Размер видео: 1280 X 720853 X 480640 X 360
Показать панель управления
Автовоспроизведение
Автоповтор
🙏🙏🙏กราบสาธุค่ะ..ปฏิบัติมานานเห็นจิตใจเปลี่ยนไป..แต่บอกคนอื่นไม่ถูกว่าปฏิบัติไปถึงไหน🙏🙏🙏วันนี้ได้คำตอบแล้วค่ะ..ธรรมะง่ายๆแต่แจ่มแจ้งค่ะ🙏🙏🙏กราบสาธุสาธุสาธุ
กราบสาธุเจ้าค่ะหลวงตา🎉🎉🎉❤
กราบสาธุหลวงตาสาธุสาธุสาธุครับ
สาธุครับหลวงตา ผมเป็น 1 ในผู้ฟัง 888 เข้าใจ แล้วครับ ยิ่งเข้าใจ จิตที่ปฏิบัติ สาธุ ครับ
อนุโมทนาสาธุนะคะหลวงตา ชอบที่หลวงตา ตอบคำถามคะ เข้าใจง่าย
ขอน้อมถวายบูชาธรรมหลวงตา สาธุสาธุสาธุ
น้อมกราบสาธุในธรรมเจ้าค่ะ🙇♂️🙇♂️🙇♂️🙏🙏🙏
ชอบเสียงหัวเราะพี่มีความสุขครับ
น้อมกราบนมัสการค่ะขออนุโมทนาบุญค่ะ
สาธุสาธุสาธุครับหลวงตาครับ❤❤❤❤
ฟังอยู่ครับ หัวเราะได้บุญมากคับ 😊😊😂
กราบหลวงตาเจ้าคะ
น้อมกราบอนุโมทนาสาธุๆๆเาค่ะ
อัตตาเป็นอวิชชา อนัตตาเป็นวิชชาในธรรมทั้งปวง
น้อมกราบหลวงตาสาธุเจ้าค่ะ
สาธุๆๆในธรรมที่หลวงตาเมตตาเจ้าค่ะ
น้อมกราบหลวงตาครับ
กราบสาธุขอรับ🙏🙏🙏❤️
น้อมกราบอนุโมทนาบุญเจ้าคะสาธุ🙏🙏🙏
ย่าเชื่ออะไรทั้งสิ้น แค่เขาว่านั้น เพราะไม่ใช่ปัญญาของเรา
กราบขอบพระคุณครับหลวง ตาสาธุ
น้อมกราบสาธุค่ะ
สาธุสาธุสาธุ
น้อมกราบสาธุเจ้าคะ
ขออนุโมทนาทุกบุญกุศลนะครับ...สาธุ...สาธุ...สาธุ...
กราบสาธุจริงแท้
😇🌷กราบหลวงตาคะสาธุ🌷😇
สาธุๆๆ
สาธุค่ะน้อมกราบนมัสการหลวงตาเจ้าค่ะ🙏🙏🙏🕯️💐💐💐🕯️ขออนุโมทนาบุญกับการเผยแผ่ธรรมทานด้วยค่ะสาธุ🙏🙏🙏😊
อนุสัญญา อนุไส สาธุ
เริ่มกระจ่างแจ้งครับกราบสาธุครับ
น้อมกราบสาธุสาค่ะหลวงตา
...กราบสาธุๆๆคับ...
กราบสาธุค่ะ
สาธุค่ะ
สาธุๆๆอนุโมทามิ.
กราบสาธุๆๆครับ
Fcมาแล้วครับหลวงตา
สาธุสาธุครับ🙏🙏🙏
คำว่า "อวิชชา" (Avidya) ในศาสนาพุทธ หมายถึงความไม่รู้หรือความมืดมนทางธรรมชาติ ซึ่งเป็นสาเหตุของความทุกข์ทั้งหมด อวิชชาเป็นการไม่เข้าใจความจริงที่แท้จริงของการเป็นอยู่ หรือไม่รู้เรื่องที่สำคัญที่สุดของชีวิต ซึ่งเป็นสถานะที่ทำให้เกิดความผิดพลาด ความเจ็บปวด และความทุกข์เสียหายที่ตามมาอวิชชามักถูกเปรียบเทียบกับเงาหรือความมืด ซึ่งปกคลุมบังแสงของความเข้าใจที่แท้จริง เมื่อมนุษย์อยู่ในสภาวะอวิชชา พวกเขามักมองโลกในมุมมองที่ผิดพลาด มีความผิดพลาดในการเข้าใจความจริง และมักทำสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นการทำให้เกิดความทุกข์ในสายตาของศาสนาพุทธ สุภาวะที่แท้จริงในศาสนาพุทธ คือ นิพพานคุณค่า (Nirvana) หรือสถานะที่พ้นจากอวิชชาและความทุกข์ทั้งหมดในโลกนี้การตระหนักและเข้าใจถึงอวิชชา ซึ่งหมายถึงความรู้ของการเป็นอยู่ที่แท้จริง มีความสำคัญอย่างมากในการฝึกฝนและปฏิบัติศาสนาพุทธ โดยการฝึกฝนสมาธิและมีสติ และการปฏิบัติธรรม เป็นวิธีที่สำคัญในการเข้าใจและพิชิตอวิชชา ซึ่งนักธรรมจะพยายามทำให้ความเข้าใจเกี่ยวกับธรรมชาติแห่งการเป็นอยู่มากขึ้น และปล่อยวางความผูกพันที่ทำให้เกิดความทุกข์ไว้ครับ โดยทั้งสมาธิและปฏิบัติธรรมมีบทบาทสำคัญในการเข้าถึงธรรมชาติแห่งการเป็นอยู่ และการพิชิตความทุกข์ในศาสนาพุทธครับในศาสนาพุทธธรรม "วิชชาที่แท้จริง" หมายถึง "อริยสัจ" (Ariya-Sacca) ซึ่งเป็นความจริงที่มีค่าสูงสุดและเป็นที่รับรู้โดยผู้ที่เข้าใจและได้รับการสอนตามปรัชญาพุทธ เรียกว่า "นิพพานคุณค่า" (Nirvana) หรือ "สวรรค์" ซึ่งเป็นสถานะที่เพียงผู้ที่ประสบประสบการณ์การตอบสนองที่ถูกต้องต่อความจริงที่แท้จริง และปลดปล่อยจากการเกิดใหม่ในสายตาธรรมนอกจากนี้ อริยสัจมีทั้งหมด 4 ข้อ ดังนี้:ความทุกข์ของชีวิต (Dukkha): ชีวิตมีความทุกข์ ซึ่งเกิดจากการติดต่อกับสิ่งต่าง ๆ ในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องสาเหตุของความทุกข์ (Samudaya): สาเหตุของความทุกข์คือความร้ายแรงและความปรารถนาที่เกิดจากความปรารถนาที่บรรพบุรุษต่างๆการขจัดความทุกข์ (Nirodha): ความทุกข์สามารถถูกขจัดได้ โดยการเลิกปรารถนาและการติดตาม โดยเรียกว่า "นิพพานคุณค่า"ทางสู่การขจัดความทุกข์ (Magga): ทางสู่การขจัดความทุกข์คือ ปฏิบัติและฝึกปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าสอน ซึ่งเรียกว่า "อริยสัจ 8 ประการ" หรือ "อริยสัจแปดชัย"ดังนั้น วิชชาที่แท้จริงในศาสนาพุทธคือการเข้าใจและตระหนักถึงอริยสัจ หรือความจริงที่แท้จริงของชีวิตและการเป็นอยู่ ซึ่งเป็นการเข้าใจถึงความทุกข์ของชีวิต สาเหตุของความทุกข์ วิธีการขจัดความทุกข์ และทางสู่การขจัดความทุกข์ นับเป็นหลักการและความเข้าใจที่สำคัญในการเดินทางของผู้ศึกษาศาสนาพุทธครับในศาสนาพุทธธรรมอวิชชาที่แท้จริงคือ "อติชาตธรรม" หรือ "Dharma" ซึ่งหมายถึงกฎหมายแห่งธรรมชาติหรือความจริงแห่งการเป็นอยู่ที่ไม่มีผู้สร้าง ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญในการฝึกฝนและปฏิบัติศาสนาพุทธอติชาตธรรม (Dharma) ในศาสนาพุทธไม่ใช่เพียงแค่การตระหนักถึงกฎหมายและความจริงทางธรรมชาติ แต่ยังรวมถึงการฝึกฝนและปฏิบัติตามหลักการแห่งธรรม โดยอติชาตธรรมนั้นสามารถแบ่งออกเป็นสาขาหลัก ๆ ที่ใหญ่ที่สุด ดังนี้:ธรรมสูตร (Sila): หมายถึง คำสั่ง และข้อห้ามในการปฏิบัติ ธรรมสูตรมีบทบาทสำคัญในการสร้างพื้นฐานสำหรับการฝึกฝน ซึ่งรวมถึง 5 ศีล (5 Precepts) หรือ 8 ศีล (8 Precepts) ซึ่งเป็นหลักการแห่งสุจริตและความจริงสมาธิ (Samadhi): หมายถึงการฝึกปฏิบัติทางจิตใจเพื่อให้สมาธิ หรือสถานะจิตใจที่มีสมาธิ ซึ่งมีการฝึกปฏิบัติในรูปแบบของการมีสมาธิ (Concentration) และการฝึกปฏิบัติในรูปแบบของการสงบใจ (Meditation)ประทีป (Prajna): หมายถึงความเข้าใจหรือภูมิปัญญา ประทีปเป็นคุณสมบัติที่ทำให้เราเข้าใจความจริงและธรรมชาติของการเป็นอยู่ ซึ่งเป็นผลมาจากการฝึกปฏิบัติและการสังเกตการณ์อย่างไรก็ตาม การฝึกฝนและปฏิบัติตามอติชาตธรรมไม่ได้เป็นเรื่องที่จะศักยภาพให้เกิดขึ้นในระยะเวลาสั้น ๆ แต่เป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลาและความพยายามอย่างต่อเนื่อง และมักมีการรับรู้และพัฒนาเป็นลำดับครับ โดยผ่านการฝึกฝนและปฏิบัติตามหลักการแห่งธรรมชาติ นี่คืออวิชชาที่แท้จริงในศาสนาพุทธ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในชนกันทั่วโลก
นอนไม่หลับ ฟังเพลิน
ออกจากทุกข์ ต้องเข้าหาทุกข์
เข้าหาทุกข์เพื่อดูธรรมชาติของมัน คือ ความที่ต้องเปลี่ยนแปลงแปรปรวน ที่ต้องสู่การดับ เห็นไปๆๆ แรมวันแรมปี แล้วอนัตตาก็จะเข้าหาเราเอง ด้วยการสร้างเหตุนั้น
เข้าหาทุกข์คือไม่หนีเวทนา กล้าเผชิญหน้ากับมัน อดทน และคอยรู้ทันความยินดียินร้ายที่จะเกิด แต่อย่าไปเพ่งมัน แค่คอยชำเลือง ทำอะไรอยู่ก็ทำไป ให้มีสติจดจ่อกับสิ่งนั้นอย่างต่อเนื่อง ซักพักทุกข์จะดับไปได้เอง เพราะไม่มีตัณหาอุปาทานเป็นเชื้อให้ทุกข์ขยายตัว ไม่ง่าย ต้องฝึกบ่อยๆเราใช้การวิปัสสนา โดยอาศัยทุกข์ที่มันเกิดกับเราบ่อยๆอยู่แล้ว เพื่อเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เมื่อเห็นความจริงบ่อยๆ ต่อไปจิตจะไม่จมทุกข์และหลงเพลินกับสุขง่ายๆ.
@@RumresinWaffleจำเป็นสิครับ..การจะออกจากทุกข์นั้นเราต้องรู้จักกับความทุกข์เสียก่อน..อุปมาอุปไมยเหมือนเราจะสู้รบกับศัตรูแต่เสือกไม่รู้จักจุดอ่อนจุดแข็งของศัตรู..จะรบกี่ครั้งก็พ่ายแพ้ต่อศัตรูอยู่ดี..ฉันใดก็ฉันนั้นการจะอยู่เหนือทุกข์เราต้องรู้จักทุกข์เสียก่อนว่ามันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร..อะไรเป็นเหตุทำให้เกิดทุกข์.. อะไรเป็นเหตุทำให้ทุกข์..ฉะนั้นเราต้องฉลาดในเรื่องทุกข์..
@@RumresinWaffleทุกข์เราต้องรู้..ถ้าไม่รู้จะอยู่เหนือมันไม่ได้..จำไว้นะ..
สาธุครับหลวงตา
ฮักหลวงตาครับ
วัยเจริญพันธุ์หลวงตารู้หมดอดถาม
สาธุผม
ธรรมะแท้ คลิปนี้
❤❤❤
🙏🏻🙏🏻🙏🏻
🌹🌹🌹
🙏🙏🙏
🌻🌻🌻🌻
แต่ละคนก็ใช้ข้อมูลที่ตนเองมีอยู่ตอบทั้งนั้นแหละครับแต่ผู้รู้แล้วเห็นแล้วย่อมตอบในทิศทางเดียวกันคือมันไม่เที่ยงไม่ว่าจะข้อมูลชนิดใด ไม่ว่าจะขณะใดสภาวะใดก็ตามย่อมเห็นว่ามันไม่เที่ยงผลก็จะอุเบกขาในทุกขณะเป็นธาตุสักแต่ว่าธาตุ ตั้งแต่รูปธาตุ เวทนาธาตุ สัญญาธาตุ สังขาร์ธาตุไม่ต่างอะไรกับธาตุดินธาตุน้ำธาตุลมธาตุไฟ ล้วนเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป เป็นอนิจจังทุกขังอนัตตาภายนอกล้วนอนิจจังทุกขังอนัตตาภายใน(ใจจิต)ก็ล้วนอนิจจังทุกขังอนัตตาไม่มีข้อยกเว้นนิพพานเป็นผลของการรู้แจ้งในสิ่งเหล่านี้หมดความลังเลสงสัยทุกขณะจิตอนิจจังทุกขังอนัตตาสาธุครับ
ยังได้แค่สัญญาความจำเท่านั้นเอง..เดินมรรคปฏิบัติเมื่อไหร่จึงจะได้ผลเมื่อนั้น
@@ตะวันพลายแสงยามแรงกินเหล้า จริงครับเพราะสัญญาทำให้เรากินข้าวเป็นทำงานเป็นใส่เสื้อผ้าเป็นพูดเป็นกินเหล้าเป็นสูบบุรี่เป็นแต่เมื่อความจริงมีกำลังมากกว่าการเลือกที่จะทำก็มีกำลังสามารถเลิกได้โดยไม่ลังเลไม่ว่าเหล้าบุหรี่หมากพูลการเติมความจริงเห็นความจริงตลอดทุกๆขณะเมื่อมากพอมันจะยอมรับเองอัตตโนมัติว่ามันอนิจจังทุกขังอนัตตตาความอยากไม่อยากเริ่มถูกจับด้วยอนัตตาข้อมูลเก่าๆเริ่มสั่งๆไม่ได้ก็ด้วยเห็นมันตามจริงการเติมสัญญาเกี่ยวกับความจริงของสภาวะต่างๆจึงมีค่าครับอนาคตคือไม่ตกเป็นทาสของข้อมูลใดๆเลยที่ออกมาให้เห็นก็จะเป็นสัมมาในมรรคมีองค์๘สาธุครับ
สมาธิ ไม่ให้มันคิด คือ นิวรณ์ สาธุ
ความคิด คือ นิวรณ์๕ ได้แก่ กามฉันทะ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจะกุกกุจจะ วิจิกิจฉา ซึ่งเป็นข้าศึกต่อสมาธิ หมายถึง ขณะใดที่มีสมาธิ ขณะนั้น นิวรณ์ทั้ง๕ ย่อมระงับไป ไม่สามารถเกิดพร้อมกันได้
อวิชาคือการปรุงแต่งอดีตกับปัจจุบัน จริงๆๆแล้วต้องอยู่กับปัจจุบันไม่ใช่อดีตและอนาคตใช่ป่ะคาบปม
อวิชชาแปลว่า..ยอดของความโง่ทั้งปวง..ความโง่มันเป็นเหตุของความทุกข์ทั้งหมด
🌺🌺🌺
😁😁🙏
ไม่คิด ปรุงแต่ง คือ บรรลุธรรม มี คนแนะนำผม ว่า สิ้นคิด บรรลุธรรม แล้ว สาธุครับ บุญที่ได้มาพบ มาฟัง กราบสาธุๆๆๆ
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๐ สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค [๕๘๖] ครั้งนั้นแล นายจัณฑคามณีเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่าข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอ เป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้บุคคลบางคนในโลกนี้ ถึงความนับว่า เป็นคนดุ เป็นคนดุ ก็อะไรหนอเป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้บุคคลบางคนในโลกนี้ถึงความนับว่า เป็นคนสงบเสงี่ยม เป็นคนสงบเสงี่ยมพระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรนายคามณี คนบางคนในโลกนี้ยังละราคะไม่ได้เพราะเป็นผู้ยังละราคะไม่ได้ คนอื่นจึงยั่วให้โกรธ คนที่ยังละราคะไม่ได้คนอื่นยั่วให้โกรธ ย่อมแสดงความโกรธให้ปรากฏ ผู้นั้นจึงนับได้ว่าเป็นคนดุ คนบางคนในโลกนี้ยังละโทสะไม่ได้ เพราะเป็นผู้ยังละโทสะไม่ได้ คนอื่นจึงยั่วให้โกรธ คนที่ยังละโทสะไม่ได้คนอื่นยั่วให้โกรธ ย่อมแสดงความโกรธให้ปรากฏ ผู้นั้นจึงนับได้ว่าเป็นคนดุ คนบางคนในโลกนี้ยังละโมหะไม่ได้ เพราะเป็นผู้ยังละโมหะไม่ได้ คนอื่นจึงยั่วให้โกรธ คนที่ยังละโมหะไม่ได้อันคนอื่นยั่วให้โกรธ ย่อมแสดงความโกรธให้ปรากฏ ผู้นั้นจึงนับได้ว่าเป็นคนดุ ดูกรนายคามณี นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้คนบางคนในโลกนี้ถึงความนับว่าเป็นคนดุ เป็นคนดุ ฯ [๕๘๗] ดูกรนายคามณี อนึ่ง คนบางคนในโลกนี้ละราคะได้แล้ว เพราะเป็นผู้ละราคะได้ คนอื่นจึงยั่วไม่โกรธ คนที่ละราคะได้แล้วอันคนอื่นยั่วให้โกรธก็ไม่แสดงความโกรธให้ปรากฏ ผู้นั้นจึงนับได้ว่า เป็นคนสงบเสงี่ยม คนบางคนในโลกนี้ละโทสะได้แล้ว เพราะเป็นผู้ละโทสะได้ คนอื่นจึงยั่วไม่โกรธ คนที่ละโทสะได้แล้วอันคนอื่นยั่วให้โกรธ ก็ไม่แสดงความโกรธให้ปรากฏ ผู้นั้นจึงนับได้ว่า เป็นคนสงบเสงี่ยม คนบางคนในโลกนี้ละโมหะได้แล้ว เพราะเป็นผู้ละโมหะได้ คนอื่นจึงยั่วไม่โกรธ คนที่ละโมหะได้แล้วอันคนอื่นยั่วให้โกรธ ก็ไม่แสดงความโกรธให้ปรากฏ ผู้นั้นจึงนับได้ว่า เป็นคนสงบเสงี่ยม ดูกรนายคามณี นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้คนบางคนในโลกนี้ถึงความนับว่า เป็นคนสงบเสงี่ยมเป็นคนสงบเสงี่ยม ฯ [๕๘๘] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว นายจัณฑคามณีได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระธรรมเทศนาของพระองค์แจ่มแจ้งยิ่งนัก พระธรรมเทศนาของพระองค์แจ่มแจ้งยิ่งนัก พระผู้มีพระภาคทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย เปรียบเหมือนหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกหนทางให้แก่คนหลงทาง หรือตามประทีปในที่มืดด้วยหวังว่า คนมีจักษุจักเห็นรูปฉะนั้น ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์นี้ขอถึงพระผู้มีพระภาค กับทั้งพระธรรมและพระภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ขอพระผู้มีพระภาคโปรดทรงจำข้าพระองค์ว่าเป็นอุบาสก ผู้ถึงสรณะจนตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ฯพระไตรปิฏก เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๗ ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต [๑๑] ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจประเสริฐที่สุด สำเร็จ แล้วแต่ใจ ถ้าบุคคลมีใจอันโทษประทุษร้ายแล้ว กล่าวอยู่ ก็ตาม ทำอยู่ก็ตาม ทุกข์ย่อมไปตามบุคคลนั้น
ถามอาจารย์ครับ คือคนเราเกิดเพราะกรรมใช่หรือไม่ครับ
คนเราเกิดเพราะความโง่เป็นเหตุ..ความโง่นี่ท่านเรียกว่า..อวิชชา..อวิชชาเป็นยอดของความโง่..
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑ พระวินัยปิฎกเล่มที่ ๑ มหาวิภังค์ ภาค ๑ [๒๕๓]สละโทสะ ภิกษุรู้อยู่ กล่าวเท็จว่า โทสะข้าพเจ้าสละแล้ว ... คายแล้ว ... พ้นแล้ว ... ละแล้ว ... สลัดแล้ว ... เพิกแล้ว ... ถอนแล้ว ด้วยอาการ ๓ อย่าง ... ๔ อย่าง ... ๕ อย่าง ... ๖ อย่าง ... ๗ อย่าง คือ ๑ เบื้องต้นเธอรู้ว่า จักกล่าวเท็จ ๒ กำลังกล่าว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จ ๓ ครั้นกล่าวแล้ว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จแล้ว ๔ อำพรางความเห็น ๕ อำพรางความถูกใจ ๖ อำพรางความชอบใจ ๗ อำพรางความจริงต้องอาบัติปาราชิก[๒๕๒] อรหัตตผล ภิกษุรู้อยู่ กล่าวเท็จว่า ข้าพเจ้าเข้าอรหัตตผลแล้ว ด้วยอาการ ๓ อย่าง ... ๔ อย่าง ...๕ อย่าง ...๖ อย่าง ... ๗ อย่าง คือ ๑ เบื้องต้นเธอรู้ว่า จักกล่าวเท็จ ๒ กำลังกล่าว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จ ๓ ครั้นกล่าวแล้ว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จแล้ว ๔ อำพรางความเห็น ๕ อำพรางความถูกใจ ๖ อำพรางความชอบใจ๗ อำพรางความจริง ต้องอาบัติปาราชิก ภิกษุรู้อยู่ กล่าวเท็จว่า ข้าพเจ้าเข้าอรหัตตผลอยู่ ด้วยอาการ ๓ อย่าง ... ๔ อย่าง ...๕ อย่าง ... ๖ อย่าง ... ๗ อย่าง คือ ๑ เบื้องต้นเธอรู้ว่า จักกล่าวเท็จ ๒ กำลังกล่าว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จ๓ ครั้นกล่าวแล้ว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จแล้ว ๔ อำพรางความเห็น ๕ อำพรางความถูกใจ ๖ อำพรางความชอบใจ ๗ อำพรางความจริง ต้องอาบัติปาราชิก ภิกษุรู้อยู่ กล่าวเท็จว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้เข้าอรหัตตผลได้แล้ว ด้วยอาการ ๓ อย่าง ...๔ อย่าง ... ๕ อย่าง ... ๖ อย่าง ... ๗ อย่าง คือ ๑ เบื้องต้นเธอรู้ว่า จักกล่าวเท็จ ๒ กำลังกล่าว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จ ๓ ครั้นกล่าวแล้ว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จแล้ว ๔ อำพรางความเห็น ๕ อำพรางความถูกใจ ๖ อำพรางความชอบใจ ๗ อำพรางความจริง ต้องอาบัติปาราชิก ภิกษุรู้อยู่ กล่าวเท็จว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้ได้อรหัตตผล ด้วยอาการ ๓ อย่าง ... ๔ อย่าง ...๕ อย่าง ... ๖ อย่าง ... ๗ อย่าง คือ ๑ เบื้องต้นเธอรู้ว่า จักกล่าวเท็จ ๒ กำลังกล่าว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จ๓ ครั้นกล่าวแล้ว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จแล้ว ๔ อำพรางความเห็น ๕ อำพรางความถูกใจ ๖ อำพรางความชอบใจ ๗ อำพรางความจริง ต้องอาบัติปาราชิก ภิกษุรู้อยู่ กล่าวเท็จว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้ชำนาญอรหัตตผล ด้วยอาการ ๓ อย่าง... ๔ อย่าง...๕ อย่าง ... ๖ อย่าง ... ๗ อย่าง คือ ๑ เบื้องต้นเธอรู้ว่า จักกล่าวเท็จ ๒ กำลังกล่าว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จ ๓ ครั้นกล่าวแล้ว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จแล้ว ๔ อำพรางความเห็น ๕ อำพรางความถูกใจ ๖ อำพรางความชอบใจ ๗ อำพรางความจริง ต้องอาบัติปาราชิก ภิกษุรู้อยู่ กล่าวเท็จว่า อรหัตตผลข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว ด้วยอาการ ๓ อย่าง ... ๔ อย่าง ...๕ อย่าง ... ๖ อย่าง ... ๗ อย่าง คือ ๑ เบื้องต้นเธอรู้ว่า จักกล่าวเท็จ ๒ กำลังกล่าว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จ๓ ครั้นกล่าวแล้ว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จแล้ว ๔ อำพรางความเห็น ๕ อำพรางความถูกใจ ๖ อำพรางความชอบใจ ๗ อำพรางความจริง ต้องอาบัติปาราชิก
🙏🙏🙏🕎
ชอบเสืยงหัวเลอะของอ้วนเรือดหมูพังหัวเลอะมีบรรย่กาศถึงใจเสืยแต่โคสนาบอ่ย-ๆ
คุฯอ้วนเป็นคนฉลาดเก่งต่ะ
ตัดสังโยชน์10ได้ทั้ง4ประเภท แต่เกรดต่างกัน เปรียบไปก็เป็นเพชร4น้ำ เพชรน้ำ1/2/3/4 จะเหมือนกันได้อย่างไร ในเมือพระไตรปิฎกกล่าวไว้4ประเภท
นายต้องการเงินแท้หรือทองขอรับชาวโลกมอบขั้วโลกเราพอดียังจ๊ะถามอวกาศด.ร.ยังตอบมิใด้
น้อมกราบสาธุหลวงตาที่กรุณาเมตตาธรรมครับผม❤❤❤
มีแต่รู้ กูไม่มี สาธุๆๆๆ
พระไซอิ๋วหายากนะจ๊ะไม่มีโยม
ถามก่อนว่า..ศีลธรรมมึงมีสักข้อหรือยัง
ไม่ตรง😅พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๗ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต [๑๐๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล ท่านพระสารีบุตรผู้มีความปรารถนาน้อย สันโดษ ชอบสงัด ไม่คลุกคลีด้วยหมู่ #ปรารภความเพียรหมั่นประกอบในอธิจิต นั่งคู้บัลลังก์ตั้งกายตรง อยู่ในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคได้ทรงเห็นท่านพระสารีบุตรผู้มีความปรารถนาน้อย ... อยู่ในที่ไม่ไกล ฯ ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ได้ทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า ความโศกทั้งหลายย่อมไม่มีแก่ผู้ที่มีจิตยิ่ง ไม่ประมาท เป็น มุนี ศึกษาอยู่ในครองแห่งมุนี คงที่ สงบ มีสติทุกเมื่อ ฯพระไตรปิฎกเล่มที่ ๗ พระวินัยปิฎกเล่มที่ ๗จุลวรรค ภาค ๒#ลักษณะวินิจฉัยพระธรรมวินัย [๕๒๓] ครั้งนั้น พระมหาปชาบดีโคตมี เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถวายบังคม ได้ยืน ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วกราบทูลว่า ขอประทานพระวโรกาสพระพุทธเจ้าข้า ขอพระผู้มีพระภาคโปรดแสดงธรรมโดยย่อ ที่หม่อมฉันฟังธรรมของพระผู้มีพระภาคแล้ว เป็นผู้เดียวจะพึงหลีกออก ไม่ประมาท มีความเพียรมีตนส่งไปอยู่ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรโคตมี เธอพึงรู้ธรรมเหล่าใดว่า ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อความกำหนัด ไม่ใช่เพื่อคลายความกำหนัด เป็นไปเพื่อความประกอบไม่ใช่เพื่อความพราก เป็นไปเพื่อความสะสม ไม่ใช่เพื่อความไม่สะสม เป็นไปเพื่อความมักมาก ไม่ใช่เพื่อความมักน้อย เป็นไปเพื่อความไม่สันโดษ ไม่ใช่เพื่อความสันโดษ เป็นไปเพื่อความคลุกคลีด้วยหมู่ ไม่ใช่เพื่อความสงัด เป็นไปเพื่อความเกียจคร้าน #ไม่ใช่เพื่อปรารภความเพียร เป็นไปเพื่อความเลี้ยงยาก ไม่ใช่เพื่อความเลี้ยงง่าย ดูกรโคตมี เธอพึงทรงจำธรรมเหล่านั้นไว้โดยส่วนเดียวว่านั่นไม่ใช่ธรรม นั่นไม่ใช่วินัย นั่นไม่ใช่สัตถุศาสน์ ดูกรโคตมี อนึ่ง เธอพึงรู้ธรรมเหล่าใดว่า ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อความคลายกำหนัด ไม่ใช่เพื่อมีความกำหนัด เป็นไปเพื่อความพราก ไม่ใช่เพื่อความประกอบ เป็นไปเพื่อความไม่สะสม ไม่ใช่เพื่อความสะสม เป็นไปเพื่อความมักน้อย ไม่ใช่เพื่อความมักมาก เป็นไปเพื่อความสันโดษ ไม่ใช่เพื่อความไม่สันโดษ เป็นไปเพื่อความสงัด ไม่ใช่เพื่อความคลุกคลีด้วยหมู่ #เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร ไม่ใช่เพื่อความเกียจคร้าน เป็นไปเพื่อความเลี้ยงง่าย ไม่ใช่เพื่อความเลี้ยงยาก ดูกรโคตมี เธอพึงทรงจำธรรมเหล่านั้นไว้โดยส่วนเดียวว่านั่นเป็นธรรม นั่นเป็นวินัย นั่นเป็นสัตถุศาสน์ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย #อันภิกษุผู้ไม่ประมาท พึงหวังข้อนี้ได้ว่า จักเจริญอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ จักกระทำให้มากซึ่งอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘.พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๙ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๑สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค [๒๕๓] สาวัตถีนิทาน. ดูกรภิกษุทั้งหลาย รอยเท้าของสัตว์ทั้งหลาย ผู้สัญจรไปบนแผ่นดิน ชนิดใดชนิดหนึ่ง ทั้งหมดนั้นย่อมถึงความประชุมลงในรอยเท้าช้าง รอยเท้าช้าง บัณฑิตกล่าวว่าเลิศกว่ารอยเท้าเหล่านั้น เพราะเป็นรอยใหญ่ แม้ฉันใด กุศลธรรมเหล่าใดเหล่าหนึ่งทั้งหมดนั้น มีความไม่ประมาทเป็นมูลรวมลงในความไม่ประมาท ความไม่ประมาท บัณฑิตกล่าวว่าเลิศกว่ากุศลธรรมเหล่านั้น ฉันนั้นเหมือนกัน ดูกรภิกษุทั้งหลาย อันภิกษุผู้ไม่ประมาท พึงหวังข้อนี้ได้ว่า จักเจริญอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ จักกระทำให้มากซึ่งอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘. [๒๕๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุผู้ไม่ประมาท ย่อมเจริญอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ ย่อมกระทำให้มากซึ่งอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ อย่างไรเล่า? ภิกษุในธรรมวินัยนี้ย่อมเจริญสัมมาทิฏฐิ อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปในการสละ ฯลฯ ย่อมเจริญสัมมาสมาธิ อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปในการสละ ดูกรภิกษุทั้งหลายภิกษุผู้ไม่ประมาท ย่อมเจริญอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ ย่อมกระทำให้มากซึ่งอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ อย่างนี้แล
@@user-bi4vp6lg1rศีลไม่มี..อย่าพึ่งอวดดีเถียงพระ..พวกธรรมจำแต่ไร้การปฏิบัติ..เดินสายปรามาสพระไปวันๆทั้งๆที่เรื่องเยสยังล่ะไม่ได้..
กินฟรี
ทําไมต้องแบ่งแยก ทางโลก ทางธรรม ทั้งที่สองอย่างคือหนึ่งเดียว?
อ้วน เลือดหมู ถามได้ดี มีประโยชน์กับผู้ฝึกใหม่และผู้ที่มีนิวรณ์ลังเลสงสัย
น้อมกราบสาธุเจ้าค่ะ🙏🙏🙏
น้อมกราบสาธุ สาธุเจ้าค่ะ
สาธุ
น้อมกราบในธรรมอันประเสริฐค่ะหลวงตาสาธุๆๆค่ะ🙏🙏🙏❤❤❤
นี่ลือนิเทศศาสตร์เครื่องนุ่งหม่แด่ศาสดาจักรวาลกำหนด
พระแท้มันอยู่ที่ผ้านุ่งห่มเหรอครับ..ธรรมที่บริสุทธิ์นั้นอยู่ที่ไหนครับ..มันอยู่ที่ผ้านุ่งห่มเหรอครับ..เลิกโง่แล้วจะฉลาดขึ้นเอง
ชาวโลกสอนคำจักรวาลก็ตอบลำบากจ่ะโยมเอย
ศีลมึงมีสักข้อหรือยัง..
ต้องรบทวีปอีกแล้วเขาเราลงตรงใขสือลี้ภัยสงครามโลกนี้ไม่สุภาพคำขอรับ
มึงเขียนภาษาไทยให้มันถูกก่อน
งตาสอนดีเข้าใจง่ายชัดเจนครับสาธุสาธุสาธุ
อวิชาดับแล้วธรรมอันละเอียดก็เกิดขึ้นกิเลสนอ้ยใหญ่ทั้งหลายก็หมดจบกิจเจ้าค่ะสาธุหลวงตาสาธุสาธุสาธุ❤❤❤
กราบนมัสการเจ้าค่ะหลวงตาสาธุสาธุค่ะ
ผู้จะปฏิบัติธรรมได้ถูกต้แงต้องมีสัมมาทิฏฐิเข้าใจอริยสัจ4และปฏิบีติตามมรรคมีองค์เท่านั้น
🙏🙏🙏กราบสาธุค่ะ..ปฏิบัติมานานเห็นจิตใจเปลี่ยนไป..แต่บอกคนอื่นไม่ถูกว่าปฏิบัติไปถึงไหน🙏🙏🙏วันนี้ได้คำตอบแล้วค่ะ..ธรรมะง่ายๆแต่แจ่มแจ้งค่ะ🙏🙏🙏กราบสาธุสาธุสาธุ
กราบสาธุเจ้าค่ะหลวงตา🎉🎉🎉❤
กราบสาธุหลวงตาสาธุสาธุสาธุครับ
สาธุครับหลวงตา ผมเป็น 1 ในผู้ฟัง 888 เข้าใจ แล้วครับ ยิ่งเข้าใจ จิตที่ปฏิบัติ สาธุ ครับ
อนุโมทนาสาธุนะคะหลวงตา ชอบที่หลวงตา ตอบคำถามคะ เข้าใจง่าย
ขอน้อมถวายบูชาธรรมหลวงตา สาธุสาธุสาธุ
น้อมกราบสาธุในธรรมเจ้าค่ะ🙇♂️🙇♂️🙇♂️🙏🙏🙏
ชอบเสียงหัวเราะพี่มีความสุขครับ
น้อมกราบนมัสการค่ะ
ขออนุโมทนาบุญค่ะ
สาธุสาธุสาธุครับ
หลวงตาครับ❤❤❤❤
ฟังอยู่ครับ หัวเราะได้บุญมากคับ 😊😊😂
กราบหลวงตาเจ้าคะ
น้อมกราบอนุโมทนาสาธุๆๆเาค่ะ
อัตตาเป็นอวิชชา อนัตตาเป็นวิชชาในธรรมทั้งปวง
น้อมกราบหลวงตาสาธุเจ้าค่ะ
สาธุๆๆในธรรมที่หลวงตาเมตตาเจ้าค่ะ
น้อมกราบหลวงตาครับ
กราบสาธุขอรับ🙏🙏🙏❤️
น้อมกราบอนุโมทนาบุญเจ้าคะสาธุ🙏🙏🙏
ย่าเชื่ออะไรทั้งสิ้น แค่เขาว่านั้น เพราะไม่ใช่ปัญญาของเรา
กราบขอบพระคุณครับหลวง ตา
สาธุ
น้อมกราบสาธุค่ะ
สาธุสาธุสาธุ
น้อมกราบสาธุเจ้าคะ
ขออนุโมทนาทุกบุญกุศลนะครับ...สาธุ...สาธุ...สาธุ...
กราบสาธุจริงแท้
😇🌷กราบหลวงตาคะสาธุ🌷😇
สาธุๆๆ
สาธุค่ะน้อมกราบนมัสการหลวงตาเจ้าค่ะ🙏🙏🙏🕯️💐💐💐🕯️ขออนุโมทนาบุญกับการเผยแผ่ธรรมทานด้วยค่ะสาธุ🙏🙏🙏😊
อนุสัญญา อนุไส สาธุ
เริ่มกระจ่างแจ้งครับกราบสาธุครับ
น้อมกราบสาธุสาค่ะหลวงตา
...กราบสาธุๆๆคับ...
กราบสาธุค่ะ
สาธุค่ะ
สาธุๆๆอนุโมทามิ.
กราบสาธุๆๆครับ
Fcมาแล้วครับหลวงตา
สาธุสาธุครับ🙏🙏🙏
คำว่า "อวิชชา" (Avidya) ในศาสนาพุทธ หมายถึงความไม่รู้หรือความมืดมนทางธรรมชาติ ซึ่งเป็นสาเหตุของความทุกข์ทั้งหมด อวิชชาเป็นการไม่เข้าใจความจริงที่แท้จริงของการเป็นอยู่ หรือไม่รู้เรื่องที่สำคัญที่สุดของชีวิต ซึ่งเป็นสถานะที่ทำให้เกิดความผิดพลาด ความเจ็บปวด และความทุกข์เสียหายที่ตามมา
อวิชชามักถูกเปรียบเทียบกับเงาหรือความมืด ซึ่งปกคลุมบังแสงของความเข้าใจที่แท้จริง เมื่อมนุษย์อยู่ในสภาวะอวิชชา พวกเขามักมองโลกในมุมมองที่ผิดพลาด มีความผิดพลาดในการเข้าใจความจริง และมักทำสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นการทำให้เกิดความทุกข์ในสายตาของศาสนาพุทธ สุภาวะที่แท้จริงในศาสนาพุทธ คือ นิพพานคุณค่า (Nirvana) หรือสถานะที่พ้นจากอวิชชาและความทุกข์ทั้งหมดในโลกนี้
การตระหนักและเข้าใจถึงอวิชชา ซึ่งหมายถึงความรู้ของการเป็นอยู่ที่แท้จริง มีความสำคัญอย่างมากในการฝึกฝนและปฏิบัติศาสนาพุทธ โดยการฝึกฝนสมาธิและมีสติ และการปฏิบัติธรรม เป็นวิธีที่สำคัญในการเข้าใจและพิชิตอวิชชา ซึ่งนักธรรมจะพยายามทำให้ความเข้าใจเกี่ยวกับธรรมชาติแห่งการเป็นอยู่มากขึ้น และปล่อยวางความผูกพันที่ทำให้เกิดความทุกข์ไว้ครับ โดยทั้งสมาธิและปฏิบัติธรรมมีบทบาทสำคัญในการเข้าถึงธรรมชาติแห่งการเป็นอยู่ และการพิชิตความทุกข์ในศาสนาพุทธครับ
ในศาสนาพุทธธรรม "วิชชาที่แท้จริง" หมายถึง "อริยสัจ" (Ariya-Sacca) ซึ่งเป็นความจริงที่มีค่าสูงสุดและเป็นที่รับรู้โดยผู้ที่เข้าใจและได้รับการสอนตามปรัชญาพุทธ เรียกว่า "นิพพานคุณค่า" (Nirvana) หรือ "สวรรค์" ซึ่งเป็นสถานะที่เพียงผู้ที่ประสบประสบการณ์การตอบสนองที่ถูกต้องต่อความจริงที่แท้จริง และปลดปล่อยจากการเกิดใหม่ในสายตาธรรม
นอกจากนี้ อริยสัจมีทั้งหมด 4 ข้อ ดังนี้:
ความทุกข์ของชีวิต (Dukkha): ชีวิตมีความทุกข์ ซึ่งเกิดจากการติดต่อกับสิ่งต่าง ๆ ในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง
สาเหตุของความทุกข์ (Samudaya): สาเหตุของความทุกข์คือความร้ายแรงและความปรารถนาที่เกิดจากความปรารถนาที่บรรพบุรุษต่างๆ
การขจัดความทุกข์ (Nirodha): ความทุกข์สามารถถูกขจัดได้ โดยการเลิกปรารถนาและการติดตาม โดยเรียกว่า "นิพพานคุณค่า"
ทางสู่การขจัดความทุกข์ (Magga): ทางสู่การขจัดความทุกข์คือ ปฏิบัติและฝึกปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าสอน ซึ่งเรียกว่า "อริยสัจ 8 ประการ" หรือ "อริยสัจแปดชัย"
ดังนั้น วิชชาที่แท้จริงในศาสนาพุทธคือการเข้าใจและตระหนักถึงอริยสัจ หรือความจริงที่แท้จริงของชีวิตและการเป็นอยู่ ซึ่งเป็นการเข้าใจถึงความทุกข์ของชีวิต สาเหตุของความทุกข์ วิธีการขจัดความทุกข์ และทางสู่การขจัดความทุกข์ นับเป็นหลักการและความเข้าใจที่สำคัญในการเดินทางของผู้ศึกษาศาสนาพุทธครับ
ในศาสนาพุทธธรรมอวิชชาที่แท้จริงคือ "อติชาตธรรม" หรือ "Dharma" ซึ่งหมายถึงกฎหมายแห่งธรรมชาติหรือความจริงแห่งการเป็นอยู่ที่ไม่มีผู้สร้าง ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญในการฝึกฝนและปฏิบัติศาสนาพุทธ
อติชาตธรรม (Dharma) ในศาสนาพุทธไม่ใช่เพียงแค่การตระหนักถึงกฎหมายและความจริงทางธรรมชาติ แต่ยังรวมถึงการฝึกฝนและปฏิบัติตามหลักการแห่งธรรม โดยอติชาตธรรมนั้นสามารถแบ่งออกเป็นสาขาหลัก ๆ ที่ใหญ่ที่สุด ดังนี้:
ธรรมสูตร (Sila): หมายถึง คำสั่ง และข้อห้ามในการปฏิบัติ ธรรมสูตรมีบทบาทสำคัญในการสร้างพื้นฐานสำหรับการฝึกฝน ซึ่งรวมถึง 5 ศีล (5 Precepts) หรือ 8 ศีล (8 Precepts) ซึ่งเป็นหลักการแห่งสุจริตและความจริง
สมาธิ (Samadhi): หมายถึงการฝึกปฏิบัติทางจิตใจเพื่อให้สมาธิ หรือสถานะจิตใจที่มีสมาธิ ซึ่งมีการฝึกปฏิบัติในรูปแบบของการมีสมาธิ (Concentration) และการฝึกปฏิบัติในรูปแบบของการสงบใจ (Meditation)
ประทีป (Prajna): หมายถึงความเข้าใจหรือภูมิปัญญา ประทีปเป็นคุณสมบัติที่ทำให้เราเข้าใจความจริงและธรรมชาติของการเป็นอยู่ ซึ่งเป็นผลมาจากการฝึกปฏิบัติและการสังเกตการณ์
อย่างไรก็ตาม การฝึกฝนและปฏิบัติตามอติชาตธรรมไม่ได้เป็นเรื่องที่จะศักยภาพให้เกิดขึ้นในระยะเวลาสั้น ๆ แต่เป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลาและความพยายามอย่างต่อเนื่อง และมักมีการรับรู้และพัฒนาเป็นลำดับครับ โดยผ่านการฝึกฝนและปฏิบัติตามหลักการแห่งธรรมชาติ นี่คืออวิชชาที่แท้จริงในศาสนาพุทธ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในชนกันทั่วโลก
นอนไม่หลับ ฟังเพลิน
ออกจากทุกข์ ต้องเข้าหาทุกข์
เข้าหาทุกข์เพื่อดูธรรมชาติของมัน คือ ความที่ต้องเปลี่ยนแปลงแปรปรวน ที่ต้องสู่การดับ เห็นไปๆๆ แรมวันแรมปี แล้วอนัตตาก็จะเข้าหาเราเอง ด้วยการสร้างเหตุนั้น
เข้าหาทุกข์คือไม่หนีเวทนา กล้าเผชิญหน้ากับมัน อดทน และคอยรู้ทันความยินดียินร้ายที่จะเกิด แต่อย่าไปเพ่งมัน แค่คอยชำเลือง ทำอะไรอยู่ก็ทำไป ให้มีสติจดจ่อกับสิ่งนั้นอย่างต่อเนื่อง ซักพักทุกข์จะดับไปได้เอง เพราะไม่มีตัณหาอุปาทานเป็นเชื้อให้ทุกข์ขยายตัว ไม่ง่าย ต้องฝึกบ่อยๆ
เราใช้การวิปัสสนา โดยอาศัยทุกข์ที่มันเกิดกับเราบ่อยๆอยู่แล้ว เพื่อเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เมื่อเห็นความจริงบ่อยๆ ต่อไปจิตจะไม่จมทุกข์และหลงเพลินกับสุขง่ายๆ
.
@@RumresinWaffleจำเป็นสิครับ..การจะออกจากทุกข์นั้นเราต้องรู้จักกับความทุกข์เสียก่อน..อุปมาอุปไมยเหมือนเราจะสู้รบกับศัตรูแต่เสือกไม่รู้จักจุดอ่อนจุดแข็งของศัตรู..จะรบกี่ครั้งก็พ่ายแพ้ต่อศัตรูอยู่ดี..ฉันใดก็ฉันนั้นการจะอยู่เหนือทุกข์เราต้องรู้จักทุกข์เสียก่อนว่ามันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร..อะไรเป็นเหตุทำให้เกิดทุกข์.. อะไรเป็นเหตุทำให้ทุกข์..ฉะนั้นเราต้องฉลาดในเรื่องทุกข์..
@@RumresinWaffleทุกข์เราต้องรู้..ถ้าไม่รู้จะอยู่เหนือมันไม่ได้..จำไว้นะ..
สาธุครับหลวงตา
ฮักหลวงตาครับ
วัยเจริญพันธุ์หลวงตารู้หมดอดถาม
สาธุผม
ธรรมะแท้ คลิปนี้
❤❤❤
🙏🏻🙏🏻🙏🏻
🌹🌹🌹
🙏🙏🙏
🌻🌻🌻🌻
แต่ละคนก็ใช้ข้อมูลที่ตนเองมีอยู่ตอบทั้งนั้นแหละครับแต่ผู้รู้แล้วเห็นแล้วย่อมตอบในทิศทางเดียวกันคือมันไม่เที่ยงไม่ว่าจะข้อมูลชนิดใด ไม่ว่าจะขณะใดสภาวะใดก็ตามย่อมเห็นว่ามันไม่เที่ยงผลก็จะอุเบกขาในทุกขณะเป็นธาตุสักแต่ว่าธาตุ ตั้งแต่รูปธาตุ เวทนาธาตุ สัญญาธาตุ สังขาร์ธาตุไม่ต่างอะไรกับธาตุดินธาตุน้ำธาตุลมธาตุไฟ ล้วนเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป เป็นอนิจจังทุกขังอนัตตาภายนอกล้วนอนิจจังทุกขังอนัตตาภายใน(ใจจิต)ก็ล้วนอนิจจังทุกขังอนัตตาไม่มีข้อยกเว้น
นิพพานเป็นผลของการรู้แจ้งในสิ่งเหล่านี้หมดความลังเลสงสัย
ทุกขณะจิตอนิจจังทุกขังอนัตตาสาธุครับ
ยังได้แค่สัญญาความจำเท่านั้นเอง..เดินมรรคปฏิบัติเมื่อไหร่จึงจะได้ผลเมื่อนั้น
@@ตะวันพลายแสงยามแรงกินเหล้า จริงครับเพราะสัญญาทำให้เรากินข้าวเป็นทำงานเป็นใส่เสื้อผ้าเป็นพูดเป็นกินเหล้าเป็นสูบบุรี่เป็นแต่เมื่อความจริงมีกำลังมากกว่าการเลือกที่จะทำก็มีกำลังสามารถเลิกได้โดยไม่ลังเลไม่ว่าเหล้าบุหรี่หมากพูลการเติมความจริงเห็นความจริงตลอด
ทุกๆขณะเมื่อมากพอมันจะยอมรับเองอัตตโนมัติว่ามันอนิจจังทุกขังอนัตตตาความอยากไม่อยากเริ่มถูกจับด้วยอนัตตาข้อมูลเก่าๆเริ่มสั่งๆไม่ได้ก็ด้วยเห็นมันตามจริงการเติมสัญญาเกี่ยวกับความจริงของสภาวะต่างๆจึงมีค่าครับอนาคตคือไม่ตกเป็นทาสของข้อมูลใดๆเลยที่ออกมาให้เห็นก็จะเป็นสัมมาในมรรคมีองค์๘สาธุครับ
สมาธิ ไม่ให้มันคิด คือ นิวรณ์ สาธุ
ความคิด คือ นิวรณ์๕ ได้แก่ กามฉันทะ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจะกุกกุจจะ วิจิกิจฉา ซึ่งเป็นข้าศึกต่อสมาธิ หมายถึง ขณะใดที่มีสมาธิ ขณะนั้น นิวรณ์ทั้ง๕ ย่อมระงับไป ไม่สามารถเกิดพร้อมกันได้
อวิชาคือการปรุงแต่งอดีตกับปัจจุบัน จริงๆๆแล้วต้องอยู่กับปัจจุบันไม่ใช่อดีตและอนาคตใช่ป่ะคาบปม
อวิชชาแปลว่า..ยอดของความโง่ทั้งปวง..ความโง่มันเป็นเหตุของความทุกข์ทั้งหมด
🌺🌺🌺
😁😁🙏
ไม่คิด ปรุงแต่ง คือ บรรลุธรรม มี คนแนะนำผม ว่า สิ้นคิด บรรลุธรรม แล้ว สาธุครับ บุญที่ได้มาพบ มาฟัง กราบสาธุๆๆๆ
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๐ สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค
[๕๘๖] ครั้งนั้นแล นายจัณฑคามณีเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่าข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอ เป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้บุคคลบางคนในโลกนี้ ถึงความนับว่า เป็นคนดุ เป็นคนดุ ก็อะไรหนอเป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้บุคคลบางคนในโลกนี้ถึงความนับว่า เป็นคนสงบเสงี่ยม เป็นคนสงบเสงี่ยมพระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรนายคามณี คนบางคนในโลกนี้ยังละราคะไม่ได้เพราะเป็นผู้ยังละราคะไม่ได้ คนอื่นจึงยั่วให้โกรธ คนที่ยังละราคะไม่ได้คนอื่นยั่วให้โกรธ ย่อมแสดงความโกรธให้ปรากฏ ผู้นั้นจึงนับได้ว่าเป็นคนดุ คนบางคนในโลกนี้ยังละโทสะไม่ได้ เพราะเป็นผู้ยังละโทสะไม่ได้ คนอื่นจึงยั่วให้โกรธ คนที่ยังละโทสะไม่ได้คนอื่นยั่วให้โกรธ ย่อมแสดงความโกรธให้ปรากฏ ผู้นั้นจึงนับได้ว่าเป็นคนดุ คนบางคนในโลกนี้ยังละโมหะไม่ได้ เพราะเป็นผู้ยังละโมหะไม่ได้ คนอื่นจึงยั่วให้โกรธ คนที่ยังละโมหะไม่ได้อันคนอื่นยั่วให้โกรธ ย่อมแสดงความโกรธให้ปรากฏ ผู้นั้นจึงนับได้ว่าเป็นคนดุ ดูกรนายคามณี นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้คนบางคนในโลกนี้ถึงความนับว่าเป็นคนดุ เป็นคนดุ ฯ
[๕๘๗] ดูกรนายคามณี อนึ่ง คนบางคนในโลกนี้ละราคะได้แล้ว เพราะเป็นผู้ละราคะได้ คนอื่นจึงยั่วไม่โกรธ คนที่ละราคะได้แล้วอันคนอื่นยั่วให้โกรธก็ไม่แสดงความโกรธให้ปรากฏ ผู้นั้นจึงนับได้ว่า เป็นคนสงบเสงี่ยม คนบางคนในโลกนี้ละโทสะได้แล้ว เพราะเป็นผู้ละโทสะได้ คนอื่นจึงยั่วไม่โกรธ คนที่ละโทสะได้แล้วอันคนอื่นยั่วให้โกรธ ก็ไม่แสดงความโกรธให้ปรากฏ ผู้นั้นจึงนับได้ว่า เป็นคนสงบเสงี่ยม คนบางคนในโลกนี้ละโมหะได้แล้ว เพราะเป็นผู้ละโมหะได้ คนอื่นจึงยั่วไม่โกรธ คนที่ละโมหะได้แล้วอันคนอื่นยั่วให้โกรธ ก็ไม่แสดงความโกรธให้ปรากฏ ผู้นั้นจึงนับได้ว่า เป็นคนสงบเสงี่ยม ดูกรนายคามณี นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้คนบางคนในโลกนี้ถึงความนับว่า เป็นคนสงบเสงี่ยมเป็นคนสงบเสงี่ยม ฯ
[๕๘๘] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว นายจัณฑคามณีได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระธรรมเทศนาของพระองค์แจ่มแจ้งยิ่งนัก พระธรรมเทศนาของพระองค์แจ่มแจ้งยิ่งนัก พระผู้มีพระภาคทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย เปรียบเหมือนหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกหนทางให้แก่คนหลงทาง หรือตามประทีปในที่มืดด้วยหวังว่า คนมีจักษุจักเห็นรูปฉะนั้น ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์นี้ขอถึงพระผู้มีพระภาค กับทั้งพระธรรมและพระภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ขอพระผู้มีพระภาคโปรดทรงจำข้าพระองค์ว่าเป็นอุบาสก ผู้ถึงสรณะจนตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ฯ
พระไตรปิฏก เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๗ ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต
[๑๑] ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจประเสริฐที่สุด สำเร็จ
แล้วแต่ใจ ถ้าบุคคลมีใจอันโทษประทุษร้ายแล้ว กล่าวอยู่
ก็ตาม ทำอยู่ก็ตาม ทุกข์ย่อมไปตามบุคคลนั้น
ถามอาจารย์ครับ คือคนเราเกิดเพราะกรรมใช่หรือไม่ครับ
คนเราเกิดเพราะความโง่เป็นเหตุ..ความโง่นี่ท่านเรียกว่า..อวิชชา..อวิชชาเป็นยอดของความโง่..
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑ พระวินัยปิฎกเล่มที่ ๑ มหาวิภังค์ ภาค ๑
[๒๕๓]
สละโทสะ
ภิกษุรู้อยู่ กล่าวเท็จว่า โทสะข้าพเจ้าสละแล้ว ... คายแล้ว ... พ้นแล้ว ... ละแล้ว ... สลัดแล้ว ... เพิกแล้ว ... ถอนแล้ว ด้วยอาการ ๓ อย่าง ... ๔ อย่าง ... ๕ อย่าง ... ๖ อย่าง ... ๗ อย่าง คือ ๑ เบื้องต้นเธอรู้ว่า จักกล่าวเท็จ ๒ กำลังกล่าว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จ ๓ ครั้นกล่าวแล้ว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จ
แล้ว ๔ อำพรางความเห็น ๕ อำพรางความถูกใจ ๖ อำพรางความชอบใจ ๗ อำพรางความจริงต้องอาบัติปาราชิก
[๒๕๒] อรหัตตผล
ภิกษุรู้อยู่ กล่าวเท็จว่า ข้าพเจ้าเข้าอรหัตตผลแล้ว ด้วยอาการ ๓ อย่าง ... ๔ อย่าง ...๕ อย่าง ...๖ อย่าง ... ๗ อย่าง คือ ๑ เบื้องต้นเธอรู้ว่า จักกล่าวเท็จ ๒ กำลังกล่าว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จ ๓ ครั้นกล่าวแล้ว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จแล้ว ๔ อำพรางความเห็น ๕ อำพรางความถูกใจ ๖ อำพรางความชอบใจ๗ อำพรางความจริง ต้องอาบัติปาราชิก
ภิกษุรู้อยู่ กล่าวเท็จว่า ข้าพเจ้าเข้าอรหัตตผลอยู่ ด้วยอาการ ๓ อย่าง ... ๔ อย่าง ...๕ อย่าง ... ๖ อย่าง ... ๗ อย่าง คือ ๑ เบื้องต้นเธอรู้ว่า จักกล่าวเท็จ ๒ กำลังกล่าว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จ๓ ครั้นกล่าวแล้ว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จแล้ว ๔ อำพรางความเห็น ๕ อำพรางความถูกใจ ๖ อำพรางความชอบใจ ๗ อำพรางความจริง ต้องอาบัติปาราชิก
ภิกษุรู้อยู่ กล่าวเท็จว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้เข้าอรหัตตผลได้แล้ว ด้วยอาการ ๓ อย่าง ...๔ อย่าง ... ๕ อย่าง ... ๖ อย่าง ... ๗ อย่าง คือ ๑ เบื้องต้นเธอรู้ว่า จักกล่าวเท็จ ๒ กำลังกล่าว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จ ๓ ครั้นกล่าวแล้ว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จแล้ว ๔ อำพรางความเห็น ๕ อำพรางความถูกใจ ๖ อำพรางความชอบใจ ๗ อำพรางความจริง ต้องอาบัติปาราชิก
ภิกษุรู้อยู่ กล่าวเท็จว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้ได้อรหัตตผล ด้วยอาการ ๓ อย่าง ... ๔ อย่าง ...๕ อย่าง ... ๖ อย่าง ... ๗ อย่าง คือ ๑ เบื้องต้นเธอรู้ว่า จักกล่าวเท็จ ๒ กำลังกล่าว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จ๓ ครั้นกล่าวแล้ว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จแล้ว ๔ อำพรางความเห็น ๕ อำพรางความถูกใจ ๖ อำพรางความชอบใจ ๗ อำพรางความจริง ต้องอาบัติปาราชิก
ภิกษุรู้อยู่ กล่าวเท็จว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้ชำนาญอรหัตตผล ด้วยอาการ ๓ อย่าง... ๔ อย่าง...๕ อย่าง ... ๖ อย่าง ... ๗ อย่าง คือ ๑ เบื้องต้นเธอรู้ว่า จักกล่าวเท็จ ๒ กำลังกล่าว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จ ๓ ครั้นกล่าวแล้ว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จแล้ว ๔ อำพรางความเห็น ๕ อำพรางความถูกใจ ๖ อำพรางความชอบใจ ๗ อำพรางความจริง ต้องอาบัติปาราชิก
ภิกษุรู้อยู่ กล่าวเท็จว่า อรหัตตผลข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว ด้วยอาการ ๓ อย่าง ... ๔ อย่าง ...
๕ อย่าง ... ๖ อย่าง ... ๗ อย่าง คือ ๑ เบื้องต้นเธอรู้ว่า จักกล่าวเท็จ ๒ กำลังกล่าว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จ
๓ ครั้นกล่าวแล้ว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จแล้ว ๔ อำพรางความเห็น ๕ อำพรางความถูกใจ ๖ อำพรางความชอบใจ ๗ อำพรางความจริง ต้องอาบัติปาราชิก
🙏🙏🙏🕎
ชอบเสืยงหัวเลอะของอ้วนเรือดหมูพังหัวเลอะมีบรรย่กาศถึงใจเสืยแต่โคสนาบอ่ย-ๆ
คุฯอ้วนเป็นคนฉลาดเก่งต่ะ
ตัดสังโยชน์10ได้ทั้ง4ประเภท แต่เกรดต่างกัน เปรียบไปก็เป็นเพชร4น้ำ เพชรน้ำ1/2/3/4 จะเหมือนกันได้อย่างไร ในเมือพระไตรปิฎกกล่าวไว้4ประเภท
นายต้องการเงินแท้หรือทองขอรับชาวโลกมอบขั้วโลกเราพอดียังจ๊ะถามอวกาศด.ร.ยังตอบมิใด้
น้อมกราบสาธุหลวงตาที่กรุณาเมตตาธรรมครับผม❤❤❤
มีแต่รู้ กูไม่มี สาธุๆๆๆ
พระไซอิ๋วหายากนะจ๊ะไม่มีโยม
ถามก่อนว่า..ศีลธรรมมึงมีสักข้อหรือยัง
ไม่ตรง😅
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๗ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต
[๑๐๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล ท่านพระสารีบุตรผู้มีความปรารถนาน้อย สันโดษ ชอบสงัด ไม่คลุกคลีด้วยหมู่ #ปรารภความเพียรหมั่นประกอบในอธิจิต นั่งคู้บัลลังก์ตั้งกายตรง อยู่ในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคได้ทรงเห็นท่านพระสารีบุตรผู้มีความปรารถนาน้อย ... อยู่ในที่ไม่ไกล ฯ
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ได้ทรงเปล่ง
อุทานนี้ในเวลานั้นว่า
ความโศกทั้งหลายย่อมไม่มีแก่ผู้ที่มีจิตยิ่ง ไม่ประมาท เป็น
มุนี ศึกษาอยู่ในครองแห่งมุนี คงที่ สงบ มีสติทุกเมื่อ ฯ
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๗ พระวินัยปิฎกเล่มที่ ๗
จุลวรรค ภาค ๒
#ลักษณะวินิจฉัยพระธรรมวินัย
[๕๒๓] ครั้งนั้น พระมหาปชาบดีโคตมี เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถวายบังคม ได้ยืน ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วกราบทูลว่า ขอประทานพระวโรกาสพระพุทธเจ้าข้า ขอพระผู้มีพระภาคโปรดแสดงธรรมโดยย่อ ที่หม่อมฉันฟังธรรมของพระผู้มีพระภาคแล้ว เป็นผู้เดียวจะพึงหลีกออก ไม่ประมาท มีความเพียรมีตนส่งไปอยู่
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรโคตมี เธอพึงรู้ธรรมเหล่าใดว่า ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อความกำหนัด ไม่ใช่เพื่อคลายความกำหนัด เป็นไปเพื่อความประกอบไม่ใช่เพื่อความพราก เป็นไปเพื่อความสะสม ไม่ใช่เพื่อความไม่สะสม เป็นไปเพื่อความมักมาก ไม่ใช่เพื่อความมักน้อย เป็นไปเพื่อความไม่สันโดษ ไม่ใช่เพื่อความสันโดษ เป็นไปเพื่อความคลุกคลีด้วยหมู่ ไม่ใช่เพื่อความสงัด เป็นไปเพื่อความเกียจคร้าน #ไม่ใช่เพื่อปรารภความเพียร เป็นไปเพื่อความเลี้ยงยาก ไม่ใช่เพื่อความเลี้ยงง่าย ดูกรโคตมี เธอพึงทรงจำธรรมเหล่านั้นไว้โดยส่วนเดียวว่านั่นไม่ใช่ธรรม นั่นไม่ใช่วินัย นั่นไม่ใช่สัตถุศาสน์
ดูกรโคตมี อนึ่ง เธอพึงรู้ธรรมเหล่าใดว่า ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อความคลายกำหนัด ไม่ใช่เพื่อมีความกำหนัด เป็นไปเพื่อความพราก ไม่ใช่เพื่อความประกอบ เป็นไปเพื่อความไม่สะสม ไม่ใช่เพื่อความสะสม เป็นไปเพื่อความมักน้อย ไม่ใช่เพื่อความมักมาก เป็นไปเพื่อความสันโดษ ไม่ใช่เพื่อความไม่สันโดษ เป็นไปเพื่อความสงัด ไม่ใช่เพื่อความคลุกคลีด้วยหมู่ #เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร ไม่ใช่เพื่อความเกียจคร้าน เป็นไปเพื่อความเลี้ยงง่าย ไม่ใช่เพื่อความเลี้ยงยาก ดูกรโคตมี เธอพึงทรงจำธรรมเหล่านั้นไว้โดยส่วนเดียวว่านั่นเป็นธรรม นั่นเป็นวินัย นั่นเป็นสัตถุศาสน์ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย #อันภิกษุผู้ไม่ประมาท พึงหวังข้อนี้ได้ว่า จักเจริญอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ จักกระทำให้มากซึ่งอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘.
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๙ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๑
สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค
[๒๕๓] สาวัตถีนิทาน. ดูกรภิกษุทั้งหลาย รอยเท้าของสัตว์ทั้งหลาย ผู้สัญจรไปบนแผ่นดิน ชนิดใดชนิดหนึ่ง ทั้งหมดนั้นย่อมถึงความประชุมลงในรอยเท้าช้าง รอยเท้าช้าง บัณฑิตกล่าวว่าเลิศกว่ารอยเท้าเหล่านั้น เพราะเป็นรอยใหญ่ แม้ฉันใด กุศลธรรมเหล่าใดเหล่าหนึ่งทั้งหมดนั้น มีความไม่ประมาทเป็นมูลรวมลงในความไม่ประมาท ความไม่ประมาท บัณฑิตกล่าวว่าเลิศกว่ากุศลธรรมเหล่านั้น ฉันนั้นเหมือนกัน ดูกรภิกษุทั้งหลาย อันภิกษุผู้ไม่ประมาท พึงหวังข้อนี้ได้ว่า จักเจริญอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ จักกระทำให้มากซึ่งอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘.
[๒๕๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุผู้ไม่ประมาท ย่อมเจริญอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ ย่อมกระทำให้มากซึ่งอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ อย่างไรเล่า? ภิกษุในธรรมวินัยนี้ย่อมเจริญสัมมาทิฏฐิ อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปในการสละ ฯลฯ ย่อมเจริญสัมมาสมาธิ อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปในการสละ ดูกรภิกษุทั้งหลายภิกษุผู้ไม่ประมาท ย่อมเจริญอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ ย่อมกระทำให้มากซึ่งอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ อย่างนี้แล
@@user-bi4vp6lg1rศีลไม่มี..อย่าพึ่งอวดดีเถียงพระ..พวกธรรมจำแต่ไร้การปฏิบัติ..เดินสายปรามาสพระไปวันๆทั้งๆที่เรื่องเยสยังล่ะไม่ได้..
กินฟรี
ทําไมต้องแบ่งแยก ทางโลก ทางธรรม ทั้งที่สองอย่างคือหนึ่งเดียว?
อ้วน เลือดหมู ถามได้ดี มีประโยชน์กับผู้ฝึกใหม่และผู้ที่มีนิวรณ์ลังเลสงสัย
น้อมกราบสาธุเจ้าค่ะ🙏🙏🙏
น้อมกราบสาธุ สาธุเจ้าค่ะ
กราบหลวงตาเจ้าคะ
สาธุค่ะ
สาธุสาธุสาธุ
สาธุ
🙏🏻🙏🏻🙏🏻
น้อมกราบในธรรมอันประเสริฐค่ะหลวงตาสาธุๆๆค่ะ🙏🙏🙏❤❤❤
สาธุ
นี่ลือนิเทศศาสตร์เครื่องนุ่งหม่แด่ศาสดาจักรวาลกำหนด
พระแท้มันอยู่ที่ผ้านุ่งห่มเหรอครับ..ธรรมที่บริสุทธิ์นั้นอยู่ที่ไหนครับ..มันอยู่ที่ผ้านุ่งห่มเหรอครับ..เลิกโง่แล้วจะฉลาดขึ้นเอง
ชาวโลกสอนคำจักรวาลก็ตอบลำบากจ่ะโยมเอย
ศีลมึงมีสักข้อหรือยัง..
ต้องรบทวีปอีกแล้วเขาเราลงตรงใขสือลี้ภัยสงครามโลกนี้ไม่สุภาพคำขอรับ
มึงเขียนภาษาไทยให้มันถูกก่อน
งตาสอนดีเข้าใจง่ายชัดเจนครับสาธุสาธุสาธุ
อวิชาดับแล้วธรรมอันละเอียดก็เกิดขึ้นกิเลสนอ้ยใหญ่ทั้งหลายก็หมดจบกิจเจ้าค่ะสาธุหลวงตาสาธุสาธุสาธุ❤❤❤
กราบนมัสการเจ้าค่ะหลวงตาสาธุสาธุค่ะ
ผู้จะปฏิบัติธรรมได้ถูกต้แงต้องมีสัมมาทิฏฐิเข้าใจอริยสัจ4และปฏิบีติตามมรรคมีองค์เท่านั้น