Размер видео: 1280 X 720853 X 480640 X 360
Показать панель управления
Автовоспроизведение
Автоповтор
ชอบวิธีการบรรยายของอาจารย์ประเสริฐมากคะ เข้าใจง่าย ท่านขยายความได้ดีคะ
ขอบพระคุณอาจารย์ผู้บรรยายค่ะ
กราบ ท่านอาจารย์ผู้มีอุปการะค่ะ เข้าใจได้ง่ายค่ะ
สาธุค่ะ
สิ่งที่คนทั้งโลกยอมรับว่าเป็นความจริงไม่ได้หมายความว่ามันคือความจริงจะมีกี่คนบนโลกนี้สามารถบอกได้ว่าคอร์ดทุกคอร์ดบนคอกีต้าร์ทุกตัวมันเพี้ยน ต่อให้แกรนด์เปียโนราคาแพงที่สุดในโลกกดคอร์ดแล้วก็ยังเพี้ยนเสียงคู่ประสาน 3 major และ 7 major ทั้งหมดเพี้ยนสูงกว่าเสียงธรรมชาติเสียงคู่ประสาน 3 minor และ 7 minor ทั้งหมดเพี้ยนต่ำกว่าเสียงธรรมชาติดังนั้นโน้ตตัวที่ 3 และ 7 ของเครื่องดนตรีทั้งหมดมันกัดกับโน้ตตัวที่ 1 กับ 5 เมื่อบรรเลงพร้อมกัน
จิตสนใจรับรู้สิ่งใดโลกนั้นจึงได้ปรากฏ เมื่อรับรู้รูปธรรมโลกภายนอกก็ปรากฏเมื่อรับรู้นามธรรมโลกภายในก็ปรากฏนิพพานไม่ปรากฏต่อจิตยึดถือโลกทั้ง 2 จิตพ้นจากโลกทั้ง 2 จึงใช้การคิดเอาไม่ได้เจริญสติก็เพื่อถอยออกมาเห็นโลกทั้ง 2 นั้นว่าเป็นไตรลักษณ์ทั้งรูปธรรมและนามธรรมเมื่อใดศีล สมาธิ ปัญญา สมบูรณ์พร้อมกันเมื่อนั้นจิตจะเป็นอิสระจากโลกที่ยึดถืออยู่นิพพานจึงปรากฏ ณ. ปัจจุบันที่ยังมีชีวิตโดยที่จิตนี้ไม่ได้ออกจากร่างไปที่แห่งใดเลยจิตพระอริยทั้งหลายถึงนิพพานได้ชั่วคราวจิตพระอรหันต์ถึงนิพพานได้ถาวรแล้วเอกายนมรรคคือกระบวนการเพื่อพ้นจากโลกการอ่านการฟังไม่อาจทำให้หลุดพ้นได้จริงการปฏิบัติไม่ยาก ที่ยากเพราะไม่ปฏิบัติจริงความว่างเป็นกับดักของผู้ไม่มีปัญญาญาณความว่างที่แต่ละคนปรุงแต่งนั้นเป็นโมหะสุญตาที่คิดเข้าใจด้วยภาษาไม่ใช่ของจริงสุญตาของจริงรู้ได้เฉพาะจิตที่พ้นจากโลกโลกุตตรจิตใช้สมองสั่งให้เกิดขึ้นมาไม่ได้ทำเหตุไว้จึงจะได้ผลตามพระพุทธเจ้าสอนนักคณิตศาสตร์ทั่วไป- หมกมุ่นกับสูตรต่างๆ- วิเคราะห์โจทย์จนเข้าใจ- ใช้ตรรกะเขียนคำนวณนักคณิตศาสตร์ใช้จิตสำนึกอันเป็นตัวกูจึงรู้ด้วยปรีชาญาณ(Intellect)รามานุจันมีเทพเจ้าในใจ- สวดมนตร์/เข้าฌาน(เอโกทิภาวะ)- สังเคราะห์โจทย์จนแจ่มแจ้ง- ใช้ตรรกะเขียนแจกแจงเทพเจ้าในใจคือตัวตนอันเหนืออาตมันจึงรู้ด้วยปัญญาญาณ(Intuition)หลวงปู่ดูลย์สอนว่า- คิดเท่าไรก็ไม่รู้ - เมื่อหยุดคิดจึงรู้ - แต่ก็ต้องอาศัยความคิดสติปัฏฐานพ้นจากตรรกะทำให้มีจิตตั้งมั่นเป็นกลางจึงรู้ด้วยวิปัสสนาญาณเหล่านักปรัชญาจะรู้บ้างไหม- การใช้ตรรกะคือจิตอยู่ในโลกความคิด- การพ้นจากตรรกะคือจิตอยู่ที่ฐานเป็นสัมมาสมาธิ- เห็นสภาวะธรรมแล้วใช้โยนิโสมนสิการเพื่อเกิดปัญญาใครวิเคราะห์ว่าพระพุทธเจ้าใช้เหตุผลในการตรัสรู้ธรรมแสดงว่ารู้ไม่จริง#ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ไม่ใช่การใช้ตรรกะ พระพุทธเจ้าไม่ได้นั่งคิดหาความจริงอยู่ใต้ต้นโพธิ์อย่างที่บางคนเข้าใจกันเริ่มต้นสาขาวิชาปรัชญานั้นเกิดมาเพื่อหักล้างคำสอนของศาสนาที่เชื่อเรื่องพระเจ้าเป็นสำคัญ ซึ่งในประเทศไทยคนนับถือกันเป็นส่วนน้อย แต่ก็ใช้ประโยชน์ได้กับชาวพุทธที่งมงาย ไม่ได้เป็นนักปฏิบัติตัวจริงการวิพากษ์ศาสนาและคำสอนลัทธิต่างๆ รวมทั้งศาสนาพุทธแบบไทยๆ นั้นมีหลายแง่มุม ควรจะชี้ชัดให้ตรงประเด็นก่อน มิฉะนั้นจะเป็นการเอาชนะคะคานกันแบบไม่ลืมหูลืมตาครับ 1. คำสอนเพื่อให้เกิดจริยธรรมในปัจเจกชน2. คำสอนเพื่อให้เกิดสันติสุขในสังคม3. คำสอนเพื่อให้เกิดศรัทธามีเครื่องยึดเหนี่ยว4. คำสอนเพื่อให้เกิดความเข้าใจเห็นใจกันดังที่คนมักจะพูดกันว่าทุกศาสนาสอนให้เป็นคนดี เพื่อจะได้ยุติในการว่าร้ายกันระหว่างสาวก แต่ก็ยังมีคนโต้เถียงกันเกินเลยไปต่อหนทางปฏิบัติและความเชื่อที่แตกต่างกันควรแยกให้ออกว่ากลยุทธที่ศาสดาใช้สอนสาวกของตนให้ปฏิบัติกันนั้น เพราะสังคมเป็นแบบนั้น สภาพแวดล้อมที่ต้องเผชิญสงคราม การรวมใจประชาชนเป็นหนึ่ง การสอนความเชื่อแบบนั้นจึงเหมาะสม
สุดยอดคัมภีร์
กราบขอบพระคุณ ท่านอาจารย์ผู้บรรยาย และผู้เกี่ยวข้องกับการผลิตรายการทุกท่านค่ะ..
สาธุ
การพิจารณาปฏิจจะสมุปบาทถ้าพิจารณาว่าสังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณมันจะลงไปสู่แนวคิดแบบอภิธรรมทันทีคือเพราะอาศัยบุญและบาปทำให้เกิดปฏิสนธิวิญญาณทำให้เข้าสู่กำเนิดสี่ แล้วสุดท้ายเราจะไปงงตรงภพเป็นปัจจัยให้เกิดชาติ จนถึงขนาดที่ต้องไปอธิบายว่าชาติตัวนั้นมันคือการเกิดตัวกูของกูภายในจิตแทน เพราะเราดันไปอธิบายการมาเกิดในโลกนี้ตรงสังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณแต่พระพุทธเจ้าท่านไม่เคยตรัสอย่างนั้น ท่านตรัสถึงกายสังขาร วจัสังขารมโนสังขารว่าเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณนั่นหมายความว่าเพราะมีการปรุงแต่งทางกายคือลมหายใจหรือร่างกายยังรู้สึกตัวเคลื่อนไหวได้คือยังรู้สึกตัวอยู่หายใจเข้าหายใจออกยังรู้สึกตัวอยู่ เมื่อนั้นก็ชื่อว่า ยังมีวิญญาณคือยังมีสภาพรู้สามารถที่จะรู้หรือรับรู้อะไรได้ถ้ามันตายหรือว่าร่างกายมันหลับมันก็รับรู้อะไรไม่ได้ หรือถ้าในขณะนั้นมันยังคิดยังพูดอยู่ในขณะนั้นก็ชื่อว่ามันยังมีวิญญาณคือการรับรู้อยู่ เพราะถ้าเราพูดโดยไมรู้ว่าพูดมันก็คือละเมอซึ่งสภาพแบบนั้นมันก็คือไม่มีวิญญาณคือสภาพแห่งการรู้มันไม่มี แต่ถ้าเราพูดได้เป็นเรื่องเป็นราว ในขณะนั้นก็เท่ากับเรามีสภาพรู้หรือถ้าในขณะนั้น เรามีความรู้สึกเป็นสุขหรือเป็นทุกข์เพราะหมายรู้ใรูปในเสียงในกลิ่นในรสในสัมผัสในอดีตจนเกิดความคิดที่เป็นกุศลหรืออกุศลในขณะนั้นก็เท่ากับเรามีวิญญาณคือมีสภาพแห่งการรู้ตามมารู้ในอารมณ์นั้นๆ และการมีวิญญาณมาเกิดหรือมีการสภาพรู้มาเกิดมันก็ทำให้วนกลับมาเกิดสิ่งที่ถูกรู้คือนามรูปอันหมายถึงรูป เวทนา สัญญา สังขาร ดังนั้นปฏิจจะสมุปบาทความจริงมันคือเรื่องของตัวรู้แล้วก็สิ่งที่ถูกรู้โดยปุถุชนผู้มิได้สดับอริยสัจจ์สี่จะหลงเข้าใจผิดในตัวผู้รู้และสิ่งที่ถูกรู้ว่าเป็นเราเป็นของเราคือมีอวิชชาเข้ามาปรุงแต่งจิตนั่นเองส่วนการเข้าสู่กำเนิดทั้งสี่คือกำเนิดในครรภ์กำเนิดในไข่ กำเนิดในเถ้าไคล หรือเกิดเองแบบผีแบบเทวดานั้นมันอยู่ตรงอวิชชามันไหลมาถึงตัณหาแล้วคืออวิชามันบ่มตัวมันจนกลายเป็นความทะยานอยากจนกระทั่งเข้าไปเกาะเกี่ยวผูกพันในอารมณ์นั้นแบบถอนไม่ออกแล้วหรือที่เราเรียกแบบชาวบ้านว่ามันคาใจคือมันค้างคาอยู่ในใจชนิดที่ผ่านไปเป็นสิบปียี่สิบปีก็ไม่หายโกรธหรือไม่หายรักหรือที่เราเรียกว่ารักข้ามภพข้ามชาติหรือแค้นข้ามภพข้ามชาติ อาการที่จิตมันยึดติดแบบนี้เพราะมันมีอวิชชาหรือโมหะหรือมิจฉาทิฏฐิคือมันดันไปหมายรู้ว่าร่างกายนี้จิตใจนี้คือตัวมันคือของๆมันและเมื่อมันแรงกล้าจนกลายเป็นอุปาทานนั่นก็หมายความว่าภพคือที่เกิดการไปมาหาสู่ การไปเกิดมาเกิดมันอยู่ตรงเพราะมีอุปาทานจึงมีภพคือกามภพ รูปภพ อรูปภพ เมื่อมีภพจึงมึการเข้าไปสู่กำเนิดทั้งสี่คือเกิดในครรภ์ เกิดในไข่ เกิดในเถ้าไคลหรือเกิดอุบัติขึ้นเอง การอธิบายปฏิจจะสมุปบาทแบบอภิธรรมที่เอาการเกิดไปไว้ตรงสังขารทำให็เกิดวิญญาณมันทำให้เกิดความสับสนและการอธิบายว่าตัวกูของกูมันมาเกิดตรงชาติแบบหลวงพ่อพถทธทาสยิ่งทำให้งงไปใหญ่ เพราะตัวกูของกูมันเกิดตั้งแต่มีอวิชชานั่นแล้ว ทั้งแบบอภิธรรมและแบบหลวงพ่อพุทธทาสเป็นการอธิบายปฏิจจสมุปบาทที่กลับหัวกลับหางจนกลายเป็นการขวางความเข้าใจในปฏิจจะสมุปบาทไปเลยใครที่เรียนปฏิจจะแบบพระอภิธรรมหรือแบบหลวงพ่อพุทธทาสจะอธิบายปฏิจจะได้แบบกระโดดข้ามไปกระโดดข้ามาเพราะความเข้าใจผิดนั่นเอง
ตอนท้ายๆ เสียงดนตรีดังมาก ไม่ได้ยินเสียงผู้บรรยายเลยค่ะ
การถกเถียงของชาวพุทธในโซเชี่ยลเพื่ออะไรกัน ถ้าทำเพื่อให้เกิดปัญญาก็ควรว่ากันให้ตรงประเด็นจึงจะเกิดประโยชน์1. คำสอนเพื่อให้เกิดจริยธรรมและสันติสุขในสังคม ครูบาอาจารย์ผู้สอน _ย่อมใช้กุศโลบายไม่เหมือนกัน_ การตีความเรื่องที่บัญญัติ คำนั้นคำนี้ใครแปลผิดหรือถูก นรกสวรรค์มีหรือไม่ ชาติหน้ามีจริงหรือไม่ ทำกรรมไว้จะเป็นอย่างไร เพื่อให้เกิดจริยธรรมจึงโกหกขาวที่ไม่ต้องไปซักไซ้ว่าอะไรจริงหรือไม่จริง2. คำสอนเพื่อนำไปปฏิบัติ ครูบาอาจารย์ผู้สอน _ย่อมใช้อุบาย ไม่เหมือนกัน_ การโต้เถียงของลูกศิษย์ว่าของใครดีกว่ากันจึงมีให้เห็น เช่น นักปฏิบัติกับนักปฏิบัติคนละสาย นักปฏิบัติกับพวกไม่เอาปฏิบัติ สรุปแล้วต่างก็ถือทิฏฐิ ถือเอาครูบาอาจารย์ของตนถูกต้องที่สุด อย่างนี้ต้องบอกว่า _ทางใครทางมันเถอะ_ เพราะมรรคผลที่ได้เป็นของใครของมันในส่วนที่ตีความด้วยหลักปรัชญา อาศัยปรีชาญาณที่ใช้ตรรกะเป็นเครื่องมืออย่างเดียวย่อมเสียเปรียบนักปฏิบัติที่ใช้ทั้งปรีชาญาณและปัญญาญาณ การฟังบรรยายแล้วจะไม่โต้แย้งก็กระไรอยู่ เพราะคำสอนของพระพุทธเจ้าไม่ได้ตื้นอย่างนั้น มีความลึกซึ้งที่น่าเรียนรู้ให้ถึงแก่นกว่าที่ภาษาอธิบายได้การสอนธรรมในระดับปรมัตถ์ไม่ใช่จะสอนให้คนจำนวนมากเข้าถึงได้ แต่ละศาสนามีคำสอนที่จัดเป็นลำดับ เหมาะกับคนแต่ละระดับ จึงมีการแตกนิกายออกไปให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย การวิพากษ์ถ้าเลือกประเด็นทีเกินขอบเขตของภาษา จะเป็นการเคลมเอาด้วยวาทะแบบนักปรัชญา
เริ่มที่อวิชชาค่ะไม่รู้ ไม่รู้สึกตัว เผลอคิดกลับมารู้สึกตัว รู้ซื่อๆ ไม่คิดต่อจบเลยค่ะ
ช่วยแน่นำวิธี..ที่จะเข้าใจ..เริ่มจากอ่ะไรคับ..ท่านผู้รู้...ขอความเมตตา กรุณาด้วยคับ..
คลิปของ อ.ประเสริฐ อุทัยเฉลิม ท่านก็มีสอนตั้งแต่พื้นฐานไปจนถึงระดับยาก ท่านลองค้นหากูเกิล ลองฟังคลิปง่ายในชุด โตขึ้นหนูจะเป็นเบนซ์ดูก่อนก็ได้ครับ ถ้าพอเข้าใจบ้างก็ลองฟังในชุดอื่นๆดูไปเรื่อยๆ ...ในคลิปนี้เป็นเรื่องของปฏิจจสมุปบาท ซึ่งเป็นธรรมที่คนส่วนใหญ่ก็เข้าใจได้ยากแต่ อาจารย์ได้เอามาอธิบายให้ง่ายต่อการเข้าใจ แต่ถ้ายังรู้สึกว่ามีหลายอย่างยังสงสัย ก็คงเป็นเพราะศัพท์บาลีต่างๆ แนะนำให้ค้นหาฟังในเนื้อหาที่กล่าวแล้วข้างต้นครับ
อวิชชา(หมายเลข1)ธรรมบ้านๆทำมะทำอะไร..ถามกลับไปกลับมาน่าเวียนหัว..อนัตตาลัดชุ่ยตีความมั่ว..อัตตาตัวมาสอนไม่มีเรา..ตถาคตหมายถึงผู้หลุดพ้น..ผู้เห็นตนผู้พูดผู้เป็นเรา..ผู้เห็นธรรมผู้แจ้งพ้นความเขลา..ไม่มีเราแล้วใยนั่งเถียงกัน..ยังย้อมผมทาปากแต่งหน้างาม.ยังตอบถามยังคิดยังประจาน..ยังอวดรู้อวดดีเที่ยวระราน..ยังอีกนานสอนใครให้เห็นธรรม..รู้คำแปลบาลีอวิชชา..ไม่รู้ว่าใจตนยังมืดดำ..ตัวโมหะราคะยังครอบงำ..ได้แต่จำไม่สิ้นอวิชชา..อวิชชา(หมายเลข2)ฟังพุทธวจนจากคำใคร..นั่นไม่ใช่คำจริงของพุทธะ..นั่นไม่ใช่ความจริงแห่งสัจจะ..เป็นธรรมะปฏิรูปเท่านั้น..เหมือนเสพยาพาจิตให้เคลิ้มสุข..ลืมความทุกข์ชั่วคราวในโลกฝัน..ฝันว่าตนฟังธรรมจากโอษฐ์ท่าน..ความจริงมันเป็นแค่คนตีความ..อ่านพุทธวจนเอาเองเถิด..อย่าเตลิดปรามาสผู้ถึงธรรม..อรหันต์สาวกอดีตทำ..อย่าเหยียดหยามการสังคายนา..อหังการ์ลบหลู่ครูอาจารย์..ท่านนิพพานได้แล้วจึงหาญกล้า..สอนลูกศิษย์มากมายสายวัดป่า..อวิชชาไปเชื่ออลัชชี..อวิชชา(หมายเลข3)การด้อยค่าพระไตรปิฎกนั้น..เพราะสำคัญตนว่าไม่เชื่อใคร..ใครจะเชื่อคลิปสอนสังวรไว้..คนไม่ได้ของจริงไม่ต่างมาร..การขโมยคำพูดคนอื่นมา..ใช้หน้าตาคนอื่นอวตาร..ทำผิดศีลทำง่ายเพราะหน้าด้าน..ไม่เห็นมารในใจของตัวเอง..การด้อยค่าพุทธะสัพพัญญู..อวดว่ารู้ทั่วถึงจึงปากเก่ง..ใจมืดบอดหลงตนไม่ยำเกรง..เป็นนักเลงปากกล้าแต่ขาสั่น..เจอคนจริงลบเม้นบ้างตีรวน..บ้างก็ป่วนบ้างใช้อวตาร..เจอมาเยอะคนเรียกว่าอาจารย์..หิวแสงกันเพราะติดอวิชชา..อวิชชา(หมายเลข4)คนอยากดังอยากเด่นมีตัวตน!ห่างมรรคผลยังกล้ามาสอนได้แค่ลอกเลียนลีลากระชากใจ!ทำไปได้ใครเชื่อถือเป็นกรรม!ทำคลิปสอนอวดตนบรรลุแล้ว!ไม่อายแมวกราบหมาช่างน่าขำ!อิสระหรือสุดจึงลงต่ำ!ไม่ต้องทำอะไรได้นิพพาน!รู้ว่าคิดจบกิจแบบมักง่าย!เที่ยวสอนใครตั้งตนเป็นอาจารย์!ปรุงแต่งว่างด้วยคิดยังอีกนาน!ไกลนิพพานของจริงไม่รู้ตัว!ไม่รู้ทุกข์แล้วละอะไรได้!ที่เข้าใจไม่เห็นจึงมืดมัว!ยังโอ้อวดยังหลงยังหลุดรั่ว!ใครตาถั่วไม่พ้นอวิชชา!อวิชชา(หมายเลข5)ปากยังพูดใจยังอยากไม่สิ้น!ปากยังกินลิ้นยังอยากได้รส!ปากยังกล้าชื่อยังอยากปรากฏ!ปากยังอดห้ามอยากไม่ได้จริง!เพราะตัวกูมีอยู่เป็นตัวตน!เพราะตัวคนมีอยู่จึงไม่นิ่ง!เพราะตัวอยากมีอยู่ไม่ได้ทิ้ง!เพราะใจวิ่งอวดตนจึงคอมเม้นต์!คิดธรรมะเข้าใจใช่ธรรมะ!พิมพ์ธรรมะเพราะใจยังอยากเป็น!สอนธรรมะทำไมไม่อยากเด่น!ยังอยากเป็นไม่ถึงธรรมะจริง!เด็กแก่แดดเช่นนี้มีเยอะแยะ!เหมือนจับแพะชนแกะมาอ้างอิง!ไร้สติรู้ตัวมั่วทุกสิ่ง!รู้ไม่จริงไม่แจ้งอวิชชา!อวิชชา(หมายเลข6)อยากสอนคนสอนตนให้ได้ก่อน..หากใจร้อนสอนคนบนความอยาก..พาหลงผิดคิดผิดเชื่อผิดมาก..ไม่ถูกหลักไม่ตรงหลงทางไป..ปุถุชนนั้นมีมิจฉาอยู่..ไม่อาจรู้ปรมัตถ์ธรรมได้..พุทธทาสยอดปราชญ์ยังพลาดไป..มีมากมายเอาว่างห่างนิพพาน..ว่างของท่านนั้นใช่อย่างที่คิด..ไม่เห็นจิตเพราะว่างก็จบกัน..เริ่มต้นผิดไม่มีตัวตนนั้น..จะรู้ทันตัวตนได้อย่างไร..อ้างกาลามสูตรแล้วด้อยค่า..หมิ่นตำราพระสูตรตัดพระไตรฯ..อ้างพุทธะตัวตนตัวผีใหญ่..ตัวนี้ไงตัวกูอวิชชา..
@@สติรักษาจิต-ฅ2ล อ้าว..เจออีกแล้วทำไม..จึงตามทุกคลิปคะ
ขออนุญาตตอบง่ายๆที่คนสามัญชนระดับเรา พอจะเห็นภาพได้ง่ายนะคับ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส และ ความรู้สึกทางใจ ที่เราได้รับโดย ผัสสะ(ทวารต่างๆ เช่น รูปก็จากตา รสก็จากลิ้น) ลองปล่อยให้ รูปที่เห็น (เกิดจากแสงกระทบวัตถุแล้วสะท้อนเข้าเลนส์ตาเรา) รส (ก็เกิดจากลิ้นที่ได้รับรสจากอาหาร) ลองปล่อยให้เป็น "แค่หน้าที่ตามปกติ ของอวัยวะ"(อายาตนะภายใน) โดยไม่เอา "ตัวเรา" เข้าไปเจือว่า เราเห็น เราได้รับรสเผ็ด (ส่วนข้ออื่นก็ตามหน้าที่ของระบบอวัยวะแต่ละส่วน) มันก็จะเป็นเพียงแค่ ปรากฏการณ์ตามธรรมชาติ ของเรื่องนั้นๆ มันก็จะไม่เกิดความ ชอบ หรือไม่ชอบ อร่อยหรือไม่อร่อย พอใจหรือไม่พอใจ และเมื่อลองทำบ่อยๆ สะสมบ่อยๆ ท่านจะเห็นว่า เมื่อไม่มี "ตัวเรา" ไปเป็นผู้รับแล้ว ความทุกข์ใจที่เกิดจากสิ่งเหล่านั้น เมื่อมีการมากระทบ ก็จะไม่เกิดขึ้น ยกตัวอย่าง เวลาเราโดนด่า หรือโดนตำหนิ ส่วนมากจะไม่พอใจ จะโกรธ จะเสียใจ ทำให้เกิดเรื่องราวร้อนรุ่มตามมาอีกมากมาย แต่หากปล่อยให้มันเป็นเพียงแค่คลื่นเสียงที่ผ่านตัวกลางคืออากาศ มากระทบก้นหอยกระดูกอ่อนในหู แล้วแปลการสั่นสะเทือนของคลื่นเสียงนั้นสู่สมอง สมองรับรู้ได้ว่าได้ยินอะไร (ทุกอย่างทำงานตามหน้าที่ตามธรรมชาติของมัน หากอวัยวะส่วนนั้นไม่บกพร่องไป) แต่ไม่เอา "ตัวเรา" เข้าไปรองรับ อยากจะถามว่า เราจะโกรธ จะเสียใจ จะทะเลาะกันไหม มันก็หยุดอยู่แค่นั้น ถ้ามองทุกอย่างเป็นสิ่งไม่เที่ยง ไม่น่ายึดถือว่าเป็นตัวเป็นตน เป็นเราเป็นเขา เป็นของๆเรา ของๆเขา มันก็จะไปตัดสายโซ่วงจรของการเกิดทุกข์โศกได้ไม่ว่าอะไรก็ตาม เจริญสติให้มากๆ(ไม่ใช่แค่นั้นหลับตานะคับ) รู้อาการกายให้เชี่ยวชาญทีละนิด ยกมือรู้ตัว เกินรู้ตัว นั้งอยู่รู้ว่านั้ง กินรู้ว่ากิน หนาวรู้ว่าหนาว เผ็ดรู้ว่าเผ็ด และหากกำลังอ่านเม้นท์นี้ ก็รู้ว่าเห็นตัวหนังสือ นี้คือความ"รู้สึกตัว" ต่อไปแม้แต่ "นาม" คือความคิดที่ผุดมาในหัว ไม่ว่าจะคิดดีหรือไม่ดี คิดสุขหรือทุกข์ เหม่อหรือฟุ้งซ่าน เราก็จะรู้สึกตัวและมองเห็นมันว่าเป็นธรรมดา เมื่อเห็นมันทัน ว่าความคิดมันก็ทำหน้าที่ของมัน ไม่ใช่เรา เพราะหากใช้เรา เราต้องห้ามไม่ให้คิดเรื่องทุกข์ เลือกคิดแต่เรื่องสุขน่าพอใจได้ เมื่อเราเห็น เรารุ้ทัน มันก็จะไม่มีเชื้อให้เติบโต(ตัญหา อุปทาน) มันก็จะหดสั้น หรือดับไปได้เอง โดยไม่ต้องวุ่นวายเพื่อหยุดคิด จนเป็นความเครียด สรุปง่ายๆคับทุกอย่างไม่ควรยึดถือมั่นฝึกรู้สึกมีสติกับ สิ่งตรงหน้า ปัจจุบันขณะจริงๆ แล้วเรื่องอื่นไปก็จะศึกษาได้ไม่ยากเลยคับ
@@ณรงค์ธรรมสุขสวัสดิ์ สวัสดีคับคุณลุง..ขออนุญาตถามคับ...แนวทางปฎิบัติเจริญสติ..แบบเคลื่อนไหว..หลวงปู่เทียน..ถุกต้องใช่ไหมคับ.ขอบพระคุณคับ
สุขนั้นคือเหตุแห่งทุกข์ปล่อยวางใด้จิตก็สงบ
ทำไมต้องเป็นทาสครับ ??
กฏของจักรวาลถูกเปิดเผย
ผิดทั้งหมดเลย.
ตรงไหนครับที่ท่านว่าผิด ช่วยเมตตาอธิบายข้อที่ถูกให้ฟังหน่อยครับ
เม้นโง่ๆ...ของคนโง่อวดรู้
ดูตำราดำน้ำไปแหนเต็มหัว
สาธุครับ
ชอบวิธีการบรรยายของอาจารย์ประเสริฐมากคะ เข้าใจง่าย ท่านขยายความได้ดีคะ
ขอบพระคุณอาจารย์ผู้บรรยายค่ะ
กราบ ท่านอาจารย์
ผู้มีอุปการะค่ะ เข้าใจได้ง่ายค่ะ
สาธุค่ะ
สิ่งที่คนทั้งโลกยอมรับว่าเป็นความจริงไม่ได้หมายความว่ามันคือความจริง
จะมีกี่คนบนโลกนี้สามารถบอกได้ว่าคอร์ดทุกคอร์ดบนคอกีต้าร์ทุกตัวมันเพี้ยน ต่อให้แกรนด์เปียโนราคาแพงที่สุดในโลกกดคอร์ดแล้วก็ยังเพี้ยน
เสียงคู่ประสาน 3 major และ 7 major ทั้งหมดเพี้ยนสูงกว่าเสียงธรรมชาติ
เสียงคู่ประสาน 3 minor และ 7 minor ทั้งหมดเพี้ยนต่ำกว่าเสียงธรรมชาติ
ดังนั้นโน้ตตัวที่ 3 และ 7 ของเครื่องดนตรีทั้งหมดมันกัดกับโน้ตตัวที่ 1 กับ 5 เมื่อบรรเลงพร้อมกัน
จิตสนใจรับรู้สิ่งใดโลกนั้นจึงได้ปรากฏ
เมื่อรับรู้รูปธรรมโลกภายนอกก็ปรากฏ
เมื่อรับรู้นามธรรมโลกภายในก็ปรากฏ
นิพพานไม่ปรากฏต่อจิตยึดถือโลกทั้ง 2
จิตพ้นจากโลกทั้ง 2 จึงใช้การคิดเอาไม่ได้
เจริญสติก็เพื่อถอยออกมาเห็นโลกทั้ง 2 นั้น
ว่าเป็นไตรลักษณ์ทั้งรูปธรรมและนามธรรม
เมื่อใดศีล สมาธิ ปัญญา สมบูรณ์พร้อมกัน
เมื่อนั้นจิตจะเป็นอิสระจากโลกที่ยึดถืออยู่
นิพพานจึงปรากฏ ณ. ปัจจุบันที่ยังมีชีวิต
โดยที่จิตนี้ไม่ได้ออกจากร่างไปที่แห่งใดเลย
จิตพระอริยทั้งหลายถึงนิพพานได้ชั่วคราว
จิตพระอรหันต์ถึงนิพพานได้ถาวรแล้ว
เอกายนมรรคคือกระบวนการเพื่อพ้นจากโลก
การอ่านการฟังไม่อาจทำให้หลุดพ้นได้จริง
การปฏิบัติไม่ยาก ที่ยากเพราะไม่ปฏิบัติจริง
ความว่างเป็นกับดักของผู้ไม่มีปัญญาญาณ
ความว่างที่แต่ละคนปรุงแต่งนั้นเป็นโมหะ
สุญตาที่คิดเข้าใจด้วยภาษาไม่ใช่ของจริง
สุญตาของจริงรู้ได้เฉพาะจิตที่พ้นจากโลก
โลกุตตรจิตใช้สมองสั่งให้เกิดขึ้นมาไม่ได้
ทำเหตุไว้จึงจะได้ผลตามพระพุทธเจ้าสอน
นักคณิตศาสตร์ทั่วไป
- หมกมุ่นกับสูตรต่างๆ
- วิเคราะห์โจทย์จนเข้าใจ
- ใช้ตรรกะเขียนคำนวณ
นักคณิตศาสตร์ใช้จิตสำนึกอันเป็นตัวกูจึงรู้ด้วยปรีชาญาณ(Intellect)
รามานุจันมีเทพเจ้าในใจ
- สวดมนตร์/เข้าฌาน(เอโกทิภาวะ)
- สังเคราะห์โจทย์จนแจ่มแจ้ง
- ใช้ตรรกะเขียนแจกแจง
เทพเจ้าในใจคือตัวตนอันเหนืออาตมันจึงรู้ด้วยปัญญาญาณ(Intuition)
หลวงปู่ดูลย์สอนว่า
- คิดเท่าไรก็ไม่รู้
- เมื่อหยุดคิดจึงรู้
- แต่ก็ต้องอาศัยความคิด
สติปัฏฐานพ้นจากตรรกะทำให้มีจิตตั้งมั่นเป็นกลางจึงรู้ด้วยวิปัสสนาญาณ
เหล่านักปรัชญาจะรู้บ้างไหม
- การใช้ตรรกะคือจิตอยู่ในโลกความคิด
- การพ้นจากตรรกะคือจิตอยู่ที่ฐานเป็นสัมมาสมาธิ
- เห็นสภาวะธรรมแล้วใช้โยนิโสมนสิการเพื่อเกิดปัญญา
ใครวิเคราะห์ว่าพระพุทธเจ้าใช้เหตุผลในการตรัสรู้ธรรมแสดงว่ารู้ไม่จริง
#ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ไม่ใช่การใช้ตรรกะ พระพุทธเจ้าไม่ได้นั่งคิดหาความจริงอยู่ใต้ต้นโพธิ์อย่างที่บางคนเข้าใจกัน
เริ่มต้นสาขาวิชาปรัชญานั้นเกิดมาเพื่อหักล้างคำสอนของศาสนาที่เชื่อเรื่องพระเจ้าเป็นสำคัญ ซึ่งในประเทศไทยคนนับถือกันเป็นส่วนน้อย แต่ก็ใช้ประโยชน์ได้กับชาวพุทธที่งมงาย ไม่ได้เป็นนักปฏิบัติตัวจริง
การวิพากษ์ศาสนาและคำสอนลัทธิต่างๆ รวมทั้งศาสนาพุทธแบบไทยๆ นั้นมีหลายแง่มุม ควรจะชี้ชัดให้ตรงประเด็นก่อน มิฉะนั้นจะเป็นการเอาชนะคะคานกันแบบไม่ลืมหูลืมตาครับ
1. คำสอนเพื่อให้เกิดจริยธรรมในปัจเจกชน
2. คำสอนเพื่อให้เกิดสันติสุขในสังคม
3. คำสอนเพื่อให้เกิดศรัทธามีเครื่องยึดเหนี่ยว
4. คำสอนเพื่อให้เกิดความเข้าใจเห็นใจกัน
ดังที่คนมักจะพูดกันว่าทุกศาสนาสอนให้เป็นคนดี เพื่อจะได้ยุติในการว่าร้ายกันระหว่างสาวก แต่ก็ยังมีคนโต้เถียงกันเกินเลยไปต่อหนทางปฏิบัติและความเชื่อที่แตกต่างกัน
ควรแยกให้ออกว่ากลยุทธที่ศาสดาใช้สอนสาวกของตนให้ปฏิบัติกันนั้น เพราะสังคมเป็นแบบนั้น สภาพแวดล้อมที่ต้องเผชิญสงคราม การรวมใจประชาชนเป็นหนึ่ง การสอนความเชื่อแบบนั้นจึงเหมาะสม
สุดยอดคัมภีร์
กราบขอบพระคุณ ท่านอาจารย์ผู้บรรยาย และผู้เกี่ยวข้องกับการผลิตรายการทุกท่านค่ะ..
สาธุ
การพิจารณาปฏิจจะสมุปบาทถ้าพิจารณาว่าสังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณมันจะลงไปสู่แนวคิดแบบอภิธรรมทันทีคือเพราะอาศัยบุญและบาปทำให้เกิดปฏิสนธิวิญญาณทำให้
เข้าสู่กำเนิดสี่ แล้วสุดท้ายเราจะไปงงตรงภพเป็นปัจจัยให้เกิดชาติ จนถึงขนาดที่ต้องไปอธิบายว่าชาติตัวนั้นมันคือการเกิดตัวกูของกู
ภายในจิตแทน เพราะเราดันไปอธิบายการมา
เกิดในโลกนี้ตรงสังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณแต่พระพุทธเจ้าท่านไม่เคยตรัสอย่างนั้น ท่านตรัสถึงกายสังขาร วจัสังขาร
มโนสังขารว่าเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณนั่น
หมายความว่าเพราะมีการปรุงแต่งทางกาย
คือลมหายใจหรือร่างกายยังรู้สึกตัวเคลื่อน
ไหวได้คือยังรู้สึกตัวอยู่หายใจเข้าหายใจออกยังรู้สึกตัวอยู่ เมื่อนั้นก็ชื่อว่า ยังมีวิญญาณคือ
ยังมีสภาพรู้สามารถที่จะรู้หรือรับรู้อะไรได้ถ้ามันตายหรือว่าร่างกายมันหลับมันก็รับรู้อะไรไม่ได้ หรือถ้าในขณะนั้นมันยังคิดยังพูดอยู่ในขณะนั้นก็ชื่อว่ามันยังมีวิญญาณคือการรับรู้อยู่ เพราะถ้าเราพูดโดยไมรู้ว่าพูดมันก็คือละเมอซึ่งสภาพแบบนั้นมันก็คือไม่มีวิญญาณคือสภาพแห่งการรู้มันไม่มี แต่ถ้าเราพูดได้เป็นเรื่องเป็นราว ในขณะนั้นก็เท่ากับเรามีสภาพรู้หรือถ้าในขณะนั้น เรามีความรู้สึกเป็นสุขหรือเป็นทุกข์เพราะหมายรู้ใรูปในเสียงในกลิ่นในรสในสัมผัสในอดีตจนเกิดความคิดที่เป็นกุศลหรืออกุศลในขณะนั้นก็
เท่ากับเรามีวิญญาณคือมีสภาพแห่งการรู้
ตามมารู้ในอารมณ์นั้นๆ และการมีวิญญาณ
มาเกิดหรือมีการสภาพรู้มาเกิดมันก็ทำให้วน
กลับมาเกิดสิ่งที่ถูกรู้คือนามรูปอันหมายถึง
รูป เวทนา สัญญา สังขาร ดังนั้นปฏิจจะสมุปบาทความจริงมันคือเรื่องของตัวรู้แล้วก็สิ่งที่ถูกรู้โดยปุถุชนผู้มิได้สดับอริยสัจจ์สี่จะหลงเข้าใจผิดในตัวผู้รู้และสิ่งที่ถูกรู้ว่าเป็นเราเป็นของเราคือมีอวิชชาเข้ามาปรุงแต่งจิตนั่นเอง
ส่วนการเข้าสู่กำเนิดทั้งสี่คือกำเนิดในครรภ์
กำเนิดในไข่ กำเนิดในเถ้าไคล หรือเกิดเอง
แบบผีแบบเทวดานั้นมันอยู่ตรงอวิชชามันไหล
มาถึงตัณหาแล้วคืออวิชามันบ่มตัวมันจนกลายเป็นความทะยานอยากจนกระทั่งเข้าไปเกาะเกี่ยวผูกพันในอารมณ์นั้นแบบถอนไม่ออกแล้วหรือที่เราเรียกแบบชาวบ้านว่ามันคาใจคือมันค้างคาอยู่ในใจชนิดที่ผ่านไปเป็นสิบปียี่สิบปีก็ไม่หายโกรธหรือไม่หายรักหรือที่เราเรียกว่ารักข้ามภพข้ามชาติหรือแค้นข้ามภพข้ามชาติ อาการที่จิตมันยึดติดแบบนี้เพราะมันมีอวิชชาหรือโมหะหรือมิจฉาทิฏฐิ
คือมันดันไปหมายรู้ว่าร่างกายนี้จิตใจนี้คือตัวมันคือของๆมันและเมื่อมันแรงกล้าจนกลายเป็นอุปาทานนั่นก็หมายความว่าภพคือที่เกิด
การไปมาหาสู่ การไปเกิดมาเกิดมันอยู่ตรงเพราะมีอุปาทานจึงมีภพคือกามภพ รูปภพ อรูปภพ เมื่อมีภพจึงมึการเข้าไปสู่กำเนิดทั้งสี่
คือเกิดในครรภ์ เกิดในไข่ เกิดในเถ้าไคลหรือ
เกิดอุบัติขึ้นเอง การอธิบายปฏิจจะสมุปบาทแบบอภิธรรมที่เอาการเกิดไปไว้ตรงสังขารทำให็เกิดวิญญาณมันทำให้เกิดความสับสน
และการอธิบายว่าตัวกูของกูมันมาเกิดตรงชาติแบบหลวงพ่อพถทธทาสยิ่งทำให้งงไปใหญ่ เพราะตัวกูของกูมันเกิดตั้งแต่มีอวิชชานั่นแล้ว ทั้งแบบอภิธรรมและแบบหลวงพ่อพุทธทาสเป็นการอธิบายปฏิจจสมุปบาทที่
กลับหัวกลับหางจนกลายเป็นการขวางความเข้าใจในปฏิจจะสมุปบาทไปเลยใครที่เรียน
ปฏิจจะแบบพระอภิธรรมหรือแบบหลวงพ่อพุทธทาสจะอธิบายปฏิจจะได้แบบกระโดดข้ามไปกระโดดข้ามาเพราะความเข้าใจผิด
นั่นเอง
ตอนท้ายๆ เสียงดนตรีดังมาก ไม่ได้ยินเสียงผู้บรรยายเลยค่ะ
การถกเถียงของชาวพุทธในโซเชี่ยลเพื่ออะไรกัน ถ้าทำเพื่อให้เกิดปัญญาก็ควรว่ากันให้ตรงประเด็นจึงจะเกิดประโยชน์
1. คำสอนเพื่อให้เกิดจริยธรรมและสันติสุขในสังคม ครูบาอาจารย์ผู้สอน _ย่อมใช้กุศโลบายไม่เหมือนกัน_ การตีความเรื่องที่บัญญัติ คำนั้นคำนี้ใครแปลผิดหรือถูก นรกสวรรค์มีหรือไม่ ชาติหน้ามีจริงหรือไม่ ทำกรรมไว้จะเป็นอย่างไร เพื่อให้เกิดจริยธรรมจึงโกหกขาวที่ไม่ต้องไปซักไซ้ว่าอะไรจริงหรือไม่จริง
2. คำสอนเพื่อนำไปปฏิบัติ ครูบาอาจารย์ผู้สอน _ย่อมใช้อุบาย ไม่เหมือนกัน_ การโต้เถียงของลูกศิษย์ว่าของใครดีกว่ากันจึงมีให้เห็น เช่น นักปฏิบัติกับนักปฏิบัติคนละสาย นักปฏิบัติกับพวกไม่เอาปฏิบัติ สรุปแล้วต่างก็ถือทิฏฐิ ถือเอาครูบาอาจารย์ของตนถูกต้องที่สุด อย่างนี้ต้องบอกว่า _ทางใครทางมันเถอะ_
เพราะมรรคผลที่ได้เป็นของใครของมัน
ในส่วนที่ตีความด้วยหลักปรัชญา อาศัยปรีชาญาณที่ใช้ตรรกะเป็นเครื่องมืออย่างเดียวย่อมเสียเปรียบนักปฏิบัติที่ใช้ทั้งปรีชาญาณและปัญญาญาณ การฟังบรรยายแล้วจะไม่โต้แย้งก็กระไรอยู่ เพราะคำสอนของพระพุทธเจ้าไม่ได้ตื้นอย่างนั้น มีความลึกซึ้งที่น่าเรียนรู้ให้ถึงแก่นกว่าที่ภาษาอธิบายได้
การสอนธรรมในระดับปรมัตถ์ไม่ใช่จะสอนให้คนจำนวนมากเข้าถึงได้ แต่ละศาสนามีคำสอนที่จัดเป็นลำดับ เหมาะกับคนแต่ละระดับ จึงมีการแตกนิกายออกไปให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย การวิพากษ์ถ้าเลือกประเด็นทีเกินขอบเขตของภาษา จะเป็นการเคลมเอาด้วยวาทะแบบนักปรัชญา
เริ่มที่อวิชชาค่ะ
ไม่รู้ ไม่รู้สึกตัว เผลอคิด
กลับมารู้สึกตัว รู้ซื่อๆ ไม่คิดต่อ
จบเลยค่ะ
ช่วยแน่นำวิธี..ที่จะเข้าใจ..เริ่มจากอ่ะไรคับ..ท่านผู้รู้...ขอความเมตตา กรุณาด้วยคับ..
คลิปของ อ.ประเสริฐ อุทัยเฉลิม ท่านก็มีสอนตั้งแต่พื้นฐานไปจนถึงระดับยาก ท่านลองค้นหากูเกิล ลองฟังคลิปง่ายในชุด โตขึ้นหนูจะเป็นเบนซ์ดูก่อนก็ได้ครับ ถ้าพอเข้าใจบ้างก็ลองฟังในชุดอื่นๆดูไปเรื่อยๆ ...ในคลิปนี้เป็นเรื่องของปฏิจจสมุปบาท ซึ่งเป็นธรรมที่คนส่วนใหญ่ก็เข้าใจได้ยากแต่ อาจารย์ได้เอามาอธิบายให้ง่ายต่อการเข้าใจ แต่ถ้ายังรู้สึกว่ามีหลายอย่างยังสงสัย ก็คงเป็นเพราะศัพท์บาลีต่างๆ แนะนำให้ค้นหาฟังในเนื้อหาที่กล่าวแล้วข้างต้นครับ
อวิชชา(หมายเลข1)
ธรรมบ้านๆทำมะทำอะไร..
ถามกลับไปกลับมาน่าเวียนหัว..
อนัตตาลัดชุ่ยตีความมั่ว..
อัตตาตัวมาสอนไม่มีเรา..
ตถาคตหมายถึงผู้หลุดพ้น..
ผู้เห็นตนผู้พูดผู้เป็นเรา..
ผู้เห็นธรรมผู้แจ้งพ้นความเขลา..
ไม่มีเราแล้วใยนั่งเถียงกัน..
ยังย้อมผมทาปากแต่งหน้างาม.
ยังตอบถามยังคิดยังประจาน..
ยังอวดรู้อวดดีเที่ยวระราน..
ยังอีกนานสอนใครให้เห็นธรรม..
รู้คำแปลบาลีอวิชชา..
ไม่รู้ว่าใจตนยังมืดดำ..
ตัวโมหะราคะยังครอบงำ..
ได้แต่จำไม่สิ้นอวิชชา..
อวิชชา(หมายเลข2)
ฟังพุทธวจนจากคำใคร..
นั่นไม่ใช่คำจริงของพุทธะ..
นั่นไม่ใช่ความจริงแห่งสัจจะ..
เป็นธรรมะปฏิรูปเท่านั้น..
เหมือนเสพยาพาจิตให้เคลิ้มสุข..
ลืมความทุกข์ชั่วคราวในโลกฝัน..
ฝันว่าตนฟังธรรมจากโอษฐ์ท่าน..
ความจริงมันเป็นแค่คนตีความ..
อ่านพุทธวจนเอาเองเถิด..
อย่าเตลิดปรามาสผู้ถึงธรรม..
อรหันต์สาวกอดีตทำ..
อย่าเหยียดหยามการสังคายนา..
อหังการ์ลบหลู่ครูอาจารย์..
ท่านนิพพานได้แล้วจึงหาญกล้า..
สอนลูกศิษย์มากมายสายวัดป่า..
อวิชชาไปเชื่ออลัชชี..
อวิชชา(หมายเลข3)
การด้อยค่าพระไตรปิฎกนั้น..
เพราะสำคัญตนว่าไม่เชื่อใคร..
ใครจะเชื่อคลิปสอนสังวรไว้..
คนไม่ได้ของจริงไม่ต่างมาร..
การขโมยคำพูดคนอื่นมา..
ใช้หน้าตาคนอื่นอวตาร..
ทำผิดศีลทำง่ายเพราะหน้าด้าน..
ไม่เห็นมารในใจของตัวเอง..
การด้อยค่าพุทธะสัพพัญญู..
อวดว่ารู้ทั่วถึงจึงปากเก่ง..
ใจมืดบอดหลงตนไม่ยำเกรง..
เป็นนักเลงปากกล้าแต่ขาสั่น..
เจอคนจริงลบเม้นบ้างตีรวน..
บ้างก็ป่วนบ้างใช้อวตาร..
เจอมาเยอะคนเรียกว่าอาจารย์..
หิวแสงกันเพราะติดอวิชชา..
อวิชชา(หมายเลข4)
คนอยากดังอยากเด่นมีตัวตน!
ห่างมรรคผลยังกล้ามาสอนได้
แค่ลอกเลียนลีลากระชากใจ!
ทำไปได้ใครเชื่อถือเป็นกรรม!
ทำคลิปสอนอวดตนบรรลุแล้ว!
ไม่อายแมวกราบหมาช่างน่าขำ!
อิสระหรือสุดจึงลงต่ำ!
ไม่ต้องทำอะไรได้นิพพาน!
รู้ว่าคิดจบกิจแบบมักง่าย!
เที่ยวสอนใครตั้งตนเป็นอาจารย์!
ปรุงแต่งว่างด้วยคิดยังอีกนาน!
ไกลนิพพานของจริงไม่รู้ตัว!
ไม่รู้ทุกข์แล้วละอะไรได้!
ที่เข้าใจไม่เห็นจึงมืดมัว!
ยังโอ้อวดยังหลงยังหลุดรั่ว!
ใครตาถั่วไม่พ้นอวิชชา!
อวิชชา(หมายเลข5)
ปากยังพูดใจยังอยากไม่สิ้น!
ปากยังกินลิ้นยังอยากได้รส!
ปากยังกล้าชื่อยังอยากปรากฏ!
ปากยังอดห้ามอยากไม่ได้จริง!
เพราะตัวกูมีอยู่เป็นตัวตน!
เพราะตัวคนมีอยู่จึงไม่นิ่ง!
เพราะตัวอยากมีอยู่ไม่ได้ทิ้ง!
เพราะใจวิ่งอวดตนจึงคอมเม้นต์!
คิดธรรมะเข้าใจใช่ธรรมะ!
พิมพ์ธรรมะเพราะใจยังอยากเป็น!
สอนธรรมะทำไมไม่อยากเด่น!
ยังอยากเป็นไม่ถึงธรรมะจริง!
เด็กแก่แดดเช่นนี้มีเยอะแยะ!
เหมือนจับแพะชนแกะมาอ้างอิง!
ไร้สติรู้ตัวมั่วทุกสิ่ง!
รู้ไม่จริงไม่แจ้งอวิชชา!
อวิชชา(หมายเลข6)
อยากสอนคนสอนตนให้ได้ก่อน..
หากใจร้อนสอนคนบนความอยาก..
พาหลงผิดคิดผิดเชื่อผิดมาก..
ไม่ถูกหลักไม่ตรงหลงทางไป..
ปุถุชนนั้นมีมิจฉาอยู่..
ไม่อาจรู้ปรมัตถ์ธรรมได้..
พุทธทาสยอดปราชญ์ยังพลาดไป..
มีมากมายเอาว่างห่างนิพพาน..
ว่างของท่านนั้นใช่อย่างที่คิด..
ไม่เห็นจิตเพราะว่างก็จบกัน..
เริ่มต้นผิดไม่มีตัวตนนั้น..
จะรู้ทันตัวตนได้อย่างไร..
อ้างกาลามสูตรแล้วด้อยค่า..
หมิ่นตำราพระสูตรตัดพระไตรฯ..
อ้างพุทธะตัวตนตัวผีใหญ่..
ตัวนี้ไงตัวกูอวิชชา..
@@สติรักษาจิต-ฅ2ล
อ้าว..เจออีกแล้ว
ทำไม..จึงตามทุกคลิปคะ
ขออนุญาตตอบง่ายๆที่คนสามัญชนระดับเรา พอจะเห็นภาพได้ง่ายนะคับ
รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส และ ความรู้สึกทางใจ ที่เราได้รับโดย ผัสสะ(ทวารต่างๆ เช่น รูปก็จากตา รสก็จากลิ้น)
ลองปล่อยให้ รูปที่เห็น (เกิดจากแสงกระทบวัตถุแล้วสะท้อนเข้าเลนส์ตาเรา)
รส (ก็เกิดจากลิ้นที่ได้รับรสจากอาหาร) ลองปล่อยให้เป็น "แค่หน้าที่ตามปกติ ของอวัยวะ"(อายาตนะภายใน) โดยไม่เอา "ตัวเรา" เข้าไปเจือว่า เราเห็น เราได้รับรสเผ็ด (ส่วนข้ออื่นก็ตามหน้าที่ของระบบอวัยวะแต่ละส่วน) มันก็จะเป็นเพียงแค่ ปรากฏการณ์ตามธรรมชาติ ของเรื่องนั้นๆ มันก็จะไม่เกิดความ ชอบ หรือไม่ชอบ อร่อยหรือไม่อร่อย พอใจหรือไม่พอใจ และเมื่อลองทำบ่อยๆ สะสมบ่อยๆ ท่านจะเห็นว่า เมื่อไม่มี "ตัวเรา" ไปเป็นผู้รับแล้ว ความทุกข์ใจที่เกิดจากสิ่งเหล่านั้น เมื่อมีการมากระทบ ก็จะไม่เกิดขึ้น
ยกตัวอย่าง เวลาเราโดนด่า หรือโดนตำหนิ ส่วนมากจะไม่พอใจ จะโกรธ จะเสียใจ ทำให้เกิดเรื่องราวร้อนรุ่มตามมาอีกมากมาย แต่หากปล่อยให้มันเป็นเพียงแค่คลื่นเสียงที่ผ่านตัวกลางคืออากาศ มากระทบก้นหอยกระดูกอ่อนในหู แล้วแปลการสั่นสะเทือนของคลื่นเสียงนั้นสู่สมอง สมองรับรู้ได้ว่าได้ยินอะไร (ทุกอย่างทำงานตามหน้าที่ตามธรรมชาติของมัน หากอวัยวะส่วนนั้นไม่บกพร่องไป) แต่ไม่เอา "ตัวเรา" เข้าไปรองรับ อยากจะถามว่า เราจะโกรธ จะเสียใจ จะทะเลาะกันไหม มันก็หยุดอยู่แค่นั้น
ถ้ามองทุกอย่างเป็นสิ่งไม่เที่ยง ไม่น่ายึดถือว่าเป็นตัวเป็นตน เป็นเราเป็นเขา เป็นของๆเรา ของๆเขา มันก็จะไปตัดสายโซ่วงจรของการเกิดทุกข์โศกได้ไม่ว่าอะไรก็ตาม
เจริญสติให้มากๆ(ไม่ใช่แค่นั้นหลับตานะคับ) รู้อาการกายให้เชี่ยวชาญทีละนิด ยกมือรู้ตัว เกินรู้ตัว นั้งอยู่รู้ว่านั้ง กินรู้ว่ากิน หนาวรู้ว่าหนาว เผ็ดรู้ว่าเผ็ด และหากกำลังอ่านเม้นท์นี้ ก็รู้ว่าเห็นตัวหนังสือ นี้คือความ"รู้สึกตัว" ต่อไปแม้แต่
"นาม" คือความคิดที่ผุดมาในหัว ไม่ว่าจะคิดดีหรือไม่ดี คิดสุขหรือทุกข์ เหม่อหรือฟุ้งซ่าน เราก็จะรู้สึกตัวและมองเห็นมันว่าเป็นธรรมดา เมื่อเห็นมันทัน ว่าความคิดมันก็ทำหน้าที่ของมัน ไม่ใช่เรา เพราะหากใช้เรา เราต้องห้ามไม่ให้คิดเรื่องทุกข์ เลือกคิดแต่เรื่องสุขน่าพอใจได้ เมื่อเราเห็น เรารุ้ทัน มันก็จะไม่มีเชื้อให้เติบโต(ตัญหา อุปทาน) มันก็จะหดสั้น หรือดับไปได้เอง โดยไม่ต้องวุ่นวายเพื่อหยุดคิด จนเป็นความเครียด
สรุปง่ายๆคับ
ทุกอย่างไม่ควรยึดถือมั่น
ฝึกรู้สึกมีสติกับ สิ่งตรงหน้า ปัจจุบันขณะจริงๆ
แล้วเรื่องอื่นไปก็จะศึกษาได้ไม่ยากเลยคับ
@@ณรงค์ธรรมสุขสวัสดิ์ สวัสดีคับคุณลุง..ขออนุญาตถามคับ...แนวทางปฎิบัติเจริญสติ..แบบเคลื่อนไหว..หลวงปู่เทียน..ถุกต้องใช่ไหมคับ.ขอบพระคุณคับ
สุขนั้นคือเหตุแห่งทุกข์ปล่อยวางใด้จิตก็สงบ
ทำไมต้องเป็นทาสครับ ??
กฏของจักรวาลถูกเปิดเผย
ผิดทั้งหมดเลย.
ตรงไหนครับที่ท่านว่าผิด ช่วยเมตตาอธิบายข้อที่ถูกให้ฟังหน่อยครับ
เม้นโง่ๆ...ของคนโง่อวดรู้
ดูตำราดำน้ำไปแหนเต็มหัว
สาธุครับ