เลิกหลงสวดพาหุง ชินบัญชร คำแต่งใหม่สวดได้บาป แต่ควรฟังธรรมให้เกิดปัญญา
HTML-код
- Опубликовано: 23 июл 2024
- 00:00 เริ่มต้นหัวข้อ
01:08 สวดชินบัญชร คำแต่งใหม่ คำแปลก็สอนผิด สวดได้บาป ไม่ได้สิ่งดีกับชีวิต
04:42 สวดพาหุง พุทธชัยมงคล อยากชนะได้สิ่งดี แต่แพ้กิเลส สวดได้บาป
12:07 เหตุการณ์สำคัญวันมาฆบูชาที่ไม่เคยรู้ ควรน้อมระลึกถึง
13:00 โอวาทปาฏิโมกข์ที่ละเอียดลึกซึ้งในวันมาฆบูชา
13:16 การไม่ทำบาปทั้งสิ้นคืออย่างไร
16:54 การยังกุศลให้ถึงพร้อมคืออย่างไร
18:38 การทำจิตให้ผ่องใสบริสุทธิ์คืออย่างไร
21:50 ขันติ ความอดทน เป็นตบะเป็นธรรมเผาบาปอย่างยิ่งคืออย่างไร
23:23 ท่านผู้รู้ทั้งหลาย กล่าวว่าพระนิพพานเป็นเยี่ยมคืออย่างไร
24:17 ผู้ทำร้ายผู้อื่นไม่ชื่อว่าบรรพชิต ผู้เบียดเบียนผู้อื่นอยู่ ไม่ชื่อว่าเป็นสมณะคืออย่างไร
25:30 ความไม่กล่าวร้าย ความไม่ทำร้าย คืออย่างไร
25:39 ความสำรวมในพระปาติโมกข์คืออย่างไร
25:55 ความเป็นผู้รู้ประมาณในการบริโภคอาหารคืออย่างไร
27:02 ที่นอนที่นั่งอันสงัดคืออย่างไร
28:25 การประกอบความเพียรในอธิจิตคืออย่างไร
เนื้อหาควรฟังและแชร์ดังนี้
01:08 สวดชินบัญชร คำแต่งใหม่ คำแปลก็สอนผิด สวดได้บาป ไม่ได้สิ่งดีกับชีวิต
04:42 สวดพาหุง พุทธชัยมงคล อยากชนะได้สิ่งดี แต่แพ้กิเลส สวดได้บาป
12:07 เหตุการณ์สำคัญวันมาฆบูชาที่ไม่เคยรู้ ควรน้อมระลึกถึง
13:00 โอวาทปาฏิโมกข์ที่ละเอียดลึกซึ้งในวันมาฆบูชา
13:16 การไม่ทำบาปทั้งสิ้นคืออย่างไร
16:54 การยังกุศลให้ถึงพร้อมคืออย่างไร
18:38 การทำจิตให้ผ่องใสบริสุทธิ์คืออย่างไร
21:50 ขันติ ความอดทน เป็นตบะเป็นธรรมเผาบาปอย่างยิ่งคืออย่างไร
23:23 ท่านผู้รู้ทั้งหลาย กล่าวว่าพระนิพพานเป็นเยี่ยมคืออย่างไร
24:17 ผู้ทำร้ายผู้อื่นไม่ชื่อว่าบรรพชิต ผู้เบียดเบียนผู้อื่นอยู่ ไม่ชื่อว่าเป็นสมณะคืออย่างไร
25:30 ความไม่กล่าวร้าย ความไม่ทำร้าย คืออย่างไร
25:39 ความสำรวมในพระปาติโมกข์คืออย่างไร
25:55 ความเป็นผู้รู้ประมาณในการบริโภคอาหารคืออย่างไร
27:02 ที่นอนที่นั่งอันสงัดคืออย่างไร
28:25 การประกอบความเพียรในอธิจิตคืออย่างไร
ขออนุโมทนา
ขออนุโมทนาสาธุ..ขอบคุณเป็นอย่างยิ่งครับอาจารย์ เดี๋ยวผมจะเริ่มต้นฟังใหม่ ตั้งแต่ต้นจนจบ เพื่อความเข้าใจและจะได้ปฏิบัติอย่างถูกต้องครับ
@@TK.tanakit ยินดีและอนุโมทนาในความเริ่มต้นถูกใหม่ ครับ ผู้ตรงย่อมได้สาระจากพระธรรม ครับ สาธุ
สาธุจ้า
@@paderm ถูกต้องที่สุดค่ะ
สาธุค่ะคุณค่ะทำไมถึงบอกว่าพาหุง.ผิดๆอย่างไร..แล่ะสวดชินบัญชอน.ผิดอย่างไร...
ขออนุโมทนาบุญกับอาจารย์ ในพระธรรมคำสอนของตถาคต สาธุๆค่ะ
สาธุเป็นธรรมที่แท้จริง เข้าใจความจริงแล้วขอบคุณมากค่ะ ท่านนำธรรมของพระบรมศาสดามาอธิบาย แจ่มแจ้งแล้ว
กราบอนุโมทนาค่ะ มีความเข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ มากขึ้นเกี่ยวกับความสำคัญและความหมายที่แท้จริงของวันมาฆบูชา สาธุค่ะ
ในสมัยพุทธกาล พระสงฆ์ที่บรรลุ เพราะเกิดจากการฟังธรรม จากพระพุทธเจ้า ไม่ได้สวดมนต์ เลย🙏🙏🙏
สวดได้บาป คือ ความคิดแปลกนะคุณ
ชินบัญชร คำที่ตรงข้ามคำสอนพระพุทธเจ้า
ชินบัญชร คำแต่งใหม่ทำให้เข้าใจผิด นอกคำสอนพระพุทธเจ้า เอาพระพุทธเจ้า พระอริยสาวกไปประทับส่วนต่างๆ ท่านปรินิพพานแล้ว จะไปอยู่ส่วนต่างๆได้อย่างไร แล้วในคำสวด ให้คาถาทำให้พ้นภัย ได้สิ่งดี ก็สอนผิด ลืมเรื่องกรรม คำสวดไม่ใช่ศักดิ์สิทธิ์ สวดขออ้อนวอน อยากได้สิ่งดี ก็คือกิเลส ก็เพิ่มสิ่งไม่ดีกับชีวิตโดยไม่รู้ตัว ครับ
พาหุง พุทธชัยมงคล คำเพิ่มกิเลส ไม่ใช่คำสอนพระพุทธเจ้า
พาหุง พุทธชัยมงคล แต่งใหม่ ให้ชนะสิ่งต่างๆ ไม่ได้แสดงถึง ชนะที่แท้จริง คือ ชนะกิเลส พระพุทธเจ้าทรงชนะกิเลส ที่เป็นเหตุให้เป็นพระพุทธเจ้า พระอริยสาวก ชนะกิเลส จึงเป็นเหตุให้บรรลุธรรม ชนะกิเลสด้วยปัญญา อันเกิดจากการฟังพระธรรม ไม่ใช่มาสวดมนต์ ขอ อ้อนวอน เพื่ออยากชนะไ้ดสิ่งดีๆ นั่นคือ แพ้อยู่ แพ้กิเลส แพ้โลภะ แพ้ความอยาก ยิ่งเพิ่มทุกข์ ไม่ใช่พระพุทธศาสนา ครับ
พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาในโลก เพื่อละสละกิเลส สละราชสมบัติ อันเป็นเหตุแห่งทุกข์ แต่ผู้ไม่รู้ ไม่ศึกษาธรรม กับแสวงหา ต้องการ เพิ่มกิเลส เหตุแห่งทุกข์ กลับเอาผลคือ ได้สิ่งดีกับชีวิตสุขภาพ เป็นตัววัด แท้ที่จริงผลของพระพุทธศาสนาคือเกิดปัญญา ความเห็นถูก และละสิ่งที่ท่านเขียนมา อันเป็นเหตุแห่งทุกข์ เพราะฉะนั้น สวดแบบนั้นก็คือไม่ใช่พระพุทธศาสนา แต่เป็นลัทธิขอ บูชา อ้อนวอน คือ กิเลส โลภะ ที่พระองค์ทรงแสดงว่าเป็นเหตุแห่งทุกข์นั่นเอง นี่คือความจริงของ ผู้ที่รู้ คือ พระพุทธเจ้า และผู้ไม่รู้ คือ ผู้ที่อยากได้สิ่งดีกับชีวิต ที่เป็นเหตุแห่งทุกข์ครับ ตรงข้ามกันสิ้นเชิง จึงกระทำผิดกันครับ
ในวันมาฆบูชา พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ คำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ไม่ได้ให้ พระภิกษุ ๑๒๕๐ รูป ไปสวดบทสวดต่างๆ แต่พระองคฺ์ทรงแสดงพระธรรมให้เกิดปัญญาความเข้าใจถูก เพราะ พระพุทธศาสนา พุทธ หมายถึง ปัญญาความเข้าใจถูก ดังนั้น ควรฟังพระธรรมในภาษาของตนให้เข้าใจ ดังเช่นในคลิปนี้ ให้ฟังโอวาทปาฏิโมกข์ ในภาษาไทย ให้เข้าใจถูกเกิดปัญญา จึงไม่ใช่มาสวดมนต์ในภาษาบาลีที่ไม่เข้าใจ หรือ สวดแปลแต่ไม่เข้าใจในแต่ละคำว่าคืออะไร ดังนั้นควรฟังพระธรรมให้เข้าใจเป็นสำคัญ เพื่อเกิดปัญญารู้ ละกิเลส เมื่อเข้าใจคำสอนย่อมระลึกถึงคุณได้แม้ไม่ได้สวด ครับ ฟังพระธรรมก่อนได้ครับ และ เวลาไหนก็ได้นั่นเองครับ ขออนุโมทนา
ขอบคุณค่ะ
สาธุ สาธุ สาธุ ค่ะ
สาธุคะขอบคุณที่ให้ความรู้คะ❤
ขอบพระคุณมากค่ะ 😊🙏
🔔💠Natha..ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงค่ะ🙏🙏🙏
สวดมนต์เกิดคลื่นเสียงทำให้กระทบคลื่นสมองทำให้มีสมาธิสติมากขึ้นได้ค่ะเเง่ จิตวิทยา วิทยาศาสตร์ค่ะ
สวดมนต์ก็ทำให้เกิดสมาธิ : คนส่วนใหญ่เข้าใจสมาธิผิด (คิดว่าสมาธิดีหมด มีสมาธิที่ไม่ดีด้วย)
ก่อนอื่นก็ต้องเข้าใจตั้งแต่คำว่าสมาธิ ว่า สมาธิ คือ อะไร?
สมาธิ เป็นความตั้งมั่นในอารมณ์หนึ่งอารมณ์ใด ว่าโดยสภาพธรรมแล้ว ได้แก่ เอกัคคตาเจตสิก ซึ่งเป็นเจตสิกธรรมหนึ่งที่จะต้องเกิดร่วมกับจิตทุกขณะ ทุกประเภท ไม่มีเว้น ดังนั้น ทุกขณะมีสมาธิเกิดแน่นอน แต่ที่น่าพิจารณา คือ ถ้าเกิดกับอกุศลก็เป็นมิจฉาสมาธิ ในทางตรงกันข้าม ถ้าเกิดกับกุศลก็เป็นสัมมาสมาธิ เพราะเป็นความถูกต้อง ในขณะที่เป็นกุศล จะเป็นอกุศลไม่ได้
สมาธิ เป็นสภาพธรรมที่มีจริง ว่าโดยสภาพธรรมแล้ว เป็นเจตสิกประการหนึ่งที่ตั้งมั่นในอารมณ์หนึ่งอารมณ์ใด อารมณ์ คือ สิ่งที่จิตรู้ เมื่อจิตเกิดขึ้นต้องรู้อารมณ์ และก็จะต้องมีสมาธิซึ่งเป็นเอกัคคตาเจตสิกเกิดร่วมกับจิตทุกครั้งทุกขณะ ไม่เว้นเลย ตั้งมั่นในอารมณ์ที่จิตกำลังรู้ ดังนั้น ไม่ว่าจะนั่ง จะยืน จะนอน จะเดิน จึงไม่ปราศจากสมาธิเลย เพราะเกิดกับจิตทุกขณะ และที่ควรพิจารณา คือ สมาธิหรือเอกัคคตาเจตสิก เกิดกับอกุศลก็เป็นอกุศลสมาธิ
อกุศลสมาธิ เช่น การนั่งสมาธิ ไม่ควรเจริญ ไม่ควรประกอบ ซึ่งขณะนั้นเป็นไปกับด้วยความต้องการ อยากจะสงบ โดยที่ไม่รู้เลยว่า ความสงบ เป็นเรื่องของกุศลธรรม อกุศลสมาธิไม่เป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นของกุศลธรรม มีปัญญาเป็นต้น มีแต่จะเพิ่มพูนความไม่รู้และอกุศลธรรมอื่นๆ ต่อไป
ในสมัยพุทธกาล อุบาสก อุบาสิกา ผู้เป็นเพศฆราวาส ไม่ได้ทำอะไรให้ชีวิตผิดปกติ เพราะท่านเข้าใจว่า ธรรม เป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วในชีวิตประจำวัน การเจริญอบรมปัญญา ความสงบจึงไม่ต้องไปทำอะไรให้ผิดปกติโดยการนั่งสมาธิ แต่ท่านเข้าใจถูกและอบรมปัญญาในชีวิตประจำวัน และทำกิจการงานดังเช่นคฤหัสถ์ในปัจจุบันด้วย ดังเช่น ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ที่เป็นพ่อค้าและเป็นอริยสาวก และอบรมปัญญา เจริญกุศลในชีวิตประจำวัน มีการให้ทาน รักษาศีล อบรมปัญญา โดยไม่ได้ไปปลีกวิเวก หาที่นั่งสงบเลย เพราะความสงบ คือ จิตใจที่เป็นกุศลที่เกิดได้ในชีวิตประจำวัน เพราะจิตที่ดี สงบ ไม่ได้เลือก
ดังนั้น พระพุทธเจ้าทรงแสดงเรื่องสมาธิ ในสมัยพุทธกาลว่า สมาธิ มีสองอย่าง คือ สัมมาสมาธิ และ มิจฉาสมาธิ สมาธิใดที่เป็นความตั้งมั่น ที่ไม่ได้หมายถึง จะต้องไปนั่งสมาธิ แต่ขณะแม้เพียงขณะจิตเดียวก็มีสมาธิ แต่เป็นความตั้งมั่น ขณะจิตที่มีปัญญาเกิดร่วมด้วยที่รู้ความจริงที่เป็นวิปัสสนาภาวนา ขณะนั้นก็มีสมาธิด้วย และเป็นสัมมาสมาธิที่เป็นสมาธิที่ควรเจริญ
ส่วนการกระทำที่ได้แต่ความนิ่ง ไม่ทำให้เกิดปัญญาความรู้ พระพุทธเจ้าก็ทรงแสดงว่าเป็น มิจฉาสมาธิ เป็นสมาธิที่ไม่ดี ไม่ถูกต้อง เพราะเกิดกับอกุศลจิต มี โลภะ และ โมหะ เป็นต้น คือ มีความต้องการที่จะทำ อยากที่จะสงบ อันเป็นความต้องการที่เป็นโลภะ และขณะที่นิ่งก็ไม่รู้อะไร ขณะนั้นก็มีโมหะเกิดร่วมด้วย พระพุทธเจ้าทรงติเตียนมิจฉาสมาธิว่าไม่ควรเจริญ ครับ
ขออนุโมทนา
กราบขอบพระคุณค่ะ
แล้วคุณเอาความเชื่อมั่นมาจากไหนว่าสิ่งที่คุณพูดนั้นถูกหรือผิด
ชินบัญชร คำที่ตรงข้ามคำสอนพระพุทธเจ้า
ชินบัญชร คำแต่งใหม่ทำให้เข้าใจผิด นอกคำสอนพระพุทธเจ้า เอาพระพุทธเจ้า พระอริยสาวกไปประทับส่วนต่างๆ ท่านปรินิพพานแล้ว จะไปอยู่ส่วนต่างๆได้อย่างไร แล้วในคำสวด ให้คาถาทำให้พ้นภัย ได้สิ่งดี ก็สอนผิด ลืมเรื่องกรรม คำสวดไม่ใช่ศักดิ์สิทธิ์ สวดขออ้อนวอน อยากได้สิ่งดี ก็คือกิเลส ก็เพิ่มสิ่งไม่ดีกับชีวิตโดยไม่รู้ตัว ครับ
พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาในโลก เพื่อละสละกิเลส สละราชสมบัติ อันเป็นเหตุแห่งทุกข์ แต่ผู้ไม่รู้ ไม่ศึกษาธรรม กับแสวงหา ต้องการ เพิ่มกิเลส เหตุแห่งทุกข์ กลับเอาผลคือ ได้สิ่งดีกับชีวิตสุขภาพ เป็นตัววัด แท้ที่จริงผลของพระพุทธศาสนาคือเกิดปัญญา ความเห็นถูก และละสิ่งที่ท่านเขียนมา อันเป็นเหตุแห่งทุกข์ เพราะฉะนั้น สวดแบบนั้นก็คือไม่ใช่พระพุทธศาสนา แต่เป็นลัทธิขอ บูชา อ้อนวอน คือ กิเลส โลภะ ที่พระองค์ทรงแสดงว่าเป็นเหตุแห่งทุกข์นั่นเอง นี่คือความจริงของ ผู้ที่รู้ คือ พระพุทธเจ้า และผู้ไม่รู้ คือ ผู้ที่อยากได้สิ่งดีกับชีวิต ที่เป็นเหตุแห่งทุกข์ครับ ตรงข้ามกันสิ้นเชิง จึงกระทำผิดกันครับ
สังขิตตสูตร
ดูกร โคตมี ท่านพึงรู้ธรรมเหล่าใดว่า ธรรมเหล่านี้ เป็นไปเพื่อความกำหนัด ไม่เป็นไปเพื่อความคลายกำหนัด เป็นไปเพื่อประกอบสัตว์ไว้ ไม่เป็นไปเพื่อพรากสัตว์ออก เป็นไปเพื่อสั่งสมกิเลส ไม่เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักมาก ไม่เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย เป็นไปเพื่อความไม่สันโดษ ไม่เป็นไปเพื่อความสันโดษเป็นไปเพื่อความคลุกคลีด้วยหมู่คณะ ไม่เป็นไปเพื่อความสงัดเป็นไปเพื่อความเกียจคร้าน ไม่เป็นไปเพื่อปรารภความเพียรเป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงยาก ไม่เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย ดูกร โคตมี ท่านพึงทรงจำไว้โดยส่วนหนึ่งว่า นี้ไม่ใช่ธรรมไม่ใช่วินัย ไม่ใช่คำสั่งสอนของพระศาสดา.
@@padermสวดเพราะความศรัทธาค่ะไม่ได้สวดเพราะกิเลส ศรัทธาไม่ใช่กิเลสค่ะ
กราบอนุโมทนาสาธุด้วยครับผม
อนุโทนา ครับ 🙏🙏🙏
สาธุ
สาธุค่ะ
สาธุๆๆ
ขอบคุณค่ะ เพราะไปทำมาหลายอย่าง เพื่อแสวงหาทางดับทุกข์ แต่ยอมรับว่าขาดปัญญา
สาธุขอขอบคุณอาจารย์
ไม่บาบ หรอก ครับ เพราะเราสวด แล้ว มีแต่ สิ่ดี ดี ครับ
ถ้าสวดแล้วสบายใจเป็นบุญ ? คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจเรื่องบุญ
เข้าใจผิดว่าบุญเป็นความสบายใจ เป็นความสุข ความสุข คือ ความรู้สึก เป็นเวทนา ความรู้สึกสุขเกิดกับกิเลสก็ได้ เช่น เกิดกับโลภะ ขณะออกกำลังกาย มีความสุข ออกกำลังกายเป็นบุญไหม ไม่เป็น เพราะ เป็นโลภะ เป็นกิเลส แต่มีความรู้สึกสุขเกิดร่วมด้วยได้ ดังนั้นความสุข ความสบายใจ จึงไม่ใช่ตัววัดว่าเป็นบุญ บุญเป็นสภาพธรรมที่สงบจากกิเลส แต่ความรู้สึกสุขเกิดขณะที่เป็นบุญได้ และเกิดในขณะที่เป็นกิเลสได้ด้วย ครับ
บุญ คือ สภาพธรรมที่ชำระล้างสันดาน คือ ชำระจิต สิ่งที่ตรงข้ามกับบุญ คือ กิเลส มี โลภะ ความติดข้อง โทสะ ความขุ่นใจ และ โมหะ ความไม่รู้ เป็นต้น ขณะใดที่อยากได้ผล อานิสงส์ในการสวด เป็นความต้องการ เป็นโลภะ ขณะใดที่สวดพูดคำไม่รู้จักแปลเป็นภาษาไทย แต่ก็ไม่เข้าใจคำนั้น หรือ เข้าใจคำนั้นผิด ก็เป็นความไม่รู้ เป็นโมหะ
แต่ บุญ คือ ขณะที่ไม่มีกิเลส ไม่มีโลภะ ไม่มีโมหะ ขณะให้ทาน ขณะรักษาศีล ขณะเข้าใจถูก ขณะที่อ่านแล้วเข้าใจถูก มีปัญญา ไม่มีโมหะ จึงเป็นบุญที่ประเสริฐ
พอพูดถึงกุศล กุศลนี่ดี อยากได้ หรือควรเป็น ควรเป็นกุศล แต่คนส่วนมากไม่ทราบ คนส่วนมากจะอยากได้กุศล พอทราบว่า ทำกุศลอย่างไหนจะได้บุญมาก ได้ผลมาก เขาจะทำ แต่เขาลืมว่า นั่นเป็นอกุศล ที่อยากได้กุศลนั่นแหละเป็นอกุศล เพราะว่าอยากได้ ติดข้อง แต่กุศลจริงๆ หมายความถึงสภาพจิตที่ดีงาม อย่าลืมคำนี้เลย มิฉะนั้นแล้วเราจะเข้าใจผิด
ขออนุโมทนา
พระพุทธเจ้าไม่ได้ให้สวดขออ้อนวอน นั่นคือไม่ต่างจากลัทธิผี เพิ่มบาป เพิ่มความอยาก เพิ่มกิเลส ไม่ใช่เรื่องละ แต่เป็นเรื่องได้ ไม่ใช่คำสอนพระพุทธเจ้า พระพุทธศาสนาเป็นเรื่องของปัญญา อันเกิดจากการฟังพระธรรม ไม่ใช่สวดมนต์ด้วยความไม่รู้ และความอยาก พระอลัชชี จึงสอนคำแต่งใหม่ที่เพิ่มกิเลส แทนที่จะฟังคำพระพุทธเจ้า ครับ
ขอขอบพระคุณท่านอ.เผดิมและขออนุโมทนาสาธุค่ะ
บ้านะมึง
ขอบคุณมากมายค่ะ อนุโมทนาสาธุ สติมาปัญญาเกิดค่ะ🙏
ฟังไว้ พิจรณาไว้ ไตร่ตรองไป จนกว่าจะไม่มีเราที่ฟัง พิจรณา และไตร่ตรอง แท้ที่จริง คือสภาพธรรมะ ที่ทำกิจของตนๆ กราบอนุโมทนา สาธุในกุศลจิต ค่ะท่านอาจารย์
ชนะจิตด้วยปัญญา กราบขอบพระคุณค่ะ
ขอบคุณคะ
กราบบูชาคุณท่านอาจารย์ผเดิมที่เคารพอย่างสูงอาจารย์กล่าวคำจริงถูกต้องตามคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ทรงตรัสไว้ดี.กราบ....🙏...อนุโมทนาสาธุ.🙏🙏🙏...จากนราธิวาสครับผม...👍👍👍🥰
สวดไปเถอะเกิดสมาธิทั้งสิ้น
สวดมนต์ก็ทำให้เกิดสมาธิ : คนส่วนใหญ่เข้าใจสมาธิผิด (คิดว่าสมาธิดีหมด มีสมาธิที่ไม่ดีด้วย)
ก่อนอื่นก็ต้องเข้าใจตั้งแต่คำว่าสมาธิ ว่า สมาธิ คือ อะไร?
สมาธิ เป็นความตั้งมั่นในอารมณ์หนึ่งอารมณ์ใด ว่าโดยสภาพธรรมแล้ว ได้แก่ เอกัคคตาเจตสิก ซึ่งเป็นเจตสิกธรรมหนึ่งที่จะต้องเกิดร่วมกับจิตทุกขณะ ทุกประเภท ไม่มีเว้น ดังนั้น ทุกขณะมีสมาธิเกิดแน่นอน แต่ที่น่าพิจารณา คือ ถ้าเกิดกับอกุศลก็เป็นมิจฉาสมาธิ ในทางตรงกันข้าม ถ้าเกิดกับกุศลก็เป็นสัมมาสมาธิ เพราะเป็นความถูกต้อง ในขณะที่เป็นกุศล จะเป็นอกุศลไม่ได้
สมาธิ เป็นสภาพธรรมที่มีจริง ว่าโดยสภาพธรรมแล้ว เป็นเจตสิกประการหนึ่งที่ตั้งมั่นในอารมณ์หนึ่งอารมณ์ใด อารมณ์ คือ สิ่งที่จิตรู้ เมื่อจิตเกิดขึ้นต้องรู้อารมณ์ และก็จะต้องมีสมาธิซึ่งเป็นเอกัคคตาเจตสิกเกิดร่วมกับจิตทุกครั้งทุกขณะ ไม่เว้นเลย ตั้งมั่นในอารมณ์ที่จิตกำลังรู้ ดังนั้น ไม่ว่าจะนั่ง จะยืน จะนอน จะเดิน จึงไม่ปราศจากสมาธิเลย เพราะเกิดกับจิตทุกขณะ และที่ควรพิจารณา คือ สมาธิหรือเอกัคคตาเจตสิก เกิดกับอกุศลก็เป็นอกุศลสมาธิ
อกุศลสมาธิ เช่น การนั่งสมาธิ ไม่ควรเจริญ ไม่ควรประกอบ ซึ่งขณะนั้นเป็นไปกับด้วยความต้องการ อยากจะสงบ โดยที่ไม่รู้เลยว่า ความสงบ เป็นเรื่องของกุศลธรรม อกุศลสมาธิไม่เป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นของกุศลธรรม มีปัญญาเป็นต้น มีแต่จะเพิ่มพูนความไม่รู้และอกุศลธรรมอื่นๆ ต่อไป
ในสมัยพุทธกาล อุบาสก อุบาสิกา ผู้เป็นเพศฆราวาส ไม่ได้ทำอะไรให้ชีวิตผิดปกติ เพราะท่านเข้าใจว่า ธรรม เป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วในชีวิตประจำวัน การเจริญอบรมปัญญา ความสงบจึงไม่ต้องไปทำอะไรให้ผิดปกติโดยการนั่งสมาธิ แต่ท่านเข้าใจถูกและอบรมปัญญาในชีวิตประจำวัน และทำกิจการงานดังเช่นคฤหัสถ์ในปัจจุบันด้วย ดังเช่น ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ที่เป็นพ่อค้าและเป็นอริยสาวก และอบรมปัญญา เจริญกุศลในชีวิตประจำวัน มีการให้ทาน รักษาศีล อบรมปัญญา โดยไม่ได้ไปปลีกวิเวก หาที่นั่งสงบเลย เพราะความสงบ คือ จิตใจที่เป็นกุศลที่เกิดได้ในชีวิตประจำวัน เพราะจิตที่ดี สงบ ไม่ได้เลือก
ดังนั้น พระพุทธเจ้าทรงแสดงเรื่องสมาธิ ในสมัยพุทธกาลว่า สมาธิ มีสองอย่าง คือ สัมมาสมาธิ และ มิจฉาสมาธิ สมาธิใดที่เป็นความตั้งมั่น ที่ไม่ได้หมายถึง จะต้องไปนั่งสมาธิ แต่ขณะแม้เพียงขณะจิตเดียวก็มีสมาธิ แต่เป็นความตั้งมั่น ขณะจิตที่มีปัญญาเกิดร่วมด้วยที่รู้ความจริงที่เป็นวิปัสสนาภาวนา ขณะนั้นก็มีสมาธิด้วย และเป็นสัมมาสมาธิที่เป็นสมาธิที่ควรเจริญ
ส่วนการกระทำที่ได้แต่ความนิ่ง ไม่ทำให้เกิดปัญญาความรู้ พระพุทธเจ้าก็ทรงแสดงว่าเป็น มิจฉาสมาธิ เป็นสมาธิที่ไม่ดี ไม่ถูกต้อง เพราะเกิดกับอกุศลจิต มี โลภะ และ โมหะ เป็นต้น คือ มีความต้องการที่จะทำ อยากที่จะสงบ อันเป็นความต้องการที่เป็นโลภะ และขณะที่นิ่งก็ไม่รู้อะไร ขณะนั้นก็มีโมหะเกิดร่วมด้วย พระพุทธเจ้าทรงติเตียนมิจฉาสมาธิว่าไม่ควรเจริญ ครับ
ขออนุโมทนา
สาธุสาธุสาธุครับ
ฟังเพื่อนำมาปรับใช้กับความเข้าใจในตัวเรา ยินดีรับฟังทุกแนวคิด สาธุ
กราบอนุโมทนาสาธุค่ะ🌸🙏🌸😇
ฟังธรรมก็ดีคับ ธรรมอื่นก็ดีคับ ขอให้หมั่นทำดีครับ ทั้ง ทานศีล ภาวนา
สวดคำไม่รู้จัก คำแต่งใหม่ที่ทำให้เข้าใจผิด สวดขออ้อนวอน ไม่ใช่บุญครับเป็นกิเลส ไม่ใช่ทาน ไม่ใช่ศีล ไม่ใช่ภาวนาครับ
อนุโมทนาสาธุค่ะ🙏 ขอบพระคุณมากๆค่ะ
กราบอนุโมทนาค่ะ🙏🌷🙏🌷🙏
อนุโมทนาสาธุขอรับ
สาธุสาธุสาธุ
จริงครับ
อนุโมทนาสาธุค่ะอาจารย์
ถูกครับ. มาจากเหตุครับผม
สาธุๆครับผม. ถูกครับผม
บางคนเขาก็สวดเพื่อระลึกถึงพระองค์ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่เจตนา
การระลึกถึงพระพุทธองค์ คือระลึกถึงพระธรรมคำสอน คือพระธรรมที่รู้ตามได้ การระลึกที่ถูกต้องจึงไม่ใช่การไปทำสิ่งที่ไม่ทำให้รู้ตามได้ เช่นการสวดท่องในสิ่งที่ไม่รู้ความหมาย ไม่ทำให้เกิดความเข้าใจพระธรรม
เพราะไม่เข้าใจจึงสวด ครับ เพราะผู้ที่เข้าใจพระธรรม ย่อมระลึกถึงพระคุณโดยไม่ต้องสวด ดังนั้นเข้าใจผิดว่าสวดตอนไหนก็ได้บุญ นกแก้วนกขุนทอง ก็ท่องคำสวดได้ ครับ เด็กไม่ศึกษาธรรม ก็สวดได้ครับที่มีความจำดี สัญญา จึงไม่ใช่ปัญญา ครับ สัญญาจำ เกิดกับอกุศลได้ และคำพระพุทธเจ้า ไม่ใช่สิริมงคล จิตที่ดี ที่ไม่ใช่ความเข้าใจผิดที่คิดว่าสวดเป็นสิริมงคล เป็นมงคลเพราะเข้าใจถูก สวดไม่รู้อะไร แปลแต่ไม่เข้าใจ เป็นความไม่รู้ ไม่ใช่สิริมงคลแต่เพิ่ม อัปมงคล และ แม้คำว่า แม้เพราะเหตุนี้ แปลมาแล้ว แต่ก็ไม่เข้าใจคำนี้ แม้เพราะเหตุนี้คืออะไร ก็เป็นการท่องจำ สัญญาจำ ที่ไม่รู้อะไรนั่นเองครับ ดังนั้น สำคัญที่ต้องศึกษาพระธรรมให้เข้าใจถูกต้อง ครับ เหตให้เกิดปัญญา คือ ฟังพระธรรมให้เข้าใจในภาษาที่เข้าใจ ไม่ใช่ไปสวดคำที่แปลแล้ว แต่ไม่เข้าใจคำนั้นตามคำพระพุทธเจ้าครับ ขออนุโมทนา
ชินบัญชร คำที่ตรงข้ามคำสอนพระพุทธเจ้า
ชินบัญชร คำแต่งใหม่ทำให้เข้าใจผิด นอกคำสอนพระพุทธเจ้า เอาพระพุทธเจ้า พระอริยสาวกไปประทับส่วนต่างๆ ท่านปรินิพพานแล้ว จะไปอยู่ส่วนต่างๆได้อย่างไร แล้วในคำสวด ให้คาถาทำให้พ้นภัย ได้สิ่งดี ก็สอนผิด ลืมเรื่องกรรม คำสวดไม่ใช่ศักดิ์สิทธิ์ สวดขออ้อนวอน อยากได้สิ่งดี ก็คือกิเลส ก็เพิ่มสิ่งไม่ดีกับชีวิตโดยไม่รู้ตัว ครับ
สวดไปเถอะค่ะ
ดีกว่าไม่มีอะไรยึดเหนี่ยว
คำแปลก็มี
สาธุ ขอบพระคุณมากๆครับ
สาธุค่ะชอบฟังค่ะ
กราบอนุโมทนาสาธุค่ะ 🙏🙏🙏
กราบสาธุสาธุสาธุ
กราบ อนุโมทนา ค่ะ 🙏🍁
โห นี่คือความรู้ใหม่เลย
สาธุค่ะ เข้าใจแจ่มแจ้ง ขอบพระคุณค่ะ
สาธุ สาธุ สาธุ
สวดแล้วใจสงบดีก็ไม่เป็นไรมั้ง !
ต้องเข้าใจคำว่าสงบครับว่าคืออะไร การนิ่ง จดจ่อกับสิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่ใช่ความสงบ ครับ แต่ ความสงบ คือ สงบจากกิเลส ขณะที่ต้องการสวด โลภะ เป็นกิเลสไม่สงบครับ สวดด้วยความไม่รู้ โมหะ เป็นกิเลสไม่สงบ ครับ อยากได้มงคลชีวิต เป็นกิเลส ไม่สงบ ครับ ดังนั้นถ้าเราไม่ศึกษาพระธรรมวินัยโดยละเอียด ไม่ศึกษาคำพระพุทธเจ้า เราก็จะเข้าใจผิดตั้งแต่ต้น โดยเข้าใจผิดในคำว่า สงบ ครับ ขออนุโมทนา
ดิ่งลงไปในความไม่รู้ มีแต่โทษ ถ้าเข้าใจจะไม่มีมั้ง อะไรดีจะรู้ว่าดีด้วยความเห็นถูก ความเห็นถูกต้องมั่นคง
พ่อแม่ครูบาอาจารย์ท่านสอนมาครับ หลวงพ่อจรัญท่านก็สอนก็บอกว่าสวดแล้วชีวิตจะดี แล้วท่านผู้เจริญมาบอกว่าสวดแล้วจะได้บาป ผมจะต้องสวดต่อไปมั๊ยคับ
@@ukarinpolsrima6865 ก็ควรฟัง แล้วพิจารณาไตร่ตรองให้เป็นปัญญาของตัวเอง ว่าเพราะอะไรเขาถึงว่าบาป มันผลควรแก่เหตุหรือไม่อย่างไร ถ้าบาป บาปอย่างไร ไม่บาป ไม่บาปอย่างไร เราแย้งอย่างไรได้บ้าง คำแย้งของเรา เป็นตามคำสอนของพระพุทธเจ้าหรือไม่
@@ukarinpolsrima6865 พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาในโลก เพื่อละสละกิเลส สละราชสมบัติ อันเป็นเหตุแห่งทุกข์ แต่ผู้ไม่รู้ ไม่ศึกษาธรรม กับแสวงหา ต้องการ เพิ่มกิเลส เหตุแห่งทุกข์ กลับเอาผลคือ ได้สิ่งดีกับชีวิตสุขภาพ เป็นตัววัด แท้ที่จริงผลของพระพุทธศาสนาคือเกิดปัญญา ความเห็นถูก และละสิ่งที่ท่านเขียนมา อันเป็นเหตุแห่งทุกข์ เพราะฉะนั้น สวดแบบนั้นก็คือไม่ใช่พระพุทธศาสนา แต่เป็นลัทธิขอ บูชา อ้อนวอน คือ กิเลส โลภะ ที่พระองค์ทรงแสดงว่าเป็นเหตุแห่งทุกข์นั่นเอง นี่คือความจริงของ ผู้ที่รู้ คือ พระพุทธเจ้า และผู้ไม่รู้ คือ ผู้ที่อยากได้สิ่งดีกับชีวิต ที่เป็นเหตุแห่งทุกข์ครับ ตรงข้ามกันสิ้นเชิง จึงกระทำผิดกันครับ
กราบอนุโมทนาค่ะ🙏
สอนดีนะคะ ความเข้าใจในธรรมคำสอนเป็นสิ่งสำคัญสุดๆ ทางเดินที่หลงไปได้มากมาย ถ้าจะไม่หลงก็ต้องเข้าใจให้แท้จริงตามคำสอน สาธุค่ะ
อนุโมทนาในกุศลเจตนานะคับ
@@user-nq4xc8ml3p ขอบคุณค่ะ
การสวดมนต์เป็นการช่วยให้มีสมาธิเราไม่รู้ไม่บาปพ่อแม่ครูบาอาจารย์สอนมาคนพูดมาสอนอะไรให้คนฟังเข้าใจไขว้เขวการสวดไม่ใช่ต้องการขอแต่การสวดเป็นการทำให้จิตใจสงบ
สวดมนต์ก็ทำให้เกิดสมาธิ : คนส่วนใหญ่เข้าใจสมาธิผิด (คิดว่าสมาธิดีหมด มีสมาธิที่ไม่ดีด้วย)
ก่อนอื่นก็ต้องเข้าใจตั้งแต่คำว่าสมาธิ ว่า สมาธิ คือ อะไร?
สมาธิ เป็นความตั้งมั่นในอารมณ์หนึ่งอารมณ์ใด ว่าโดยสภาพธรรมแล้ว ได้แก่ เอกัคคตาเจตสิก ซึ่งเป็นเจตสิกธรรมหนึ่งที่จะต้องเกิดร่วมกับจิตทุกขณะ ทุกประเภท ไม่มีเว้น ดังนั้น ทุกขณะมีสมาธิเกิดแน่นอน แต่ที่น่าพิจารณา คือ ถ้าเกิดกับอกุศลก็เป็นมิจฉาสมาธิ ในทางตรงกันข้าม ถ้าเกิดกับกุศลก็เป็นสัมมาสมาธิ เพราะเป็นความถูกต้อง ในขณะที่เป็นกุศล จะเป็นอกุศลไม่ได้
สมาธิ เป็นสภาพธรรมที่มีจริง ว่าโดยสภาพธรรมแล้ว เป็นเจตสิกประการหนึ่งที่ตั้งมั่นในอารมณ์หนึ่งอารมณ์ใด อารมณ์ คือ สิ่งที่จิตรู้ เมื่อจิตเกิดขึ้นต้องรู้อารมณ์ และก็จะต้องมีสมาธิซึ่งเป็นเอกัคคตาเจตสิกเกิดร่วมกับจิตทุกครั้งทุกขณะ ไม่เว้นเลย ตั้งมั่นในอารมณ์ที่จิตกำลังรู้ ดังนั้น ไม่ว่าจะนั่ง จะยืน จะนอน จะเดิน จึงไม่ปราศจากสมาธิเลย เพราะเกิดกับจิตทุกขณะ และที่ควรพิจารณา คือ สมาธิหรือเอกัคคตาเจตสิก เกิดกับอกุศลก็เป็นอกุศลสมาธิ
อกุศลสมาธิ เช่น การนั่งสมาธิ ไม่ควรเจริญ ไม่ควรประกอบ ซึ่งขณะนั้นเป็นไปกับด้วยความต้องการ อยากจะสงบ โดยที่ไม่รู้เลยว่า ความสงบ เป็นเรื่องของกุศลธรรม อกุศลสมาธิไม่เป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นของกุศลธรรม มีปัญญาเป็นต้น มีแต่จะเพิ่มพูนความไม่รู้และอกุศลธรรมอื่นๆ ต่อไป
ในสมัยพุทธกาล อุบาสก อุบาสิกา ผู้เป็นเพศฆราวาส ไม่ได้ทำอะไรให้ชีวิตผิดปกติ เพราะท่านเข้าใจว่า ธรรม เป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วในชีวิตประจำวัน การเจริญอบรมปัญญา ความสงบจึงไม่ต้องไปทำอะไรให้ผิดปกติโดยการนั่งสมาธิ แต่ท่านเข้าใจถูกและอบรมปัญญาในชีวิตประจำวัน และทำกิจการงานดังเช่นคฤหัสถ์ในปัจจุบันด้วย ดังเช่น ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ที่เป็นพ่อค้าและเป็นอริยสาวก และอบรมปัญญา เจริญกุศลในชีวิตประจำวัน มีการให้ทาน รักษาศีล อบรมปัญญา โดยไม่ได้ไปปลีกวิเวก หาที่นั่งสงบเลย เพราะความสงบ คือ จิตใจที่เป็นกุศลที่เกิดได้ในชีวิตประจำวัน เพราะจิตที่ดี สงบ ไม่ได้เลือก
ดังนั้น พระพุทธเจ้าทรงแสดงเรื่องสมาธิ ในสมัยพุทธกาลว่า สมาธิ มีสองอย่าง คือ สัมมาสมาธิ และ มิจฉาสมาธิ สมาธิใดที่เป็นความตั้งมั่น ที่ไม่ได้หมายถึง จะต้องไปนั่งสมาธิ แต่ขณะแม้เพียงขณะจิตเดียวก็มีสมาธิ แต่เป็นความตั้งมั่น ขณะจิตที่มีปัญญาเกิดร่วมด้วยที่รู้ความจริงที่เป็นวิปัสสนาภาวนา ขณะนั้นก็มีสมาธิด้วย และเป็นสัมมาสมาธิที่เป็นสมาธิที่ควรเจริญ
ส่วนการกระทำที่ได้แต่ความนิ่ง ไม่ทำให้เกิดปัญญาความรู้ พระพุทธเจ้าก็ทรงแสดงว่าเป็น มิจฉาสมาธิ เป็นสมาธิที่ไม่ดี ไม่ถูกต้อง เพราะเกิดกับอกุศลจิต มี โลภะ และ โมหะ เป็นต้น คือ มีความต้องการที่จะทำ อยากที่จะสงบ อันเป็นความต้องการที่เป็นโลภะ และขณะที่นิ่งก็ไม่รู้อะไร ขณะนั้นก็มีโมหะเกิดร่วมด้วย พระพุทธเจ้าทรงติเตียนมิจฉาสมาธิว่าไม่ควรเจริญ ครับ
ขออนุโมทนา
ต้องเข้าใจคำว่าสงบครับว่าคืออะไร การนิ่ง จดจ่อกับสิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่ใช่ความสงบ ครับ แต่ ความสงบ คือ สงบจากกิเลส ขณะที่ต้องการสวด โลภะ เป็นกิเลสไม่สงบครับ สวดด้วยความไม่รู้ โมหะ เป็นกิเลสไม่สงบ ครับ อยากได้มงคลชีวิต เป็นกิเลส ไม่สงบ ครับ ดังนั้นถ้าเราไม่ศึกษาพระธรรมวินัยโดยละเอียด ไม่ศึกษาคำพระพุทธเจ้า เราก็จะเข้าใจผิดตั้งแต่ต้น โดยเข้าใจผิดในคำว่า สงบ ครับ ขออนุโมทนา
@@paderm ขอบคุณครับ แต่ผมเคยศึกษามาจากท่านพุทธทาสฯตอนที่ท่านยังอยู่ครับผมเป็นคนใต้ครับอยู่ใกล้กับสวนโมกข์เลยมีโอกาสได้ไปศึกษากับท่าน ซึ่งคุณไม่ทันแน่ๆ ท่านบอกว่าการสวดมนต์จะทำให้จิตนิ่งไม่ฟุ้งซ่านครับการนิ่งก็คือสงบนั่นเอง
@@aoody7339 อ่านอีกครั้งครับ
สวดมนต์ก็ทำให้เกิดสมาธิ : คนส่วนใหญ่เข้าใจสมาธิผิด (คิดว่าสมาธิดีหมด มีสมาธิที่ไม่ดีด้วย)
ก่อนอื่นก็ต้องเข้าใจตั้งแต่คำว่าสมาธิ ว่า สมาธิ คือ อะไร?
สมาธิ เป็นความตั้งมั่นในอารมณ์หนึ่งอารมณ์ใด ว่าโดยสภาพธรรมแล้ว ได้แก่ เอกัคคตาเจตสิก ซึ่งเป็นเจตสิกธรรมหนึ่งที่จะต้องเกิดร่วมกับจิตทุกขณะ ทุกประเภท ไม่มีเว้น ดังนั้น ทุกขณะมีสมาธิเกิดแน่นอน แต่ที่น่าพิจารณา คือ ถ้าเกิดกับอกุศลก็เป็นมิจฉาสมาธิ ในทางตรงกันข้าม ถ้าเกิดกับกุศลก็เป็นสัมมาสมาธิ เพราะเป็นความถูกต้อง ในขณะที่เป็นกุศล จะเป็นอกุศลไม่ได้
สมาธิ เป็นสภาพธรรมที่มีจริง ว่าโดยสภาพธรรมแล้ว เป็นเจตสิกประการหนึ่งที่ตั้งมั่นในอารมณ์หนึ่งอารมณ์ใด อารมณ์ คือ สิ่งที่จิตรู้ เมื่อจิตเกิดขึ้นต้องรู้อารมณ์ และก็จะต้องมีสมาธิซึ่งเป็นเอกัคคตาเจตสิกเกิดร่วมกับจิตทุกครั้งทุกขณะ ไม่เว้นเลย ตั้งมั่นในอารมณ์ที่จิตกำลังรู้ ดังนั้น ไม่ว่าจะนั่ง จะยืน จะนอน จะเดิน จึงไม่ปราศจากสมาธิเลย เพราะเกิดกับจิตทุกขณะ และที่ควรพิจารณา คือ สมาธิหรือเอกัคคตาเจตสิก เกิดกับอกุศลก็เป็นอกุศลสมาธิ
อกุศลสมาธิ เช่น การนั่งสมาธิ ไม่ควรเจริญ ไม่ควรประกอบ ซึ่งขณะนั้นเป็นไปกับด้วยความต้องการ อยากจะสงบ โดยที่ไม่รู้เลยว่า ความสงบ เป็นเรื่องของกุศลธรรม อกุศลสมาธิไม่เป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นของกุศลธรรม มีปัญญาเป็นต้น มีแต่จะเพิ่มพูนความไม่รู้และอกุศลธรรมอื่นๆ ต่อไป
ในสมัยพุทธกาล อุบาสก อุบาสิกา ผู้เป็นเพศฆราวาส ไม่ได้ทำอะไรให้ชีวิตผิดปกติ เพราะท่านเข้าใจว่า ธรรม เป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วในชีวิตประจำวัน การเจริญอบรมปัญญา ความสงบจึงไม่ต้องไปทำอะไรให้ผิดปกติโดยการนั่งสมาธิ แต่ท่านเข้าใจถูกและอบรมปัญญาในชีวิตประจำวัน และทำกิจการงานดังเช่นคฤหัสถ์ในปัจจุบันด้วย ดังเช่น ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ที่เป็นพ่อค้าและเป็นอริยสาวก และอบรมปัญญา เจริญกุศลในชีวิตประจำวัน มีการให้ทาน รักษาศีล อบรมปัญญา โดยไม่ได้ไปปลีกวิเวก หาที่นั่งสงบเลย เพราะความสงบ คือ จิตใจที่เป็นกุศลที่เกิดได้ในชีวิตประจำวัน เพราะจิตที่ดี สงบ ไม่ได้เลือก
ดังนั้น พระพุทธเจ้าทรงแสดงเรื่องสมาธิ ในสมัยพุทธกาลว่า สมาธิ มีสองอย่าง คือ สัมมาสมาธิ และ มิจฉาสมาธิ สมาธิใดที่เป็นความตั้งมั่น ที่ไม่ได้หมายถึง จะต้องไปนั่งสมาธิ แต่ขณะแม้เพียงขณะจิตเดียวก็มีสมาธิ แต่เป็นความตั้งมั่น ขณะจิตที่มีปัญญาเกิดร่วมด้วยที่รู้ความจริงที่เป็นวิปัสสนาภาวนา ขณะนั้นก็มีสมาธิด้วย และเป็นสัมมาสมาธิที่เป็นสมาธิที่ควรเจริญ
ส่วนการกระทำที่ได้แต่ความนิ่ง ไม่ทำให้เกิดปัญญาความรู้ พระพุทธเจ้าก็ทรงแสดงว่าเป็น มิจฉาสมาธิ เป็นสมาธิที่ไม่ดี ไม่ถูกต้อง เพราะเกิดกับอกุศลจิต มี โลภะ และ โมหะ เป็นต้น คือ มีความต้องการที่จะทำ อยากที่จะสงบ อันเป็นความต้องการที่เป็นโลภะ และขณะที่นิ่งก็ไม่รู้อะไร ขณะนั้นก็มีโมหะเกิดร่วมด้วย พระพุทธเจ้าทรงติเตียนมิจฉาสมาธิว่าไม่ควรเจริญ ครับ
ขออนุโมทนา
กราบอนุโมทนาครับท่านอาจารย์เผดิม
มันอยู่ที่จิต ศาสนาเราเน้นสอนที่จิต หลายอย่างที่ทำกัน มันเป็นอุบายเพื่อจิต รู้แต่หนังสือ ไม่รู้ปฏิบัติ แล้วมาบอกว่าถูกว่าผิด
ถ้าจิตผิด คือ อยากต้องการ สวดเพื่อได้สิ่งดีมงคลชีวิต สวดคำแปลก็ผิด จิตผิด แต่ไม่รู้ว่าจิต ก็เลยสำคัญว่าดี อกุศล ความอยาก ไม่เปลี่ยน เกิดกับจิตใด เรียกว่า จิตที่เป็นโลภะ เป็นธรรมที่ไม่ดีครับ
สวดไม่เดือดร้อนใคร ไม่เบียดเบียนใครก็สวดได้ ?
แม้ตอนนี้อยู่เฉยๆก็ไม่เบียดเบียนใคร ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน แต่กิเลสเกิดขึ้นในใจแล้วแต่ไม่รู้ เห็นแล้วไม่รู้อะไร โมหะเกิดขึ้นแต่ไม่รู้ว่ามีกิเลส จึงไม่รู้ว่ากำลังถูกเบียดเบียนด้วยกิเลสในใจของตนเองเกือบทุกขณะ นี่คือพระปัญญาที่พระองค์ทรงตรัสรู้ความจริงของกิเลส โลภะเกิดขึ้นเมื่อใด ทำร้ายตนเองแล้ว เพราะไม่เข้าใจจึงสวด ครับ เพราะผู้ที่เข้าใจพระธรรม ย่อมระลึกถึงพระคุณโดยไม่ต้องสวด ดังนั้นเข้าใจผิดว่าสวดตอนไหนก็ได้บุญ นกแก้วนกขุนทอง ก็ท่องคำสวดได้ ครับ เด็กไม่ศึกษาธรรม ก็สวดได้ครับที่มีความจำดี สัญญา จึงไม่ใช่ปัญญา ครับ สัญญาจำ เกิดกับอกุศลได้ และคำพระพุทธเจ้า ไม่ใช่สิริมงคล จิตที่ดี ที่ไม่ใช่ความเข้าใจผิดที่คิดว่าสวดเป็นสิริมงคล เป็นมงคลเพราะเข้าใจถูก สวดไม่รู้อะไร แปลแต่ไม่เข้าใจ เป็นความไม่รู้ ไม่ใช่สิริมงคลแต่เพิ่ม อัปมงคล และ แม้คำว่า แม้เพราะเหตุนี้ แปลมาแล้ว แต่ก็ไม่เข้าใจคำนี้ แม้เพราะเหตุนี้คืออะไร ก็เป็นการท่องจำ สัญญาจำ ที่ไม่รู้อะไรนั่นเองครับ ดังนั้น สำคัญที่ต้องศึกษาพระธรรมให้เข้าใจถูกต้อง ครับ เหตให้เกิดปัญญา คือ ฟังพระธรรมให้เข้าใจในภาษาที่เข้าใจ ไม่ใช่ไปสวดคำที่แปลแล้ว แต่ไม่เข้าใจคำนั้นตามคำพระพุทธเจ้าครับ ขออนุโมทนา
กิเลสเกิดขึ้นเมื่อไหร่ในใจ เดือดร้อนแล้ว แม้อยู่เฉยๆไม่เบียดเบียนใคร
ปุริสสูตร
[๓๒๘] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :- สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามแห่งท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี.ครั้งนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ครั้นแล้วจึงทรงถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. พระเจ้าปเสนทิโกศลประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้วแล ได้ทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมกี่อย่างเมื่อบังเกิดขึ้นในภายในของบุคคล ย่อมบังเกิดขึ้นเพื่อความไม่เป็นประโยชน์ เพื่อความทุกข์ เพื่อความอยู่ไม่สบาย. [๓๒๙] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า ดูก่อนมหาบพิตร ธรรม ๓ อย่าง เมื่อบังเกิดขึ้นในภายในของบุรุษ ย่อมบังเกิดขึ้นเพื่อความไม่เป็นประโยชน์ เพื่อความทุกข์ เพื่อความอยู่ไม่สบาย ธรรม ๓ อย่างเป็นไฉน ธรรม ๓ อย่าง คือ
๑. โลภะ
๒. โทสะ
๓. โมหะ
ดูก่อนมหาบพิตร ธรรม ๓ อย่างนี้แล เมื่อบังเกิดขึ้นในภายในของบุคคล ย่อมบังเกิดขึ้นเพื่อความไม่เป็นประโยชน์ เพื่อความทุกข์ เพื่อความอยู่ไม่สบาย.
[๓๓๐] พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้พระสุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณ์คำร้อยแก้วนี้จบลงแล้ว จึงได้ตรัสคาถาคำร้อยกรองต่อไปอีกว่า
โลภะ โทสะ และโมหะ ที่เกิดขึ้นในตนย่อมฆ่าบุคคลผู้ใจบาป เหมือนขุยไผ่ย่อมฆ่าต้นไผ่ ฉะนั้น.
ถ้าสวดแล้วสบายใจเป็นบุญ ? คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจเรื่องบุญ
เข้าใจผิดว่าบุญเป็นความสบายใจ เป็นความสุข ความสุข คือ ความรู้สึก เป็นเวทนา ความรู้สึกสุขเกิดกับกิเลสก็ได้ เช่น เกิดกับโลภะ ขณะออกกำลังกาย มีความสุข ออกกำลังกายเป็นบุญไหม ไม่เป็น เพราะ เป็นโลภะ เป็นกิเลส แต่มีความรู้สึกสุขเกิดร่วมด้วยได้ ดังนั้นความสุข ความสบายใจ จึงไม่ใช่ตัววัดว่าเป็นบุญ บุญเป็นสภาพธรรมที่สงบจากกิเลส แต่ความรู้สึกสุขเกิดขณะที่เป็นบุญได้ และเกิดในขณะที่เป็นกิเลสได้ด้วย ครับ
บุญ คือ สภาพธรรมที่ชำระล้างสันดาน คือ ชำระจิต สิ่งที่ตรงข้ามกับบุญ คือ กิเลส มี โลภะ ความติดข้อง โทสะ ความขุ่นใจ และ โมหะ ความไม่รู้ เป็นต้น ขณะใดที่อยากได้ผล อานิสงส์ในการสวด เป็นความต้องการ เป็นโลภะ ขณะใดที่สวดพูดคำไม่รู้จักแปลเป็นภาษาไทย แต่ก็ไม่เข้าใจคำนั้น หรือ เข้าใจคำนั้นผิด ก็เป็นความไม่รู้ เป็นโมหะ
แต่ บุญ คือ ขณะที่ไม่มีกิเลส ไม่มีโลภะ ไม่มีโมหะ ขณะให้ทาน ขณะรักษาศีล ขณะเข้าใจถูก ขณะที่อ่านแล้วเข้าใจถูก มีปัญญา ไม่มีโมหะ จึงเป็นบุญที่ประเสริฐ
พอพูดถึงกุศล กุศลนี่ดี อยากได้ หรือควรเป็น ควรเป็นกุศล แต่คนส่วนมากไม่ทราบ คนส่วนมากจะอยากได้กุศล พอทราบว่า ทำกุศลอย่างไหนจะได้บุญมาก ได้ผลมาก เขาจะทำ แต่เขาลืมว่า นั่นเป็นอกุศล ที่อยากได้กุศลนั่นแหละเป็นอกุศล เพราะว่าอยากได้ ติดข้อง แต่กุศลจริงๆ หมายความถึงสภาพจิตที่ดีงาม อย่าลืมคำนี้เลย มิฉะนั้นแล้วเราจะเข้าใจผิด
ขออนุโมทนา
ดีนะยังมีผู้เห็นถูกอยู่ ดีไม่ดีอยู่ที่จิตให้ดูที่จิต
เห็นด้วยครับ
พูดได้ถูกต้องมากครับ
ขออนุโทนาในธรรมสาธุค่ะ
จริงครับอาจารย์ ผมเห็นด้วย คนที่สวดบทเหล่านี้ มีวัตถุประสงค์ที่จะอยากให้เป็นนั่นเป็นนี่บ้าง ให้แคล้วคลาดปลอภัยบ้าง ให้ร่ำรวย มีโชคลาภบ้าง แสดงว่าไม่เชื่อเรื่องของกรรม เป็นการเพิ่มกิเลส ตัณหา
ยังมีคนที่เข้าใจกับ.คับชื่นชม อยากให้.พูดเรื่องลักษณนิพพานคับ
มาถูกทางแล้วคับ ความจริง ชนะทุกสิ่ง
การชนะที่ประเสริฐคือการชนะกิเลส กราบสาธุค่ะ
ถูกเลยค่ะ..พุทธวจน...
ถ้าแนวนิพพาน ไม่มีภาระ สละทางโลกก็ทำให้เข้าใจได้ แต่ถ้าเรายังมีภาระ เราก็สวดเพิ่อน้อมนำจิตใจไปในทางที่ดี จากเคยฟังเทศน์ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำนะ ทำเพื่อให้จิตใจน้อมนำไปทางกุศล เพราะสังคมวุ่นวายเจอคนดีคนไม่ดีคนโกง โจร มีอะไรยั่วอารมณ์กิเลสเรา สวดเพื่อให้จิตน้อมไปทางกุศล
บุญ คือ สภาพธรรมที่ชำระล้างสันดาน คือ ชำระจิต สิ่งที่ตรงข้ามกับบุญ คือ กิเลส มี โลภะ ความติดข้อง โทสะ ความขุ่นใจ และ โมหะ ความไม่รู้ เป็นต้น ขณะใดที่อยากได้ผล อานิสงส์ในการสวด เป็นความต้องการ เป็นโลภะ ขณะใดที่สวดพูดคำไม่รู้จักแปลเป็นภาษาไทย แต่ก็ไม่เข้าใจคำนั้น หรือ เข้าใจคำนั้นผิด ก็เป็นความไม่รู้ เป็นโมหะ
แต่ บุญ คือ ขณะที่ไม่มีกิเลส ไม่มีโลภะ ไม่มีโมหะ ขณะให้ทาน ขณะรักษาศีล ขณะเข้าใจถูก ขณะที่อ่านแล้วเข้าใจถูก มีปัญญา ไม่มีโมหะ จึงเป็นบุญที่ประเสริฐ
พอพูดถึงกุศล กุศลนี่ดี อยากได้ หรือควรเป็น ควรเป็นกุศล แต่คนส่วนมากไม่ทราบ คนส่วนมากจะอยากได้กุศล พอทราบว่า ทำกุศลอย่างไหนจะได้บุญมาก ได้ผลมาก เขาจะทำ แต่เขาลืมว่า นั่นเป็นอกุศล ที่อยากได้กุศลนั่นแหละเป็นอกุศล เพราะว่าอยากได้ ติดข้อง แต่กุศลจริงๆ หมายความถึงสภาพจิตที่ดีงาม อย่าลืมคำนี้เลย มิฉะนั้นแล้วเราจะเข้าใจผิด
ขออนุโมทนา
ชินบัญชร คำที่ตรงข้ามคำสอนพระพุทธเจ้า
ชินบัญชร คำแต่งใหม่ทำให้เข้าใจผิด นอกคำสอนพระพุทธเจ้า เอาพระพุทธเจ้า พระอริยสาวกไปประทับส่วนต่างๆ ท่านปรินิพพานแล้ว จะไปอยู่ส่วนต่างๆได้อย่างไร แล้วในคำสวด ให้คาถาทำให้พ้นภัย ได้สิ่งดี ก็สอนผิด ลืมเรื่องกรรม คำสวดไม่ใช่ศักดิ์สิทธิ์ สวดขออ้อนวอน อยากได้สิ่งดี ก็คือกิเลส ก็เพิ่มสิ่งไม่ดีกับชีวิตโดยไม่รู้ตัว ครับ
การตัดสินถูกผิดไม่ใช่เพราะคำหลวงปู่ หลวงตา หลวงพ่อ แต่ต้องตัดสินตามคำพระพุทธเจ้า ปัญหาของชาวพุทธ คือ ไม่ศึกษาพระธรรม ไม่เทียบเคียง ไม่พิจารณาว่า พระพุทธเจ้าตรัสว่าอย่างไร แต่จะไปเชื่อว่าหลวงพ่อ หลวงปู่พูดว่ายังไง ก็นับถือภิกษุมากกว่าพระพุทธเจ้า
@@paderm ที่ท่านกล่าวมาถูกนะค่ะ ถือว่าให้ชาวพุทธเข้าใจแก่นที่แท้จริงของศาสนาค่ะ ที่เคยฟังเทศน์มา บทสวดมนต์แต่งขึ้นประมาณว่าบรรเทาทุกข์แก่เราค่ะ เสริมเป็นกำลังใจ สมัยโบราณจำเป็นต้องเกณฑ์ผู้คนไปรบ ต้องจากลูกจากเมียจากพ่อแม่ สวดมนต์ก็บรรเทาทุกข์ค่ะ จะขึ้นบรรไดไปนิพพาน นั่งbts.ไป ก็แล้วแต่ควมมสะดวกที่ท่านกว่าวมาเป็นความรู้ซึ่งดีนะค่ะ แต่อยากให้เข้าใจบางคนที่มีเหตุให้สวดมนต์ขอพรค่ะ หน้าที่มากมายเพราะกรรมเก่าบางครั้งก็ต้องการกำลังใจ คนเราถ้าไม่ทุกข์จะไม่เข้าหาพระพุทธศาสนา ก่อนขึ้น ป.1 ก็ต้องอนุบาลก่อนค่ะ
@@kekekogaming5091 พระพุทเจ้าทรงแสดงว่ากำลังใจ คือ ปัญญา ครับ ยิ่งมีความเข้าใจถูก ก็เบาจ มั่นคงในกรรม ไม่ใช่ คาถาคำสวดศักดิ์สิทธิ์ นั่น เป็นกำลังใจผิด เพิ่มสิ่งที่ผิดให้กับคนอื่นครับ ดังนั้นผิดตั้งแต่ต้น ก็ไม่ใช่ชั้นอนุบาลและเป็นโรงเรียนที่สอนผิดครับ
กราบขอบพระคุณคะ
สวดไม่เดือดร้อนใคร ไม่เบียดเบียนใครก็สวดได้ ?
แม้ตอนนี้อยู่เฉยๆก็ไม่เบียดเบียนใคร ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน แต่กิเลสเกิดขึ้นในใจแล้วแต่ไม่รู้ เห็นแล้วไม่รู้อะไร โมหะเกิดขึ้นแต่ไม่รู้ว่ามีกิเลส จึงไม่รู้ว่ากำลังถูกเบียดเบียนด้วยกิเลสในใจของตนเองเกือบทุกขณะ นี่คือพระปัญญาที่พระองค์ทรงตรัสรู้ความจริงของกิเลส โลภะเกิดขึ้นเมื่อใด ทำร้ายตนเองแล้ว เพราะไม่เข้าใจจึงสวด ครับ เพราะผู้ที่เข้าใจพระธรรม ย่อมระลึกถึงพระคุณโดยไม่ต้องสวด ดังนั้นเข้าใจผิดว่าสวดตอนไหนก็ได้บุญ นกแก้วนกขุนทอง ก็ท่องคำสวดได้ ครับ เด็กไม่ศึกษาธรรม ก็สวดได้ครับที่มีความจำดี สัญญา จึงไม่ใช่ปัญญา ครับ สัญญาจำ เกิดกับอกุศลได้ และคำพระพุทธเจ้า ไม่ใช่สิริมงคล จิตที่ดี ที่ไม่ใช่ความเข้าใจผิดที่คิดว่าสวดเป็นสิริมงคล เป็นมงคลเพราะเข้าใจถูก สวดไม่รู้อะไร แปลแต่ไม่เข้าใจ เป็นความไม่รู้ ไม่ใช่สิริมงคลแต่เพิ่ม อัปมงคล และ แม้คำว่า แม้เพราะเหตุนี้ แปลมาแล้ว แต่ก็ไม่เข้าใจคำนี้ แม้เพราะเหตุนี้คืออะไร ก็เป็นการท่องจำ สัญญาจำ ที่ไม่รู้อะไรนั่นเองครับ ดังนั้น สำคัญที่ต้องศึกษาพระธรรมให้เข้าใจถูกต้อง ครับ เหตให้เกิดปัญญา คือ ฟังพระธรรมให้เข้าใจในภาษาที่เข้าใจ ไม่ใช่ไปสวดคำที่แปลแล้ว แต่ไม่เข้าใจคำนั้นตามคำพระพุทธเจ้าครับ ขออนุโมทนา
กิเลสเกิดขึ้นเมื่อไหร่ในใจ เดือดร้อนแล้ว แม้อยู่เฉยๆไม่เบียดเบียนใคร
ปุริสสูตร
[๓๒๘] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :- สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามแห่งท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี.ครั้งนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ครั้นแล้วจึงทรงถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. พระเจ้าปเสนทิโกศลประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้วแล ได้ทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมกี่อย่างเมื่อบังเกิดขึ้นในภายในของบุคคล ย่อมบังเกิดขึ้นเพื่อความไม่เป็นประโยชน์ เพื่อความทุกข์ เพื่อความอยู่ไม่สบาย. [๓๒๙] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า ดูก่อนมหาบพิตร ธรรม ๓ อย่าง เมื่อบังเกิดขึ้นในภายในของบุรุษ ย่อมบังเกิดขึ้นเพื่อความไม่เป็นประโยชน์ เพื่อความทุกข์ เพื่อความอยู่ไม่สบาย ธรรม ๓ อย่างเป็นไฉน ธรรม ๓ อย่าง คือ
๑. โลภะ
๒. โทสะ
๓. โมหะ
ดูก่อนมหาบพิตร ธรรม ๓ อย่างนี้แล เมื่อบังเกิดขึ้นในภายในของบุคคล ย่อมบังเกิดขึ้นเพื่อความไม่เป็นประโยชน์ เพื่อความทุกข์ เพื่อความอยู่ไม่สบาย.
[๓๓๐] พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้พระสุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณ์คำร้อยแก้วนี้จบลงแล้ว จึงได้ตรัสคาถาคำร้อยกรองต่อไปอีกว่า
โลภะ โทสะ และโมหะ ที่เกิดขึ้นในตนย่อมฆ่าบุคคลผู้ใจบาป เหมือนขุยไผ่ย่อมฆ่าต้นไผ่ ฉะนั้น.
🙏🙏🙏
กราบอนุโมทนาท่านอาจารย์
ผเดิม ผู้ให้ความรู้ที่ถูกต้องตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
บทสวดมนต์ที่กล่าวถึงพระพุทธเจ้านั่นดีเป็นสิริมงคลหมด ดีไม่ดี ขึ้นอยู่กับสติปัญญา ความคิด ความเข้าใจในแต่ละบุคคลที่ไม่เท่ากัน คิดเป็นก็เห็นธรรม สาธุ
ชินบัญชร คำที่ตรงข้ามคำสอนพระพุทธเจ้า
ชินบัญชร คำแต่งใหม่ทำให้เข้าใจผิด นอกคำสอนพระพุทธเจ้า เอาพระพุทธเจ้า พระอริยสาวกไปประทับส่วนต่างๆ ท่านปรินิพพานแล้ว จะไปอยู่ส่วนต่างๆได้อย่างไร แล้วในคำสวด ให้คาถาทำให้พ้นภัย ได้สิ่งดี ก็สอนผิด ลืมเรื่องกรรม คำสวดไม่ใช่ศักดิ์สิทธิ์ สวดขออ้อนวอน อยากได้สิ่งดี ก็คือกิเลส ก็เพิ่มสิ่งไม่ดีกับชีวิตโดยไม่รู้ตัว ครับ
คิดเป็นธรรม ครับ แต่คิดผิด คิดด้วยความไม่รู้ ความอยาก เป็นธรรมที่เรียกว่า อกุศลธรรม ธรรมไม่ดี ที่เป็น อัปมงคล ครับ
สังขิตตสูตร
ดูกร โคตมี ท่านพึงรู้ธรรมเหล่าใดว่า ธรรมเหล่านี้ เป็นไปเพื่อความกำหนัด ไม่เป็นไปเพื่อความคลายกำหนัด เป็นไปเพื่อประกอบสัตว์ไว้ ไม่เป็นไปเพื่อพรากสัตว์ออก เป็นไปเพื่อสั่งสมกิเลส ไม่เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักมาก ไม่เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย เป็นไปเพื่อความไม่สันโดษ ไม่เป็นไปเพื่อความสันโดษเป็นไปเพื่อความคลุกคลีด้วยหมู่คณะ ไม่เป็นไปเพื่อความสงัดเป็นไปเพื่อความเกียจคร้าน ไม่เป็นไปเพื่อปรารภความเพียรเป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงยาก ไม่เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย ดูกร โคตมี ท่านพึงทรงจำไว้โดยส่วนหนึ่งว่า นี้ไม่ใช่ธรรมไม่ใช่วินัย ไม่ใช่คำสั่งสอนของพระศาสดา.
@@paderm คุณพูดถูกแล้ว(ในความ
ของผมนะ.คิดดู)
การสวดดีกว่าไม่สวดอะไรเลย
พระพุทธเจ้าไม่ได้ให้สวดขออ้อนวอน นั่นคือไม่ต่างจากลัทธิผี เพิ่มบาป เพิ่มความอยาก เพิ่มกิเลส ไม่ใช่เรื่องละ แต่เป็นเรื่องได้ ไม่ใช่คำสอนพระพุทธเจ้า พระพุทธศาสนาเป็นเรื่องของปัญญา อันเกิดจากการฟังพระธรรม ไม่ใช่สวดมนต์ด้วยความไม่รู้ และความอยาก พระอลัชชี จึงสอนคำแต่งใหม่ที่เพิ่มกิเลส แทนที่จะฟังคำพระพุทธเจ้า ครับ
ในวันมาฆบูชา พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ คำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ไม่ได้ให้ พระภิกษุ ๑๒๕๐ รูป ไปสวดบทสวดต่างๆ แต่พระองคฺ์ทรงแสดงพระธรรมให้เกิดปัญญาความเข้าใจถูก เพราะ พระพุทธศาสนา พุทธ หมายถึง ปัญญาความเข้าใจถูก ดังนั้น ควรฟังพระธรรมในภาษาของตนให้เข้าใจ ดังเช่นในคลิปนี้ ให้ฟังโอวาทปาฏิโมกข์ ในภาษาไทย ให้เข้าใจถูกเกิดปัญญา จึงไม่ใช่มาสวดมนต์ในภาษาบาลีที่ไม่เข้าใจ หรือ สวดแปลแต่ไม่เข้าใจในแต่ละคำว่าคืออะไร ดังนั้นควรฟังพระธรรมให้เข้าใจเป็นสำคัญ เพื่อเกิดปัญญารู้ ละกิเลส เมื่อเข้าใจคำสอนย่อมระลึกถึงคุณได้แม้ไม่ได้สวด ครับ ฟังพระธรรมก่อนได้ครับ และ เวลาไหนก็ได้นั่นเองครับ ขออนุโมทนา
สาธุ พุทธะ ธรรมะ สังฆะ .. สัพเพ ธัมมา อนัตตา ติ
ฟังพระสมเด็จโฆษา จะแจ่มแจ้ง ค่ะ
การตัดสินถูกผิดไม่ใช่เพราะคำหลวงปู่ หลวงตา หลวงพ่อ แต่ต้องตัดสินตามคำพระพุทธเจ้า ปัญหาของชาวพุทธ คือ ไม่ศึกษาพระธรรม ไม่เทียบเคียง ไม่พิจารณาว่า พระพุทธเจ้าตรัสว่าอย่างไร แต่จะไปเชื่อว่าหลวงพ่อ หลวงปู่พูดว่ายังไง ก็นับถือภิกษุมากกว่าพระพุทธเจ้า
สืื่อตนนี้ตอนตายคงไม่ให้พระมาสวดเเน่
ฟังคลิปนี้ครับ ruclips.net/video/X31ajEtZg_c/видео.html
แล้วที่หลวงพ่อ จรัญ สอน แสดง ว่า สอน ผิดสิครับ
พาหุง พุทธชัยมงคล คำเพิ่มกิเลส ไม่ใช่คำสอนพระพุทธเจ้า
พาหุง พุทธชัยมงคล แต่งใหม่ ให้ชนะสิ่งต่างๆ ไม่ได้แสดงถึง ชนะที่แท้จริง คือ ชนะกิเลส พระพุทธเจ้าทรงชนะกิเลส ที่เป็นเหตุให้เป็นพระพุทธเจ้า พระอริยสาวก ชนะกิเลส จึงเป็นเหตุให้บรรลุธรรม ชนะกิเลสด้วยปัญญา อันเกิดจากการฟังพระธรรม ไม่ใช่มาสวดมนต์ ขอ อ้อนวอน เพื่ออยากชนะไ้ดสิ่งดีๆ นั่นคือ แพ้อยู่ แพ้กิเลส แพ้โลภะ แพ้ความอยาก ยิ่งเพิ่มทุกข์ ไม่ใช่พระพุทธศาสนา ครับ
การตัดสินถูกผิดไม่ใช่เพราะคำหลวงปู่ หลวงตา หลวงพ่อ แต่ต้องตัดสินตามคำพระพุทธเจ้า ปัญหาของชาวพุทธ คือ ไม่ศึกษาพระธรรม ไม่เทียบเคียง ไม่พิจารณาว่า พระพุทธเจ้าตรัสว่าอย่างไร แต่จะไปเชื่อว่าหลวงพ่อ หลวงปู่พูดว่ายังไง ก็นับถือภิกษุมากกว่าพระพุทธเจ้า
สังขิตตสูตร
ดูกร โคตมี ท่านพึงรู้ธรรมเหล่าใดว่า ธรรมเหล่านี้ เป็นไปเพื่อความกำหนัด ไม่เป็นไปเพื่อความคลายกำหนัด เป็นไปเพื่อประกอบสัตว์ไว้ ไม่เป็นไปเพื่อพรากสัตว์ออก เป็นไปเพื่อสั่งสมกิเลส ไม่เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักมาก ไม่เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย เป็นไปเพื่อความไม่สันโดษ ไม่เป็นไปเพื่อความสันโดษเป็นไปเพื่อความคลุกคลีด้วยหมู่คณะ ไม่เป็นไปเพื่อความสงัดเป็นไปเพื่อความเกียจคร้าน ไม่เป็นไปเพื่อปรารภความเพียรเป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงยาก ไม่เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย ดูกร โคตมี ท่านพึงทรงจำไว้โดยส่วนหนึ่งว่า นี้ไม่ใช่ธรรมไม่ใช่วินัย ไม่ใช่คำสั่งสอนของพระศาสดา.
เอาง่ายๆ ไม่หลงกับอะไร จะเป็นการดี อย่างหลวแม้แต่ตนเองและอย่าไปหลงสิ่งของวัณถุ ต่างๆ พระพุทธเจ้า ไม่เคยสอนใครไปงมงาย มั่นมีเมตราต่อดันแบะกันจะเป็นการดีที่สุดครับ สาธุสาธุสาธุครับท่านนักปราชญ์ ขอจงมีแต่ความสุดครับ
คิดให้ง่ายๆ พูดให้เข้าใจง่ายๆ คือ
คิดแต่สิ่งดีๆ ทำในสิ่งที่ดี โดยที่ไม่คราดหวัง
กับอะไร หรือ ต้องการสิ่งใดๆ จากการที่เราคิดดี และ กระทำดี เพราะมันเป็นเรื่องที่ดีอยู่แล้ว สภาวะจิตใจของเรา ก็จะไม่เกิดกิเลส
คือ คิดดี ทำดี ไม่ต้องการอะไร จิตใจเราก็จะสงบ ง่ายไหมครับ
ถ้าสวดแล้วสบายใจเป็นบุญ ? คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจเรื่องบุญ
เข้าใจผิดว่าบุญเป็นความสบายใจ เป็นความสุข ความสุข คือ ความรู้สึก เป็นเวทนา ความรู้สึกสุขเกิดกับกิเลสก็ได้ เช่น เกิดกับโลภะ ขณะออกกำลังกาย มีความสุข ออกกำลังกายเป็นบุญไหม ไม่เป็น เพราะ เป็นโลภะ เป็นกิเลส แต่มีความรู้สึกสุขเกิดร่วมด้วยได้ ดังนั้นความสุข ความสบายใจ จึงไม่ใช่ตัววัดว่าเป็นบุญ บุญเป็นสภาพธรรมที่สงบจากกิเลส แต่ความรู้สึกสุขเกิดขณะที่เป็นบุญได้ และเกิดในขณะที่เป็นกิเลสได้ด้วย ครับ
บุญ คือ สภาพธรรมที่ชำระล้างสันดาน คือ ชำระจิต สิ่งที่ตรงข้ามกับบุญ คือ กิเลส มี โลภะ ความติดข้อง โทสะ ความขุ่นใจ และ โมหะ ความไม่รู้ เป็นต้น ขณะใดที่อยากได้ผล อานิสงส์ในการสวด เป็นความต้องการ เป็นโลภะ ขณะใดที่สวดพูดคำไม่รู้จักแปลเป็นภาษาไทย แต่ก็ไม่เข้าใจคำนั้น หรือ เข้าใจคำนั้นผิด ก็เป็นความไม่รู้ เป็นโมหะ
แต่ บุญ คือ ขณะที่ไม่มีกิเลส ไม่มีโลภะ ไม่มีโมหะ ขณะให้ทาน ขณะรักษาศีล ขณะเข้าใจถูก ขณะที่อ่านแล้วเข้าใจถูก มีปัญญา ไม่มีโมหะ จึงเป็นบุญที่ประเสริฐ
พอพูดถึงกุศล กุศลนี่ดี อยากได้ หรือควรเป็น ควรเป็นกุศล แต่คนส่วนมากไม่ทราบ คนส่วนมากจะอยากได้กุศล พอทราบว่า ทำกุศลอย่างไหนจะได้บุญมาก ได้ผลมาก เขาจะทำ แต่เขาลืมว่า นั่นเป็นอกุศล ที่อยากได้กุศลนั่นแหละเป็นอกุศล เพราะว่าอยากได้ ติดข้อง แต่กุศลจริงๆ หมายความถึงสภาพจิตที่ดีงาม อย่าลืมคำนี้เลย มิฉะนั้นแล้วเราจะเข้าใจผิด
ขออนุโมทนา
ผมว่าคุณเข้าใจผิดแล้ว
สวดแล้วไม่ทำให้ใครเดือดร้อนก็สวดไปเถอะเพราะไม่ไปเบียดเบียนใคร
สวดไม่เดือดร้อนใคร ไม่เบียดเบียนใครก็สวดได้ ?
แม้ตอนนี้อยู่เฉยๆก็ไม่เบียดเบียนใคร ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน แต่กิเลสเกิดขึ้นในใจแล้วแต่ไม่รู้ เห็นแล้วไม่รู้อะไร โมหะเกิดขึ้นแต่ไม่รู้ว่ามีกิเลส จึงไม่รู้ว่ากำลังถูกเบียดเบียนด้วยกิเลสในใจของตนเองเกือบทุกขณะ นี่คือพระปัญญาที่พระองค์ทรงตรัสรู้ความจริงของกิเลส โลภะเกิดขึ้นเมื่อใด ทำร้ายตนเองแล้ว เพราะไม่เข้าใจจึงสวด ครับ เพราะผู้ที่เข้าใจพระธรรม ย่อมระลึกถึงพระคุณโดยไม่ต้องสวด ดังนั้นเข้าใจผิดว่าสวดตอนไหนก็ได้บุญ นกแก้วนกขุนทอง ก็ท่องคำสวดได้ ครับ เด็กไม่ศึกษาธรรม ก็สวดได้ครับที่มีความจำดี สัญญา จึงไม่ใช่ปัญญา ครับ สัญญาจำ เกิดกับอกุศลได้ และคำพระพุทธเจ้า ไม่ใช่สิริมงคล จิตที่ดี ที่ไม่ใช่ความเข้าใจผิดที่คิดว่าสวดเป็นสิริมงคล เป็นมงคลเพราะเข้าใจถูก สวดไม่รู้อะไร แปลแต่ไม่เข้าใจ เป็นความไม่รู้ ไม่ใช่สิริมงคลแต่เพิ่ม อัปมงคล และ แม้คำว่า แม้เพราะเหตุนี้ แปลมาแล้ว แต่ก็ไม่เข้าใจคำนี้ แม้เพราะเหตุนี้คืออะไร ก็เป็นการท่องจำ สัญญาจำ ที่ไม่รู้อะไรนั่นเองครับ ดังนั้น สำคัญที่ต้องศึกษาพระธรรมให้เข้าใจถูกต้อง ครับ เหตให้เกิดปัญญา คือ ฟังพระธรรมให้เข้าใจในภาษาที่เข้าใจ ไม่ใช่ไปสวดคำที่แปลแล้ว แต่ไม่เข้าใจคำนั้นตามคำพระพุทธเจ้าครับ ขออนุโมทนา
กิเลสเกิดขึ้นเมื่อไหร่ในใจ เดือดร้อนแล้ว แม้อยู่เฉยๆไม่เบียดเบียนใคร
ปุริสสูตร
[๓๒๘] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :- สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามแห่งท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี.ครั้งนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ครั้นแล้วจึงทรงถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. พระเจ้าปเสนทิโกศลประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้วแล ได้ทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมกี่อย่างเมื่อบังเกิดขึ้นในภายในของบุคคล ย่อมบังเกิดขึ้นเพื่อความไม่เป็นประโยชน์ เพื่อความทุกข์ เพื่อความอยู่ไม่สบาย. [๓๒๙] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า ดูก่อนมหาบพิตร ธรรม ๓ อย่าง เมื่อบังเกิดขึ้นในภายในของบุรุษ ย่อมบังเกิดขึ้นเพื่อความไม่เป็นประโยชน์ เพื่อความทุกข์ เพื่อความอยู่ไม่สบาย ธรรม ๓ อย่างเป็นไฉน ธรรม ๓ อย่าง คือ
๑. โลภะ
๒. โทสะ
๓. โมหะ
ดูก่อนมหาบพิตร ธรรม ๓ อย่างนี้แล เมื่อบังเกิดขึ้นในภายในของบุคคล ย่อมบังเกิดขึ้นเพื่อความไม่เป็นประโยชน์ เพื่อความทุกข์ เพื่อความอยู่ไม่สบาย.
[๓๓๐] พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้พระสุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณ์คำร้อยแก้วนี้จบลงแล้ว จึงได้ตรัสคาถาคำร้อยกรองต่อไปอีกว่า
โลภะ โทสะ และโมหะ ที่เกิดขึ้นในตนย่อมฆ่าบุคคลผู้ใจบาป เหมือนขุยไผ่ย่อมฆ่าต้นไผ่ ฉะนั้น.
บอกแล้ว!!! อย่าเถียงอาจารย์ ดูสิ..!!!
อาจารย์อธิปายไปไกลเลย เห็นไหม
แต่ก็เข้าง่ายครับป๋ม...อาจารย์
หยอกอาจารย์ เล่น ครับป๋ม
🙏 ขออนุโมทามิ ในบุญเจ้าค่ะ อาจารย์ เผดิม ผู้เจริญ และ กราบ สาธุ ในพระโอวาทธรรม สาธุ
กราบอนุโมทนาสาธุในพระธรรมคำสั่งสอนค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ ค่ะ
ขอบพระคุณอาจารย์ผเดิมด้วยความเคารพอย่างสูงครับ ขออนุโมทนาครับ
เวลาตายท่านก็อย่าให้พระสวดให้นะ
คลิกฟังครับ ruclips.net/video/X31ajEtZg_c/видео.html
🙏✔️❤️
บรรยายได้ถูกต้องมาก ความเชื่อผิดๆนี้มีมานานมาก บางคนใช้พุทธศาสนาเป็นเครื่องมือ แสวงผลกำไร ไม่มุ่งเน้นให้นึกถึงหลักธรรม
สาธุค่ะ คำสอนดี แต่มนุษย์คนทุกคน ต้องการชีวิตที่ดี มากกว่าหลุดพ้น การสวดมนทำบุญ ทำทาน เป็นเรื่องธรรมชาติ ไม่งั้นพระอรหันต์คงเต็มบ้านเต็มเมือง สวดมนอย่างน้อยยังน้อมเข้าหาธรรม ถ้าเม้นด้วยความโง่เขลา ข้าพเจ้าขอ ขมาค่ะ สาธุ
พระพุทธเจ้าไม่ได้ให้สวดขออ้อนวอน นั่นคือไม่ต่างจากลัทธิผี เพิ่มบาป เพิ่มความอยาก เพิ่มกิเลส ไม่ใช่เรื่องละ แต่เป็นเรื่องได้ ไม่ใช่คำสอนพระพุทธเจ้า พระพุทธศาสนาเป็นเรื่องของปัญญา อันเกิดจากการฟังพระธรรม ไม่ใช่สวดมนต์ด้วยความไม่รู้ และความอยาก พระอลัชชี จึงสอนคำแต่งใหม่ที่เพิ่มกิเลส แทนที่จะฟังคำพระพุทธเจ้า ครับ
ถ้าสวดแล้วสบายใจเป็นบุญ ? คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจเรื่องบุญ
เข้าใจผิดว่าบุญเป็นความสบายใจ เป็นความสุข ความสุข คือ ความรู้สึก เป็นเวทนา ความรู้สึกสุขเกิดกับกิเลสก็ได้ เช่น เกิดกับโลภะ ขณะออกกำลังกาย มีความสุข ออกกำลังกายเป็นบุญไหม ไม่เป็น เพราะ เป็นโลภะ เป็นกิเลส แต่มีความรู้สึกสุขเกิดร่วมด้วยได้ ดังนั้นความสุข ความสบายใจ จึงไม่ใช่ตัววัดว่าเป็นบุญ บุญเป็นสภาพธรรมที่สงบจากกิเลส แต่ความรู้สึกสุขเกิดขณะที่เป็นบุญได้ และเกิดในขณะที่เป็นกิเลสได้ด้วย ครับ
บุญ คือ สภาพธรรมที่ชำระล้างสันดาน คือ ชำระจิต สิ่งที่ตรงข้ามกับบุญ คือ กิเลส มี โลภะ ความติดข้อง โทสะ ความขุ่นใจ และ โมหะ ความไม่รู้ เป็นต้น ขณะใดที่อยากได้ผล อานิสงส์ในการสวด เป็นความต้องการ เป็นโลภะ ขณะใดที่สวดพูดคำไม่รู้จักแปลเป็นภาษาไทย แต่ก็ไม่เข้าใจคำนั้น หรือ เข้าใจคำนั้นผิด ก็เป็นความไม่รู้ เป็นโมหะ
แต่ บุญ คือ ขณะที่ไม่มีกิเลส ไม่มีโลภะ ไม่มีโมหะ ขณะให้ทาน ขณะรักษาศีล ขณะเข้าใจถูก ขณะที่อ่านแล้วเข้าใจถูก มีปัญญา ไม่มีโมหะ จึงเป็นบุญที่ประเสริฐ
พอพูดถึงกุศล กุศลนี่ดี อยากได้ หรือควรเป็น ควรเป็นกุศล แต่คนส่วนมากไม่ทราบ คนส่วนมากจะอยากได้กุศล พอทราบว่า ทำกุศลอย่างไหนจะได้บุญมาก ได้ผลมาก เขาจะทำ แต่เขาลืมว่า นั่นเป็นอกุศล ที่อยากได้กุศลนั่นแหละเป็นอกุศล เพราะว่าอยากได้ ติดข้อง แต่กุศลจริงๆ หมายความถึงสภาพจิตที่ดีงาม อย่าลืมคำนี้เลย มิฉะนั้นแล้วเราจะเข้าใจผิด
ขออนุโมทนา
สสดมนต์มานานแล้ว พอมาฟังแล้วกลายเป็นว่าทำไม่ถูกต้องเป็นบาป แล้วที่พระสงฆ์ท่านพาชาวบ้านสวดมนต์ตามข้างต้นก็แปลว่า ไม่ถูกต้อง เช่นนั้นหรือคะ ถ้าไม่สวดมนต์ต้องทำอย่างไร ** ขอความกระจ่างเพื่อให้เข้าใจถูกต้องด้วยค่ะ
เห็นด้วยครับ.. ทุกอย่างอยู่กับกรรม.. สวดแล้วก็คาดหวัง..
กราบสาธุค่ะคำสั่งสอนองค์สัมมาสัมพุทธเจ้า ขอบคุณอาจารย์ที่นำมาเผยแพร่ค่ะ
กล้าหาญ...ดีนะ........ ถูกแล้ว..ประโยชน์... แปลว่า....ผลที่ได้ตามความต้องการ
สวดท่องบ่น...จะได้ประโยชน์อะไร......สว่างแล้วมืดก็ดับ.....ไป....สาธุ...
มีแต่พระสอนให้สวดทั้งนั้น แถมชาวบ้านก็พิมพ์เผยแพร่บทสวดกันทั่วประเทศอีกด้วยนะ หญิงก็เลิกสวดแล้วเพราะรู้สึกว่าทำให้เราไม่คิดพึ่งพาตนเองไม่ใช่ความเพียรของตัวเองและรู้สึกว่ามันพอกพูนกิเลสมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่รู้จบ
อนุโมทนาสาธุๆคะท่านอาจารย์🙏🙏🙏🙏
กราบขอบคุณท่านอาจารย์มากเจ้าค่ะสาธุ.🙏🙏🙏🤍
ผู้มีปัญญา.มีความชื่อตรง.ย่อมละกิเลส.ความจริงความเป็นตัวเราได้ค่ะสาธุ.🙏🙏🙏🤍
🇹🇭🤍🙏..กราบอนุโมทนาสาธุๆๆๆค่ะ...
ทุกอย่างอยู่ที่จิตครับ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา การปฏิบัติจิตกรรมฐานสำคัญกว่า การสวดเพื่อระลึก พระรัตนตรัยถือเป็นเรื่องดี
สิ่งที่แต่งมาไม่ได้สรรเสริญพระรัตนตรัยนะครับ ไปอ่านคำแปลดู และ ขอให้สิ่งเหล่านั้นคุ้มครองและคำแปลก็ผิด ไปเอาพระพุทธเจ้า พระอริยสาวก ไปที่ส่วนต่างๆ(ชินบัญชร) นั่นไม่ใช่สรรเสริญ แต่ดึงพระพุทธเจ้าลงต่ำที่สำคัญครับ สวดขออ้อนวอน อยากได้สิ่งดี นั่นกิเลส เป็นบาป ไม่ใช่ความสงบ ครับ พระธรรมเป็นเรื่องตรง ผู้ตรงต่อธรรมย่อมได้สาระจากพระธรรม จึงต้องศึกษาให้ถูกต้อง ไม่เช่นนั้นจะเห็นผิดและเป็นโทษกับตนเอง ครับ ขออนุโมทนา
ชินบัญชร คำที่ตรงข้ามคำสอนพระพุทธเจ้า
ชินบัญชร คำแต่งใหม่ทำให้เข้าใจผิด นอกคำสอนพระพุทธเจ้า เอาพระพุทธเจ้า พระอริยสาวกไปประทับส่วนต่างๆ ท่านปรินิพพานแล้ว จะไปอยู่ส่วนต่างๆได้อย่างไร แล้วในคำสวด ให้คาถาทำให้พ้นภัย ได้สิ่งดี ก็สอนผิด ลืมเรื่องกรรม คำสวดไม่ใช่ศักดิ์สิทธิ์ สวดขออ้อนวอน อยากได้สิ่งดี ก็คือกิเลส ก็เพิ่มสิ่งไม่ดีกับชีวิตโดยไม่รู้ตัว ครับ
ผมเข้าใจท่านนะ แต่ท่านกำลังพูดการปฏิบัติชั้นสูง คือ ภาวนาเพื่อละกิเลส แต่บางคนเค้าไม่เข้าใจขั้นนั้น จึงต้องเกาะคาถาต่างๆ เพื่อเป็นกำลังใจใยการหากิน ใช่ครับ มันไม่ใช่ทางหลุดพ้น แต่มันก็เป็นเปลือกที่ทำให้คนเกิดศรัทธาแล้วมาปฏิบัติต่อในการละทิ้งที่หลัง การทำมาหากินต่างๆมันขัดกับการพ้นทุกข์อยู่แล้วครับ
@@pondapidate6885 ถ้าเข้าใจก็คือ เป็นกิเลส ไม่ใช่คำสอนพระพุทธเจ้า จะอ้างว่าเป็นพระพุทธศาสนาไม่ได้ และสอนผิด การตัดสินถูกผิด ตามพระธรรม ถ้าเริ่มผิด ก็ผิด ดังนั้น จะทำอะไรก้ได้ แต่ไม่ใช่สอนว่าเป็นพระพุทธศาสนา ครับ
สังขิตตสูตร
ดูกร โคตมี ท่านพึงรู้ธรรมเหล่าใดว่า ธรรมเหล่านี้ เป็นไปเพื่อความกำหนัด ไม่เป็นไปเพื่อความคลายกำหนัด เป็นไปเพื่อประกอบสัตว์ไว้ ไม่เป็นไปเพื่อพรากสัตว์ออก เป็นไปเพื่อสั่งสมกิเลส ไม่เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักมาก ไม่เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย เป็นไปเพื่อความไม่สันโดษ ไม่เป็นไปเพื่อความสันโดษเป็นไปเพื่อความคลุกคลีด้วยหมู่คณะ ไม่เป็นไปเพื่อความสงัดเป็นไปเพื่อความเกียจคร้าน ไม่เป็นไปเพื่อปรารภความเพียรเป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงยาก ไม่เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย ดูกร โคตมี ท่านพึงทรงจำไว้โดยส่วนหนึ่งว่า นี้ไม่ใช่ธรรมไม่ใช่วินัย ไม่ใช่คำสั่งสอนของพระศาสดา.
จะทำตามที่อาจารย์บอกค่ะ🙏🙏
ต้องเลิกสวดมนต์ใช่ไหมครับ
ขอบคุณอาจารย์เผดิมจ๊ะ
อนุโมทนาสาธุครับ
อนุโมทนาสาธุฯค่ะ
🔥🔥🔥
ขอให้เอาคำสอนของพระพุทธเจ้ามาเปิดเผยเรื่อยๆนะครับ ขอบคุณครับ
กราบอนุโมทนาสาธุค่ะ
เอาหลักการแบบผิดไม่ตั้งอยู่ในหลักธรรม แม้แต่คาถา ไม่มีในหลักธรรมะ สาธุสาธุสาธุครับท่านนักปราชญ์
สาธุค่ะ🙏ชาวพุทธแท้ๆจะได้ตาสว่าง
ดวงตาจะได้เห็นธรรมจริงๆและ มีปัญญา
รู้ไปหมดมึงเกิดทันหรือไอ้มารควาย