Размер видео: 1280 X 720853 X 480640 X 360
Показать панель управления
Автовоспроизведение
Автоповтор
ขอบคุณมากครับ!สำหรับข้อมูลความรู้
ขอบคุณมากนะครับ
ขออภัยที่เห็นแย้งนะครับว่าที่อาจารย์ยกตัวอย่างมายังไม่ตรงทีเดียวนัก การปฏิเสธอันมาจากปัญญาลุ่มลึกนั้นมันไม่ตื้น ด้วยเพียงการเป็นกบฏต่อสิ่งที่ผู้อื่นตั้งไว้ก่อน การกบฏอย่างนี้ใครๆก็คิดได้ถ้ามีคนจุดประเด็น มีเรื่องมากมายชวนให้คิดกยฏโดยไม่ต้องมีปัญญา เข่นกฏระเบียบในโรงเรียนต่างๆ มันบังคับข่มขืนใจมาทุกยุคสมัย ยิ่งอาจารย์ฝ่ายปกครองขาดเมตตายิ่งลงโทษนักเรียนเพื่อสนองอารมณ์ตัวเอง การปฏิเสธหรือกล้ากบฏเพื่อการมีตัวตนของนักศึกษาก็ยังไม่ใช่ ไม่ได้มาจากปัญญาอันตกตะกอนถึงแก่น ในทัสสนะของผมมองว่าการกบฎต่อระบบความคิดในหัวตัวเองได้ คือจุดเริ่มต้นที่นำไปสู่การปฏิเสธสิ่งภายนอกอย่างเข้าใจ ตั้งแต่หยั่งรู้ถคงที่มาของความปลอม และเหตุผลที่มันต้องมีอยู่ด้วยใจเป็นกลาง การต้องต่อต้านมัน การสู้กับมัน ไม่ใช่เพื่อได้เป็นผู้ชนะ หรือทำลายใคร แต่ด้วยหัวใจที่มีความรัก ความเมตตา ความจริงใจ ไม่ได้สนองอีโก้ตัวเอง และให้ทุกฝ่ายเลือกเอาเอง ไม่ได้บังคับให้เปลี่ยน เช่นพระพุทธเจ้าชวนให้พิสูจน์เอง รู้ด้วยตัวเอง จึงจะเปลี่ยน จึงจะปฏิเสธของที่เคยเชื่อเคยทำ ด้วยความเคารพครับท่าน
เห็นด้วยอย่างที่สุดครับ
@@simplebudd ขอบคุณครับ
การต่อต้านอย่างลึกซึ้งคือไม่ทำเหี้ยอะไรเลย คนตายก็ทำได้
กระหายที่จะได้ฟังความรู้ ทุกคำ ของอาจารย์ แต่ ไม่มีเงิน ลงเรียน ที่ มหาจุฬาฯอาศัย รับฟังคลิบที่ อาจารย์ กรุณาลง กราบขอบพระคุณครับ.
เดี๋ยวนี้คลิปไม่ค่อยยาวเลยครับอาจารย์ ผมฟังก่อนนอนทุกคืนเลยครับ ชอบฟังมาก ฟังแล้วได้มุมมองความคิดหลายมุมมากๆเลยครับ ขอบพระคุณอาจารย์มากๆครับ
Thank you
การดูจิตที่ครูบาอาจารย์สอนนั้นคือให้หมั่นดูความเป็นสังขตธรรมจนเห็นความปรุงแต่งว่ามันเป็นไตรลักษณ์อย่างไร ไม่ใช่การคิดว่าจิตเป็นอสังขตธรรมตามตำราจึงอ้างว่าไม่มีเรา ไม่มีตัวตน คน สัตว์ จึงมุ่งดูจิตให้เห็นความว่างเปล่า ไปเอาคำสอนเว่ยหล่าง ฮวงโป มาปรุงแต่ง ยึดคำบรรยายอสังขตธรรมมาเป็นจุดโฟกัสของการดูจิต ไม่ใส่ใจดูความเป็นสังขตธรรม คิดเรื่องไตรลักษณ์เพื่อหลอกตัวเองให้ปล่อยวาง นี่คือการปรุงแต่งความไม่ปรุงแต่ง ทำเป็นสักแต่ว่ารู้และเห็นอย่างปลอมๆ ไม่เห็นตัวตนที่เรียกว่า "อเนญชาภิสังขาร" ตีความการดูจิตผิดพลาดไปอีกอย่าง คนละทางกับที่ครูบาอาจารย์ท่านสอน ดูจิตเพื่อให้เราเห็นทุกข์ของความเป็นสังขตธรรมอันไม่เที่ยง เปลี่ยนแปลงบีบคั้นของตัวตน เห็นจริงๆว่าตัวตนทั้งรูปธรรม นามธรรม ไม่ใช่เราอย่างไร ด้วยมีจิตแยกออกมาเป็นผู้รู้ ผู้เห็น การยึดมั่นคำว่าไม่มีเรา ปฏิเสธตัวตนคือปฏิเสธผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เลยเอาแค่รู้ ตื่น เบิกบาน โดยมีผู้คิดแอบเป็นเราในขณะที่ปากพูดว่าไม่มีเรา นี่คือพวกติดกับดักความรู้ในหัว พวกอ่านหรือฟังท่านพุทธทาส พวกที่เรียนธรรมะแบบเรียนหนังสือ การภาวนาจึงมุ่งทำจิตให้ว่าง ซื่อบื้อได้แล้วดี ไม่ได้เข้าใจจิตตสิกขา จึงนึกว่ามิจฉาสมาธิเป็นทางของปัญญา นึกว่าความรู้จากการถอดความตัวหนังสือเป็นปัญญาสิกขา ได้เจโตวิมุตติก็นึกว่าได้ปัญญาวิมุตติ มันผิดฝาผิดตัวไปหมด คนสอนถูกจึงว่าผิด ตัวเองสอนผิดกลับไม่รู้ตัว ตายไปแล้วจะเป็นตราบาปไปชั่วลูกชั่วหลาน หากไม่แก้ไขตอนมีชีวิตให้ถูก วันหนึ่งความจริงจะปรากฏ ในวันนี้มีคนรู้ไม่กี่คนก็จริง แต่สิ่งที่ปรากฏบนอินเตอร์เน็ตมันไม่หายไปไหน คนรุ่นต่อไปจะได้เปรียบเทียบของจริงกับของปลอม แล้วพบว่าใครคือคนทำลายศาสนา เป็นสัทธรรมปฏิรูป สิ่งที่ทำมาทั้งชีวิตเป็นกองขยะมลพิษในโลกออนไลน์แค่นั้น!!!by ตงฟางปุ๊ป้าย บูรพาไม่แพ้ 2013
ผู้มีบุญมาเกิด ❌️
อะไรๆก็เกิดจาดความคิด แล้วคิดตามหาความหมาย .แล้วก็สงสัยกันวนต่อๆไป มายาแห่งความคิดและมายาแห่งภาษา.
ขอให้คนที่ละเมิดส่วนบุคคล ถึงหายนะ
อย่าดูเบา เฉกเช่นผงถุลีแม้นเพียงเล็กน้อยหากอยู่ผิดที่ผิดเวลาเข้าตาจนเมื่อได ย่อมหาสุขมิได้แล ความหมายที่ควรเข้าใจแบบฉบับของเจ้า ประโยคที่ว่า ไต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท
ไคร่ควรก่อนจึงดี
การที่คนยืนแสดงความเคารพ ต่อเพลงสรรเสริญพระบารมี ก็เป็นทางเลือกของบุคคล ทุกคนเท่ากัน แต่การแสดงให้เกียรติคนที่เคารพ ปัจจุบันไม่ใช่เพราะถุกบังคับ เด็กไม่ไหว้ผู้ใหญ่ พูดไม่มีหางเสียง พบได้ทั่วไป และการแสดงความอ่อนน้อม ก็มีทั้งในพฤติกรรมของมนุษย์และสัตว์ การอยู่ในสังคมและจำเป็นต้องสร้างตนให้ประคองคุณภาพชีวิตของตนเองและครอบครัวได้ ต้องอยุ่กับบรรทัดฐานของสังคมอันซับซ้อน ถ้าอยู่ลำพัง ไม่ต้องพึ่งโครงสร้างสังคมใดๆ จะ negation ยังไงก็ได้ จะบอกคนมาเยี่ยมโดยไม่ได้นัด ให้กลับไปซะ ไม่พร้อม ก็ได้
👌
คุณค่าของการเกิดมาเป็นคน การอยู่ร่วมกันในสังคม เรายอมรับว่า..ชีวิตมนุษย์ทุกคนเกิดมาเท่าเทียมกัน แลเห็นสังคมเราแล้วไม่ใช่.... ความเห็นแก่ตัว ไม่คำนึงถึงทุกข์สุขของคนทั่วไป เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งของมนุษย์สังคมไทย สนับสนุนสิ่งอันใด ในสภาวะแวดล้อมของสังคมไทยที่เป็นอยู่วันนี้.......
ตอนแรกอาจารย์บรรยายว่า ซาตร์บอกว่ามี being สองชนิด ต่อมาก็พูด "คานท์" แทนซาตร์ (หรือพูดสลับกัน) เข้าใจว่าเผลอพูดตามความเคยชิน แต่ฟังไอเดียซาตร์ตามที่ว่านี้ก็มี "แง่มุมสำคัญ" ที่คล้ายกับไอเดียคานท์ที่ว่า ปัจเจกบุคคลที่มีศักดิ์ศรีหรือความสง่างาม (dignity) ต้องมีเสรีภาพ ซึ่งการเมีเสรีภาพคือต้องสามารถใช้เหตุผลบัญญัติกฎศีลธรรมขึ้นมาใช้กับตัวเองและคนอื่นได้ การมีเสรีภาพเช่นนี้สะท้อน negation คือปฏิเสธการทำตัวเป็นเพียง object หรือวัตถุที่ถูกกระทำหรือถูกกำหนดให้ทำตามกฎที่คนอื่น ความเชื่อ ศาสนา ประเพณี ฯลฯ กำหนดให้ทำตาม และยืนยันความเป็น subject หรือความเป็นผู้กระทำคือใช้เสรีภาพบัญญัติกฎด้วยตนเอง
ขอบคุณมากครับที่บรรยายหนังสือเล่มนี้มา ผมอยากฟังบรรยายอีกหนังสือหนึ่งของ"ไฮเดรกเกอร์" ชื่อ being and time ถ้ามีจะเป็นการขอบคุณอย่างมากเลยครับ
ยกตัวอย่าง 'สี่เหวินเฉียง' ในเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้
คิดถึงครับอาจารย์ วันนี้เพิ่งไปสอบความถนัดแพทย์มาครับ พาร์ทจริยธรรม อัตถิภาวนิยมที่อาจารย์เคยอัพโหลดไว้ (ปอ) ช่วยได้เยอะครับ
ตะวันตกเจริญเพราะพลังความคิดของพวกอัตถิภาวนิยม,ปรากฏการณนิยมนี่แหละ ศาสนจักยุคกลางล่มสลาย ยุคแสงสว่าง ปฏิวัติอุตสาหกรรม วิทยาศาสตรเฟืรองฟู
มีคนตั้งข้อสังเกตไว้ว่า "บุคคลชั้นนำที่คบหาต่างชาติจะมี Subliminal บางอย่างอยู่ในหัวติดมา" จากคำพูดของอาจารย์สมภารผมก็พอจะมองเห็นเค้าลางซึ่งท่านมีบทบาทตลอดมาทำนองเดียวกัน โดยแสดงตัวตนที่ชัดเจนว่าไม่ได้มุ่งร้ายใคร แม้ถือหลักการอันเป็นสากลมากกว่าชาตินิยม แต่ก็สอดคล้องกับโลกาภิวัฒน์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ดูเหมือนว่าทุกคนทุกระดับที่เกี่ยวข้องต่างสมัครใจร่วมเล่นละครกันราวกับมีคนเขียนบท ทำให้ผมไม่รู้สึกต่อต้าน หรือมองในแง่ร้ายใดๆ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว สิ่งที่กำลังเกิดขึ้น และกำลังจะเปลี่ยนแปลง มันเป็นไปตามวาระที่ไม่เร่งรีบ มีเวลาเตรียมตัวเตรียมใจการลงทะเบียนระบุตัวตนเพื่อให้ Ai เก็บข้อมูลมนุษย์เป็นเรื่องสำคัญที่สุด ไม่ต่างกับการบันทึกกรรมของทุกคนจากรุ่นสู่รุ่นไปชั่วลูกชั่วหลาน ความแตกแยกทำให้ทุกคนเปิดเผยตัวตน แสดงสันดานออกมาในโลกออนไลน์มันเป็นข้อมูลจริงๆที่ Ai มันเอาไปจัดเป็น Catergory เพื่อใช้คาดการณ์พฤติกรรมล่วงหน้า มีประโยชน์ต่อการยับยั้งหรือจับคนทำผิดในโลกออนไลน์และโลกจริงได้ทันเหตุการณ์มันจึงรองรับสิ่งที่เกิดในอนาคตหลังจากปลดละวางวัฒนธรรมเก่าไปแล้ว ให้ดูจีนเป็นตัวอย่างว่าเขาเปลี่ยนผ่านยุคสมัยไปล่วงหน้าได้อย่างเรียบร้อยดีผมพยายามย่อให้สั้นโดยไม่กล่าวถึงเบื้องหลังที่มาที่ไปอันซับซ้อนจนพาให้หวาดระแวงกัน เพราะเชื่อว่าธรรมะจัดสรรทั้งดีและร้ายได้ถูกที่ถูกเวลาเสมอหมายเหตุ: เป็นความเห็นส่วนตัวที่ไม่ได้ยึดโยงการเมืองฝ่ายใดๆครับประเด็นที่ผมสนใจคือศาสนา การชำระล้างของเก่าเพื่อให้ของใหม่มาแทน น่าจะดีมากกว่าร้ายเครดิต: Carry on till tomorrow
*กูเกิ้ลมันไม่รู้จัก intuition คนอ่านกูเกิ้ลแปลแล้วก็ไม่เข้าใจ intuition ดุจเดียวกับสัตว์น้ำที่ไม่เคยขึ้นบก ไม่รู้จัก intuition (สิ่งที่ไม่มีอยู่ในน้ำนั่นแหล่ะ)โมหะมาจากการยึดมั่นในปัญญาความคิดตัวเองทุกขณะจิต จึงไม่มีสติและสมาธิในการเข้าใจคำพูดคนอื่น พาให้แปลสิ่งที่ได้อ่านได้ฟังจากคนอื่นไปแบบ*กูเกิ้ล (กูเชื่ออย่างนี้) ทั้งที่เขาไม่ได้หมายความเช่นนั้นเลยคนที่ติดอยู่ในจักรวาลความคิด ไม่เคยมีสติจริง ไม่รู้จักจิตตั้งมั่น จะไม่เข้าใจสิ่งที่หลวงพ่อสอน ทุกครั้งที่ระลึกได้ด้วยสติว่ากิเลสเกิดขึ้นแล้ว ในใจยังมีวิบากอยู่แต่มันต่างกับคนไม่มีสติจริงคือ จิตผู้รู้หลุดออกจากความคิดมาเห็นสภาวะธรรมในใจซื่อๆ ไม่ใช่การทำจิตซื่อบื้อ (ไม่เห็นสมองแปลความหมายไปก่อนจะสักแต่ว่ารู้ )นักตีความทั้งหลายฟังหลวงพ่อแล้วก็แปลความหมายไปตามที่ตัวเองเชื่อ ยึดถือเอาสติที่ใช้สมองควบคุม รู้สภาวะธรรมไปพร้อมความคิด แล้วบอกว่าไม่ได้ปรุงแต่ง ไม่ได้มีตัวตนอยู่เบื้องหลังกิเลสไม่เคยตระหนักว่ามันเป็นอาเนญชาภิสังขาร เพราะไม่มีจิตผู้รู้แยกออกมาเห็น การไม่เอาจิตผู้รู้ จิตจึงรวมเป็นหนึ่งเดียวกับปัญญาความคิด กำลังเข้าใจธรรมะอยู่ ด้วยว่าไม่รู้จักโมหะของตัวเอง เพราะใช้แต่ปรีชาญาณ (intellect)ตลอดเวลา เชื่อว่าปัญญาความรู้คืออธิปัญญา (เพราะไม่ได้มีสติสัมปชัญญะของจริง)นี่คือจุดอ่อนของพวกเรียนมาก อ่านมาก รู้มาก มันมีมโนสัญเจตนาตั้งแต่ตื่นยันหลับ ฟังเสียงซอไม่รู้เรื่อง บอกไม่ได้ว่ามันไพเราะหรือไม่อย่างไรเรื่องที่อธิบายแล้วเหมือน"สีซอให้ควายฟัง" คนบางคนอ่านกี่รอบก็ไม่เข้าใจ"โอปปาติกะ"คือตัวตนที่ใช้อุปมาอุปมัยบอกเล่า มันเป็นติ๊งต่างของตัวตนนามธรรมซึ่งคำว่า"ตัวตนนามธรรม"มันก็เป็นติ๊งต่างของสภาวะธรรมที่ถูกรู้แล้วคำว่า"สภาวะธรรมที่ถูกรู้"มันก็เป็นติ๊งต่างของภาษาสื่อถึง"สังขารธรรม"อันเป็นไตรลักษณ์จิตผู้รู้เป็นสิ่งสำคัญในการเห็น"สังขารธรรม"ด้วย intuition แล้วใช้ภาษาเข้าใจด้วย intellectการรังเกียจ"จิตผู้รู้"ของคนบางคน เขาปฏิเสธจิตผู้รู้ที่ เข้าใจว่าเป็นอัตตาที่พาให้มีตัวตนเพราะยึดติดกับคำว่า"ไม่มีเรา" โดยไม่ระวังว่ามีความคิดแอบซ่อนอยู่ข้างหลังไม่เห็น"จิตผู้คิด"มันติดกับดักตรรกะภาษา มันพาให้ไม่เอา"จิตผู้รู้"intuition เป็นการรู้ด้วยจิตโดยไม่ผ่านภาษาคิด คือภาวนามยปัญญาintellect เป็นการคิดผ่านภาษาด้วยสมอง คือจินตามยปัญญาเขาไม่มี"intuition" ก็เลยใช้แต่"intellect" อย่างเดียวอุปมาว่าฟัง"stereo" ไม่เป็น ฟังเป็นแต่"mono" แล้วเข้าใจผิดว่า เข้าใจธรรมะด้วยปัญญาความรู้คือ อธิปัญญาสิกขาไม่เคยมีภาวนามยปัญญา(intuition)ของจริงเพ่งความคิดจนได้"เจโตวิมุตติ"ก็เข้าใจผิดว่าได้"ปัญญาวิมุตติ"ด้วย"อาเนญชาภิสังขาร"ทำให้เชื่อว่าไม่มีตัวตน ไม่มีเรา ความว่างที่พูดและยึดถือเป็นของปลอมเป็นปลาที่พูดถึงเรื่องบนบก(โลกุตรธรรม)โดยไม่เคยขึ้นบก(ไม่มีวิปัสสนาญาณของจริง)เชื่อว่าตนมี"วิปัสสนาญาณ" เพราะเคยเกิดวิปัสสนูปกิเลสบ้าง เคยเกิดนิมิตบ้าง เคยฝันตอนหลับบ้าง เคยนั่งสมาธิแล้วเห็นภาพบ้างใครเชื่อว่าถอดจิตออกจากร่างได้ เชื่อว่าวิญญาณไปที่ไหนๆนอกตัวได้ แสดงว่าละ"สักกายทิฏฐิ"ไม่ได้สิ่งที่แจกแจงมาทั้งหมดคนทั่วไปอ่านแล้วก็เข้าใจไปอย่างปลา เป็นการเข้าใจไปตามภาษา แต่ไม่รู้ถึงของจริงที่เกินขอบเขตภาษาไปภาวนามยปัญญาของปลอมอุปมาเหมือนการฟังเพลงแล้วได้ยินแต่เนื้อเพลง อย่างเก่งก็ได้ยินทำนอง แต่ไม่มี intuition เห็น chords progression อย่างนักดนตรีเห็น (เห็นการเล่นคนละอย่างสัมพันธ์กันเป็นไวยากรณ์)การสีซอให้ควายฟัง ควายมันได้ยินแต่มันไม่เข้าใจอย่างที่ว่ามาภาวนามยปัญญาของจริงใช้ intuition และ intellect เป็นเครื่องมือในการรู้สังขตธรรมและอสังขตธรรมคนไม่รู้จัก intuition จะถูกคำว่า"ปิ๊งแว๊บ"หลอกให้จำกัดการรู้ธรรมะไว้เพียงปลายทางที่สมอง จึงเข้าใจผิดว่าคำตอบปลายทางของ intellect คืออันเดียวกัน*ความจริงคือต้องรู้ด้วยจิตก่อนสมองคิดเป็นภาษา*จิตผู้รู้จึงมี intuition และ intellect ครบสองส่วนจึงจะรู้ความหมายว่า "คิดเท่าไหร่ก็ไม่รู้ หยุดคิดจึงรู้(ด้วย intuition) แต่ก็อาศัยคิด(ด้วยintellect)By อัสสนาญาณ
❤️
ทำของ jordan B peterson หน่อยครับ
ถ้ารัก Sartre ก็อย่ามาอยู่เมืองไทย 😂
ขอบคุณที่ยกตัวอย่างเรื่องสถานการณ์การปฏิรูปสถาบันมหากษัตริย์ครับ มีนักวิชาการไม่มากนักที่จะยกตัวอย่างเรื่องเหล่านี้ .. ขอบคุณจริงๆครับอาจารย์
ขอบคุณมากครับ!สำหรับข้อมูลความรู้
ขอบคุณมากนะครับ
ขออภัยที่เห็นแย้งนะครับว่าที่อาจารย์ยกตัวอย่างมายังไม่ตรงทีเดียวนัก การปฏิเสธอันมาจากปัญญาลุ่มลึกนั้นมันไม่ตื้น ด้วยเพียงการเป็นกบฏต่อสิ่งที่ผู้อื่นตั้งไว้ก่อน การกบฏอย่างนี้ใครๆก็คิดได้ถ้ามีคนจุดประเด็น มีเรื่องมากมายชวนให้คิดกยฏโดยไม่ต้องมีปัญญา เข่นกฏระเบียบในโรงเรียนต่างๆ มันบังคับข่มขืนใจมาทุกยุคสมัย ยิ่งอาจารย์ฝ่ายปกครองขาดเมตตายิ่งลงโทษนักเรียนเพื่อสนองอารมณ์ตัวเอง การปฏิเสธหรือกล้ากบฏเพื่อการมีตัวตนของนักศึกษาก็ยังไม่ใช่ ไม่ได้มาจากปัญญาอันตกตะกอนถึงแก่น ในทัสสนะของผมมองว่าการกบฎต่อระบบความคิดในหัวตัวเองได้ คือจุดเริ่มต้นที่นำไปสู่การปฏิเสธสิ่งภายนอกอย่างเข้าใจ ตั้งแต่หยั่งรู้ถคงที่มาของความปลอม และเหตุผลที่มันต้องมีอยู่ด้วยใจเป็นกลาง การต้องต่อต้านมัน การสู้กับมัน ไม่ใช่เพื่อได้เป็นผู้ชนะ หรือทำลายใคร แต่ด้วยหัวใจที่มีความรัก ความเมตตา ความจริงใจ ไม่ได้สนองอีโก้ตัวเอง และให้ทุกฝ่ายเลือกเอาเอง ไม่ได้บังคับให้เปลี่ยน เช่นพระพุทธเจ้าชวนให้พิสูจน์เอง รู้ด้วยตัวเอง จึงจะเปลี่ยน จึงจะปฏิเสธของที่เคยเชื่อเคยทำ
ด้วยความเคารพครับท่าน
เห็นด้วยอย่างที่สุดครับ
@@simplebudd ขอบคุณครับ
การต่อต้านอย่างลึกซึ้งคือไม่ทำเหี้ยอะไรเลย คนตายก็ทำได้
กระหายที่จะได้ฟังความรู้ ทุกคำ ของอาจารย์ แต่ ไม่มีเงิน ลงเรียน ที่ มหาจุฬาฯ
อาศัย รับฟังคลิบที่ อาจารย์ กรุณาลง กราบขอบพระคุณครับ.
เดี๋ยวนี้คลิปไม่ค่อยยาวเลยครับอาจารย์ ผมฟังก่อนนอนทุกคืนเลยครับ ชอบฟังมาก ฟังแล้วได้มุมมองความคิดหลายมุมมากๆเลยครับ ขอบพระคุณอาจารย์มากๆครับ
Thank you
การดูจิตที่ครูบาอาจารย์สอนนั้นคือให้หมั่นดูความเป็นสังขตธรรมจนเห็นความปรุงแต่งว่ามันเป็นไตรลักษณ์อย่างไร ไม่ใช่การคิดว่าจิตเป็นอสังขตธรรมตามตำราจึงอ้างว่าไม่มีเรา ไม่มีตัวตน คน สัตว์ จึงมุ่งดูจิตให้เห็นความว่างเปล่า ไปเอาคำสอนเว่ยหล่าง ฮวงโป มาปรุงแต่ง ยึดคำบรรยายอสังขตธรรมมาเป็นจุดโฟกัสของการดูจิต ไม่ใส่ใจดูความเป็นสังขตธรรม คิดเรื่องไตรลักษณ์เพื่อหลอกตัวเองให้ปล่อยวาง นี่คือการปรุงแต่งความไม่ปรุงแต่ง ทำเป็นสักแต่ว่ารู้และเห็นอย่างปลอมๆ ไม่เห็นตัวตนที่เรียกว่า "อเนญชาภิสังขาร" ตีความการดูจิตผิดพลาดไปอีกอย่าง คนละทางกับที่ครูบาอาจารย์ท่านสอน ดูจิตเพื่อให้เราเห็นทุกข์ของความเป็นสังขตธรรมอันไม่เที่ยง เปลี่ยนแปลงบีบคั้นของตัวตน เห็นจริงๆว่าตัวตนทั้งรูปธรรม นามธรรม ไม่ใช่เราอย่างไร ด้วยมีจิตแยกออกมาเป็นผู้รู้ ผู้เห็น การยึดมั่นคำว่าไม่มีเรา ปฏิเสธตัวตนคือปฏิเสธผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เลยเอาแค่รู้ ตื่น เบิกบาน โดยมีผู้คิดแอบเป็นเราในขณะที่ปากพูดว่าไม่มีเรา นี่คือพวกติดกับดักความรู้ในหัว พวกอ่านหรือฟังท่านพุทธทาส พวกที่เรียนธรรมะแบบเรียนหนังสือ การภาวนาจึงมุ่งทำจิตให้ว่าง ซื่อบื้อได้แล้วดี ไม่ได้เข้าใจจิตตสิกขา จึงนึกว่ามิจฉาสมาธิเป็นทางของปัญญา นึกว่าความรู้จากการถอดความตัวหนังสือเป็นปัญญาสิกขา ได้เจโตวิมุตติก็นึกว่าได้ปัญญาวิมุตติ มันผิดฝาผิดตัวไปหมด คนสอนถูกจึงว่าผิด ตัวเองสอนผิดกลับไม่รู้ตัว ตายไปแล้วจะเป็นตราบาปไปชั่วลูกชั่วหลาน หากไม่แก้ไขตอนมีชีวิตให้ถูก วันหนึ่งความจริงจะปรากฏ ในวันนี้มีคนรู้ไม่กี่คนก็จริง แต่สิ่งที่ปรากฏบนอินเตอร์เน็ตมันไม่หายไปไหน คนรุ่นต่อไปจะได้เปรียบเทียบของจริงกับของปลอม แล้วพบว่าใครคือคนทำลายศาสนา เป็นสัทธรรมปฏิรูป สิ่งที่ทำมาทั้งชีวิตเป็นกองขยะมลพิษในโลกออนไลน์แค่นั้น!!!
by ตงฟางปุ๊ป้าย บูรพาไม่แพ้ 2013
ผู้มีบุญมาเกิด ❌️
อะไรๆก็เกิดจาดความคิด แล้วคิดตามหาความหมาย .แล้วก็สงสัยกันวนต่อๆไป มายาแห่งความคิดและมายาแห่งภาษา.
ขอให้คนที่ละเมิดส่วนบุคคล ถึงหายนะ
อย่าดูเบา เฉกเช่นผงถุลีแม้นเพียงเล็กน้อยหากอยู่ผิดที่ผิดเวลาเข้าตาจนเมื่อได ย่อมหาสุขมิได้แล ความหมายที่ควรเข้าใจแบบฉบับของเจ้า ประโยคที่ว่า ไต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท
ไคร่ควรก่อนจึงดี
การที่คนยืนแสดงความเคารพ ต่อเพลงสรรเสริญพระบารมี ก็เป็นทางเลือกของบุคคล ทุกคนเท่ากัน แต่การแสดงให้เกียรติคนที่เคารพ ปัจจุบันไม่ใช่เพราะถุกบังคับ เด็กไม่ไหว้ผู้ใหญ่ พูดไม่มีหางเสียง พบได้ทั่วไป และการแสดงความอ่อนน้อม ก็มีทั้งในพฤติกรรมของมนุษย์และสัตว์ การอยู่ในสังคมและจำเป็นต้องสร้างตนให้ประคองคุณภาพชีวิตของตนเองและครอบครัวได้ ต้องอยุ่กับบรรทัดฐานของสังคมอันซับซ้อน ถ้าอยู่ลำพัง ไม่ต้องพึ่งโครงสร้างสังคมใดๆ จะ negation ยังไงก็ได้ จะบอกคนมาเยี่ยมโดยไม่ได้นัด ให้กลับไปซะ ไม่พร้อม ก็ได้
👌
คุณค่าของการเกิดมาเป็นคน การอยู่ร่วมกันในสังคม เรายอมรับว่า..
ชีวิตมนุษย์ทุกคนเกิดมาเท่าเทียมกัน แลเห็นสังคมเราแล้วไม่ใช่....
ความเห็นแก่ตัว ไม่คำนึงถึงทุกข์สุขของคนทั่วไป เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งของมนุษย์
สังคมไทย สนับสนุนสิ่งอันใด ในสภาวะแวดล้อมของสังคมไทยที่เป็นอยู่วันนี้.......
ตอนแรกอาจารย์บรรยายว่า ซาตร์บอกว่ามี being สองชนิด ต่อมาก็พูด "คานท์" แทนซาตร์ (หรือพูดสลับกัน) เข้าใจว่าเผลอพูดตามความเคยชิน แต่ฟังไอเดียซาตร์ตามที่ว่านี้ก็มี "แง่มุมสำคัญ" ที่คล้ายกับไอเดียคานท์ที่ว่า ปัจเจกบุคคลที่มีศักดิ์ศรีหรือความสง่างาม (dignity) ต้องมีเสรีภาพ ซึ่งการเมีเสรีภาพคือต้องสามารถใช้เหตุผลบัญญัติกฎศีลธรรมขึ้นมาใช้กับตัวเองและคนอื่นได้ การมีเสรีภาพเช่นนี้สะท้อน negation คือปฏิเสธการทำตัวเป็นเพียง object หรือวัตถุที่ถูกกระทำหรือถูกกำหนดให้ทำตามกฎที่คนอื่น ความเชื่อ ศาสนา ประเพณี ฯลฯ กำหนดให้ทำตาม และยืนยันความเป็น subject หรือความเป็นผู้กระทำคือใช้เสรีภาพบัญญัติกฎด้วยตนเอง
ขอบคุณมากครับที่บรรยายหนังสือเล่มนี้มา ผมอยากฟังบรรยายอีกหนังสือหนึ่งของ"ไฮเดรกเกอร์" ชื่อ being and time ถ้ามีจะเป็นการขอบคุณอย่างมากเลยครับ
ยกตัวอย่าง 'สี่เหวินเฉียง' ในเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้
คิดถึงครับอาจารย์ วันนี้เพิ่งไปสอบความถนัดแพทย์มาครับ พาร์ทจริยธรรม อัตถิภาวนิยมที่อาจารย์เคยอัพโหลดไว้ (ปอ) ช่วยได้เยอะครับ
ตะวันตกเจริญเพราะพลังความคิดของพวกอัตถิภาวนิยม,ปรากฏการณนิยมนี่แหละ ศาสนจักยุคกลางล่มสลาย ยุคแสงสว่าง ปฏิวัติอุตสาหกรรม วิทยาศาสตรเฟืรองฟู
มีคนตั้งข้อสังเกตไว้ว่า "บุคคลชั้นนำที่คบหาต่างชาติจะมี Subliminal บางอย่างอยู่ในหัวติดมา" จากคำพูดของอาจารย์สมภารผมก็พอจะมองเห็นเค้าลาง
ซึ่งท่านมีบทบาทตลอดมาทำนองเดียวกัน โดยแสดงตัวตนที่ชัดเจนว่าไม่ได้มุ่งร้ายใคร แม้ถือหลักการอันเป็นสากลมากกว่าชาตินิยม แต่ก็สอดคล้องกับโลกาภิวัฒน์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ดูเหมือนว่าทุกคนทุกระดับที่เกี่ยวข้องต่างสมัครใจร่วมเล่นละครกันราวกับมีคนเขียนบท ทำให้ผมไม่รู้สึกต่อต้าน หรือมองในแง่ร้ายใดๆ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว สิ่งที่กำลังเกิดขึ้น และกำลังจะเปลี่ยนแปลง มันเป็นไปตามวาระที่ไม่เร่งรีบ มีเวลาเตรียมตัวเตรียมใจ
การลงทะเบียนระบุตัวตนเพื่อให้ Ai เก็บข้อมูลมนุษย์เป็นเรื่องสำคัญที่สุด ไม่ต่างกับการบันทึกกรรมของทุกคนจากรุ่นสู่รุ่นไปชั่วลูกชั่วหลาน ความแตกแยกทำให้ทุกคนเปิดเผยตัวตน แสดงสันดานออกมาในโลกออนไลน์
มันเป็นข้อมูลจริงๆที่ Ai มันเอาไปจัดเป็น Catergory เพื่อใช้คาดการณ์พฤติกรรมล่วงหน้า มีประโยชน์ต่อการยับยั้งหรือจับคนทำผิดในโลกออนไลน์และโลกจริงได้ทันเหตุการณ์
มันจึงรองรับสิ่งที่เกิดในอนาคตหลังจากปลดละวางวัฒนธรรมเก่าไปแล้ว ให้ดูจีนเป็นตัวอย่างว่าเขาเปลี่ยนผ่านยุคสมัยไปล่วงหน้าได้อย่างเรียบร้อยดี
ผมพยายามย่อให้สั้นโดยไม่กล่าวถึงเบื้องหลังที่มาที่ไปอันซับซ้อนจนพาให้หวาดระแวงกัน เพราะเชื่อว่าธรรมะจัดสรรทั้งดีและร้ายได้ถูกที่ถูกเวลาเสมอ
หมายเหตุ: เป็นความเห็นส่วนตัวที่ไม่ได้ยึดโยงการเมืองฝ่ายใดๆครับ
ประเด็นที่ผมสนใจคือศาสนา การชำระล้างของเก่าเพื่อให้ของใหม่มาแทน น่าจะดีมากกว่าร้าย
เครดิต: Carry on till tomorrow
*กูเกิ้ลมันไม่รู้จัก intuition คนอ่านกูเกิ้ลแปลแล้วก็ไม่เข้าใจ intuition ดุจเดียวกับสัตว์น้ำที่ไม่เคยขึ้นบก ไม่รู้จัก intuition (สิ่งที่ไม่มีอยู่ในน้ำนั่นแหล่ะ)
โมหะมาจากการยึดมั่นในปัญญาความคิดตัวเองทุกขณะจิต จึงไม่มีสติและสมาธิในการเข้าใจคำพูดคนอื่น พาให้แปลสิ่งที่ได้อ่านได้ฟังจากคนอื่นไปแบบ*กูเกิ้ล (กูเชื่ออย่างนี้) ทั้งที่เขาไม่ได้หมายความเช่นนั้นเลย
คนที่ติดอยู่ในจักรวาลความคิด ไม่เคยมีสติจริง ไม่รู้จักจิตตั้งมั่น จะไม่เข้าใจสิ่งที่หลวงพ่อสอน ทุกครั้งที่ระลึกได้ด้วยสติว่ากิเลสเกิดขึ้นแล้ว ในใจยังมีวิบากอยู่แต่มันต่างกับคนไม่มีสติจริงคือ จิตผู้รู้หลุดออกจากความคิดมาเห็นสภาวะธรรมในใจซื่อๆ ไม่ใช่การทำจิตซื่อบื้อ (ไม่เห็นสมองแปลความหมายไปก่อนจะสักแต่ว่ารู้ )
นักตีความทั้งหลายฟังหลวงพ่อแล้วก็แปลความหมายไปตามที่ตัวเองเชื่อ ยึดถือเอาสติที่ใช้สมองควบคุม รู้สภาวะธรรมไปพร้อมความคิด แล้วบอกว่าไม่ได้ปรุงแต่ง ไม่ได้มีตัวตนอยู่เบื้องหลังกิเลส
ไม่เคยตระหนักว่ามันเป็นอาเนญชาภิสังขาร เพราะไม่มีจิตผู้รู้แยกออกมาเห็น การไม่เอาจิตผู้รู้ จิตจึงรวมเป็นหนึ่งเดียวกับปัญญาความคิด กำลังเข้าใจธรรมะอยู่ ด้วยว่าไม่รู้จักโมหะของตัวเอง เพราะใช้แต่ปรีชาญาณ (intellect)ตลอดเวลา เชื่อว่าปัญญาความรู้คืออธิปัญญา (เพราะไม่ได้มีสติสัมปชัญญะของจริง)
นี่คือจุดอ่อนของพวกเรียนมาก อ่านมาก รู้มาก มันมีมโนสัญเจตนาตั้งแต่ตื่นยันหลับ ฟังเสียงซอไม่รู้เรื่อง บอกไม่ได้ว่ามันไพเราะหรือไม่อย่างไร
เรื่องที่อธิบายแล้วเหมือน"สีซอให้ควายฟัง" คนบางคนอ่านกี่รอบก็ไม่เข้าใจ
"โอปปาติกะ"คือตัวตนที่ใช้อุปมาอุปมัยบอกเล่า มันเป็นติ๊งต่างของตัวตนนามธรรม
ซึ่งคำว่า"ตัวตนนามธรรม"มันก็เป็นติ๊งต่างของสภาวะธรรมที่ถูกรู้
แล้วคำว่า"สภาวะธรรมที่ถูกรู้"มันก็เป็นติ๊งต่างของภาษาสื่อถึง"สังขารธรรม"อันเป็นไตรลักษณ์
จิตผู้รู้เป็นสิ่งสำคัญในการเห็น"สังขารธรรม"ด้วย intuition แล้วใช้ภาษาเข้าใจด้วย intellect
การรังเกียจ"จิตผู้รู้"ของคนบางคน เขาปฏิเสธจิตผู้รู้ที่ เข้าใจว่าเป็นอัตตาที่พาให้มีตัวตน
เพราะยึดติดกับคำว่า"ไม่มีเรา" โดยไม่ระวังว่ามีความคิดแอบซ่อนอยู่ข้างหลัง
ไม่เห็น"จิตผู้คิด"มันติดกับดักตรรกะภาษา มันพาให้ไม่เอา"จิตผู้รู้"
intuition เป็นการรู้ด้วยจิตโดยไม่ผ่านภาษาคิด คือภาวนามยปัญญา
intellect เป็นการคิดผ่านภาษาด้วยสมอง คือจินตามยปัญญา
เขาไม่มี"intuition" ก็เลยใช้แต่"intellect" อย่างเดียว
อุปมาว่าฟัง"stereo" ไม่เป็น ฟังเป็นแต่"mono" แล้วเข้าใจผิดว่า เข้าใจธรรมะด้วยปัญญาความรู้คือ อธิปัญญาสิกขา
ไม่เคยมีภาวนามยปัญญา(intuition)ของจริง
เพ่งความคิดจนได้"เจโตวิมุตติ"ก็เข้าใจผิดว่าได้"ปัญญาวิมุตติ"
ด้วย"อาเนญชาภิสังขาร"ทำให้เชื่อว่าไม่มีตัวตน ไม่มีเรา ความว่างที่พูดและยึดถือเป็นของปลอม
เป็นปลาที่พูดถึงเรื่องบนบก(โลกุตรธรรม)โดยไม่เคยขึ้นบก(ไม่มีวิปัสสนาญาณของจริง)
เชื่อว่าตนมี"วิปัสสนาญาณ" เพราะเคยเกิดวิปัสสนูปกิเลสบ้าง เคยเกิดนิมิตบ้าง เคยฝันตอนหลับบ้าง เคยนั่งสมาธิแล้วเห็นภาพบ้าง
ใครเชื่อว่าถอดจิตออกจากร่างได้ เชื่อว่าวิญญาณไปที่ไหนๆนอกตัวได้ แสดงว่าละ"สักกายทิฏฐิ"ไม่ได้
สิ่งที่แจกแจงมาทั้งหมดคนทั่วไปอ่านแล้วก็เข้าใจไปอย่างปลา เป็นการเข้าใจไปตามภาษา แต่ไม่รู้ถึงของจริงที่เกินขอบเขตภาษาไป
ภาวนามยปัญญาของปลอมอุปมาเหมือนการฟังเพลงแล้วได้ยินแต่เนื้อเพลง อย่างเก่งก็ได้ยินทำนอง แต่ไม่มี intuition เห็น chords progression อย่างนักดนตรีเห็น (เห็นการเล่นคนละอย่างสัมพันธ์กันเป็นไวยากรณ์)
การสีซอให้ควายฟัง ควายมันได้ยินแต่มันไม่เข้าใจอย่างที่ว่ามา
ภาวนามยปัญญาของจริงใช้ intuition และ intellect เป็นเครื่องมือในการรู้สังขตธรรมและอสังขตธรรม
คนไม่รู้จัก intuition จะถูกคำว่า"ปิ๊งแว๊บ"หลอกให้จำกัดการรู้ธรรมะไว้เพียงปลายทางที่สมอง จึงเข้าใจผิดว่าคำตอบปลายทางของ intellect คืออันเดียวกัน
*ความจริงคือต้องรู้ด้วยจิตก่อนสมองคิดเป็นภาษา
*จิตผู้รู้จึงมี intuition และ intellect ครบสองส่วน
จึงจะรู้ความหมายว่า "คิดเท่าไหร่ก็ไม่รู้ หยุดคิดจึงรู้(ด้วย intuition) แต่ก็อาศัยคิด(ด้วยintellect)
By อัสสนาญาณ
❤️
ทำของ jordan B peterson หน่อยครับ
ถ้ารัก Sartre ก็อย่ามาอยู่เมืองไทย 😂
ขอบคุณที่ยกตัวอย่างเรื่องสถานการณ์การปฏิรูปสถาบันมหากษัตริย์ครับ มีนักวิชาการไม่มากนักที่จะยกตัวอย่างเรื่องเหล่านี้ .. ขอบคุณจริงๆครับอาจารย์