเกมคอมพิวเตอร์ธรรมดาๆทั่วไปนี่ละที่เป็นตัวnpcในเกมที่โต้ตอบกับเราอัตโนมัติ ตัวnpcคนเล่นเกมที่ต้องคอยรับเควส หรือซื้ออาวุธ แต่คราวนี้ npcกลับมีสติปัญญา ที่คิดเอง ทำเองได้โดยที่เราไม่ได้ควบคุมมัน มนุษย์อาจเป็น ai ที่ผิดพลาด ที่ดันมีสติปัญญาคิดเองได้ และมนุษย์ในโลกปัจจุบัน ก็วิวัฒธนาการตัวเองมาเรื่อยๆ และก็สร้างเกมในคอมพิวเตอร์ต่อไปเรื่อยๆ เหมือนที่เรามองกระจก และมีกระจกอีกบานอยู่ด้านหลัง มันจะซ้อนทับกันไปเรื่อยๆไม่มีที่สิ้นสุด ปัจจุบันก็มีแนวคิดนี้ที่ว่า ในอนาคต การที่เราจะสร้างหุ่นยนต์ ai ปัญญาประดิษ มารับใช้มนุษย์ มาทำงานแทนในงานที่มนุษย์ไม่ต้องการที่จะทำ แต่กลัวว่าวันนึง ai จะพัฒนาสมองของมันเอง จนคิดเองได้ และ ไม่รับฟังคำสั่งที่เราป้อนโปรแกรมเข้าไปในสมองของมันและมนุษย์นี่แหละ อาจจะเป็นแบบai ที่พัฒนาความคิดนั้นแล้วงงปะ ? 5555555
ผมชอบการอธิบาย มิติเวลา เปรียบเทียบได้ชัดเจนมากครับ ถ้าในโรงเรียนมีการสอนแบบนี้ ความสุขสนุกสนานคงเป็นเรื่องปกติของนักเรียนเลยนะครับ
ไปเป็นครูเถอะครับ วงการศึกษาต้องการคนแบบพี่
555 ใช่เลย ศาสตาจารย์จักรวาล พูดจนเข้าใจง่ายๆ เลย
5555
เห็นด้วย พูดกันตรงๆเก่งกว่าครูบางคนอีก ควรให้ความรู้กับคนต่อไป
จริงเข้าใจง่ายมาก เก่งครับ
ไม่ได้ครับ มีบางคนกำหนดขอบเขตการเรียนรู้ปวงชนชาวไทยไว้อยู่ครับ มิอาจที่จะปล่อยประละเลยให้ประชากรมีความรู้จนล้นเมืองได้ครับ เพราะในอดีตคนมีความรู้ความสามารถเคยเขย่าบัลลังค์ไปรอบนึงแล้ว จึงมีความกังวลว่าจะเกิดขึ้นอีก เพราะงี้แหละดร.ส่วนใหญ่เลยไม่ค่อยจะทำงานในประเทศ อิอิ
อาจารย์เยี่ยมมากเลยครับ สายวิทย์ถูกใจมากเลย
เป็นครูที่ตามหามานาน อธิบายเก่งมาก สามารถอธิบายเรื่องยากๆให้เข้าใจง่ายเลย สุดยอด
เทพมากอ่ะพี่ ควอนตัมนี่ผมงงมาครึ่งชีวิต ยิ่งหาอ่านยิ่งงง มาเจอพี่อธิบาย เกตเลย เรื่องมิติอีก คิดว่าเข้าใจ แต่เข้าใจแบบงงๆ เจอพี่ยกตัวอย่าง เกตเลยอ่ะขอกราบ
คำว่า "มิติ"ตามความเข้าใจของผม มันหมายถึงเครื่องมือที่สมองใช้วิเคราะห์เพื่อจำแนก, ความแตกต่างของสิ่งหนึ่ง,ออกจากอีกสิ่งหนึ่ง, เพื่อการคำนวณที่แม่นยำและในทุกๆ "มิติ" มีขอบเขตจำกัด#ตัวอย่าง0 มิติ หรึอไม่มีมิติเช่น.ภาพแรกๆที่เด็กทารกเห็น...ณจุดนี้มีการรับรู้ของสมองแล้ว แต่เป็นเพียงการรับรู้ว่า "มี" (บางสิ่ง) ยังไม่สามารถแยกแยะความแตกต่างอะไรได้เนื่องจากยังไม่ได้เกิดการ "เปรียบเทียบ"1 มิติคือการที่สมองของเราเริ่มเปรียบเทียบหาความแตกต่างระหว่าง2สิ่งขึ้นไป, โดยอาจสร้างแกนสมมุตขึ้นในสมอง1เส้นแล้ววางสิ่งเหล่านั้นลงบนเสัน, ตามตำแหน่ง, สถานะที่เรามีข้อมูลที่ได้รับรู้มาด้วยการเปรียบเทียบแบบ 1มิตินี้แม้จะมีขอบเขตจำกัดแต่เราก็สามารถใช้เป็นฐานในการจำแนก, คำนวณสิ่งต่างๆได้อย่างมากมาย เช่น -อันไหนขวา, อันไหนซ้าย-อันไหนใกล้, อันไหนไกล- หิน 3 ก้อนนี้ ก้อนไหนใหญ่ที่สุด ก้อนไหนเล็กที่สุดการรับรู้ใน 1 มิตินี้ สามารถเข้าใจในมาตราชั่งตวงวัด และจะไปถึงพื้นฐานของวิชาตรรกวิทยาได้ เช่นหากเรามีข้อมูลว่า A=B และB=C เพราะฉะนั้น A ย่อม=C2 มิติสิ่งที่เพิ่มขึ้นมาคือใช้แกนสมมุต2แกนทำให้ประสิทธิภาพในการคำนวณเพิ่มขึ้นเราสามารถคำนวณหาความกว้างของพื้นที่หรือหาตำแหน่งของวัตถุบนพื้นที่นั้น(ในสภาพที่มันหยุดนิ่ง)3 มิติสมองของเราใช้เครื่องมือ เป็นแกนสมมุติ 3 แกน ทำให้เกิดประสิทธิภาพในการคำนวณ ในเชิงปริมาตรและรูปทรงเพิ่มขึ้นมา และยังสามารถคำนวณตำแหน่งของวัตถุใดๆในจักรวาลนี้ ได้อย่างแม่นยำ (ในสภาพที่มันหยุดนิ่ง)4 มิติก็ตามที่อาจารย์ได้อธิบาย ได้ดีเยี่ยมนะครับ😊ไล่ลำดับมาก็แค่อยากจะบอกว่า ก่อนที่คนเราจะเข้าใจ อย่างถ่องแท้ ในโลก 3 มิติ จะต้องมีการสะสมข้อมูลที่ถูกต้อง มากพอ จากทั้งสองมิติเสียก่อนและการพยายามทำความเข้าใจ ให้ลึกซึ้ง กับโลก 4 มิติ จึงจะสามารถนำไปสู่ความเข้าใจในมิติต่อๆไปได้นี้เป็นความเห็นของผมนะครับ ผิดถูก อย่างไรอาจารย์ช่วยแนะนำด้วยครับ😊
อธิบายได้ดีมาก ๆ เลยครับในหนังเขาได้พูดถึง 2 ความเชื่อครับ1.องค์กรในอนาคตเชื่อว่า ถ้าเราย้อนเวลาไปอดีตแล้วฆ่าบรรพบุรุษของเรา มันจะเกิดโลกอีกโลกขึ้นมา ซึ่งโลกนั้นจะไม่มีเราและบรรพบุรุษของเราอยู่ แต่ในโลกปัจจุบันตัวเราและบรรพบุรุษของเราจะยังคงอยู่ (Grandfather Paradox)2.องค์กรของพระเอกเชื่อว่า ต่อให้ย้อนอดีตไปก็ไม่สามารถเปลี่ยนอะไรได้เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นมันเกิดขึ้นแล้ว แบบนี้จะเป็นโลกนที่วนลูปอยู่แบบนั้นไปเรื่อยๆ ตั้งแต่มีการย้อนเวลาไปอดีตครั้งแรกและในหนังเขาก็ใช้ความเชื่อที่2มาเป็นทฤษฎีครับ เช่น องค์กรในอนาคตเขาพยายามที่จะระเบิดโลกในอดีตทิ้ง โดยการส่งระเบิดไปยังอดีต แต่มันจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้เพราะว่ามันอนาคตมันได้เกิดขึ้นมาแล้ว จะด้วยเหตุผลใดก็ตามไม่ว่าจะ ระเบิดด้าน ลืมทื้งไว้ คนกดระเบิดตาย
ขอบคุณมากเลยครับใช่เลยครับ ผมมองว่าในหนัง เขาก็ไม่แน่ใจว่า โลก(ในหนัง)มันจะเกิดขึ้นตามความเชื่อไหนกันแน่ และตัวร้ายก็เชื่อในความเชื่อที่ 1 ที่มี Grandfather Paradoxแต่ตัวหนังสื่อออกมาให้คนดูเข้าใจว่า "น่าจะ" เป็นไปตามความเชื่อที่ 2 มากกว่า แต่ส่วนตัวผม อยากให้โลกเราจริงๆเป็นแบบไหน ผมอยากให้เป็นแบบความเชื่อแรกมากกว่า เพราะแปลว่าเราสามารถกำหนดอนาคตเองได้ ผมคงหงุดหงิดแปลกๆถ้ารู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างลิขิตอนาคตเราไว้หมดแล้ว
ช่างสงสัย B-Curious Channel ผมก็อยากให้เป็นเช่นนั้นครับ อยากให้ทำเรื่อง Dark ด้วยนะครับ ผมชอบการอธิบายของช่องนี้มากๆ เลย
เรื่อง Dark นี่ขอเวลาสักนิดนะครับ เนื้อหามันเยอะเอาเรื่องเลย เดี๋ยวผมต้องค่อยๆแกะดู เป็นโปรเจคที่น่าทำมากเลยครับ
คุณอธิบายเรื่องยาก ให้ง่ายขึ้นยอดเยี่ยมมากครับ ฟังแล้วค่อยๆคิดตามไป เข้าใจดีมากครับ ขอบคุณครับ
ขอขอบคุณ
ตอนผมเรียนวิศวะเครื่องกลปีสอง ก็เจอเจ้า เอนโทรปี เหมือนกันตอนเรียนวิชา เทอร์โมไดนามิกส์ แต่เนื้อหาไม่ได้บอกถึงการย้อนกลับของเวลาอะไร เพียงแต่ระบุถึงความไม่เป็นระเบียบของกระบวนการต่างๆว่า ไม่ว่าจะเกิดกระบวนการไดๆก็ตามจากสถานะหนึ่ง ไปสถานะสอง เอนโทรปี จะเพิ่มขึ้นเสมอ และสามารถวัดหน่วยออกมาได้ด้วย นั่นคือ kJ/kg.K (กิโลจูลต่อกิโลกรัมเควิน) ซึ่งถ้าถามว่าเจ้าเอนโทรปีมันคืออะไรกันแน่ ก็ไม่มีไครตอบได้อย่างแน่ชัด เพียงแต่ใช้มันเป็นตัววัดกระบวนการที่เกิดขึ้น เช่นถ้าเป็นกระบวนการที่ย้อนกลับได้ เอนโทรปีจะคงที่เป็นต้น ถึงจะเรียนเกี่ยวกับมันมากแค่ไหน ก็ยังอธิบายไม่ได้จริงๆว่ามันคืออะไรกันแน่
ผมคิดว่า..ถ้าเราไปอยู่ในมิติที่5..เราน่าจะทำได้แค่รับรู้มิติที่4แต่ไม่สามารถเข้าไปในมิติที่4ซึ่งก็เหมือนกับเรามองอดีตของเราแต่เรากลับเข้าไปในอดีตของเราไม่ได้...เพราะอดีตนั้นไม่มีอยู่แล้ว..และในกรณีอนาคตก็เช่นเดียวกันถ้าเราจะไปในอนาคตนั่นก็เป็นไปไม่ได้เพราะอนาคตยังไม่เกิดที...เราทำได้เพียงรับรู้สิ่งจะเกิดขึ้นในอนาคตเท่านั้น...นั่นหมายความว่าเราจะไปไหนก็ตาม..ที่นั่นต้องเป็นปัจจุบันเท่านั้น..ในกรณีนี้.อดีตหรืออนาคต..จะต้องถูกทำให้กลายเป็นปัจจุบันถ้าเราจะไปในอดีตหรืออนาคต..ในกรณีเอนโทรพี..เราอาจจะสามารถแยกเวลาออกจากวัตถุใดใดก็ตาม เช่น เวลายังคงเดินหน้าตามปกติ..แต่เอนโทรพีของวัตถุ..เดินถอยหลังเปรียบเทียยกับกรณี น้ำในตู้เย็นได้กลายเป็นน้ำแข็ง โดยที่เวลายังเดินไปข้างหน้าตามปกติโดยการแทรกแซงของพลังงานในตู้เย็นเราสามารถที่จะเติมพลังงานให้กับการไหลของอะตอมเพื่อมันย้อนกลับได้..ในกรณีนี้ทำได้บางอย่างแต่อีกหลายๆอย่างต้องรอเทคโนโลยี..มาที่ปัญหาหลักคือเวลา...เวลาคืออะไร เวลาเป็นพิกัดชนิดนึง..ซึ่งไม่ใช่สสารหรือพลังงาน ไม่ใช่คลื่นหรืออนุภาค....สถานะของเวลาคือพิกัด..ในการย้อนเอนโทรพีในวัตถุใดใดเราใช้วิธีเติมพลังงานเข้าไปในสภาวะไร้ระเบียบให้กลับสู่ภาวะมีระเบียบ..แต่นั้นคือคำอธิบายว่าเราจะไม่สามารถเติมพลังงานเข้าไปในเวลาได้เพราะเวลาเป็นเพียงพิกัดเท่านั้น..ไม่ได้มี่สถานะเป็นคลื่นหรืออนุภาค..สสารหรีอพลังงาน..เราอาจอธิบายตามหลักมิติก็ได้ว่าคลื่นหรืออนุภาค สสารหรือพลังงานนั้นเป็นวัตถุใน3มิติแต่เวลาเป็นมิติที่4ซึ่งแตกต่างออกไป...ที่นี่..การย้อนเวลานั้นก็ต้องใช้หลักการที่แตกต่างออกไป ถ้าจะสามารถย้อนได้..หรือจะสามารถไปในอนาคตได้..ซึ่งก็ต้องอยู่บนเงื่อนไขที่ว่าเวลานั้นไม่ใช่เวลาที่ยังไปไม่ถึงก็คือเป็นอนาคตของอดีตไม่ใช่อนาคตของปัจจุบัน..เช่นถ้าวันนี้เป็นวันอาทิตย์..เวลาก็ย้อนได้มาจนถึง ณ วันอาทิตย์เท่านั้นในกรณีนี้เราจะเรียกวันอาทิตย์คืออนาคตของอดีต แต่เวลาจะไม่สามารถไปในวันจันทร์ได้..เพราะนั่นคืออนาคตของปัจจุบัน ซึ่งยังไม่เกิดแต่...เราสามารถรับรู้อดีต..ปัจจุบัน..อนาคตได้ เพียงรับรู้เท่านั้น แต่เราไม่สามรถไปอยู่ในอดีตหรืออนาคตได้..เพราะอดีตหรืออนาคตเป็นคนละมิติกับเรา..เราเป็นวัตถุใน3มิติแต่อดีตกับอนาคตเป็นมิติที่4 ดังนั้นโดยสถานะจึงแตกต่างกัน..มีจุดเชื่อมโยงเดียวคือปัจจุบันเท่านั้น..คือบอกว่าวัตถุนั้นอยู่ในพิกัดนี้เท่านั้นสรุปว่าผมเห็นด้วยเรื่องย้อนเทอโรพีวัตถุแต่ไม่เห็นด้วยเรื่องย้อนเวลาเพราะอยู่คนละมิติและคนละสถานะใช้กฏเกณฑ์ต่างกันครับ/ เท่าที่ไปดูเทเน็ตมาก็ประมาณนี้ครับ
รายละเอียดน่าสนใจมาก ทำให้ผมอยากไปหาข้อมูลต่อเลย อาจจะเอามาทพคลิปเพิ่มด้วยผมเห็นด้วยเรื่อง ย้อนเอ็นโทรปีได้ ไม่เกี่ยวกับเวลาผมว่า มันแค่ทำงานแบบ กาแฟร้อนขึ้นได้ หรือห้องเย็นลงเหมือนเปิดแอร์ได้ โดยไม่ต้องใช้พลังงาน แต่ไม่เกี่ยวกับเวลาเอ็นโทรปีมันเกี่ยวกับเป็นการถ่ายเทพลังงาน การจัดรูปแบบใหม่ของอนุภาคที่มีอิสระมากกว่าการย้อนเวลาหนังเขาเอา entropy ไปผสมกับทฤษฎี one universe electron เพื่อความสนุกเฉยๆถ้ามีอะไรเสริมเพิ่มเติมหรือแย้งได้เลยนะครับ ยินดีมากเลย ผมจะได้รู้มากขึ้นด้วย
@@curiosity-channelยินดีครับ
อธิบายได้เข้าใจมากที่สุด ในบรรดาทุกช่องเลยครับ เป็นกำลังใจให้ทำคลิปต่อๆไปครับ
มีแต่ได้ยินคนอธิบายว่า ในมิติที่ 3 ที่เราอยู่มีเงื่อนไขเวลาด้วย อธิบายแบบนี้เข้าใจมากขึ้นค่ะ ขอบคุณค่ะ
ฟังคลิปนี้แล้ว ทำให้คิดถึงหนังสือ "โลกของโซฟี" ที่ตัวละครในหนังสือเป็นเด็กสาวชื่อโซฟี ที่อายุย่าง 15 ปี กับนักปรัชญาคนหนึ่ง ที่โผล่มาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย มาสอนปรัชญาให้กับโซฟีที่ย่อประวัติศาสตร์ปรัชญา 1-2 พันปีให้สั้น เข้าใจง่าย และสนุก เล่าไปทีละยุคๆ พอถึงตอนท้ายเล่ามาจนถึงนักปรัชญายุคปัจจุบัน เศร้าหน่อยที่โซฟีรู้ตัวว่า เธอเป็นเพียงตัวเดินเรื่องหลักในหนังสือเล่มหนึ่ง เล่มที่ผู้พันกำลังแต่ง เพื่อสำหรับให้เป็นของขวัญวันครอบรอบวันเกิดปีที่ 15 ของลูกสาว พอรู้อย่างนั้น โซฟีเห็นว่าหนังสือใกล้จบแล้ว เธอจะต้องติดอยู่ในหนังสือเล่มนี้ไปตลอดแน่นอน เธอจึงต้องพยายามหาทางหนีทางออกไปจากหนังสือ ด้วยการหายตัวไปก่อนที่หนังสือจะจบ ที่สุดเธอก็ได้โอกาสเหมาะ ในตอนที่ผู้พันที่ยังแต่งหนังสือค้างอยู่เผลอหลับ โซฟีก็แอบหนีออกมาทางโพรงกระต่ายในสวนหลังบ้านของเธอ เธอได้ออกจากหนังสือมาเห็นโลกสี่มิติเหมือนกับเรา จำไม่ได้ว่า นักปรัชญาได้หนีออกมาด้วยหรือเปล่า น่าจะไม่ได้ออกมา เพราะดูพี่แกจะมีความสุขกับการอยู่ในโลกปรัชญาของพี่แก เพื่อจะได้เล่าถึงประวัติศาสตร์ปรัชญาให้กับคนที่ได้เปิดอ่านหนังสือเล่มนี้ต่อไป แต่ก็นั่นแหละ ถ้าผู้พันรู้ตัวก็อาจจะอยากหนีออกมาด้วยเหมือนกัน เพราะคนที่เขียนหนังสือเล่มนี้จริงๆ ไม่ใช่ตัวผู้พัน ผู้พันเป็นเพียงตัวละครในหนังสือ คนที่เขียนโลกของโซฟีจริงๆ คือ ยูสไตน์ โกเดอร์ แต่ก็ไม่แน่ว่า ยูสไตน์ โกเดอร์ ที่มีชื่อเป็นผู้เขียนนั้น ก็อาจเป็นเพียงตัวละครในหนังสืออีกเล่มหนึ่ง ที่นักเขียนในมิติที่สูงกว่าเขียนขึ้นมาก็ได้ ชักเริ่มจะงง
“สิ่ง”สิ่งหนึ่งซึ่งบุคคลพึงรู้แจ้งเป็นสิ่งที่ไม่มีปรากฏการณ์ ไม่มีที่สุดมีทางปฏิบัติเข้ามาถึงได้โดยรอบ, นั้นมีอยู่,ใน “สิ่ง” นั้นแหละ ดินน้ำ ไฟ ลม ไม่หยั่งลงได้,ใน “สิ่ง” นั้นแหละ ความยาว ความสั้น ความเล็ก ความใหญ่ ความงาม ความไม่งาม ไม่หยั่งลงได้,ใน “สิ่ง” นั้นแหละ นามรูป ดับสนิทไมามีส่วนเหลือ,นามรูป ดับสนิท ใน “สิ่ง” นี้เพราะความดับสนิทของวิญญาณ ดังนี้แล.
สาธุครับ🙏😊
คุณอธิบายจากความเข้าใจ แต่ครูอาจารย์มหาวิทยาลัยส่วนใหญ่สอนจากการ" ท่องจำ " ผลที่นักเรียนก็คือ จำๆกันไปสอบ แต่ไม่เคยเข้าใจในสิ่งที่เรียน
ถึงจะซับซ้อน แต่ก็พอจะเริ่มๆเข้าใจเกี่ยวกับมิติที่5 มั่งแล้วครับ ขอบคุณที่พยายามอธิบายให้คนดูเข้าใจครับ ขอบคุณๆๆ
เรามองว่ามิติที่ 5 ไม่ใช่ผู้สร้าง แต่เป็นแค่ผู้เฝ้ามองและสังเกตุการณ์ ส่วนเหตุการณ์ในอนาคตอาจจะเกิดขึ้นแล้ว แต่ไม่ได้ถูกกำหนด เพราะแรงกระทำในปัจจุบันส่งผลกับเหตุการณ์ในอนาคตเสมอ คิดว่าสิ่งเหล่านี้มันทำให้เกิดทฤษฎีโลกคู่ขนาน และมีโอกาสเกิดขึ้นได้หลายแบบตามตามน่าจะเป็น แค่คิดเอาเองนะ มองในมุมทฤษฎีมันเหมือนชีวิตเราถูกกำหนดมาแล้ว แต่ถ้าในโลกของความเป็นจริงมันควรจะเป็น "ปัจจุบันที่เป็นอยู่ เกิดจากผลของการกระทำในอดีต และผลของอนาคตก็เกิดจากปัจจุบันที่เรากำลังทำ" นอกนั้นคือสิ่งอื่นๆที่มากระทบและอยู่เหนือการควบคุมของเรา ดูมั่วๆเนาะ จากความคิดส่วนตัวนะ
เหมือนพระเกจิในครั้งพุทธกาลที่เขาเข้าฌานได้มุมมองของเขาที่สามารถมองเห็นอดีตและอนาคตได้เหมือนมุมมองของมิติที่ 5 ที่แอดกำลังอธิบายเลยครับ
หรือว่าเพราะจิต คือ มิติที่ 5
สุดยอดเลยครับผมฟังเรื่องมิติเวลามาหลายคลิปมาก ไม่้ข้าใจเลย พี่อธิบายละเอียดและเปรียบเทียบให้เข้าใจง่ายทำต่อไปนะคับ👍👍👍👍
ว้าว คุณเป็นแสง Light worker ผู้เป็นแสงสว่างให้ความรู้ผู้คน อธิบายได้ ดีมากเลยคะ ขอบคุณมากคะ
มิติที่มากกว่า 3 ต้องอาศัยสภาพแวดล้อมอย่างอื่นที่ไม่มีปรากฏต่อพวกเราในโลกนี้ เพราะทางกายภาพเราไม่มีพื้นฐานให้เข้าถึงได้ครับ การเข้าสู่มิติเวลา เราเอาร่างกายที่ซับซ้อนไปไม่ได้ แต่เราอาศัยเกิดมีตัวตน อัตตา เป็นมิติที่ 1 เอาการรับรู้เวลา สัมปชัญญะ เป็นมิติที่ 2 ส่วนเรื่องเป็นมิติที่ 3 คือ อาศัยมิติในข้อ 1และ 2 มาจับยึดเหนี่ยวเข้ากับเรื่องทางกายภาพ คือสสารและพลังงานแล้วเกิดการมองว่าเป็นกว้างยาวลึก หรืออาจจะมีลักษณะทางกายภาพที่ซับซ้อนกว่านั้น โดยในมุมมองนามธรรมจะเหมือน อาเรย์ สองมิติ สามมิติ สี่มิติ ไปเรื่อยๆแต่สำหรับมุมมองผมเห็นว่า โลกนี้มันมีแค่กายภาพอันเดียว การรับรู้ กว้าง ยาว ลึก คือเราแค่ตั้งชื่อให้กับทิศทางทางกายภาพ เพื่อสื่อสารกันได้เข้าใจมันจึงเป็นเรื่องจินตนการ เรื่องอาการคิด ในทางกายภาพไม่มีลักษณะสามมิติแบบนี้อยู่จริงหรอก ในแง่เวลาเรารับรู้กว้าง ยาว ลึก ได้เพียงอย่างละหนึ่งเพราะสมองเราเหมือน Single core cpu เรารับรู้หลายแกนของมิติพร้อมกันรวดเดียวในเวลาเดียวกันเลยไม่ได้แต่อาจจะมีโลกมิติแบบนี้โลกอื่นๆด้วย หรือมีโลกมิติที่สี่ที่ห้าอะไรต่างๆได้ด้วย โดยมีลักษณะทางกายภาพต่างออกไป ส่วนมิติที่ 1และ 2 ยังคงเดิมและอาจจะมีมิติที่ 0 ซึ่งเราไม่อาจนับเป็นมิติได้ ทั้งไม่มีอะไรอ้างถึงได้เลย ทำได้มากสุดเป็นแค่เปรียบเทียบเพื่อความเข้าใจนั่นคือ เราอยู่ที่หนึ่งได้เพียงในเวลาหนึ่งเท่านั้น ต่อให้ยืนที่เดิม ตัวเราก็กำลังเปลี่ยนไป สถานที่นั้นก็กำลังเปลี่ยนไป ในทางกายภาพโลกก็กำลังเคลื่อนที่ด้วยถ้าจะทำให้อยู่ได้หลายที่ในเวลาเดียวกัน เราต้องการพื้นฐานทางกายภาพแบบอื่นที่โลกนี้ให้ไม่ได้ครับ
แล้วการที่เราย้อนกลับไปดูคลิป หรือสิ่งที่บันทึกไว้ คือเรียกว่าสิ่งที่เหนือกว่ามิติที่ 4 หรือเปล่าครับ เพราะเราย้อนกลับไปดูสิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้ว(อดีต)ได้ เมื่อไหร่ก็ได้ ที่เราต้องการ by the way ดูคลิปนี้หลังจากเพิ่งดู tenet จบ อะเมซิ่งมากๆ ครับ
อธิบายเข้าใจง่ายกว่าครูสอนอีกครับ ชอบมากเลย
กาลเวลาไม่ได้เป็นเส้นตรง เป็นช่วง เป็นคาบ..มีจุดเริ่มต้น.และ จุดสิ้นสุด..แบบนั้นนะ.การย้อนเวลาแบบในหนังจึงเป็นเรื่องเพ้อฝันแบบเด็กๆ เพราะกาลเวลาจริงๆไม่ได้เป็นเช่นนั้น .อันนั้นมันเป็นการเคลื่อนไปทางกายภาพ..ซึ่งมีสาระที่เข้าใจได้ง่ายๆ.แต่ กาลเวลา ที่แท้จริงคือ ทั้งหมดอยู่ในปัจจุบันขณะ...การเวลาทั้งหมดอยู่ในปัจจุบันขณะ..และมันเป็น อนันต์..มิติ ก็เป็น อนันต์..ไร้จุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด..ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้น และมีอยู่ในขณะนี้เท่านั้น..และประเด็นเรื่อง การมองเห็น..ไม่ว่าแสงจะมีความเร็วเท่าไหร่..ใช้เวลาเดินทางเท่าไหร่...แต่ภาพที่เราเห็น คือภาพที่สมองสร้างขึ้นในจิตของเราในขณะนี้เท่านั้น ระยะทาง..และ กาลเวลา..จึงไม่ได้มีอยู่จริง..จักรวาลถือกำเนิดขึ้นและดับลงในขณะนี้อันเป็นอนันต์ภาพเท่านั้น..
สาธุ🙏
ความรู้พี่ทำให้ผมเข้าใจในคัมภีร์กุรอ่านมากขึ้น เพราะกุรอ่านมีปริศนามากมาย ขอบคุณมากครับ ขอให้พี่ได้รับทางนำ อามีน
อธิบายให้คนที่ไม่ค่อยรู้เรื่องวิทยาศาสตร์เข้าถึงได้ดีเลยครับ ผมก็ชอบฟังชอบดูเรื่องราวเกี่ยวกับมิติเวลา แต่ยิ่งฟังยิ่ง งง คลิปนี้ทำให้ผมเข้าใจง่ายดีครับ ว่า มิติที่เกินกว่ามิติที่4 คือมิติที่อยู่เหนือขอบเขตความเข้าใจของเรา งี้แสดงว่า อาจจะมีอะไรที่สร้างจักรวาลของเราขึ้นมา ให้มีจุดกำเนิด และจุดสิ้นสุดมาพร้อมๆกันแล้ว และกำลังเฝ้ามองเราอยู่ เหมือนที่ลีออน มัสก์ บอกว่าทุกสิ่งในจักรวาลนี้เปรียบเสมือน Simulation
ตื่นเต้นดีครับ กับการอธิบายมิติต่างๆโดยเฉพาะมิติที่ห้า.. แต่อยากรู้ว่าต้องฉลาดแค่ไหนถึงจะเข้าใจมิติทั้งหมดได้
ถ้าลองคิดตามควอนตัม พระเอกจากอนาคตที่แสงจากโลกอดีตไม่สามารถตกกระทบได้ ก็เหมือนกับอะตอมที่ไม่มีคนวัดหรือผู้สังเกตการณ์ มันก็แยกร่างได้และอยู่ได้ทุกที่ หรือเอาแบบกาวๆหน่อยก็แสงไหลพร้อมกับเวลา ฉะนั้นแสงเก่ากับแสงใหม่ก็จะไม่ทับกัน การรับรู้ของจักรวาลก็จะไม่ซ้อนกัน
ถ้าบอกว่า หนังสือการ์ตูนเป็นอีมิติที่้ราสร้างขึ้นโดยที่เรากำหนดอนาคตไว้หมดแล้ว ซึ่งแปลว่าทุกิย่างถูกกำหนดไว้ตามที่้เราเขียนลงไป จะเป็นไปได้ไหมถ้ายึดตาม ทฤษฎีนี้ ทำไม ตัวละครในหนังสือถึงไม่มีความอยากรู้เกี่ยวกับตัวเราที่เป็นเหมืินผู้สร้างที่ิยู่อีกมิติ ยกเว้นซะว่า เรากำหนดให้สิ่งนั้นหรือตัวละครในหนังนั้นมีความอยากรู้ ซึ่งแปลว่าเราที่อยู่มิตินี้ที่กำลังสงสัยและอยากรู้ มันคือการที่ผู้สร้างจากอีกมิตินั้น ใส่ความอยากรู้เดี่ยวอีกมิติให้เรา แล้วเพราะอะไรกันทำไมพระเจ้าหรืออีกมิติจึงอยากให้เรามีความรู้อยากรู้ว่าอีกมิติมีอะไร และแปลว่า มนุษย์นั้นไม่ได้มีความรู้ความคิดความรู้สึดเป็นอิสระ แต่ถูกกำหนดไว้โดยท่านผู้สร้างจากอีกมิติใช่ไหม
เมื่อไหร่ที่เราไขความลับของมิติเวลาได้ เราคงจะเข้าใจความเป็นมาของชีวิต โลกหลังความตาย รวมทั้งสามารถก้าวข้ามขีดจำกัดของการเดินทางสู่ห้วงอวกาศได้
คล้ายในพุทธศาสนาเลยครับ ในหลายเรื่อง
อธิบายเก่งมากค่ะ สามารถอธิบายสิ่งที่ยากกลายเป็นเรื่องที่เข้าใจง่ายๆได้!!
มันเป็นแค่หนัง ในความเป็นจริง เราคิดว่าตั้งแต่มิติที่5ขึ้นไป มันจะต้องเป็นมิติที่อยู่เหนืออิทธิพลของแสงและเวลา แต่เราต้องเข้าถึงมิติที่4ให้ได้ก่อน จะอธิบายยังไงดีว่าจริงๆแล้วเวลามันไม่มีอยู่จริง แต่เพราะเราไปอิงกับแสงตลอด เรามองร่างกายเนื้อของเราเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในแสงเราจึงไหลไปตามเวลา ซึ่งเวลาสถานที่ระยะทางมันเป็นเรื่องเดียวกัน คือมันไม่ได้มีอยู่จริง เวลามันมีอยู่ตามการอ้างอิงของแสง ความโค้งของ กาล-อวกาศ space-time มนุษย์ไม่สามารถรับรู้ได้ผ่านประสาทสัมผัสเช่นตาไม่อาจเห็นหูไม่อาจได้ยินจมูกลิ้นกายสัมผัสไม่ได้ มันเหนือขึ้นไปอีก ขอใช้คำว่ามันเป็น"วิทยาศาสตร์ทางจิต" ลองพยายามเอาไปผนวกกับเรื่องจิตวิทยาดูอาจจะเห็นเค้าลางได้ชัดขึ้น(คหสต) ยกตัวอย่างเช่น ความรัก😁 ความรักอยู่เหนือแสงและเวลา ความรัก สัมผัสไม่ได้ พิสูจน์ไม่ได้ วัดค่าไม่ได้ แต่ก็มีกระบวนการรับรู้และตอบสนองได้ด้วยนะ🤪🤭 อะไรที่เป็นควอนตัม เวลาเรายกตัวอย่างต้องเปรียบเทียบกับอะไรที่เป็นนามธรรมน่าจะเข้าเค้ามากกว่าเวลาที่พยายามเปรียบเทียบควอนตัมกับอะไรที่มันเป็นรูปธรรมมันจะขัดกัน ลองดู น้อยคนที่จะทำได้เพราะเรื่องพวกนี้ไม่สามรถเข้าใจได้ง่ายด้วยกระบวนการคิด แต่ต้องใช้สมาธิเยอะมาก ไอน์สไตน์จึงได้ฝากเอาไว้ว่า"จินตนาการสำคัญกว่าความรู้"... เป็นกำลังใจให้อยู่นะ สู้ๆจ้า
ไม่เคยเจอรายการแบบนี้ในเมืองไทยมาก่อน ดีมากๆ แต่ก็ต้องทำใจคนไทยไม่ใส่ใจในวิทยาศาตร์ ชอบแต่ไสยศาสตร์ ขอให้ทำต่อไปนะ
++
สมมุต เรามีนาฬิกา 1 เรือนใหญ่ ๆ ใหญ่ มาก หัน หน้าปัด ไป ทางอวกาศ สมุติว่าเราเห็นหน้าปัดนาฬิกาได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะไกลแค่ไหน เวลา เดินผ่านไป 5นาที ถ้าเราจะย้อนเวลา กลับไปดู เวลา ที่ 3,2,1 คือ เราต้อง นั่ง ยานอวกาศ วิ่งตามแสง ไป โดยที่ เราต้องวิ่งเร็วกว่าแสง สมมุติ วิ่งไปตาม จน ทัน นาที ที่ 4 , 3 ,2 ,1 เราจะใช้พลังงาน มหาศาล ในการเติมเชื้อเพลิง เพื่อที่ ส่งยาน ตามแสงในอดีต ให้ทัน ผม เชื่อว่า การที่ เรา เดินทาง เร็ว กว่าแสง คือการ เติมพลังงานที่มากกว่า การเดินเท่าแสง และมันสามารถ ย้อนเวลาได้ จริงอยู๋ที่ เรา เข้าไกล้ ความเร็ว แสง เวลา เราเกือบ จะหยุดไป และมวลรอบตัวเราจะมากขึ้น ยิ่งมวลมาก เวลาก็จะหยุดเดิน แต่ถ้า เรานั่งยานไป เร็วกว่าแสง ระ เวลา จะย้อนกลับบแน่นอนและ ไม่ใช่นาฬิกาตาย กล้องโทรศัทน์ ดูดาว ที่ เราเห็นคือ ภาพจากอดีด เมื่อหลายหมื่นล้าน ปีก่อน แสงพึ่งเดินทางมาถึงโลก เราขยาย เม็ดโฟตรอน พื่อที่จะดู ภาพให้ชัดขึ้น ถึงเราจะพยายาม ซูมแค่ไหน ก็ก็ไม่สามารถ ดู ภาพเหตุการณ์ถัดไปได้ ได้แต่รอ ให้แสงเดินทางมาเรื่อยๆ ไม่สามารถ ไป โฟกัส จุดที่ 10,000ล้านปี 5,000ล้านปีได้ มีทางเดียวที่ จะดู ภาพในอดีตได้ คือตั้งนั่งยาน ที่เดินทาง เร็วกว่าแสง วิ่ง สวนทางไปทางดาวเคราห์ดวงนั้น เราก็จะรับ ภาพ อตีด มากขึ้นๆ ย้อนเวลา ไป มากขึ้นๆ เชื่อว่า ดาวเคราะห์ อันห่างไกล ตอนนี้ ที่ เรากำลังดูก็ไม่ต่าง กับโลก ปัจจุบันที่เราอยู่ เพราะ เวลามันผ่านมานานแล้ว ส่วนเรื่อวการข้าม มิติ หรือ ย้นระยะทาง อันนี้ เกินจินตนาการจริง ๆ นึกไม่ออก ครับ แต่ ผม จะลองสมมุิต ว่า มี แกน 1 แกน ซึ่งแข็งมาก ด้านต้น และ ปลาย เป็น เหมือน และพังงา อารม์ ว่า หักไปทางซ้าย พังงาด้านตรงข้ามก็จะไปทางขวา เหมือน มินเลอร์ กัน ทีนี้ แกนที่ แข็งมา เริ่มยาวขึ้น ไปไกลขึ้น ไกล ถึง ดาวอังคาร ซึ่ง ระยะทางไกล นี้ แสงอาจจะใช้เวลา เดินทาง กว่า 25นาที ทีนี้ เรา ก็หันแกน ไปทาง ซ้าย-- ขวาปกติ อีกฝากนั้นทีไกล จะต้องหันตามไปด้วย และทันที แต่ ถ้า มองด้วย ตาเปล่า เราจะไม่เห็น ว่า พังงาหัน ทันที เพราะ แสงต้องใช้เวลา กว่า 25นาที กลับมาที่ ท. รูหนอน หรือ อุโมงมิติ ถ้าจะต้องเดินทางไป ในทันที ก็ต้อง เชื่อมต่อ ปลายทางไว้ โดยให้เวลาหยุดไว้ เหมือนแกน ที่ แข็งมาก และ เวลาที่หยุดไว้ ต้องยาวติดต่อกันไปจาก โลก ถึง ดาวอังคาร ถ้าจะทำอย่างนั้น ได้ต้อง สร้าง แกนมวลที่มีมหาศาล มีความยาว มาก และ ใช้พลังงานมาก อันนี้ไม่ได้ จำกัดเรื่อง ของ ขนาดแกน อาจจะ เล็ก เท่า เส้นผม ก็ได้ ขอให้แข็งแรงและเชื่อมต่อตลอดเวลา แต่ ถ้า เรายังเดินทางด้วยความแสง เราจะไปถึง ดาวอังคาร อีก 25นาที ถัดไป ซึ่ง ดาวอังคาร โครจรไปตำแหน่งอื่นแล้ว ก็ยัง ช้าอยู่ดี มีอีก ท. นึง คือ เราต้องหยุดเวลาไว้ขณะเดินทาง โดย เปิดมิติรูหนอน ไว้หน้ายานอวกาศตลอดเวลา เพื่อเปิด ทางเวลา และ ยานต้องวิ่งไปด้านหน้า ด้วยความเร็วสูง อารมณ์เหมือน ส่องไฟฉายไว้ แต่ เราเปิด มิติ รูเอาไว้แทน สมมุว่า มิติ ตามยานไป ตลอดแต่อยู๋ ด้านหน้า
ผมว่าเวลาไม่ได้มีอยู่ แต่การเปลี่ยนแปลงนั้นมีอยู่จริง ทุกๆสรรพสิ่งในจักรวาลนี้เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด เราเพียงสมมติเวลาขึ้นมาเพื่อให้ง่ายแก่การเข้าใจว่าการเปลี่ยนจากสิ่งหนึ่งไปเป็นอีกสิ่งนั้นนานแค่ไหน สิ่งที่มีอยู่แล้วในจักรวาลนี้คือ อวกาศ พลังงานและสสาร ส่วนเวลาเป็นการสมมติขึ้นมาเพื่อเรียงลำดับเหตุการณ์ต่างในจักรวาลนี้ว่าอะไรเกิดขึ้นก่อนอะไรเท่านั้นครับ แสดงว่าเวลาเป็นสิ่งที่ใช้ลำดับเหตุการณ์ต่างๆของ อวกาศ พลังงานและสสาร แต่ถ้าเรามองจักรวาลนี้แบบควอนตัม ทุกสรรพสิ่งที่เราคิดว่ามีอยู่จริงนั้นแท้จริงแล้วไม่ได้มีอยู่จริงถึงจุดหนึ่งทุกสรรพสิ่งก็จะเปลี่ยนไปทั้งจักรวาล เราจะเข้าใจมันได้มากแค่ไหน? ครับ
อธิบายดีมากครับ เข้าใจเลือกเปรียบเทียบครับ เข้าใจง่ายมาก เห็นภาพเลยครับ นัยถือครับ ต้องเข้าใจจริง ๆ ถึงจะอธิบาย และเปรียบเทียบได้ขนาดนี้
อยากให้ลองดูซีรี่เรื่อง Dark ค่ะ เกี่ยวกับเวลาเหมือนกัน ซับซ้อนมาก อยากให้อธิบายให้ฟังค่ะ ขอบคุณค่ะ
มิติที่ 5 ผมเดาว่าคือ Parallel World เพราะแต่ละการตัดสินใจต่างๆส่งผลต่ออนาคต เช่น นัดกับเพือน เวลา 12.00 แต่ก่อนจะถึงเวลานั้นเราสามารถเลือกได้ว่า จะไป หรือ ไม่ไป หรืออาจจะมีเหตุผลอื่น การตัดสินใจแต่ละแบบก็ส่งผลต่อ อาคต(มิติที่4) ตามที่ผมเข้าใจ
นี่คือช่องที่อยากดูมานาน เจ๋งมากค่ะ
อยากให้ทำเรื่องเกี่ยวกับมิติทั้ง 10 (11) ค่ะ 😊
สิ่งเร้นลับที่สุดไม่ใช่เรื่องผีสางแต่เป็นเรื่องวิทยาศาสตร์นี่แหละ ชอบการอธิบายมากค่ะ
ยิ่งท่านที่ใช้ผู้ที่มาจากมิติที่ 5 ช่วยทำนาย จะค่อนข้างแม่นมากเลย เป็นความคิดเห็นส่วนตัวค่ะ
ขอบคุณที่คุยเรื่องเหล่านี้ให้ฟัง เพราะน้อยคนที่จะพูดเรื่องเหล่านี้ได้ ซึ่งถึงแม้พูดได้ แต่ก็น้อยคนที่จะพูดให้เกิดความเข้าใจได้ก็น้อยครับ
ผมแค่เรียนมาแต่ไม่มาก บางครั้ง ผมคิดว่าความคิดเห็นอาจผิดไปจากหลักวิชาจริงที่ยังรู้ไม่พอ จึงใช้การรับฟังเพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมจากคำบรรยายนี้มากกว่า คลิปต่างมีประโยชน์มากครับผม
อธิบายเข้าใจง่ายดีครับ ส่วนตัวคิดว่าทฤษฎี Reverse นี้ไม่น่าจะเป็นไปได้ แสงที่กล่าวมาก็ส่วนนึง ไหนจะระบบไหนเวียนโลหิตในร่างกาย ระบบย่อยอาหาร ประสาทการรับรู้ ฯลฯ สมมุติว่ามีมืติที่ 5 จริงๆ เขาก็สามารถมองเราได้ แต่ไม่น่าจะสื่อสารอะไรกันได้ เหมือนเรามองเห็นภาพในทีวีมากกว่า ธรรมชาติหรือใครก็ตามที่สร้างจักรวาลไว้คงออกแบบระบบที่เอาชนะไม่ได้ไว้แล้วก่อนจะสร้างมันขึ้นมา ถ้ามิติมันทับซ้อนกันได้จริง อนาคตคงมาหาเราบ้างแล้ว.. คหสต
-(เดา)คิดว่าแสงจากดวงอาทิตย์>กระทบวัตถุ>กระทบตา>ส่งสัญญาณ(ส่วนแสงก็สะท้อนออกจากตาและกระจายออกไป)คิดว่าสำหรับคนที่ย้อนเวลาจะได้ผลเป็นเหตุ ตนนั้นน่าจะเอาแสงที่สะท้อนออกไปจากตากลับเข้ามาและได้รับข้อมูลเข้ามาในหัว (ส่วนแสงก็ย้อนกลับไปยังวัตถุและย้อนกลับไปยังดวงอาทิตย์)-(เดา2)อาหารน่าจะต้องเตรียมมาเองเหมือนอากาศ พลังงานสารอาหารก็จะถูกย้อนตามคนย้อนเวลาเหมือนกัน(การเข้าห้องน้ำก็ด้วย)-(เดา3)คิดว่าการreverseคนไม่ได้ทำให้ถูกแยกเป็น2ร่าง แต่เป็นคนเดียวจากคนละเวลาเปรียบเทียบมิติที่4จะมีรูปแบบคล้ายคลึงกับมิติที่1คือเส้นตรง ----------- สมมุติว่า มีคนคนหนึ่งอยู่ในเส้นเวลา1-20 สำหรับคนอื่นอาจจะดูเหมื่อนมี3คนในtenet แต่สำหรับเขาจะมีคนเดียว1-2-3-4-5-6-7-8-9-10->v v16------------20->สำหรับคนอื่นจะเห็นเขา3คนเดิน ตั้งแต่5-10[5หน่วยเวลา] แต่สำหรับเขาคือเดิน5-20[15หน่วยเวลา]และสำหรับคนอื่นนั้นจะเห็นว่าตัวตน2และ3จะถื่อกำเหนิดขึ้นมาในloop[หน่วยเวลาที่5]และตัวคนที่1และที่2จะหายไปในloop[หน่วยเวลาที่10]สำหรับคนที่อ่านแล้วคิดว่าผิดหรือรู้อยู่แล้วหรือพิมพ์อะไรมาก็ไม่รู้ ก็ขออภัยเพราะผมเขียนโดยที่ใช้ "เดาล้วนๆ" พิมพ์ โดย เราเอง ถึงผู้อ่านที่คิดว่าถ้าจะขนาดนี้ส่งมาเป็นไฟล์เหอะ
ครับ.. ผมกำลังเตรียมนำเสนอทฤษฏีไร้กาลเวลา TimelessTheory (ความไม่เที่ยงของกาลเวลา).. มันจะวิวัฒนาการมนุษย์ไปสู่สายพันธุ์จักรวาล และการดำเนินชีวิตในรูปแบบมิติที่5 ซึ่งเราจะเข้าใจรูปแบบชีวิตใน4มิติอย่างละเอียด#ต้องการผู้ร่วมพัฒนาทฤษฏีไร้กาลเวลาครับ#มันคือศาสนาแห่งจักรวาล#มันคือทฤษฏีแห่งสรรพสิ่ง.. ด้วยครับ
คืบหน้ายังไง อัพเดตให้ฟังด้วยนะครับ
พอผมฟัง ทฤษฎี ที่ในคลิปนี้นำเสนอแล้ว ทำให้ผมเอะใจและสงสัยกับอีกเรื่องขึ้นมา คือ เดจาวู ในทางการแพทย์จะบอกว่า อาการ เดจาวู เป็นอาการที่กระแสไฟฟ้าในสมองทำงานผิดปรกติชั่วครู่ทำให้เราเห็นภาพนั้นๆขึ้นมา และพอไปเจอเหตุการ์ณนั้นจริงๆเราก็รู้สึกได้ว่า เราเคยเห็นหรือผ่านที่นั้นๆมาแล้ว ทั้งๆที่เพิ่งเคยเห็นหรือผ่านเป็นครั้งแรก ซึ่งพอมาบวกกับทฤษฎีในหนังเรื่องนี้แล้ว มันก็คล้ายๆกันนะครับ แต่ต่างกันตรงที่ เดจาวู จะเห็นได้แต่สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นเท่านั้น ซึ่งไม่รู้สถานที่และเวลาที่แน่ชัด และไม่ใช่ตัวตนเราจริงๆที่ไปสัมผัส ณ สถานที่หรือเวลานั้นๆ เป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวความรู้สึกเท่านั้นที่ผ่านไปที่ๆนั้นหรือเวลาๆนั้นและฉายให้เราเห็นเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น ทางเดียวที่เราจะรู้ว่าสถานที่และเวลานั้นอยู่ที่ไหนและเมื่อไหร่ก็คือ เราต้องไปพบและไปเห็นด้วยตัวเอง และจะนึก รู้สึก ขึ้นมาได้ว่า เราเคยเห็นหรือผ่านที่นี่มาแล้วนิ แท้ที่จริงแล้วไม่ใช่เลย เดจาวู ก็เป็นเหมือนการโดดเข้าไปในเวลานั้นผ่านทางจิต โดยไม่ตั้งใจ และสงสัณญาณจากอาคตเพียงชั่วครู่กลับมาหาตัวเราในปัจจุบัน และด้วยสัญญาณที่ชั่วครู่นั้นทำให้สมองไม่มีเวลาได้บันทึงเก็บรายระเอียดเท่าไหร่และเก็บสำรองไว้ในชุดข้อมูลที่เรียกว่า ความรู้สึก และมันเด่นชัดขึ้นมาก็ต่อเมื่อได้ไปที่ๆนั้น เวลานั้นๆจริงๆ แบบที่ไม่สามาหลีกเลี่ยงได้ เพราะเราอยู่ในมิติที่เวลาเดินไปข้างหน้าเท่านั้น จึงทำได้แค่บอก แต่ไม่มีทางหลีกเลี่ยงครับ ประมาณนี้ครับ ^_^
ผมเคยเกิดเดจาวูบ่อยๆ ตอนหลับ ชอบฝันว่าไปสถานที่ๆหนึ่ง เวลาเราตื่น จะจำได้นิดๆ แล้วก็ลืม แต่พอเวลาผ่านไป ผมได้ไปสถานที่นั้นโดยบังเอิญไป พอไปถึง มันเหมือนภาพ แฟลชแบล้ค ย้อนกล้บมาในหัว เอะใจว่า เอ้ย เราเคยมาแล้วนี่หว่า แต่ในตอนที่มาคืน ช่วงที่เราหลับฝันตอนนั้น แต่มันกลับเกิดขึ้นจริง เหมือนกับมันถูกกำหนดไว้แล้วว่าเราจะมา ซึ่งผมเกิดเหตุการณ์แบบนี้บ่อยมาก สงสัยว่า ถ้าเราควบคุมจิตใต้สำนึก้ราได้ เราคงจะรู้อนาคตที่จะเกิดขึน แต่ถ้ารู้แล้ว เราคงจะแก้ไขมันไม่ได้ หรือ อาจจะแก้ไขได้ ทำให้ ทามไลน์เปลี่ยนไป ก็ยังไม่มีใครสามารถพิสูจน์ได้
อธิบายเรื่องมิติเวลาได้เห็นภาพมากค่ะ ชอบศึกษาเรื่องพวกนี้มาก แต่ของไทยไม่ค่อยมีช่องไหนอธิบายในแบบวิทยาศาสตร์จริงๆ ให้ฟังได้ ส่วนมากเล่าแต่เปลือก โยงไปเรื่องสิ่งลี้ลับตลอด แต่ช่องนี้เนื้อหาคุณภาพมากค่ะ ดูหลายคลิปแล้ว ทำแนวนี้ต่อไปเรื่อยๆ เลยนะคะ ติดตามค่า
ขอบคุณมากครับผมพยายามไม่แตะเรื่องลี้ลับ (ถึงมันจะทำแล้วยอดวิวเยอะก็เถอะ) อยากเป็นช่องที่ แต่ละเรื่องคือมีแหล่งอ้างอิงหรือทฤษฎี แนวคิด ที่ยอมรับในสากลให้มากที่สุด (แต่ก็กลัวหลุดเจอข้อมูล fake เหมือนกัน แต่ก็จะพยายามตรวจสอบให้ดีที่สุดครับ)ขอบคุณมากครับ
จริงๆแล้ว มิติเวลา แบ่งเป็น 2 ทฤษฎีใหญ่ๆแบบแรกคือทฤษฎีที่มิติสูงขึ้น (แบบที่พูดในคลิป) กับแบบถัดมาคือ มิติเล็กๆ ขดตัวอยู่ในมิติของเราซึ่งถ้าผมกระจ่างเรื่องพวกนี้เมื่อไหร่ ก็จะทำคลิปอีกทีครับ
ช่องนี้อธิบายเข้าใจง่ายดี ดูสนุก เพลินเลย คลิปสั้นไปหน่อยครับ
อยากให้ทำคลิปเกี่่ยวกับเจตจำนงเสรี โดยอิงกับทฤษฏีวิทยาศาสตร์ ครับ
เป็นแชแนลที่หายากมาก เนื้อๆเลย ขอบคุณมากๆค่ะ ทำออกมาเยอะๆนะคะ So Cool
สำหรับผมมองว่า ทุกอย่างมันอยู่ที่สมองของเราทุกคน อนาคตเป็นเรื่องของการคาดการณ์ บางคนทำนายว่าจะเกิดโน้นเกิดนี้ในอนาคตแต่ก็ไม่ตรงทุกคนอาจจะเดาถูกจากการคาดการณ์ แต่คนที่รำลึกชาติหรือเรียกว่าอดีตนั้น เล่าเหตุการณ์ได้แม่นและที่สำคัญมีหลักฐาน ทุกอย่างในอนาคตขึ้นอยู่ที่การกระทำเราใน ปัจจุบัน อย่างที่พี่บอกว่า การมองเห็นเราเห็นสิ่งของนั้นเป็นอดีต แต่ผมกับคิดว่า เมื่อสายตาเรารับภาพมาประมวลผลแล้วสมองบอกว่านี้คืออะไร นั้นแหละถึงเริ่มนับว่าเรารับรู้มันคือปัจจุบัน เพราะลองคิดว่าตัวเราเองเป็นสิ่งที่ถูกมองมันก็เป็นปัจจุบันอยู่เช่นกันสิ่งที่เรายังไม่ได้มองยังไม่ได้ไปหรือยังไม่เคลื่อนที่ไปตามเวลาไม่ว่าจะนับเดินหน้าย้อนหลัง มันก็คืออนาคตทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเปิดอ่านจากหน้าแรกหรือหน้าสุดท้าย อดีต-ปัจจุบันก็จะเริ่มจากหน้าแรกหรือหน้าสุดท้ายนั้นแหละครับ อนาคตของเราไม่เหมือนกันครับ
55555555. มุขตลกใช่ไหมเนี่ย ระลึกชาติมาเกิดเนี่ย ไปไกลละ
GREAT!!
ฟังและดูทุกตอนเลยครับ มีความรู้เพิ่มขึ้นจริงๆและเข้าใจง่ายด้วย
คนที่อยู่มิติที่5 สามาดูตอนไหนก็ได้ของช่วงเวลา ก็เหมือนกับที่เราย้อนไปดูหนังในวีดีโอนั้นและครับ มีเวลาจำกัดแต่สามารถย้อนหรือข้ามไปข้างหน้าได้แต่จะมีความจำกัดของเวลาและแก้ไขอะไรไม่ได้
ขอบคุณมากค่ะ ได้ความรู้ดีมาก และกระชับ
บนเส้นเวลาเดียวกันย่อมมีร่างเดียวสิ ไม่ว่าจะย้อนเวลาหรือไปอนาคต แล้วเขาต้องจำอนาคตไม่ได้ถ้าย้อนมาแล้วเพราะทุกอย่างถูกรีเวิสจากแก่มาหนุ่ม เช่นแผลที่เคยมีตอนแก่ก็จะหายไป ถ้าย้อนแล้วความจำยังอยู่ต้องแก่เหมือนเดิม แต่แบบนั้นไม่ใช่ย้อน มันคือข้ามเวลากลับมา และจะเจออีกร่างได้
อยากถามเรื่องที่อธิบายว่า โดยปกติ entropy จะเพิ่มขึ้น เช่น น้ำแข็งกลายเป็นน้ำ entropy จะไม่ลดลงได้เองแล้วปรากฏการณ์ธรรมชาติของน้ำ กลายเป็นแม่คะนิ้ง/ลูกเห็บ/เกล็ดน้ำแข็งหิมะ แล้วละลาย แล้ววนกลับไปกลับมาตามอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงล่ะ การหมุนของโลกและหมุนรอบดวงอาทิตย์ก็เป็นธรรมชาติปกติ ไม่ได้ผิดปกติ จะอธิบายเรื่อง entropy อย่างไร
เมื่อเราโยนเหรียญขึ้นฟ้า เราก็จะทำนายได้อย่างแม่นยำว่า อีกไม่กี่วินาทีมันจะตกลงถึงพื้น แปลว่า เราทุกคนสามารถทำอนาคตได้ในระดับนึง ขึ้นอยู่กับความรู้ สติปัญญา และความกำลังความแรงของสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่ พระพุทธเจ้า จะทำนายได้ไกลกว่านั้น เช่น เมื่อใครสักคนเป็นโสดาบัน ท่านจะทำนายว่า เขาจะไปเกิดอีกไม่เกิน7ชาติและหมดโอกาสไปเกิดในอบาย..เพราะพระพุทธเจ้ามี ความรู้ สติปัญญา ที่ฝึกฝนมาพิเศษกว่ามนุษย์ทั่วไป และ ผู้ที่ถูกทำนาย ได้กระทำสิ่งที่มีแรงส่งไปในอนาคตมากกว่าคนทั่วไป..แต่ในคนทั่วไป แรงส่งในอดีตหรือที่เราเรียกว่า แรงกรรมนั้นมีกำลังไม่มาก กรรมเก่าจึงมักมีกำลังน้อยกว่าแรงกรรมในปัจจุบัน เราสามารถกำหนดอนาคตของเราเองได้ด้วยความพยายามในปัจจุบัน..สรุป อนาคตเราไม่มีสิ่งใดมากำหนดไว้ล่วงหน้า เราจะเป็น คนดี เลว รวย จน ไปเกิดสูง เกิดต่ำ ทุกสิ่งเป็นไปได้ทั้งหมด เพราะทุกสิ่งเป็น อนัตตา คือไม่มีตัวตนที่แท้จริง.....ความฝันคือชีวิตจริงที่แสนสั้น ชีวิตจริง คือ ความฝันที่ยาวนาน แค่นี้เอง..
อธิบายดีมากเลยครับเรื่องมิติต่างๆ คุณเก่งมากกกกกกก ผมเข้าใจเรื่องมิติขึ้นเยอะเลยครับ ขอบคุณมากครับ 🎉🎉🎉
ผมชอบช่องของคุณมากๆครับ ไล่ตามดูแต่ละคลิปฟังเพลินๆ ได้ความรู้ เข้าใจง่ายกว่าตอนสมัยเรียน ขอให้นำเสนอแบบนี้ไปเรื่อยๆครับ
มิติที่ 1 2 3 คือ ผมยุชั้น 5 โรงหนังสยามพารากอนมิติที่ 4 คือ ผมยุวันที่ 1/1/2100 เวลา 10:00 นจะเจอผมไหม คำตอบคือไม่เจอ เพราะมิติที่ 5 คือผมต้องบอกตำแหน่งและเวลาให้คุณรู้ก่อนจะเจอผมไหม คำตอบคือ อาจจะไม่เจอ เพราะมิติที่ 6 คือ คุณอาจจะไปหรือไม่ไปก็ได้
ขอคาราวะ การย่อยเนื้อหาให้เข้าใจง่าย พี่เก่งจริงครับ
ถ้าเรามองเห็นอดีตของวัตถุจากระยะการเดินทางของแสง แสดงว่ายิ่งเราถอยห่างจากวัตถุเราก็จะยิ่งเห็นอดีตของมันรึเปล่าครับ กลับกันถ้าเรายิ่งเข้าใกล้วัตถุเราจะยิ่งเข้าใกล้ปัจจุบันของมัน ส่วนอนาคตเกิดจากการกระทบสัมผัสกัน เช่นในอนาคตนํ้าที่อยู่ห่างจากเรา2เมตรจะกระเพื่อมในอีก3วิ เราก็เอานิ้วจิ้มนํ้าตรงหน้าให้มันกระเพื่อมไป แสดงว่าอนาคตไม่ได้ถูกสร้างไว้อยู่แล้วแต่ถูกสร้างจากปัจจุบันที่วัตถุหรืออะไรมากระทบหรือกระทำต่อกัน และสิ่งมีชีวิตที่มองเห็นเวลาก็คือสิ่งมีชีวิตที่ใหญ่มาก จนเห็นแสงเดินทางเหมือนนํ้าไหล ใช่ไหมครับ
อธิบายได้เข้าใจง่ายมากครับ👍👍👍
อธิบายได้สุดยอด เห็นภาพทำให้เข้าใจเลย ขอเป็น FC ครับ
ผมชอบช่องนี้จัง ให้ความรู้เข้าใจง่ายดี
ยิ่งฟัง ก็ยิ่งเห็นภาพในผลของการนั่งสมาธิ และการเห็นภาพในมิติที่5คงไม่ได้มองเห็นด้วยตาเนื้อ แต่เป็นการมองเห็นด้วยจิตที่มีความละเอียดและความถี่ของจิตในระดับหนึ่งอย่างคงที่จนเกิดเป็นฌาณสมาธิ ผมเองเชื่อว่าผลของวิทยศาสตร์จะพิสูจน์พุทธศาสนา และการค้นพบวิทยาศาสตร์ใหม่ๆก็จะได้เปิดเผยความลับของการนั่งสมาธิขึ้นเรื่อยๆว่าพระพุทธได้รู้ก่อนแล้ว อย่างที่แอดบอก คนในมิติที่อยู่ระดับล่างกว่าไม่สามารถเข้าใจคนที่อยู่ในมิติที่สูงกว่า เหมือนนักบัญชีพูดเรื่องบัญชีให้เด็กอนุบาลฟัง และเรื่องที่ผมสนใจคือจิตและลมหายใจ ที่อยู่กับเรามีมาตั้งแต่เกิดมันมีความลับซ่อนอยู่ แลพระพุทธเจ้าท่านก็ได้เป็นผู้ค้นพบ
เท่าที่ฟังมางั้นทฤษฏี มิติที่ 5 ที่มองเห็นต้นกำเนิดและจุดสิ้นสุด มันเหมือนการดูดวงของหมอดูที่สามารถเห็นอดีตและอนาคตคนๆนั้นได้อย่างแม่นยำ ส่วนแนวคิดคนเราทั่วไปที่ว่าอนาคตหรือทุกๆสิ่งอยู่ที่ตัวเรากระทำ มันคงจริงเช่นกันเพราะมันค่า Entropy ที่คอยเปลี่ยนแปลงอนาคต จนทำให้หมอดูให้คำทำนายผิดเพี้ยนไปเพราะค่า Entropy เปรียบเทียบเหตุการณ์ชีวิตความเป็นไปคนๆนึง มันคงเหมือนต้นไม้ ที่ชีวิตเริ่มต้นเดินทางจากากโคนต้น แล้วรูปแบบชีวิตเขาจะเดินทางไปตามการแตกกิ่งก้านออกไป สุดแล้วแต่ว่าเขาจะเดินทางไปเส้นทางไหนเหมือนกิ่งก้านต้นไม้ที่แตกแขนงออกไป จากปัจจัยค่าของ Entropy ตรงจุดที่กิ่งแตกแขนงออกไป ตรงจุดนั้นค่า Entropyสูง ส่วนตรงลำต้น และ ท่อนกิ่งไว้ที่เป็นส้นตรงหรือมีโค้งบ้าง Entropyต่ำ จากที่ผมพูดมา(ผมมีเรื่องจริงขะเล่าที่เกิดกับผมโดยตรง) ผมได้สัมผัสกับเหตุการณ์การเปลี่ยนอนาคตมาแล้วครับ ผมเคยประสบเหตุกับตัวเองที่เหมือนกับไปเห็นอนาคตอีกห้วงเวลานึง แล้วเหตุการณ์นั้นที่ผมไปเจอมาในชั่วชีวิตผมปัจจุบันผมก็ผ่านห้วงเวลานั้นมาแล้ว แต่เหตุการณ์ที่เกิดกับผมมันผิดเพี้ยนจากที่ผมไปเจอะเจอมาเพี้ยนไปประมาณ50% ผมเลยคิดได้ว่าเหตุการณ์ที่ผมไปเจอมันคือ เหตุการณ์อนาคตที่ผมไปอยู่ในมิติที่ 5 มา โดยรู้ล่วงหน้าว่าชีวิตตัวเองจะเป็นเช่นไร แต่พอถึงเวลานั้นจริงๆ มันผิดไปจากที่เจอมา ผมเข้าใจได้เลยว่า อนาคตมันเปลี่ยนได้ จนมาถึงการมีหนังเรื่อง TENET มันทำให้ผมรู้ว่า มันมีค่าๆนึงที่ทำให้เราสามารถเปลี่ยนอนาคตตัวเองได้เพราะมันมีค่า Entropy นี่เอง สรุปคือ เราอาจจะรู้รู้อนาคตได้ด้วยมิติที่ 5 แต่อนาคตก็สามารถเปลี่ยนได้ด้วยตัวเราเองเพราะมันคือค่า Entropy ที่เกิดจากการตัดสินใจของเรา เช่นกันครับนึกๆดูก็คล้ายๆ The Matrix ที the one 5คนแรกเลือกทำตามการวางหมากของเครื่อจักร แต่คนที่6เลือกทำในสิ่งที่แตกต่างออกไป มันคล้ายๆentropy ที่มีค่ามาก ณ ห้องสนทนาระหว่าง the one กับ สถาปนิก
ทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย สุดยอดเลยครับ ฟังแปบเดียวเจ้าใจเลย สรุปจักวาลเราถูกเขียนไว้แล้ว หรือว่ายังไม่ได้เขียน เหมือนชีวิตของคน บางทีผมก็คิดนะว่ามันถูกกำหนดไว้แล้วหรือว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นที่ยังไม่ได้ถูกกำหนด
มิติที่ห้าขึ้นไปเข้าถึงได้ด้วยสภาวะทางจิต เช่น การทำสมาธิ ฯ จะไปถึงมิติที่ 22 เคยได้ยินครูบาอาจารย์ท่านว่ามี 180กว่ามิติ
ถ้าหนังนำเสนอเรื่องเวลาไม่เป็น 2 มิติ ตามลำดับจากอดีตไปอนาคตล่ะ แต่นำเสนอว่าเวลาเป็นลำดับแบบสุ่ม ไม่ใช่ลำดับ sequence ล่ะและการรับรู้ของมนุษย์ เช่น การมองเห็น มันเป็นข้อจำกัดของตัวมนุษย์เองหนังนำสองอย่างนี้มาผนวกไว้เป็นเรื่องที่เกิดในขณะเดียวกัน
อธิบายได้ดีคมากครับ ถอดรหัส โรคหลังความตาย วิญญานจะไปมิติไหนครับ เวลากับวิญญาณที่ออกจากร่าง จะเป็นอย่างไร
ดัน
มนุษย์มิติที่หกเป็นพลังงานที่อยู่ในรูปแรงโน้มถ่วงเป็นไปได้ไหมครับ เอาจริงๆเราก็ไม่เห็นสิ่งมีชีวิต2มิตินะ
เรื่องยากครับแต่น่าสนใจมากครับ พยายามคิดตามครับ
อธิบายไว้ ได้เข้าใจง่ายมากๆครับ ชอบช่องนี้
พุทธะสามารถอธิบายได้ทุกเรื่อง ไม่ยากไม่ง่ายที่เป็นไปได้ที่จะเข้าถึง ผมค้นพบตัวตนด้วยสองวิธีพร้อมกันคือตั้งใจกับบังเอิญ พอศึกษาเรื่องปาฏิหารยํในทางพุทธะ เริ่มต้นก็ก้าวกระโดดไปไกลกว่าที่คาดได้อย่างน่าทึ่ง พุทธะคือผู้ตื่นรู้ เมื่อปล่อยวางได้อย่างแนบเนียนจริงแท้ จินตนาการก่อนหน้าเมื่อหยุดความว่างในจิตก็เกิด จะเห็นนวัตดรรมที่มันเกิดอยู่ก่อนแล้ว เราเห็นภาพในจิตเท่ากับว่ามันคืออดีตเราเห็นในปัจจุบันแต่มันเป็นนวัตกรรมในอนาคตที่ยังมาไม่ถึงนับเวลามากกว่าพันปี ถ้าเราไม่ค้นพบเสียก่อน จึงสรุปว่าไม่มีจุดเริ่มต้นไม่มีจุดสิ้นสุด ผมใช้พุทธะหรือจิตเหนือสำนึกหรือญาณหยั่งรู้อธิบายได้ประมาณนี้ครับ ยอมรับว่าตนเองมีบุญบารมีติดตัวมาจากหลายภพชาติ วันนี้จึงเข้าใจเข้าถึงพุทธะได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องนั่งสมาธิภาวนา วิปัสสนากรรมฐาน ยอมรับว่าใช้ในทางโลกก็สุดยอดใข้ในทางธรรมก็เยี่ยม ใช้พร้อมกันยิ่งทำได้ต่อไปไม่รู้จบถ้าอยู่ในกรอบของการปล่อยวาง
ไมมีสิ่งใดยอนกลับได้ มีแต่ของใหม่เวลาใหม่ /ทำอะไรกลับหลัง มันก็คือการเดินหน้า ไมมีอะไรยอนหลังแม้เราทำยอนหลังแต่เป็นการเดินหน้า
ฟังอาจารย์พูดทำให้เรื่องทำมาหากินแทบจะไม่มีความสำคัญเอาเลย สิ่งนี้สิที่น่าสนใจที่สุด การดำรงชีวิตเป็นแค่ส่วนประกอบเล็กๆเสียจริงๆ
อธิบายเก่งมากเลยค่ะ เข้าใจง่าย เห็นภาพ
แปลว่าถ้ามีวัตถุอยู่ในมิติทีา1 มันจะอยู่แบบเรียงเป็นเส้นตรงรึปล่าวนะ(ในกรณีที่วัตถุ3มิติอยู่ในมิติที่1) แต่จินตนาการไม่ออกเลยว่าวัตถุที่เป็นมิติที่1จะเป็นแบบไหน
อธิบายเก่งมากครับ ชื่นชม
ถ้า5มิติมีจริง ก็อาจจะมีคน(บางสิ่ง)เขียนscriptของเวลาไว้อยู่แล้ว
แล้วถ้ามองมุมต่างเหมือนผมนะครับเราบอกว่าเวลาคือมิติที่ 4ที่จริงเวลาอาจจะเป็นมิติที่ 11 ก็ได้หรือมิติที่ 7 8 9 เพราะเราก็ไม่อาจรู้ได้ว่า การค้นพบเวลานั้นจะเป็นมิติในลำดับที่ 4 ตามที่เราคิดได้จริงๆบางทีเราอาจเห็นมิติอื่นๆแล้ว แต่เราไม่ได้มีความรู้ที่เรียกมันว่ามิติ ผมคิดอย่างนี้ครับดังนั้นคนที่เดินผ่านข้ามเวลาได้ ก็คงต้องเป็นมนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตที่ทรงปัญญาชั้นสูงเทียบเท่ากับพระเจ้าในอุดมคติของพวกเราหลายๆคนนี่แหละครับ..ผมว่าเวลาคือมิติสุดท้ายสุดของสิ่งที่เราควรต้องการหา .....ไม่ใช่มิติที่ 4 อย่างที่พวกเราหลายคนเข้าใจกัน
ทฤษฏีที่ 2. ทุกอย่างไม่ได้ถูกกำหนดใว้กลับไปที่กล่องใส 300,000 ใบคือผมคิดคร่าวๆจาก ความเร็วแสงดังนั้นกล่องจะมีความสูงไม่จำกัดแต่มีความกว้างไม่จำกัดแต่มีความยาว ไปข้างหน้าเพื่อเดินตามเวลาแสงแค่ 1m เท่านั้นok มาต่อ เมื่อมนุษย์มิติที่ 5 ผมจะเขียนว่า ม.5 สั้นๆ นะ เดินทางแทรกเข้าไปในแต่ละกล่องด้วยความเร็วมากกว่าแสง กระโดดเข้ามาแสดงตัวตน และสมมุติว่าหยุดตัวเองได้โดยไม่มีผลกับอะตอมของตัวเองและสิ่งรอบๆ (หากการหยุดลำบาก มันคือหายนะของช่วงเวลานั้น เพราะพลังงาน ที่เข้ามาคงมากมายเหลือคณานับ) เอาเป็นว่าหยุดได้ละกัน และแสดงตัวตนได้นั่นหมายถึง ม .5 จะมีชีวิตอยู่ได้เพราะมีตัวตน และสามารถกระทบกระทั่งสิ่งต่างๆได้ตามสบาย ซึ่งมีผลกับอนาคตโดยไม่มีอะไรบังคับและสามารถกระโดดไป กระโดดมาในช่วงเวลาอดีตและอนาคต อ้าวแล้วทีนี้ สมมุติ ม.5 ไปฆ่าคนตายล่ะ แล้วจะเป็นไง อ้าว ก็ตายไง แล้วมีผลยังไงกับอนาคตแสดงว่ามีการเบี่ยงเบนของเวลาเหรอ ตอบไม่รู้555 ทีนี้้ถ้าเราพูดถึง คน 2 คน ย้อนอดีตไปในเวลาต่าง 5 นาที ไอ้ ม 5 คน ที่ 2 มันข้ามกล่องจำนวนล่องที่ 5x60x3000,000 ไปโผล่ 5 นาทีหลังจาก ม5 คนที่ 1 ฆ่า คนไป ถามว่า ม.5 จะเจอคนนั้นตายไหม หรือยังมีชีวิตอยู่ ตอบ=ตาย เพราะไม่มีใครกำหนดอะไรใว้เหตุการณมันดำเนินไปเรื่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปเรื่ิอยๆ กล่องใสทุกกล่องมันอยู่ที่้เดิม ส่วนข้างในจะเป็นไงช่างมันถาม=อ้าวแล้วสมมุติเราย้อนอดีตไปฆ่าฮิตเลอร์ล่ะ ตอบโลกก๋เปลี่ยนไง ถาม=แล้วจะรู้ไหมว่าเป็นไงต่อไป ตอบ ไม่มีใครรู้ ก็ปล่อยให้เป็นไปตามเวลา ถาม เมื่อเราฆ่าฮิตเลอร แล้วเดินทางไปในอนาคตดูได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นตอบ= ได้สิ ลองคำนวนดูว่าต้องใช้ความเร็วเท่าไหร่ในการเดินทาง สมมุติ จะดูว่าอีก 50 ปีต่อจากนั้นจะเป็นไง 50x356x24x60x60x300,000 นั้นคือจำนวนกล่องที่คุุณต้องข้ามไป แต่คุณต้องรอก่อนนะ รอให้แสงมันเปลี่ยน สักแปร้ปด้วยความเร็วแสง ทุกอย่างบนโลกจะเปลี่ยนถาม=อ้าวแบบนี้ก็คาดเดาอะไรไม่ได้นะสิตอบ=ใช่ ถ้าเมื่อใดที้ ม.5 สามารถมีชีวิต หรือ ดำรงชีวิตที่มีผลกับอะตอม บนช่วงเวลาบนกล่องใสได้ คุณจะไม่สามารถกำหนดอะไรได้บางครั้งมนุษยเพิ่งเห็นแสงจากดวงดาวที่ดับแล้วยังสว่างอยู่หลายปีนั่นเพราะว่า ระยะทางไกลมาก โฟตอนใช้เวลาเดินทางยาวนานถ้าคิดแบบทฤษฏีนี้ แสดงว่ามิติเวลาที่เราอยู่มีเพียง 1 ไม่มีมิติซ้อนทับ หรือถ้าจะมีมิติอื่น ก็ไม่เกี่ยวข้องกัน ไม่มีผลต่อกัน แต่ที่เราสามารถเดินทางข้ามเวลาด้วยอะไรก็แล้วแต่ เราแค่ต้องทำให้คนนั้นหลุดออกจากกล่องเวลาแล้วไปอยู่สักที่นึงที่ว่างๆ ไม่มีผลกับสิ่งใดๆ หรือมิติอะไรก็ได้ที่เป็นช่องว่าง แล้ว ทำความเร็วให้มากกว่าแสงเพื่อ ย้อนกับอดีต หรือเดินทางเข้าไปในอนาคต อ่านขำๆนะครับ 5555
สุดยอดครับ ผมเกิดคำถามในใจ แล้วเวลาในมิติที่ 5 มันดำเนินไปยังไง
19:26 ก็ไม่อยากนึกเหมือนกันครับ หากเข้าห้องน้ำ แล้วสิ่งที่ถ่ายออกไปแล้ว มันย้อนกลับเข้าไปใหม่..บรื้ออ..อออ😅😅😅
ชอบเรื่องเวลาอ่ะ พึ่งเจอช่องนี้ อธิบายได้เพลินมาก
เป็นการวิเคราะห์ที่ดีมากๆเลยครับ
อธิบายได้ชัดเจน เก่งมากครับ
อยากให้พูดช้าลงอีกนิส..นึงค่ะจะได้คิดตามได้ทัน
ถ้าใครมีอะไรอยากเสริมเพิ่มเติม หรือแก้ไขอะไร บอกได้ในโพสนี้นะครับ
ว่าที่อาจารย์ในฝัน ใน ร.ร. ผม
มันไม่มีเวลา ครับ ....เวลาที่เราใช้กันอยู่ ก็คือ การยึดมั่นอยูในความทรงจำและจินตนาการ มีเอาไว้เพื่อคิดคำนวนเท่านั้น ไม่มีทางที่จะย้อนกลับไปในอดีต หรือไปในอนคต ตามที่นักคิดทั้งหลายได้จินตนาการกันเอาไว้. ...อดีตคือความทรงจำ ....อนาคตคือจินตนาการ .....ปัจจุบัน เป็นเพียง สมุติบัญญัติ ที่"สมอง"ของเราบัญัญติขึ้นมาทั้งนั้น
ถ้าจะไปมิติที่5คือเพิ่มความเร็วรึเปล่าครับ
ต่อยอดจากแนวคิดที่ว่าถ้าทำความเร็วเหนือแสงเวลาจะชาลง....ก็เหมือนกับเรามองเห็นมิติที่4ได้....
...
เป็นไปไม่ได้ ถ้าเป็นไปได้คงมีคนกลับมาจากอนาคตมาบอกเราบ้างแล้ว
ถ้าทุกอย่างกำหนดไว้แล้ว แสดงว่ามีผู้สร้างหรือพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าสร้างจักรวาลโดยให้สิทธิ์มนุษย์เป็นผู้เลือก
แสดงว่ามนุษย์เป็นคนกำหนดอนาคต
ด้วยการกระทำ อนาคตที่สร้างไว้สมบูรณ์ไม่มีจริง ลองนึกถึงพวกหยั่งรู้อนาคตทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้า ทำไมพวกนี้จะรู้เหตุการณ์ แต่ไม่รู้เวลาที่แน่ชัดละ เรารู้ว่าซักวันโลกต้องแตก แต่ไม่รู้ว่าวันไหน ทามไลน์อนาคตกำลังถูกสร้างและถูกแก้ไขไปเรื่อยๆจากเรา เพราะพระเจ้าให้สิทธิ์กับมนุษย์ แค่พระเจ้ากำหนดไว้แล้วว่าวันหนึงโลกจะแตก
ตามที่กล่าวมาทั้งหมด ผมจึงคิดว่า มนุษย์4มิติแบบเรานั้นอยู่ในอดีตครับ
มนุษย์5มิติ เขาจะอยู่ในช่วงปัจจุบันขณะอย่างสมบูรณ์ การเล่นกำเวลาผมว่ามนุษย์มิติที่5อาจเป็นแค่ผู้ชม คงไม่สามารถมาเปลี่ยนแปลงทามไลน์ หรือเข้ามาแทรกแซงอะไรได้
ตามศึกษาตามอ่านเรื่องมิติเที่สูงกว่ามานานมาก มาเจอคลิปนี้คือเข้าใจง่ายเลย ชอบตรงที่เปรียบเปรยว่ามิติที่ 4 คือหนังสือหนึ่งเล่ม แล้วสิ่งมีชีวิตในมิติที่ 5 ก็กำลังอ่านหนังสือเล่นนั้นอยู่ คือประทับใจมาก นึกภาพตามแล้วคือมันใช่เลยอะ อารมณ์แบบเรานั่งอ่านหนังสือการ์ตูนในโลกของ 2 มิติ เราที่อยู่ในมิติที่สูงกว่าก็สามารถข้ามไปดู หรือย้อนกลับไปอ่านใหม่ ไม่ว่าจะตอนไหนก็ทำได้ ชอบแนวคิดนี้มาก
ฟังคนอธิบายเรื่องมิติเวลามาตั้งเท่าไหร่ ก็พึ่งมาเข้าใจจากคลิปนี้ ขอบคุณค่ะ ขอบคุญมากๆ
มิติที่1= แกน x
มิติที่ 2 = แกน Y
มิติที่ 3 =แกน Z ที่ช่วยเพิ่มขนาดและตำแหน่งทิศทาง ที่หลุดจากแกน Xและแกน Y
มิติที่ 4 = เวลา หรือการเคลื่อนที่ ไปตามทิศทาง
มิติที่ 5 = พลังงาน ที่ มีเวลาเป็นตัวคงที่ เมื่อวัตถุ เคลื่อนที่ไปทิศทางใด ทางหนึ่ง เสมือนแรงเฉื่อย
แต่เมื่อมีพลังงานเข้ามา จะเห็นได้ว่า มีความเร่ง เพิ่ม ทำให้ ระยะเวลา ในการถึงที่หมายเร็วว่า แรงเฉื่อย
ปริภูมิที่บิดเบี้ยว เหมือนกับ ตัวเราที่อยู่ในอวกาศ มีทั้ง 4มิติ แต่กลับกัน เวลานอกโลกกับบนโลกไม่เท่ากัน อาจเป็นความโค้งของ ปริภูมิมีผลต่อ การคงอยู่ของอนุภาคที่เกิดเป็นวัตถุ
อยู่ในอวกาศเราไม่ต้องแข่งกับเวลาเเต่อยู่บนโลกเราต้องทำอะไรๆแข่งกับเวลา
ผมว่ามันมีบางสิ่งที่เป็นจริงมีอยู่จริงแต่ยังอธิบายไม่ได้หรือไม่ชัดเจนครับ อย่างที่อธิบายว่า โฟตรอนของแสงวิ่งไปกระทบที่วัตถุแล้วสะท้อนมาที่ระบบดวงตาแล้วส่งต่อไปที่ระบบปราสาทหรือสมองเพื่อวิเคราะห์และสรุปว่ามันคือภาพ(อะไร) ซึ่งกระบวนการทั้งหมดแม้ใช้เวลาประมวลผลเพียงเศษเสี้ยวมิลิวินาทีก็ตาม แต่มันก็คือภาพอดีต(จริง)ที่อยู่ติดหรือใกล้ชิดที่สุดกับภาพปัจจุบัน แล้วก็จะไหลผ่านไปด้วยกระบวนการของมิติเวลา(ที่เดินหน้าอย่างเดียว) ตามที่รู้ๆกันมา
เช่นนั้น.. ภาพที่เราสามารถเห็นได้ในปัจจุบันโดยไม่มีโฟตอนแสงเข้ามาเกี่ยวข้อง, ไม่มีวัตถุประกอบต่างๆอยู่จริง, ไม่มีแม้กระทั่งเวลา(กาลอวกาศ)แวดล้อมของวัตถุนั้น.. แต่ภาพ+วัตถุ+เรื่องราวที่เห็นนั้น(เคย)มีอยู่จริง..มันคืออะไร? อยู่ในกฎเกณฑ์ทฤษฎีทางฟิสิกส์ที่สามารถคำนาณและสรุปผลที่ชัดเจนได้หรือไม่? ทั้งๆที่พวกเราทุกคนคุ้นเคยกันดี มันคือ "ความทรงจำ" ครับ ผมยังจำ(หรือเห็น)เรื่องราวต่างๆตอน 5ขวบได้หลายเรื่องอย่างชัดเจนทั้งๆที่เวลาผ่านข้ามมาแล้วเกือบ50ปี.. ที่เกริ่นยาวมานี่เพราะมันมีสิ่งที่น่าตั้งคำถามและค้นหาว่า ร่างกายเราอยู่ในรูปแบบ3/4มิติ แต่ ความทรงจำหรือจิตของเรา อาจอยู่ในมิติที่สูงกว่านี้หรือเปล่า? หากเป็นเช่นนั้น ผมว่าแขนงวิชาวิทยาศาสตร์ทางจิต ก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจนะครับ และเราพอจะสามารถศึกษาเรียนรู้ได้ ซึ่งต่างจากวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีก้าวหน้าที่คนธรรมดาอย่างเราๆไม่สามารถจะแตะต้องได้ เช่น จะสร้างไทม์แมชชีน,เครื่องวาร์ป,ทดลองสร้างรูหนอนหลุมดำ หรืออุโมงค์ทดสอบการชนของสสารด้วยความเร็วแสง..ฯลฯ แต่ถ้าเป็นอิรอนมาส หรือ นาซ่า เขาคงมีศักยภาพที่ทำได้ครับ..
ขอบคุณสำหรับข้อมูลและเนื้อหาที่ดี ที่สามารถอธิบายหรือสื่อให้เข้าใจได้ง่ายๆ..ชอบมากครับ ขอเป็น FC ยาววววววววเลยครับ
วงการศึกษาต้องการบุคลากรแบบคุณ อธิบายเรื่องยากให้เข้าใจง่ายมาก ผมตามหามานานแล้งเพจแบบนี้ ขอบคุณมากครับ
ประเด็นนี้ พอยิ่งทำความเข้าใจ ยิ่งรู้สึกน่ากลัวรู้สึกหวิวๆ ยังไงบอกไม่ถูก ประเด็นที่บอกว่า ทุกสิ่งทุกอย่างถูกกำหนดไว้หมดแล้ว เพียงแต่เรายังไปไม่ถึง
เรากำลังดำเนินชีวิตปกติอยู่ใน (เวลา ณ ปัจจุบัน ) ซึ่งแสดงว่าทุกสิ่งทุกอย่าง จักรวาล เอกภพ มีจุดเริ่มต้น และ จุดจบ สมบูรณ์ ซึ่งเราใช้ชีวิตอยู่ในดวงดาว 1 ในจักรวาลที่มีเวลาเป็นปัจจุบัน อาจอยู่ในช่วงใดช่วงหนึ่งของเวลาที่ถูกกำหนดไว้หมดแล้ว เพราะมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในมิติที่3 ไม่สามารถรับรู้อะไรไปได้มากกว่าปัจจุบัน และ มองเห็นหรือจดจำเฉพาะเรื่องราวในอดีตได้เท่านั้น ซึ่งแล้วอะไรละ ที่กำหนดจุดเริ่มต้น และ จุดจบของสิ่งที่ยิ่งใหญ่แสนกว้างใหญ่มหาศาล เช่น จักรวาลแห่งนี้
ใครกันที่สร้างจุดเริ่มต้นและจุดจบของมัน และสิ่งที่กำหนดมันจะมีรูปลักษณ์หน้าตาเป็นยังไงหรือแม้แต่ ขนาดของมัน
อย่างที่อีรอนมัส เชื่ออย่างสนิทใจว่าเรามนุษย์บนโลกอาจเป็นเพียงแค่Ai NPCในเกมๆนึงเท่านั้น
เหมือนที่มนุษย์สร้างเกมคอมพิวเตอร์ธรรมดาๆทั่วไปนี่ละที่เป็นตัวnpcในเกมที่โต้ตอบกับเราอัตโนมัติ ตัวnpcคนเล่นเกมที่ต้องคอยรับเควส หรือซื้ออาวุธ แต่คราวนี้ npcกลับมีสติปัญญา ที่คิดเอง ทำเองได้โดยที่เราไม่ได้ควบคุมมัน มนุษย์อาจเป็น ai ที่ผิดพลาด ที่ดันมีสติปัญญาคิดเองได้
และมนุษย์ในโลกปัจจุบัน ก็วิวัฒธนาการตัวเองมาเรื่อยๆ และก็สร้างเกมในคอมพิวเตอร์ต่อไปเรื่อยๆ เหมือนที่เรามองกระจก และมีกระจกอีกบานอยู่ด้านหลัง มันจะซ้อนทับกันไปเรื่อยๆไม่มีที่สิ้นสุด
ปัจจุบันก็มีแนวคิดนี้ที่ว่า ในอนาคต การที่เราจะสร้างหุ่นยนต์ ai ปัญญาประดิษ มารับใช้มนุษย์ มาทำงานแทนในงานที่มนุษย์ไม่ต้องการที่จะทำ
แต่กลัวว่าวันนึง ai จะพัฒนาสมองของมันเอง จนคิดเองได้ และ ไม่รับฟังคำสั่งที่เราป้อนโปรแกรมเข้าไปในสมองของมัน
และมนุษย์นี่แหละ อาจจะเป็นแบบai ที่พัฒนาความคิดนั้นแล้ว
งงปะ ? 5555555
ผมชอบการอธิบาย มิติเวลา เปรียบเทียบได้ชัดเจนมากครับ ถ้าในโรงเรียนมีการสอนแบบนี้ ความสุขสนุกสนานคงเป็นเรื่องปกติของนักเรียนเลยนะครับ
ไปเป็นครูเถอะครับ วงการศึกษาต้องการคนแบบพี่
555 ใช่เลย ศาสตาจารย์จักรวาล พูดจนเข้าใจง่ายๆ เลย
5555
เห็นด้วย พูดกันตรงๆเก่งกว่าครูบางคนอีก ควรให้ความรู้กับคนต่อไป
จริงเข้าใจง่ายมาก เก่งครับ
ไม่ได้ครับ มีบางคนกำหนดขอบเขตการเรียนรู้ปวงชนชาวไทยไว้อยู่ครับ มิอาจที่จะปล่อยประละเลยให้ประชากรมีความรู้จนล้นเมืองได้ครับ เพราะในอดีตคนมีความรู้ความสามารถเคยเขย่าบัลลังค์ไปรอบนึงแล้ว จึงมีความกังวลว่าจะเกิดขึ้นอีก เพราะงี้แหละดร.ส่วนใหญ่เลยไม่ค่อยจะทำงานในประเทศ อิอิ
อาจารย์เยี่ยมมากเลยครับ สายวิทย์ถูกใจมากเลย
เป็นครูที่ตามหามานาน อธิบายเก่งมาก สามารถอธิบายเรื่องยากๆให้เข้าใจง่ายเลย สุดยอด
เทพมากอ่ะพี่ ควอนตัมนี่ผมงงมาครึ่งชีวิต ยิ่งหาอ่านยิ่งงง มาเจอพี่อธิบาย เกตเลย
เรื่องมิติอีก คิดว่าเข้าใจ แต่เข้าใจแบบงงๆ เจอพี่ยกตัวอย่าง เกตเลยอ่ะ
ขอกราบ
คำว่า "มิติ"
ตามความเข้าใจของผม มันหมายถึงเครื่องมือที่สมองใช้วิเคราะห์เพื่อจำแนก, ความแตกต่างของสิ่งหนึ่ง,ออกจากอีกสิ่งหนึ่ง, เพื่อการคำนวณที่แม่นยำ
และในทุกๆ "มิติ" มีขอบเขตจำกัด
#ตัวอย่าง
0 มิติ หรึอไม่มีมิติ
เช่น.ภาพแรกๆที่เด็กทารกเห็น...
ณจุดนี้มีการรับรู้ของสมองแล้ว แต่เป็นเพียงการรับรู้ว่า "มี" (บางสิ่ง) ยังไม่สามารถแยกแยะความแตกต่างอะไรได้เนื่องจากยังไม่ได้เกิดการ "เปรียบเทียบ"
1 มิติ
คือการที่สมองของเราเริ่มเปรียบเทียบหาความแตกต่างระหว่าง2สิ่งขึ้นไป, โดยอาจสร้างแกนสมมุตขึ้นในสมอง1เส้นแล้ววางสิ่งเหล่านั้นลงบนเสัน, ตามตำแหน่ง, สถานะที่เรามีข้อมูลที่ได้รับรู้มา
ด้วยการเปรียบเทียบแบบ 1มิตินี้แม้จะมีขอบเขตจำกัดแต่เราก็สามารถใช้เป็นฐานในการจำแนก, คำนวณสิ่งต่างๆได้อย่างมากมาย เช่น
-อันไหนขวา, อันไหนซ้าย
-อันไหนใกล้, อันไหนไกล
- หิน 3 ก้อนนี้ ก้อนไหนใหญ่ที่สุด ก้อนไหนเล็กที่สุด
การรับรู้ใน 1 มิตินี้ สามารถเข้าใจในมาตราชั่งตวงวัด และจะไปถึงพื้นฐานของวิชาตรรกวิทยาได้ เช่น
หากเรามีข้อมูลว่า A=B และ
B=C เพราะฉะนั้น A ย่อม=C
2 มิติ
สิ่งที่เพิ่มขึ้นมาคือใช้แกนสมมุต2แกนทำให้ประสิทธิภาพในการคำนวณเพิ่มขึ้นเราสามารถคำนวณหาความกว้างของพื้นที่หรือหาตำแหน่งของวัตถุบนพื้นที่นั้น(ในสภาพที่มันหยุดนิ่ง)
3 มิติ
สมองของเราใช้เครื่องมือ เป็นแกนสมมุติ 3 แกน ทำให้เกิดประสิทธิภาพในการคำนวณ ในเชิงปริมาตรและรูปทรงเพิ่มขึ้นมา และยังสามารถคำนวณตำแหน่งของวัตถุใดๆในจักรวาลนี้ ได้อย่างแม่นยำ (ในสภาพที่มันหยุดนิ่ง)
4 มิติ
ก็ตามที่อาจารย์ได้อธิบาย ได้ดีเยี่ยมนะครับ😊
ไล่ลำดับมาก็แค่อยากจะบอกว่า ก่อนที่คนเราจะเข้าใจ อย่างถ่องแท้ ในโลก 3 มิติ จะต้องมีการสะสมข้อมูลที่ถูกต้อง มากพอ จากทั้งสองมิติเสียก่อน
และการพยายามทำความเข้าใจ ให้ลึกซึ้ง กับโลก 4 มิติ จึงจะสามารถนำไปสู่ความเข้าใจในมิติต่อๆไปได้
นี้เป็นความเห็นของผมนะครับ ผิดถูก อย่างไรอาจารย์ช่วยแนะนำด้วยครับ😊
อธิบายได้ดีมาก ๆ เลยครับ
ในหนังเขาได้พูดถึง 2 ความเชื่อครับ
1.องค์กรในอนาคตเชื่อว่า ถ้าเราย้อนเวลาไปอดีตแล้วฆ่าบรรพบุรุษของเรา มันจะเกิดโลกอีกโลกขึ้นมา ซึ่งโลกนั้นจะไม่มีเราและบรรพบุรุษของเราอยู่ แต่ในโลกปัจจุบันตัวเราและบรรพบุรุษของเราจะยังคงอยู่ (Grandfather Paradox)
2.องค์กรของพระเอกเชื่อว่า ต่อให้ย้อนอดีตไปก็ไม่สามารถเปลี่ยนอะไรได้เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นมันเกิดขึ้นแล้ว แบบนี้จะเป็นโลกนที่วนลูปอยู่แบบนั้นไปเรื่อยๆ ตั้งแต่มีการย้อนเวลาไปอดีตครั้งแรก
และในหนังเขาก็ใช้ความเชื่อที่2มาเป็นทฤษฎีครับ เช่น องค์กรในอนาคตเขาพยายามที่จะระเบิดโลกในอดีตทิ้ง โดยการส่งระเบิดไปยังอดีต แต่มันจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้เพราะว่ามันอนาคตมันได้เกิดขึ้นมาแล้ว จะด้วยเหตุผลใดก็ตามไม่ว่าจะ ระเบิดด้าน ลืมทื้งไว้ คนกดระเบิดตาย
ขอบคุณมากเลยครับ
ใช่เลยครับ ผมมองว่าในหนัง เขาก็ไม่แน่ใจว่า โลก(ในหนัง)มันจะเกิดขึ้นตามความเชื่อไหนกันแน่ และตัวร้ายก็เชื่อในความเชื่อที่ 1 ที่มี Grandfather Paradox
แต่ตัวหนังสื่อออกมาให้คนดูเข้าใจว่า "น่าจะ" เป็นไปตามความเชื่อที่ 2 มากกว่า
แต่ส่วนตัวผม อยากให้โลกเราจริงๆเป็นแบบไหน ผมอยากให้เป็นแบบความเชื่อแรกมากกว่า เพราะแปลว่าเราสามารถกำหนดอนาคตเองได้ ผมคงหงุดหงิดแปลกๆถ้ารู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างลิขิตอนาคตเราไว้หมดแล้ว
ช่างสงสัย B-Curious Channel ผมก็อยากให้เป็นเช่นนั้นครับ อยากให้ทำเรื่อง Dark ด้วยนะครับ ผมชอบการอธิบายของช่องนี้มากๆ เลย
เรื่อง Dark นี่ขอเวลาสักนิดนะครับ เนื้อหามันเยอะเอาเรื่องเลย เดี๋ยวผมต้องค่อยๆแกะดู เป็นโปรเจคที่น่าทำมากเลยครับ
คุณอธิบายเรื่องยาก ให้ง่ายขึ้นยอดเยี่ยมมากครับ ฟังแล้วค่อยๆคิดตามไป เข้าใจดีมากครับ ขอบคุณครับ
ขอขอบคุณ
ตอนผมเรียนวิศวะเครื่องกลปีสอง ก็เจอเจ้า เอนโทรปี เหมือนกันตอนเรียนวิชา เทอร์โมไดนามิกส์ แต่เนื้อหาไม่ได้บอกถึงการย้อนกลับของเวลาอะไร เพียงแต่ระบุถึงความไม่เป็นระเบียบของกระบวนการต่างๆว่า ไม่ว่าจะเกิดกระบวนการไดๆก็ตามจากสถานะหนึ่ง ไปสถานะสอง เอนโทรปี จะเพิ่มขึ้นเสมอ และสามารถวัดหน่วยออกมาได้ด้วย นั่นคือ kJ/kg.K (กิโลจูลต่อกิโลกรัมเควิน) ซึ่งถ้าถามว่าเจ้าเอนโทรปีมันคืออะไรกันแน่ ก็ไม่มีไครตอบได้อย่างแน่ชัด เพียงแต่ใช้มันเป็นตัววัดกระบวนการที่เกิดขึ้น เช่นถ้าเป็นกระบวนการที่ย้อนกลับได้ เอนโทรปีจะคงที่เป็นต้น ถึงจะเรียนเกี่ยวกับมันมากแค่ไหน ก็ยังอธิบายไม่ได้จริงๆว่ามันคืออะไรกันแน่
ผมคิดว่า..ถ้าเราไปอยู่ในมิติที่5..
เราน่าจะทำได้แค่รับรู้มิติที่4
แต่ไม่สามารถเข้าไปในมิติที่4
ซึ่งก็เหมือนกับเรามองอดีตของเราแต่เรากลับเข้าไปในอดีตของเราไม่ได้...
เพราะอดีตนั้นไม่มีอยู่แล้ว..
และในกรณีอนาคตก็เช่นเดียวกัน
ถ้าเราจะไปในอนาคตนั่นก็เป็นไปไม่ได้เพราะอนาคตยังไม่เกิดที...เราทำได้เพียงรับรู้สิ่งจะเกิดขึ้นในอนาคตเท่านั้น...นั่นหมายความว่าเราจะไปไหนก็ตาม..ที่นั่นต้องเป็นปัจจุบันเท่านั้น..ในกรณีนี้.อดีตหรืออนาคต..
จะต้องถูกทำให้กลายเป็นปัจจุบันถ้าเราจะไปในอดีตหรืออนาคต..ในกรณีเอนโทรพี..
เราอาจจะสามารถแยกเวลาออกจากวัตถุใดใดก็ตาม เช่น เวลายังคงเดินหน้าตามปกติ..แต่เอนโทรพีของวัตถุ..เดินถอยหลัง
เปรียบเทียยกับกรณี น้ำในตู้เย็นได้กลายเป็นน้ำแข็ง โดยที่เวลายังเดินไปข้างหน้าตามปกติ
โดยการแทรกแซงของพลังงานในตู้เย็น
เราสามารถที่จะเติมพลังงานให้กับการไหลของอะตอมเพื่อมันย้อนกลับได้..ในกรณีนี้ทำได้บางอย่างแต่อีกหลายๆอย่างต้องรอเทคโนโลยี..มาที่ปัญหาหลักคือเวลา...
เวลาคืออะไร เวลาเป็นพิกัดชนิดนึง..
ซึ่งไม่ใช่สสารหรือพลังงาน ไม่ใช่คลื่นหรืออนุภาค....สถานะของเวลาคือพิกัด..
ในการย้อนเอนโทรพีในวัตถุใดใดเราใช้วิธีเติมพลังงานเข้าไปในสภาวะไร้ระเบียบให้กลับสู่ภาวะมีระเบียบ..แต่นั้นคือคำอธิบายว่าเราจะไม่สามารถเติมพลังงานเข้าไปในเวลาได้เพราะเวลาเป็นเพียงพิกัดเท่านั้น..ไม่ได้มี่สถานะเป็นคลื่นหรืออนุภาค..สสารหรีอพลังงาน..เราอาจอธิบายตามหลักมิติก็ได้ว่า
คลื่นหรืออนุภาค สสารหรือพลังงานนั้นเป็นวัตถุใน3มิติแต่เวลาเป็นมิติที่4ซึ่งแตกต่างออกไป...ที่นี่..การย้อนเวลานั้นก็ต้องใช้หลักการที่แตกต่างออกไป ถ้าจะสามารถย้อนได้..
หรือจะสามารถไปในอนาคตได้..ซึ่งก็ต้องอยู่บนเงื่อนไขที่ว่าเวลานั้นไม่ใช่เวลาที่ยังไปไม่ถึงก็คือเป็นอนาคตของอดีตไม่ใช่อนาคตของปัจจุบัน..เช่นถ้าวันนี้เป็นวันอาทิตย์..เวลาก็ย้อนได้มาจนถึง ณ วันอาทิตย์เท่านั้น
ในกรณีนี้เราจะเรียกวันอาทิตย์คืออนาคตของอดีต แต่เวลาจะไม่สามารถไปในวันจันทร์ได้..
เพราะนั่นคืออนาคตของปัจจุบัน ซึ่งยังไม่เกิด
แต่...เราสามารถรับรู้อดีต..ปัจจุบัน..อนาคตได้ เพียงรับรู้เท่านั้น แต่เราไม่สามรถไปอยู่ในอดีตหรืออนาคตได้..เพราะอดีตหรืออนาคต
เป็นคนละมิติกับเรา..เราเป็นวัตถุใน3มิติแต่อดีตกับอนาคตเป็นมิติที่4 ดังนั้นโดยสถานะจึงแตกต่างกัน..มีจุดเชื่อมโยงเดียวคือปัจจุบันเท่านั้น..คือบอกว่าวัตถุนั้นอยู่ในพิกัดนี้เท่านั้น
สรุปว่าผมเห็นด้วยเรื่องย้อนเทอโรพีวัตถุ
แต่ไม่เห็นด้วยเรื่องย้อนเวลา
เพราะอยู่คนละมิติและคนละสถานะ
ใช้กฏเกณฑ์ต่างกันครับ/ เท่าที่ไปดูเทเน็ตมาก็ประมาณนี้ครับ
รายละเอียดน่าสนใจมาก ทำให้ผมอยากไปหาข้อมูลต่อเลย อาจจะเอามาทพคลิปเพิ่มด้วย
ผมเห็นด้วยเรื่อง ย้อนเอ็นโทรปีได้ ไม่เกี่ยวกับเวลา
ผมว่า มันแค่ทำงานแบบ กาแฟร้อนขึ้นได้ หรือห้องเย็นลงเหมือนเปิดแอร์ได้ โดยไม่ต้องใช้พลังงาน แต่ไม่เกี่ยวกับเวลา
เอ็นโทรปีมันเกี่ยวกับเป็นการถ่ายเทพลังงาน การจัดรูปแบบใหม่ของอนุภาคที่มีอิสระมากกว่า
การย้อนเวลาหนังเขาเอา entropy ไปผสมกับทฤษฎี one universe electron เพื่อความสนุกเฉยๆ
ถ้ามีอะไรเสริมเพิ่มเติมหรือแย้งได้เลยนะครับ ยินดีมากเลย ผมจะได้รู้มากขึ้นด้วย
@@curiosity-channel
ยินดีครับ
อธิบายได้เข้าใจมากที่สุด ในบรรดาทุกช่องเลยครับ เป็นกำลังใจให้ทำคลิปต่อๆไปครับ
มีแต่ได้ยินคนอธิบายว่า ในมิติที่ 3 ที่เราอยู่มีเงื่อนไขเวลาด้วย อธิบายแบบนี้เข้าใจมากขึ้นค่ะ ขอบคุณค่ะ
ฟังคลิปนี้แล้ว ทำให้คิดถึงหนังสือ "โลกของโซฟี" ที่ตัวละครในหนังสือเป็นเด็กสาวชื่อโซฟี ที่อายุย่าง 15 ปี กับนักปรัชญาคนหนึ่ง ที่โผล่มาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย มาสอนปรัชญาให้กับโซฟีที่ย่อประวัติศาสตร์ปรัชญา 1-2 พันปีให้สั้น เข้าใจง่าย และสนุก เล่าไปทีละยุคๆ พอถึงตอนท้ายเล่ามาจนถึงนักปรัชญายุคปัจจุบัน เศร้าหน่อยที่โซฟีรู้ตัวว่า เธอเป็นเพียงตัวเดินเรื่องหลักในหนังสือเล่มหนึ่ง เล่มที่ผู้พันกำลังแต่ง เพื่อสำหรับให้เป็นของขวัญวันครอบรอบวันเกิดปีที่ 15 ของลูกสาว พอรู้อย่างนั้น โซฟีเห็นว่าหนังสือใกล้จบแล้ว เธอจะต้องติดอยู่ในหนังสือเล่มนี้ไปตลอดแน่นอน เธอจึงต้องพยายามหาทางหนีทางออกไปจากหนังสือ ด้วยการหายตัวไปก่อนที่หนังสือจะจบ ที่สุดเธอก็ได้โอกาสเหมาะ ในตอนที่ผู้พันที่ยังแต่งหนังสือค้างอยู่เผลอหลับ โซฟีก็แอบหนีออกมาทางโพรงกระต่ายในสวนหลังบ้านของเธอ เธอได้ออกจากหนังสือมาเห็นโลกสี่มิติเหมือนกับเรา จำไม่ได้ว่า นักปรัชญาได้หนีออกมาด้วยหรือเปล่า น่าจะไม่ได้ออกมา เพราะดูพี่แกจะมีความสุขกับการอยู่ในโลกปรัชญาของพี่แก เพื่อจะได้เล่าถึงประวัติศาสตร์ปรัชญาให้กับคนที่ได้เปิดอ่านหนังสือเล่มนี้ต่อไป แต่ก็นั่นแหละ ถ้าผู้พันรู้ตัวก็อาจจะอยากหนีออกมาด้วยเหมือนกัน เพราะคนที่เขียนหนังสือเล่มนี้จริงๆ ไม่ใช่ตัวผู้พัน ผู้พันเป็นเพียงตัวละครในหนังสือ คนที่เขียนโลกของโซฟีจริงๆ คือ ยูสไตน์ โกเดอร์
แต่ก็ไม่แน่ว่า ยูสไตน์ โกเดอร์ ที่มีชื่อเป็นผู้เขียนนั้น ก็อาจเป็นเพียงตัวละครในหนังสืออีกเล่มหนึ่ง ที่นักเขียนในมิติที่สูงกว่าเขียนขึ้นมาก็ได้
ชักเริ่มจะงง
“สิ่ง”สิ่งหนึ่งซึ่งบุคคลพึงรู้แจ้ง
เป็นสิ่งที่ไม่มีปรากฏการณ์ ไม่มีที่สุด
มีทางปฏิบัติเข้ามาถึงได้โดยรอบ, นั้นมีอยู่,
ใน “สิ่ง” นั้นแหละ ดินน้ำ ไฟ ลม ไม่หยั่งลงได้,
ใน “สิ่ง” นั้นแหละ ความยาว ความสั้น ความเล็ก ความใหญ่ ความงาม ความไม่งาม ไม่หยั่งลงได้,
ใน “สิ่ง” นั้นแหละ นามรูป ดับสนิทไมามีส่วนเหลือ,
นามรูป ดับสนิท ใน “สิ่ง” นี้
เพราะความดับสนิทของวิญญาณ ดังนี้แล.
สาธุครับ🙏😊
คุณอธิบายจากความเข้าใจ แต่ครูอาจารย์มหาวิทยาลัยส่วนใหญ่สอนจากการ" ท่องจำ " ผลที่นักเรียนก็คือ จำๆกันไปสอบ แต่ไม่เคยเข้าใจในสิ่งที่เรียน
ถึงจะซับซ้อน แต่ก็พอจะเริ่มๆ
เข้าใจเกี่ยวกับมิติที่5 มั่งแล้ว
ครับ ขอบคุณที่พยายามอธิบาย
ให้คนดูเข้าใจครับ ขอบคุณๆๆ
เรามองว่ามิติที่ 5 ไม่ใช่ผู้สร้าง แต่เป็นแค่ผู้เฝ้ามองและสังเกตุการณ์ ส่วนเหตุการณ์ในอนาคตอาจจะเกิดขึ้นแล้ว แต่ไม่ได้ถูกกำหนด เพราะแรงกระทำในปัจจุบันส่งผลกับเหตุการณ์ในอนาคตเสมอ คิดว่าสิ่งเหล่านี้มันทำให้เกิดทฤษฎีโลกคู่ขนาน และมีโอกาสเกิดขึ้นได้หลายแบบตามตามน่าจะเป็น แค่คิดเอาเองนะ มองในมุมทฤษฎีมันเหมือนชีวิตเราถูกกำหนดมาแล้ว แต่ถ้าในโลกของความเป็นจริงมันควรจะเป็น "ปัจจุบันที่เป็นอยู่ เกิดจากผลของการกระทำในอดีต และผลของอนาคตก็เกิดจากปัจจุบันที่เรากำลังทำ" นอกนั้นคือสิ่งอื่นๆที่มากระทบและอยู่เหนือการควบคุมของเรา ดูมั่วๆเนาะ จากความคิดส่วนตัวนะ
เหมือนพระเกจิในครั้งพุทธกาลที่เขาเข้าฌานได้
มุมมองของเขาที่สามารถมองเห็นอดีตและอนาคตได้
เหมือนมุมมองของมิติที่ 5 ที่แอดกำลังอธิบายเลยครับ
หรือว่าเพราะจิต คือ มิติที่ 5
สุดยอดเลยครับผมฟังเรื่องมิติเวลามาหลายคลิปมาก ไม่้ข้าใจเลย พี่อธิบายละเอียดและเปรียบเทียบให้เข้าใจง่ายทำต่อไปนะคับ👍👍👍👍
ว้าว คุณเป็นแสง Light worker ผู้เป็นแสงสว่างให้ความรู้ผู้คน อธิบายได้ ดีมากเลยคะ ขอบคุณมากคะ
มิติที่มากกว่า 3 ต้องอาศัยสภาพแวดล้อมอย่างอื่นที่ไม่มีปรากฏต่อพวกเราในโลกนี้ เพราะทางกายภาพเราไม่มีพื้นฐานให้เข้าถึงได้ครับ
การเข้าสู่มิติเวลา เราเอาร่างกายที่ซับซ้อนไปไม่ได้
แต่เราอาศัยเกิดมีตัวตน อัตตา เป็นมิติที่ 1
เอาการรับรู้เวลา สัมปชัญญะ เป็นมิติที่ 2
ส่วนเรื่องเป็นมิติที่ 3 คือ อาศัยมิติในข้อ 1และ 2 มาจับยึดเหนี่ยวเข้ากับเรื่องทางกายภาพ คือสสารและพลังงาน
แล้วเกิดการมองว่าเป็นกว้างยาวลึก หรืออาจจะมีลักษณะทางกายภาพที่ซับซ้อนกว่านั้น
โดยในมุมมองนามธรรมจะเหมือน อาเรย์ สองมิติ สามมิติ สี่มิติ ไปเรื่อยๆ
แต่สำหรับมุมมองผมเห็นว่า โลกนี้มันมีแค่กายภาพอันเดียว การรับรู้ กว้าง ยาว ลึก คือเราแค่ตั้งชื่อให้กับทิศทางทางกายภาพ เพื่อสื่อสารกันได้เข้าใจ
มันจึงเป็นเรื่องจินตนการ เรื่องอาการคิด ในทางกายภาพไม่มีลักษณะสามมิติแบบนี้อยู่จริงหรอก ในแง่เวลาเรารับรู้กว้าง ยาว ลึก ได้เพียงอย่างละหนึ่ง
เพราะสมองเราเหมือน Single core cpu เรารับรู้หลายแกนของมิติพร้อมกันรวดเดียวในเวลาเดียวกันเลยไม่ได้
แต่อาจจะมีโลกมิติแบบนี้โลกอื่นๆด้วย หรือมีโลกมิติที่สี่ที่ห้าอะไรต่างๆได้ด้วย โดยมีลักษณะทางกายภาพต่างออกไป ส่วนมิติที่ 1และ 2 ยังคงเดิม
และอาจจะมีมิติที่ 0 ซึ่งเราไม่อาจนับเป็นมิติได้ ทั้งไม่มีอะไรอ้างถึงได้เลย ทำได้มากสุดเป็นแค่เปรียบเทียบเพื่อความเข้าใจ
นั่นคือ เราอยู่ที่หนึ่งได้เพียงในเวลาหนึ่งเท่านั้น
ต่อให้ยืนที่เดิม ตัวเราก็กำลังเปลี่ยนไป สถานที่นั้นก็กำลังเปลี่ยนไป ในทางกายภาพโลกก็กำลังเคลื่อนที่ด้วย
ถ้าจะทำให้อยู่ได้หลายที่ในเวลาเดียวกัน เราต้องการพื้นฐานทางกายภาพแบบอื่นที่โลกนี้ให้ไม่ได้ครับ
แล้วการที่เราย้อนกลับไปดูคลิป หรือสิ่งที่บันทึกไว้ คือเรียกว่าสิ่งที่เหนือกว่ามิติที่ 4 หรือเปล่าครับ เพราะเราย้อนกลับไปดูสิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้ว(อดีต)ได้ เมื่อไหร่ก็ได้ ที่เราต้องการ by the way ดูคลิปนี้หลังจากเพิ่งดู tenet จบ อะเมซิ่งมากๆ ครับ
อธิบายเข้าใจง่ายกว่าครูสอนอีกครับ ชอบมากเลย
กาลเวลาไม่ได้เป็นเส้นตรง เป็นช่วง เป็นคาบ..มีจุดเริ่มต้น.และ จุดสิ้นสุด..แบบนั้นนะ.การย้อนเวลาแบบในหนังจึงเป็นเรื่องเพ้อฝันแบบเด็กๆ เพราะกาลเวลาจริงๆไม่ได้เป็นเช่นนั้น .อันนั้นมันเป็นการเคลื่อนไปทางกายภาพ..ซึ่งมีสาระที่เข้าใจได้ง่ายๆ.
แต่ กาลเวลา ที่แท้จริงคือ ทั้งหมดอยู่ในปัจจุบันขณะ...การเวลาทั้งหมดอยู่ในปัจจุบันขณะ..และมันเป็น อนันต์..มิติ ก็เป็น อนันต์..ไร้จุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด..ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้น และมีอยู่ในขณะนี้เท่านั้น..
และประเด็นเรื่อง การมองเห็น..ไม่ว่าแสงจะมีความเร็วเท่าไหร่..ใช้เวลาเดินทางเท่าไหร่...แต่ภาพที่เราเห็น คือภาพที่สมองสร้างขึ้นในจิตของเราในขณะนี้เท่านั้น ระยะทาง..และ กาลเวลา..จึงไม่ได้มีอยู่จริง..จักรวาลถือกำเนิดขึ้นและดับลงในขณะนี้อันเป็นอนันต์ภาพเท่านั้น..
สาธุ🙏
ความรู้พี่ทำให้ผมเข้าใจในคัมภีร์กุรอ่านมากขึ้น เพราะกุรอ่านมีปริศนามากมาย ขอบคุณมากครับ ขอให้พี่ได้รับทางนำ อามีน
อธิบายให้คนที่ไม่ค่อยรู้เรื่องวิทยาศาสตร์เข้าถึงได้ดีเลยครับ ผมก็ชอบฟังชอบดูเรื่องราวเกี่ยวกับมิติเวลา แต่ยิ่งฟังยิ่ง งง คลิปนี้ทำให้ผมเข้าใจง่ายดีครับ ว่า มิติที่เกินกว่ามิติที่4 คือมิติที่อยู่เหนือขอบเขตความเข้าใจของเรา งี้แสดงว่า อาจจะมีอะไรที่สร้างจักรวาลของเราขึ้นมา ให้มีจุดกำเนิด และจุดสิ้นสุดมาพร้อมๆกันแล้ว และกำลังเฝ้ามองเราอยู่ เหมือนที่ลีออน มัสก์ บอกว่าทุกสิ่งในจักรวาลนี้เปรียบเสมือน Simulation
ตื่นเต้นดีครับ กับการอธิบายมิติต่างๆโดยเฉพาะมิติที่ห้า.. แต่อยากรู้ว่าต้องฉลาดแค่ไหนถึงจะเข้าใจมิติทั้งหมดได้
ถ้าลองคิดตามควอนตัม พระเอกจากอนาคตที่แสงจากโลกอดีตไม่สามารถตกกระทบได้ ก็เหมือนกับอะตอมที่ไม่มีคนวัดหรือผู้สังเกตการณ์ มันก็แยกร่างได้และอยู่ได้ทุกที่ หรือเอาแบบกาวๆหน่อยก็แสงไหลพร้อมกับเวลา ฉะนั้นแสงเก่ากับแสงใหม่ก็จะไม่ทับกัน การรับรู้ของจักรวาลก็จะไม่ซ้อนกัน
ถ้าบอกว่า หนังสือการ์ตูนเป็นอีมิติที่้ราสร้างขึ้นโดยที่เรากำหนดอนาคตไว้หมดแล้ว ซึ่งแปลว่าทุกิย่างถูกกำหนดไว้ตามที่้เราเขียนลงไป จะเป็นไปได้ไหมถ้ายึดตาม ทฤษฎีนี้ ทำไม ตัวละครในหนังสือถึงไม่มีความอยากรู้เกี่ยวกับตัวเราที่เป็นเหมืินผู้สร้างที่ิยู่อีกมิติ ยกเว้นซะว่า เรากำหนดให้สิ่งนั้นหรือตัวละครในหนังนั้นมีความอยากรู้ ซึ่งแปลว่าเราที่อยู่มิตินี้ที่กำลังสงสัยและอยากรู้ มันคือการที่ผู้สร้างจากอีกมิตินั้น ใส่ความอยากรู้เดี่ยวอีกมิติให้เรา แล้วเพราะอะไรกันทำไมพระเจ้าหรืออีกมิติจึงอยากให้เรามีความรู้อยากรู้ว่าอีกมิติมีอะไร และแปลว่า มนุษย์นั้นไม่ได้มีความรู้ความคิดความรู้สึดเป็นอิสระ แต่ถูกกำหนดไว้โดยท่านผู้สร้างจากอีกมิติใช่ไหม
เมื่อไหร่ที่เราไขความลับของมิติเวลาได้ เราคงจะเข้าใจความเป็นมาของชีวิต โลกหลังความตาย รวมทั้งสามารถก้าวข้ามขีดจำกัดของการเดินทางสู่ห้วงอวกาศได้
คล้ายในพุทธศาสนาเลยครับ ในหลายเรื่อง
อธิบายเก่งมากค่ะ สามารถอธิบายสิ่งที่ยากกลายเป็นเรื่องที่เข้าใจง่ายๆได้!!
มันเป็นแค่หนัง ในความเป็นจริง เราคิดว่าตั้งแต่มิติที่5ขึ้นไป มันจะต้องเป็นมิติที่อยู่เหนืออิทธิพลของแสงและเวลา แต่เราต้องเข้าถึงมิติที่4ให้ได้ก่อน จะอธิบายยังไงดีว่าจริงๆแล้วเวลามันไม่มีอยู่จริง แต่เพราะเราไปอิงกับแสงตลอด เรามองร่างกายเนื้อของเราเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในแสงเราจึงไหลไปตามเวลา ซึ่งเวลาสถานที่ระยะทางมันเป็นเรื่องเดียวกัน คือมันไม่ได้มีอยู่จริง เวลามันมีอยู่ตามการอ้างอิงของแสง ความโค้งของ กาล-อวกาศ space-time มนุษย์ไม่สามารถรับรู้ได้ผ่านประสาทสัมผัสเช่นตาไม่อาจเห็นหูไม่อาจได้ยินจมูกลิ้นกายสัมผัสไม่ได้ มันเหนือขึ้นไปอีก ขอใช้คำว่ามันเป็น"วิทยาศาสตร์ทางจิต" ลองพยายามเอาไปผนวกกับเรื่องจิตวิทยาดูอาจจะเห็นเค้าลางได้ชัดขึ้น(คหสต)
ยกตัวอย่างเช่น ความรัก😁 ความรักอยู่เหนือแสงและเวลา ความรัก สัมผัสไม่ได้ พิสูจน์ไม่ได้ วัดค่าไม่ได้ แต่ก็มีกระบวนการรับรู้และตอบสนองได้ด้วยนะ🤪🤭 อะไรที่เป็นควอนตัม เวลาเรายกตัวอย่างต้องเปรียบเทียบกับอะไรที่เป็นนามธรรมน่าจะเข้าเค้ามากกว่าเวลาที่พยายามเปรียบเทียบควอนตัมกับอะไรที่มันเป็นรูปธรรมมันจะขัดกัน ลองดู น้อยคนที่จะทำได้เพราะเรื่องพวกนี้ไม่สามรถเข้าใจได้ง่ายด้วยกระบวนการคิด แต่ต้องใช้สมาธิเยอะมาก ไอน์สไตน์จึงได้ฝากเอาไว้ว่า"จินตนาการสำคัญกว่าความรู้"... เป็นกำลังใจให้อยู่นะ สู้ๆจ้า
ไม่เคยเจอรายการแบบนี้ในเมืองไทยมาก่อน ดีมากๆ แต่ก็ต้องทำใจคนไทยไม่ใส่ใจในวิทยาศาตร์ ชอบแต่ไสยศาสตร์ ขอให้ทำต่อไปนะ
++
สมมุต เรามีนาฬิกา 1 เรือนใหญ่ ๆ ใหญ่ มาก หัน หน้าปัด ไป ทางอวกาศ สมุติว่าเราเห็นหน้าปัดนาฬิกาได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะไกลแค่ไหน
เวลา เดินผ่านไป 5นาที
ถ้าเราจะย้อนเวลา กลับไปดู เวลา ที่ 3,2,1 คือ เราต้อง นั่ง ยานอวกาศ วิ่งตามแสง ไป โดยที่ เราต้องวิ่งเร็วกว่าแสง
สมมุติ วิ่งไปตาม จน ทัน นาที ที่ 4 , 3 ,2 ,1
เราจะใช้พลังงาน มหาศาล ในการเติมเชื้อเพลิง เพื่อที่ ส่งยาน ตามแสงในอดีต ให้ทัน
ผม เชื่อว่า การที่ เรา เดินทาง เร็ว กว่าแสง คือการ เติมพลังงานที่มากกว่า การเดินเท่าแสง และมันสามารถ ย้อนเวลาได้
จริงอยู๋ที่ เรา เข้าไกล้ ความเร็ว แสง เวลา เราเกือบ จะหยุดไป และมวลรอบตัวเราจะมากขึ้น ยิ่งมวลมาก เวลาก็จะหยุดเดิน แต่ถ้า เรานั่งยานไป เร็วกว่าแสง ระ เวลา จะย้อนกลับบแน่นอนและ ไม่ใช่นาฬิกาตาย
กล้องโทรศัทน์ ดูดาว ที่ เราเห็นคือ ภาพจากอดีด เมื่อหลายหมื่นล้าน ปีก่อน แสงพึ่งเดินทางมาถึงโลก เราขยาย เม็ดโฟตรอน พื่อที่จะดู ภาพให้ชัดขึ้น ถึงเราจะพยายาม ซูมแค่ไหน ก็ก็ไม่สามารถ ดู ภาพเหตุการณ์ถัดไปได้ ได้แต่รอ ให้แสงเดินทางมาเรื่อยๆ ไม่สามารถ ไป โฟกัส จุดที่ 10,000ล้านปี 5,000ล้านปีได้ มีทางเดียวที่ จะดู ภาพในอดีตได้ คือตั้งนั่งยาน ที่เดินทาง เร็วกว่าแสง วิ่ง สวนทางไปทางดาวเคราห์ดวงนั้น เราก็จะรับ ภาพ อตีด มากขึ้นๆ ย้อนเวลา ไป มากขึ้นๆ
เชื่อว่า ดาวเคราะห์ อันห่างไกล ตอนนี้ ที่ เรากำลังดูก็ไม่ต่าง กับโลก ปัจจุบันที่เราอยู่ เพราะ เวลามันผ่านมานานแล้ว
ส่วนเรื่อวการข้าม มิติ หรือ ย้นระยะทาง อันนี้ เกินจินตนาการจริง ๆ นึกไม่ออก ครับ แต่ ผม จะลองสมมุิต ว่า มี แกน 1 แกน ซึ่งแข็งมาก ด้านต้น และ ปลาย เป็น เหมือน และพังงา อารม์ ว่า หักไปทางซ้าย พังงาด้านตรงข้ามก็จะไปทางขวา เหมือน มินเลอร์ กัน
ทีนี้ แกนที่ แข็งมา เริ่มยาวขึ้น ไปไกลขึ้น ไกล ถึง ดาวอังคาร ซึ่ง ระยะทางไกล นี้ แสงอาจจะใช้เวลา เดินทาง กว่า 25นาที ทีนี้ เรา ก็หันแกน ไปทาง ซ้าย-- ขวาปกติ อีกฝากนั้นทีไกล จะต้องหันตามไปด้วย และทันที แต่ ถ้า มองด้วย ตาเปล่า เราจะไม่เห็น ว่า พังงาหัน ทันที เพราะ แสงต้องใช้เวลา กว่า 25นาที
กลับมาที่ ท. รูหนอน หรือ อุโมงมิติ ถ้าจะต้องเดินทางไป ในทันที ก็ต้อง เชื่อมต่อ ปลายทางไว้ โดยให้เวลาหยุดไว้ เหมือนแกน ที่ แข็งมาก และ เวลาที่หยุดไว้ ต้องยาวติดต่อกันไปจาก โลก ถึง ดาวอังคาร ถ้าจะทำอย่างนั้น ได้ต้อง สร้าง แกนมวลที่มีมหาศาล มีความยาว มาก และ ใช้พลังงานมาก
อันนี้ไม่ได้ จำกัดเรื่อง ของ ขนาดแกน อาจจะ เล็ก เท่า เส้นผม ก็ได้ ขอให้แข็งแรงและเชื่อมต่อตลอดเวลา
แต่ ถ้า เรายังเดินทางด้วยความแสง เราจะไปถึง ดาวอังคาร อีก 25นาที ถัดไป ซึ่ง ดาวอังคาร โครจรไปตำแหน่งอื่นแล้ว ก็ยัง ช้าอยู่ดี
มีอีก ท. นึง คือ เราต้องหยุดเวลาไว้ขณะเดินทาง โดย เปิดมิติรูหนอน ไว้หน้ายานอวกาศตลอดเวลา เพื่อเปิด ทางเวลา และ ยานต้องวิ่งไปด้านหน้า ด้วยความเร็วสูง อารมณ์เหมือน ส่องไฟฉายไว้ แต่ เราเปิด มิติ รูเอาไว้แทน สมมุว่า มิติ ตามยานไป ตลอดแต่อยู๋ ด้านหน้า
ผมว่าเวลาไม่ได้มีอยู่ แต่การเปลี่ยนแปลงนั้นมีอยู่จริง ทุกๆสรรพสิ่งในจักรวาลนี้เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด เราเพียงสมมติเวลาขึ้นมาเพื่อให้ง่ายแก่การเข้าใจว่าการเปลี่ยนจากสิ่งหนึ่งไปเป็นอีกสิ่งนั้นนานแค่ไหน สิ่งที่มีอยู่แล้วในจักรวาลนี้คือ อวกาศ พลังงานและสสาร ส่วนเวลาเป็นการสมมติขึ้นมาเพื่อเรียงลำดับเหตุการณ์ต่างในจักรวาลนี้ว่าอะไรเกิดขึ้นก่อนอะไรเท่านั้นครับ แสดงว่าเวลาเป็นสิ่งที่ใช้ลำดับเหตุการณ์ต่างๆของ อวกาศ พลังงานและสสาร
แต่ถ้าเรามองจักรวาลนี้แบบ
ควอนตัม ทุกสรรพสิ่งที่เราคิดว่ามีอยู่จริงนั้นแท้จริงแล้วไม่ได้มีอยู่จริง
ถึงจุดหนึ่งทุกสรรพสิ่งก็จะเปลี่ยนไปทั้งจักรวาล เราจะเข้าใจมันได้มากแค่ไหน? ครับ
อธิบายดีมากครับ เข้าใจเลือกเปรียบเทียบครับ เข้าใจง่ายมาก เห็นภาพเลยครับ นัยถือครับ ต้องเข้าใจจริง ๆ ถึงจะอธิบาย และเปรียบเทียบได้ขนาดนี้
อยากให้ลองดูซีรี่เรื่อง Dark ค่ะ เกี่ยวกับเวลาเหมือนกัน ซับซ้อนมาก อยากให้อธิบายให้ฟังค่ะ ขอบคุณค่ะ
มิติที่ 5 ผมเดาว่าคือ Parallel World เพราะแต่ละการตัดสินใจต่างๆส่งผลต่ออนาคต เช่น นัดกับเพือน เวลา 12.00 แต่ก่อนจะถึงเวลานั้นเราสามารถเลือกได้ว่า จะไป หรือ ไม่ไป หรืออาจจะมีเหตุผลอื่น การตัดสินใจแต่ละแบบก็ส่งผลต่อ อาคต(มิติที่4) ตามที่ผมเข้าใจ
นี่คือช่องที่อยากดูมานาน เจ๋งมากค่ะ
อยากให้ทำเรื่องเกี่ยวกับมิติทั้ง 10 (11) ค่ะ 😊
สิ่งเร้นลับที่สุดไม่ใช่เรื่องผีสางแต่เป็นเรื่องวิทยาศาสตร์นี่แหละ ชอบการอธิบายมากค่ะ
ยิ่งท่านที่ใช้ผู้ที่มาจากมิติที่ 5 ช่วยทำนาย จะค่อนข้างแม่นมากเลย เป็นความคิดเห็นส่วนตัวค่ะ
ขอบคุณที่คุยเรื่องเหล่านี้ให้ฟัง เพราะน้อยคนที่จะพูดเรื่องเหล่านี้ได้ ซึ่งถึงแม้พูดได้ แต่ก็น้อยคนที่จะพูดให้เกิดความเข้าใจได้ก็น้อยครับ
ผมแค่เรียนมาแต่ไม่มาก บางครั้ง ผมคิดว่าความคิดเห็นอาจผิดไปจากหลักวิชาจริงที่ยังรู้ไม่พอ จึงใช้การรับฟังเพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมจากคำบรรยายนี้มากกว่า คลิปต่างมีประโยชน์มากครับผม
อธิบายเข้าใจง่ายดีครับ ส่วนตัวคิดว่าทฤษฎี Reverse นี้ไม่น่าจะเป็นไปได้ แสงที่กล่าวมาก็ส่วนนึง ไหนจะระบบไหนเวียนโลหิตในร่างกาย ระบบย่อยอาหาร ประสาทการรับรู้ ฯลฯ สมมุติว่ามีมืติที่ 5 จริงๆ เขาก็สามารถมองเราได้ แต่ไม่น่าจะสื่อสารอะไรกันได้ เหมือนเรามองเห็นภาพในทีวีมากกว่า ธรรมชาติหรือใครก็ตามที่สร้างจักรวาลไว้คงออกแบบระบบที่เอาชนะไม่ได้ไว้แล้วก่อนจะสร้างมันขึ้นมา ถ้ามิติมันทับซ้อนกันได้จริง อนาคตคงมาหาเราบ้างแล้ว.. คหสต
-(เดา)คิดว่าแสงจากดวงอาทิตย์>กระทบวัตถุ>กระทบตา>ส่งสัญญาณ(ส่วนแสงก็สะท้อนออกจากตาและกระจายออกไป)
คิดว่าสำหรับคนที่ย้อนเวลาจะได้ผลเป็นเหตุ ตนนั้นน่าจะเอาแสงที่สะท้อนออกไปจากตากลับเข้ามาและได้รับข้อมูลเข้ามาในหัว (ส่วนแสงก็ย้อนกลับไปยังวัตถุและย้อนกลับไปยังดวงอาทิตย์)
-(เดา2)อาหารน่าจะต้องเตรียมมาเองเหมือนอากาศ พลังงานสารอาหารก็จะถูกย้อนตามคนย้อนเวลาเหมือนกัน(การเข้าห้องน้ำก็ด้วย)
-(เดา3)คิดว่าการreverseคนไม่ได้ทำให้ถูกแยกเป็น2ร่าง แต่เป็นคนเดียวจากคนละเวลา
เปรียบเทียบมิติที่4จะมีรูปแบบคล้ายคลึงกับมิติที่1คือเส้นตรง ----------- สมมุติว่า มีคนคนหนึ่งอยู่ในเส้นเวลา1-20 สำหรับคนอื่นอาจจะดูเหมื่อนมี3คนในtenet แต่สำหรับเขาจะมีคนเดียว
1-2-3-4-5-6-7-8-9-10->v
v16------------20->
สำหรับคนอื่นจะเห็นเขา3คนเดิน ตั้งแต่5-10[5หน่วยเวลา] แต่สำหรับเขาคือเดิน5-20[15หน่วยเวลา]
และสำหรับคนอื่นนั้นจะเห็นว่าตัวตน2และ3จะถื่อกำเหนิดขึ้นมาในloop[หน่วยเวลาที่5]และตัวคนที่1และที่2จะหายไปในloop[หน่วยเวลาที่10]
สำหรับคนที่อ่านแล้วคิดว่าผิดหรือรู้อยู่แล้วหรือพิมพ์อะไรมาก็ไม่รู้ ก็ขออภัยเพราะผมเขียนโดยที่ใช้ "เดาล้วนๆ" พิมพ์ โดย เราเอง
ถึงผู้อ่านที่คิดว่าถ้าจะขนาดนี้ส่งมาเป็นไฟล์เหอะ
ครับ.. ผมกำลังเตรียมนำเสนอทฤษฏีไร้กาลเวลา TimelessTheory (ความไม่เที่ยงของกาลเวลา).. มันจะวิวัฒนาการมนุษย์ไปสู่สายพันธุ์จักรวาล และการดำเนินชีวิตในรูปแบบมิติที่5 ซึ่งเราจะเข้าใจรูปแบบชีวิตใน4มิติอย่างละเอียด
#ต้องการผู้ร่วมพัฒนาทฤษฏีไร้กาลเวลาครับ
#มันคือศาสนาแห่งจักรวาล
#มันคือทฤษฏีแห่งสรรพสิ่ง.. ด้วยครับ
คืบหน้ายังไง อัพเดตให้ฟังด้วยนะครับ
พอผมฟัง ทฤษฎี ที่ในคลิปนี้นำเสนอแล้ว ทำให้ผมเอะใจและสงสัยกับอีกเรื่องขึ้นมา คือ เดจาวู ในทางการแพทย์จะบอกว่า อาการ เดจาวู เป็นอาการที่กระแสไฟฟ้าในสมองทำงานผิดปรกติชั่วครู่ทำให้เราเห็นภาพนั้นๆขึ้นมา และพอไปเจอเหตุการ์ณนั้นจริงๆเราก็รู้สึกได้ว่า เราเคยเห็นหรือผ่านที่นั้นๆมาแล้ว ทั้งๆที่เพิ่งเคยเห็นหรือผ่านเป็นครั้งแรก ซึ่งพอมาบวกกับทฤษฎีในหนังเรื่องนี้แล้ว มันก็คล้ายๆกันนะครับ แต่ต่างกันตรงที่ เดจาวู จะเห็นได้แต่สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นเท่านั้น ซึ่งไม่รู้สถานที่และเวลาที่แน่ชัด และไม่ใช่ตัวตนเราจริงๆที่ไปสัมผัส ณ สถานที่หรือเวลานั้นๆ เป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวความรู้สึกเท่านั้นที่ผ่านไปที่ๆนั้นหรือเวลาๆนั้นและฉายให้เราเห็นเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น ทางเดียวที่เราจะรู้ว่าสถานที่และเวลานั้นอยู่ที่ไหนและเมื่อไหร่ก็คือ เราต้องไปพบและไปเห็นด้วยตัวเอง และจะนึก รู้สึก ขึ้นมาได้ว่า เราเคยเห็นหรือผ่านที่นี่มาแล้วนิ แท้ที่จริงแล้วไม่ใช่เลย เดจาวู ก็เป็นเหมือนการโดดเข้าไปในเวลานั้นผ่านทางจิต โดยไม่ตั้งใจ และสงสัณญาณจากอาคตเพียงชั่วครู่กลับมาหาตัวเราในปัจจุบัน และด้วยสัญญาณที่ชั่วครู่นั้นทำให้สมองไม่มีเวลาได้บันทึงเก็บรายระเอียดเท่าไหร่และเก็บสำรองไว้ในชุดข้อมูลที่เรียกว่า ความรู้สึก และมันเด่นชัดขึ้นมาก็ต่อเมื่อได้ไปที่ๆนั้น เวลานั้นๆจริงๆ แบบที่ไม่สามาหลีกเลี่ยงได้ เพราะเราอยู่ในมิติที่เวลาเดินไปข้างหน้าเท่านั้น จึงทำได้แค่บอก แต่ไม่มีทางหลีกเลี่ยงครับ ประมาณนี้ครับ ^_^
ผมเคยเกิดเดจาวูบ่อยๆ ตอนหลับ ชอบฝันว่าไปสถานที่ๆหนึ่ง เวลาเราตื่น จะจำได้นิดๆ แล้วก็ลืม แต่พอเวลาผ่านไป ผมได้ไปสถานที่นั้นโดยบังเอิญไป พอไปถึง มันเหมือนภาพ แฟลชแบล้ค ย้อนกล้บมาในหัว เอะใจว่า เอ้ย เราเคยมาแล้วนี่หว่า แต่ในตอนที่มาคืน ช่วงที่เราหลับฝันตอนนั้น แต่มันกลับเกิดขึ้นจริง เหมือนกับมันถูกกำหนดไว้แล้วว่าเราจะมา ซึ่งผมเกิดเหตุการณ์แบบนี้บ่อยมาก สงสัยว่า ถ้าเราควบคุมจิตใต้สำนึก้ราได้ เราคงจะรู้อนาคตที่จะเกิดขึน แต่ถ้ารู้แล้ว เราคงจะแก้ไขมันไม่ได้ หรือ อาจจะแก้ไขได้ ทำให้ ทามไลน์เปลี่ยนไป ก็ยังไม่มีใครสามารถพิสูจน์ได้
อธิบายเรื่องมิติเวลาได้เห็นภาพมากค่ะ ชอบศึกษาเรื่องพวกนี้มาก แต่ของไทยไม่ค่อยมีช่องไหนอธิบายในแบบวิทยาศาสตร์จริงๆ ให้ฟังได้ ส่วนมากเล่าแต่เปลือก โยงไปเรื่องสิ่งลี้ลับตลอด แต่ช่องนี้เนื้อหาคุณภาพมากค่ะ ดูหลายคลิปแล้ว ทำแนวนี้ต่อไปเรื่อยๆ เลยนะคะ ติดตามค่า
ขอบคุณมากครับ
ผมพยายามไม่แตะเรื่องลี้ลับ (ถึงมันจะทำแล้วยอดวิวเยอะก็เถอะ) อยากเป็นช่องที่ แต่ละเรื่องคือมีแหล่งอ้างอิงหรือทฤษฎี แนวคิด ที่ยอมรับในสากลให้มากที่สุด (แต่ก็กลัวหลุดเจอข้อมูล fake เหมือนกัน แต่ก็จะพยายามตรวจสอบให้ดีที่สุดครับ)
ขอบคุณมากครับ
จริงๆแล้ว มิติเวลา แบ่งเป็น 2 ทฤษฎีใหญ่ๆ
แบบแรกคือทฤษฎีที่มิติสูงขึ้น (แบบที่พูดในคลิป) กับแบบถัดมาคือ มิติเล็กๆ ขดตัวอยู่ในมิติของเรา
ซึ่งถ้าผมกระจ่างเรื่องพวกนี้เมื่อไหร่ ก็จะทำคลิปอีกทีครับ
ช่องนี้อธิบายเข้าใจง่ายดี ดูสนุก เพลินเลย คลิปสั้นไปหน่อยครับ
อยากให้ทำคลิปเกี่่ยวกับเจตจำนงเสรี โดยอิงกับทฤษฏีวิทยาศาสตร์ ครับ
เป็นแชแนลที่หายากมาก เนื้อๆเลย ขอบคุณมากๆค่ะ ทำออกมาเยอะๆนะคะ So Cool
สำหรับผมมองว่า ทุกอย่างมันอยู่ที่สมองของเราทุกคน อนาคตเป็นเรื่องของการคาดการณ์ บางคนทำนายว่าจะเกิดโน้นเกิดนี้ในอนาคตแต่ก็ไม่ตรงทุกคนอาจจะเดาถูกจากการคาดการณ์ แต่คนที่รำลึกชาติหรือเรียกว่าอดีตนั้น เล่าเหตุการณ์ได้แม่นและที่สำคัญมีหลักฐาน ทุกอย่างในอนาคตขึ้นอยู่ที่การกระทำเราใน ปัจจุบัน อย่างที่พี่บอกว่า การมองเห็นเราเห็นสิ่งของนั้นเป็นอดีต แต่ผมกับคิดว่า เมื่อสายตาเรารับภาพมาประมวลผลแล้วสมองบอกว่านี้คืออะไร นั้นแหละถึงเริ่มนับว่าเรารับรู้มันคือปัจจุบัน เพราะลองคิดว่าตัวเราเองเป็นสิ่งที่ถูกมองมันก็เป็นปัจจุบันอยู่เช่นกันสิ่งที่เรายังไม่ได้มองยังไม่ได้ไปหรือยังไม่เคลื่อนที่ไปตามเวลาไม่ว่าจะนับเดินหน้าย้อนหลัง มันก็คืออนาคตทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเปิดอ่านจากหน้าแรกหรือหน้าสุดท้าย อดีต-ปัจจุบันก็จะเริ่มจากหน้าแรกหรือหน้าสุดท้ายนั้นแหละครับ อนาคตของเราไม่เหมือนกันครับ
55555555. มุขตลกใช่ไหมเนี่ย ระลึกชาติมาเกิดเนี่ย ไปไกลละ
GREAT!!
ฟังและดูทุกตอนเลยครับ มีความรู้เพิ่มขึ้นจริงๆและเข้าใจง่ายด้วย
คนที่อยู่มิติที่5 สามาดูตอนไหนก็ได้ของช่วงเวลา ก็เหมือนกับที่เราย้อนไปดูหนังในวีดีโอนั้นและครับ มีเวลาจำกัดแต่สามารถย้อนหรือข้ามไปข้างหน้าได้แต่จะมีความจำกัดของเวลาและแก้ไขอะไรไม่ได้
ขอบคุณมากค่ะ ได้ความรู้ดีมาก และกระชับ
บนเส้นเวลาเดียวกันย่อมมีร่างเดียวสิ ไม่ว่าจะย้อนเวลาหรือไปอนาคต แล้วเขาต้องจำอนาคตไม่ได้ถ้าย้อนมาแล้วเพราะทุกอย่างถูกรีเวิสจากแก่มาหนุ่ม เช่นแผลที่เคยมีตอนแก่ก็จะหายไป ถ้าย้อนแล้วความจำยังอยู่ต้องแก่เหมือนเดิม แต่แบบนั้นไม่ใช่ย้อน มันคือข้ามเวลากลับมา และจะเจออีกร่างได้
อยากถามเรื่องที่อธิบายว่า โดยปกติ entropy จะเพิ่มขึ้น เช่น น้ำแข็งกลายเป็นน้ำ entropy จะไม่ลดลงได้เอง
แล้วปรากฏการณ์ธรรมชาติของน้ำ กลายเป็นแม่คะนิ้ง/ลูกเห็บ/เกล็ดน้ำแข็งหิมะ แล้วละลาย แล้ววนกลับไปกลับมาตามอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงล่ะ การหมุนของโลกและหมุนรอบดวงอาทิตย์ก็เป็นธรรมชาติปกติ ไม่ได้ผิดปกติ จะอธิบายเรื่อง entropy อย่างไร
เมื่อเราโยนเหรียญขึ้นฟ้า เราก็จะทำนายได้อย่างแม่นยำว่า อีกไม่กี่วินาทีมันจะตกลงถึงพื้น แปลว่า เราทุกคนสามารถทำอนาคตได้ในระดับนึง ขึ้นอยู่กับความรู้ สติปัญญา และความกำลังความแรงของสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่ พระพุทธเจ้า จะทำนายได้ไกลกว่านั้น เช่น เมื่อใครสักคนเป็นโสดาบัน ท่านจะทำนายว่า เขาจะไปเกิดอีกไม่เกิน7ชาติและหมดโอกาสไปเกิดในอบาย..เพราะพระพุทธเจ้ามี ความรู้ สติปัญญา ที่ฝึกฝนมาพิเศษกว่ามนุษย์ทั่วไป และ ผู้ที่ถูกทำนาย ได้กระทำสิ่งที่มีแรงส่งไปในอนาคตมากกว่าคนทั่วไป..แต่ในคนทั่วไป แรงส่งในอดีตหรือที่เราเรียกว่า แรงกรรมนั้นมีกำลังไม่มาก กรรมเก่าจึงมักมีกำลังน้อยกว่าแรงกรรมในปัจจุบัน เราสามารถกำหนดอนาคตของเราเองได้ด้วยความพยายามในปัจจุบัน..สรุป อนาคตเราไม่มีสิ่งใดมากำหนดไว้ล่วงหน้า เราจะเป็น คนดี เลว รวย จน ไปเกิดสูง เกิดต่ำ ทุกสิ่งเป็นไปได้ทั้งหมด เพราะทุกสิ่งเป็น อนัตตา คือไม่มีตัวตนที่แท้จริง.....ความฝันคือชีวิตจริงที่แสนสั้น ชีวิตจริง คือ ความฝันที่ยาวนาน แค่นี้เอง..
อธิบายดีมากเลยครับเรื่องมิติต่างๆ คุณเก่งมากกกกกกก ผมเข้าใจเรื่องมิติขึ้นเยอะเลยครับ ขอบคุณมากครับ 🎉🎉🎉
ผมชอบช่องของคุณมากๆครับ ไล่ตามดูแต่ละคลิปฟังเพลินๆ ได้ความรู้ เข้าใจง่ายกว่าตอนสมัยเรียน ขอให้นำเสนอแบบนี้ไปเรื่อยๆครับ
มิติที่ 1 2 3 คือ ผมยุชั้น 5 โรงหนังสยามพารากอน
มิติที่ 4 คือ ผมยุวันที่ 1/1/2100 เวลา 10:00 น
จะเจอผมไหม คำตอบคือไม่เจอ เพราะ
มิติที่ 5 คือผมต้องบอกตำแหน่งและเวลาให้คุณรู้ก่อน
จะเจอผมไหม คำตอบคือ อาจจะไม่เจอ เพราะ
มิติที่ 6 คือ คุณอาจจะไปหรือไม่ไปก็ได้
ขอคาราวะ การย่อยเนื้อหาให้เข้าใจง่าย พี่เก่งจริงครับ
ถ้าเรามองเห็นอดีตของวัตถุจากระยะการเดินทางของแสง แสดงว่ายิ่งเราถอยห่างจากวัตถุเราก็จะยิ่งเห็นอดีตของมันรึเปล่าครับ กลับกันถ้าเรายิ่งเข้าใกล้วัตถุเราจะยิ่งเข้าใกล้ปัจจุบันของมัน ส่วนอนาคตเกิดจากการกระทบสัมผัสกัน เช่นในอนาคตนํ้าที่อยู่ห่างจากเรา2เมตรจะกระเพื่อมในอีก3วิ เราก็เอานิ้วจิ้มนํ้าตรงหน้าให้มันกระเพื่อมไป แสดงว่าอนาคตไม่ได้ถูกสร้างไว้อยู่แล้วแต่ถูกสร้างจากปัจจุบันที่วัตถุหรืออะไรมากระทบหรือกระทำต่อกัน และสิ่งมีชีวิตที่มองเห็นเวลาก็คือสิ่งมีชีวิตที่ใหญ่มาก จนเห็นแสงเดินทางเหมือนนํ้าไหล ใช่ไหมครับ
อธิบายได้เข้าใจง่ายมากครับ👍👍👍
อธิบายได้สุดยอด เห็นภาพทำให้เข้าใจเลย ขอเป็น FC ครับ
ผมชอบช่องนี้จัง ให้ความรู้เข้าใจง่ายดี
ยิ่งฟัง ก็ยิ่งเห็นภาพในผลของการนั่งสมาธิ และการเห็นภาพในมิติที่5คงไม่ได้มองเห็นด้วยตาเนื้อ แต่เป็นการมองเห็นด้วยจิตที่มีความละเอียดและความถี่ของจิตในระดับหนึ่งอย่างคงที่จนเกิดเป็นฌาณสมาธิ ผมเองเชื่อว่าผลของวิทยศาสตร์จะพิสูจน์พุทธศาสนา และการค้นพบวิทยาศาสตร์ใหม่ๆก็จะได้เปิดเผยความลับของการนั่งสมาธิขึ้นเรื่อยๆว่าพระพุทธได้รู้ก่อนแล้ว อย่างที่แอดบอก คนในมิติที่อยู่ระดับล่างกว่าไม่สามารถเข้าใจคนที่อยู่ในมิติที่สูงกว่า เหมือนนักบัญชีพูดเรื่องบัญชีให้เด็กอนุบาลฟัง และเรื่องที่ผมสนใจคือจิตและลมหายใจ ที่อยู่กับเรามีมาตั้งแต่เกิดมันมีความลับซ่อนอยู่ แลพระพุทธเจ้าท่านก็ได้เป็นผู้ค้นพบ
เท่าที่ฟังมางั้นทฤษฏี มิติที่ 5 ที่มองเห็นต้นกำเนิดและจุดสิ้นสุด มันเหมือนการดูดวงของหมอดูที่สามารถเห็นอดีตและอนาคตคนๆนั้นได้อย่างแม่นยำ ส่วนแนวคิดคนเราทั่วไปที่ว่าอนาคตหรือทุกๆสิ่งอยู่ที่ตัวเรากระทำ มันคงจริงเช่นกันเพราะมันค่า Entropy ที่คอยเปลี่ยนแปลงอนาคต จนทำให้หมอดูให้คำทำนายผิดเพี้ยนไปเพราะค่า Entropy เปรียบเทียบเหตุการณ์ชีวิตความเป็นไปคนๆนึง มันคงเหมือนต้นไม้ ที่ชีวิตเริ่มต้นเดินทางจากากโคนต้น แล้วรูปแบบชีวิตเขาจะเดินทางไปตามการแตกกิ่งก้านออกไป สุดแล้วแต่ว่าเขาจะเดินทางไปเส้นทางไหนเหมือนกิ่งก้านต้นไม้ที่แตกแขนงออกไป จากปัจจัยค่าของ Entropy ตรงจุดที่กิ่งแตกแขนงออกไป ตรงจุดนั้นค่า Entropyสูง ส่วนตรงลำต้น และ ท่อนกิ่งไว้ที่เป็นส้นตรงหรือมีโค้งบ้าง Entropyต่ำ
จากที่ผมพูดมา(ผมมีเรื่องจริงขะเล่าที่เกิดกับผมโดยตรง) ผมได้สัมผัสกับเหตุการณ์การเปลี่ยนอนาคตมาแล้วครับ ผมเคยประสบเหตุกับตัวเองที่เหมือนกับไปเห็นอนาคตอีกห้วงเวลานึง แล้วเหตุการณ์นั้นที่ผมไปเจอมาในชั่วชีวิตผมปัจจุบันผมก็ผ่านห้วงเวลานั้นมาแล้ว แต่เหตุการณ์ที่เกิดกับผมมันผิดเพี้ยนจากที่ผมไปเจอะเจอมาเพี้ยนไปประมาณ50% ผมเลยคิดได้ว่าเหตุการณ์ที่ผมไปเจอมันคือ เหตุการณ์อนาคตที่ผมไปอยู่ในมิติที่ 5 มา โดยรู้ล่วงหน้าว่าชีวิตตัวเองจะเป็นเช่นไร แต่พอถึงเวลานั้นจริงๆ มันผิดไปจากที่เจอมา ผมเข้าใจได้เลยว่า อนาคตมันเปลี่ยนได้ จนมาถึงการมีหนังเรื่อง TENET มันทำให้ผมรู้ว่า มันมีค่าๆนึงที่ทำให้เราสามารถเปลี่ยนอนาคตตัวเองได้เพราะมันมีค่า Entropy นี่เอง
สรุปคือ เราอาจจะรู้รู้อนาคตได้ด้วยมิติที่ 5 แต่อนาคตก็สามารถเปลี่ยนได้ด้วยตัวเราเองเพราะมันคือค่า Entropy ที่เกิดจากการตัดสินใจของเรา เช่นกันครับ
นึกๆดูก็คล้ายๆ The Matrix ที the one 5คนแรกเลือกทำตามการวางหมากของเครื่อจักร แต่คนที่6เลือกทำในสิ่งที่แตกต่างออกไป มันคล้ายๆentropy ที่มีค่ามาก ณ ห้องสนทนาระหว่าง the one กับ สถาปนิก
ทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย สุดยอดเลยครับ ฟังแปบเดียวเจ้าใจเลย สรุปจักวาลเราถูกเขียนไว้แล้ว หรือว่ายังไม่ได้เขียน เหมือนชีวิตของคน บางทีผมก็คิดนะว่ามันถูกกำหนดไว้แล้วหรือว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นที่ยังไม่ได้ถูกกำหนด
มิติที่ห้าขึ้นไปเข้าถึงได้ด้วยสภาวะทางจิต เช่น การทำสมาธิ ฯ จะไปถึงมิติที่ 22
เคยได้ยินครูบาอาจารย์ท่านว่ามี 180กว่ามิติ
ถ้าหนังนำเสนอเรื่องเวลาไม่เป็น 2 มิติ ตามลำดับจากอดีตไปอนาคตล่ะ แต่นำเสนอว่าเวลาเป็นลำดับแบบสุ่ม ไม่ใช่ลำดับ sequence ล่ะ
และการรับรู้ของมนุษย์ เช่น การมองเห็น มันเป็นข้อจำกัดของตัวมนุษย์เอง
หนังนำสองอย่างนี้มาผนวกไว้เป็นเรื่องที่เกิดในขณะเดียวกัน
อธิบายได้ดีคมากครับ ถอดรหัส โรคหลังความตาย วิญญานจะไปมิติไหนครับ เวลากับวิญญาณที่ออกจากร่าง จะเป็นอย่างไร
ดัน
มนุษย์มิติที่หกเป็นพลังงานที่อยู่ในรูปแรงโน้มถ่วงเป็นไปได้ไหมครับ เอาจริงๆเราก็ไม่เห็นสิ่งมีชีวิต2มิตินะ
เรื่องยากครับแต่น่าสนใจมากครับ พยายามคิดตามครับ
อธิบายไว้ ได้เข้าใจง่ายมากๆครับ ชอบช่องนี้
พุทธะสามารถอธิบายได้ทุกเรื่อง ไม่ยากไม่ง่ายที่เป็นไปได้ที่จะเข้าถึง ผมค้นพบตัวตนด้วยสองวิธีพร้อมกันคือตั้งใจกับบังเอิญ พอศึกษาเรื่องปาฏิหารยํในทางพุทธะ เริ่มต้นก็ก้าวกระโดดไปไกลกว่าที่คาดได้อย่างน่าทึ่ง พุทธะคือผู้ตื่นรู้ เมื่อปล่อยวางได้อย่างแนบเนียนจริงแท้ จินตนาการก่อนหน้าเมื่อหยุดความว่างในจิตก็เกิด จะเห็นนวัตดรรมที่มันเกิดอยู่ก่อนแล้ว เราเห็นภาพในจิตเท่ากับว่ามันคืออดีตเราเห็นในปัจจุบันแต่มันเป็นนวัตกรรมในอนาคตที่ยังมาไม่ถึงนับเวลามากกว่าพันปี ถ้าเราไม่ค้นพบเสียก่อน จึงสรุปว่าไม่มีจุดเริ่มต้นไม่มีจุดสิ้นสุด ผมใช้พุทธะหรือจิตเหนือสำนึกหรือญาณหยั่งรู้อธิบายได้ประมาณนี้ครับ ยอมรับว่าตนเองมีบุญบารมีติดตัวมาจากหลายภพชาติ วันนี้จึงเข้าใจเข้าถึงพุทธะได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องนั่งสมาธิภาวนา วิปัสสนากรรมฐาน ยอมรับว่าใช้ในทางโลกก็สุดยอดใข้ในทางธรรมก็เยี่ยม ใช้พร้อมกันยิ่งทำได้ต่อไปไม่รู้จบถ้าอยู่ในกรอบของการปล่อยวาง
ไมมีสิ่งใดยอนกลับได้ มีแต่ของใหม่เวลาใหม่ /ทำอะไรกลับหลัง มันก็คือการเดินหน้า ไมมีอะไรยอนหลังแม้เราทำยอนหลังแต่เป็นการเดินหน้า
ฟังอาจารย์พูดทำให้เรื่องทำมาหากินแทบจะไม่มีความสำคัญเอาเลย สิ่งนี้สิที่น่าสนใจที่สุด การดำรงชีวิตเป็นแค่ส่วนประกอบเล็กๆเสียจริงๆ
อธิบายเก่งมากเลยค่ะ เข้าใจง่าย เห็นภาพ
แปลว่าถ้ามีวัตถุอยู่ในมิติทีา1 มันจะอยู่แบบเรียงเป็นเส้นตรงรึปล่าวนะ(ในกรณีที่วัตถุ3มิติอยู่ในมิติที่1) แต่จินตนาการไม่ออกเลยว่าวัตถุที่เป็นมิติที่1จะเป็นแบบไหน
อธิบายเก่งมากครับ ชื่นชม
ถ้า5มิติมีจริง ก็อาจจะมีคน(บางสิ่ง)เขียนscriptของเวลาไว้อยู่แล้ว
แล้วถ้ามองมุมต่างเหมือนผมนะครับ
เราบอกว่าเวลาคือมิติที่ 4
ที่จริงเวลาอาจจะเป็นมิติที่ 11 ก็ได้
หรือมิติที่ 7 8 9
เพราะเราก็ไม่อาจรู้ได้ว่า การค้นพบเวลานั้น
จะเป็นมิติในลำดับที่ 4 ตามที่เราคิดได้จริงๆ
บางทีเราอาจเห็นมิติอื่นๆแล้ว แต่เราไม่ได้มีความรู้ที่เรียกมันว่ามิติ ผมคิดอย่างนี้ครับ
ดังนั้นคนที่เดินผ่านข้ามเวลาได้ ก็คงต้องเป็นมนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตที่ทรงปัญญาชั้นสูงเทียบเท่ากับพระเจ้าในอุดมคติของพวกเราหลายๆคนนี่แหละครับ..
ผมว่าเวลาคือมิติสุดท้ายสุดของสิ่งที่เราควรต้องการหา .....ไม่ใช่มิติที่ 4 อย่างที่พวกเราหลายคนเข้าใจกัน
ทฤษฏีที่ 2. ทุกอย่างไม่ได้ถูกกำหนดใว้
กลับไปที่กล่องใส 300,000 ใบคือผมคิดคร่าวๆจาก ความเร็วแสงดังนั้นกล่องจะมีความสูงไม่จำกัดแต่มีความกว้างไม่จำกัดแต่มีความยาว ไปข้างหน้าเพื่อเดินตามเวลาแสงแค่ 1m เท่านั้น
ok มาต่อ เมื่อมนุษย์มิติที่ 5 ผมจะเขียนว่า ม.5 สั้นๆ นะ เดินทางแทรกเข้าไปในแต่ละกล่องด้วยความเร็วมากกว่าแสง กระโดดเข้ามาแสดงตัวตน และสมมุติว่าหยุดตัวเองได้โดยไม่มีผลกับอะตอมของตัวเองและสิ่งรอบๆ (หากการหยุดลำบาก มันคือหายนะของช่วงเวลานั้น เพราะพลังงาน ที่เข้ามาคงมากมายเหลือคณานับ) เอาเป็นว่าหยุดได้ละกัน และแสดงตัวตนได้นั่นหมายถึง ม .5 จะมีชีวิตอยู่ได้เพราะมีตัวตน และสามารถกระทบกระทั่งสิ่งต่างๆได้ตามสบาย ซึ่งมีผลกับอนาคตโดยไม่มีอะไรบังคับและสามารถกระโดดไป กระโดดมาในช่วงเวลาอดีตและอนาคต อ้าวแล้วทีนี้ สมมุติ ม.5 ไปฆ่าคนตายล่ะ แล้วจะเป็นไง อ้าว ก็ตายไง
แล้วมีผลยังไงกับอนาคตแสดงว่ามีการเบี่ยงเบนของเวลาเหรอ ตอบไม่รู้555
ทีนี้้ถ้าเราพูดถึง คน 2 คน ย้อนอดีตไปในเวลาต่าง 5 นาที ไอ้ ม 5 คน ที่ 2 มันข้ามกล่องจำนวนล่องที่ 5x60x3000,000 ไปโผล่ 5 นาทีหลังจาก ม5 คนที่ 1 ฆ่า คนไป
ถามว่า ม.5 จะเจอคนนั้นตายไหม หรือยังมีชีวิตอยู่
ตอบ=ตาย เพราะไม่มีใครกำหนดอะไรใว้เหตุการณมันดำเนินไปเรื่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปเรื่ิอยๆ กล่องใสทุกกล่องมันอยู่ที่้เดิม ส่วนข้างในจะเป็นไงช่างมัน
ถาม=อ้าวแล้วสมมุติเราย้อนอดีตไปฆ่าฮิตเลอร์ล่ะ
ตอบโลกก๋เปลี่ยนไง
ถาม=แล้วจะรู้ไหมว่าเป็นไงต่อไป
ตอบ ไม่มีใครรู้ ก็ปล่อยให้เป็นไปตามเวลา
ถาม เมื่อเราฆ่าฮิตเลอร แล้วเดินทางไปในอนาคตดูได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น
ตอบ= ได้สิ ลองคำนวนดูว่าต้องใช้ความเร็วเท่าไหร่ในการเดินทาง สมมุติ จะดูว่าอีก 50 ปีต่อจากนั้นจะเป็นไง 50x356x24x60x60x300,000 นั้นคือจำนวนกล่องที่คุุณต้องข้ามไป แต่คุณต้องรอก่อนนะ รอให้แสงมันเปลี่ยน สักแปร้ปด้วยความเร็วแสง ทุกอย่างบนโลกจะเปลี่ยน
ถาม=อ้าวแบบนี้ก็คาดเดาอะไรไม่ได้นะสิ
ตอบ=ใช่ ถ้าเมื่อใดที้ ม.5 สามารถมีชีวิต หรือ ดำรงชีวิตที่มีผลกับอะตอม บนช่วงเวลาบนกล่องใสได้ คุณจะไม่สามารถกำหนดอะไรได้
บางครั้งมนุษยเพิ่งเห็นแสงจากดวงดาวที่ดับแล้วยังสว่างอยู่หลายปีนั่นเพราะว่า ระยะทางไกลมาก โฟตอนใช้เวลาเดินทางยาวนาน
ถ้าคิดแบบทฤษฏีนี้ แสดงว่ามิติเวลาที่เราอยู่มีเพียง 1 ไม่มีมิติซ้อนทับ หรือถ้าจะมีมิติอื่น ก็ไม่เกี่ยวข้องกัน ไม่มีผลต่อกัน แต่ที่เราสามารถเดินทางข้ามเวลาด้วยอะไรก็แล้วแต่ เราแค่ต้องทำให้คนนั้นหลุดออกจากกล่องเวลาแล้วไปอยู่สักที่นึงที่ว่างๆ ไม่มีผลกับสิ่งใดๆ หรือมิติอะไรก็ได้ที่เป็นช่องว่าง แล้ว ทำความเร็วให้มากกว่าแสงเพื่อ ย้อนกับอดีต หรือเดินทางเข้าไปในอนาคต
อ่านขำๆนะครับ 5555
สุดยอดครับ ผมเกิดคำถามในใจ แล้วเวลาในมิติที่ 5 มันดำเนินไปยังไง
19:26 ก็ไม่อยากนึกเหมือนกันครับ หากเข้าห้องน้ำ แล้วสิ่งที่ถ่ายออกไปแล้ว มันย้อนกลับเข้าไปใหม่..บรื้ออ..อออ😅😅😅
ชอบเรื่องเวลาอ่ะ พึ่งเจอช่องนี้ อธิบายได้เพลินมาก
เป็นการวิเคราะห์ที่ดีมากๆเลยครับ
อธิบายได้ชัดเจน เก่งมากครับ
อยากให้พูดช้าลงอีกนิส..นึงค่ะจะได้คิดตามได้ทัน