15 ธันวาคม ค.ศ. 2024

Поделиться
HTML-код
  • Опубликовано: 29 дек 2024
  • โยนิโสมนสิการไม่ใช่คิดเรื่อยเปื่อย ตามใจกิเลส
    ลงมือทำสติปัฏฐาน ในเบื้องต้นทำให้เกิดสติ พอมีสติแล้วศีล สมาธิ ปัญญาก็จะค่อยๆ แก่รอบขึ้น เราจะรู้ว่าเส้นทางที่ไปสู่ความบริสุทธิ์หลุดพ้น สุดท้ายหนีไม่พ้นเรื่องสติปัฏฐานหรอก สติปัฏฐานเป็นทางสายเอกเป็นทางสายเดียวเพื่อความบริสุทธิ์หลุดพ้น ฉะนั้นวัดที่ตัวเอง หลายคนบางทีเขียนจดหมายมา มาเล่าหลวงพ่อบอกว่าได้โสดาบันแล้ว บางคนบอกว่าเห็นจิตกับสภาพธรรมที่แวดล้อมอยู่เป็นสิ่งเดียวกันแล้ว มันเห็นด้วยกำลังสมาธิเป็นครั้งคราวหรอก เดี๋ยวก็ไม่เห็น มันยังไม่ใช่ของแท้
    ฉะนั้นต้องค่อยๆ สังเกตตัวเองให้ดี อย่าเข้าข้างตัวเอง แล้วเคล็ดลับสำคัญในการสังเกตจิตตนเอง ต้องดูจิตตนเองในภาวะปกติ อย่าไปทรงสมาธิอยู่ อย่างถ้าเราไปทรงฌานอยู่ แล้วเราบอกว่า เราไม่มีราคะแล้ว ไม่มีโทสะแล้ว ไม่มีกามราคะ ไม่มีโทสะ เป็นพระอนาคามีแล้ว ออกจากสมาธิมา อ้าว กิเลสกลับมาอีกแล้ว ราคะก็แรงยิ่งกว่าเก่า โทสะก็ยิ่งแรงยิ่งกว่าเก่าอีก พวกนั่งสมาธิหลุดออกมาจากสมาธิแล้ว กิเลสแรง กิเลสมันคิดดอกเบี้ย มันถูกเก็บกดอยู่ช่วงหนึ่ง มีโอกาสมันซัดเราหงายท้องเลย
    หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช
    วัดสวนสันติธรรม
    1 ธันวาคม 2567
    การจำแนกแจกธรรมของพระพุทธเจ้า ของพระอรหันต์ ของพ่อแม่ครูอาจารย์ มีนัยยะสำคัญเพื่อสอนเฉพาะบุคคล เฉพาะหมู่คณะ ที่สมควรแก่ธรรม ด้วยถึงวาระสามารถเห็นธรรมได้ เป็นบุคคลประเภทบัวพ้นน้ำ ท่านชี้ลงตรงประเด็นจึงกระจ่างแจ้งแก่ใจ
    หรือมีนัยยะสำคัญเพื่อให้เป็นแนวทางไว้สำหรับบัวปริ่มน้ำและบัวใต้น้ำ ผู้ยังไม่อาจพ้นโลกได้ในเวลานั้น ทำให้มีธรรมะแต่ละระดับเหมาะสมกับบุคคลแตกต่างกันไป หากเข้าใจอย่างนี้ได้ย่อมช่วยให้ใช้สัมปชัญญะได้ดี รู้ว่าคำสอนใดเป็นประโยชน์แก่ตน ทำอะไรแล้วเจริญในธรรม ไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร
    ในขณะที่คนจำนวนมากใช้ความฉลาดผิด เลือกเอาประโยคเด็ด วรรคทอง วลีฮิต มาตีความเพื่อเอาผลโดยไม่ทำเหตุอย่างถูกต้องเพียงพอ จับธรรมะสำหรับบุคคลประเภทบัวพ้นน้ำมาคิดมาทำ เกิดความปรุงแต่งต่างๆนานา จนเชื่อว่าบรรลุธรรมอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วนำประโยคเด็ด วรรคทอง วลีฮิต ของพระพุทธเจ้า ของพระอรหันต์ ของพ่อแม่ครูอาจารย์ มาสอนอย่างผิดๆ
    คำพูดที่เหมือนกันแต่ละผู้พูดย่อมแตกต่างกันไปตามภูมิจิตภูมิธรรม เช่น
    "ให้สักแต่ว่าเห็น สักแต่ว่าได้ยิน"
    "คิดเท่าไหร่ก็ไม่รู้ หยุดคิดถึงรู้ แต่ก็ต้องอาศัยคิด"
    "พบผู้รู้ให้ทำลายผู้รู้ พบจิตให้ทำลายจิต"
    การอธิบายให้ปุถุชนฟังแล้วเข้าใจนั้น มันเข้าใจไปอีกเรื่อง เข้าใจผิดไปคนละอย่าง พากันยึดถือความคิดเห็นตนว่าถูกกว่าใคร
    คนส่วนใหญ่มักจะพลาดกันเพราะยึดมั่นว่า "ไม่มี สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา" จึงไม่ระลึกรู้ว่าตัวตนมีอยู่ มันเป็นสิ่งที่ถูกรู้ มันเป็นตถตา
    *การรู้ว่ากำลังคิดนั้นเป็นเรื่องดี แต่ควรชี้ให้สังเกตด้วยว่า ผู้คิดนั้นเป็นใคร ผู้เห็นนั้นเป็นใคร
    ไม่ใช่พูดว่าไม่มีเรา ไม่มีตัวตน แล้วก็หลอกตัวเองอย่างที่เป็นกัน อันที่จริงความเป็นเรา ความเป็นตัวตน มันแนบแน่นอยู่ในมนุษย์ทุกคนเป็นปรกติ มันไม่ยากเกินที่จะมองเห็น แต่ทำเป็นไม่เห็นเพราะติดกับดักภาษา
    เริ่มต้นเป็นคนธรรมดาเสียก่อน (โกรธก็ได้ โลภก็ได้) เป็นตัวเองจริงๆเพื่อให้เห็นว่า
    1.มันมีความเป็นเราอยู่ไปตลอดการปฏิบัติจนกว่าจะพ้นปุถุชน
    2.มันมีความเป็นตัวตนอยู่ตั้งแต่โสดาบันไปจนถึงอนาคามี
    3.มันไม่มีความเป็นตัวตนด้วยพ้นจากการสนองตัวตนแห่ง กามวจรภูมิ, รูปาวจรภูมิ, อรูปาวจรภูมิ ซึ่งพระอรหันต์ท่านยังมีรูปกายและนามกายไปจนตาย
    จึงจะถึงบทสรุปของนิพพาน 2 แบบ
    1.สอุปาทิเสสนิพพาน คือ นิพพานแล้วสังสารวัฏยังไม่สิ้นสุด ยังมีการสืบทอดรูปและนาม
    2.อนุปาทิเสสนิพพาน คือ นิพพานแล้วสังสารวัฏสิ้นสุด ไม่มีการสืบทอดรูปและนาม
    การกล่าวว่า "ดับสิ้นตัวตน" มี 2 ความหมาย
    1.การสิ้นบทบาทที่จะเป็นอะไรหรือเพื่ออะไร
    2.การไม่เสพเมถุนของพระเถรวาทหรือการคุมกำเนิดของฆราวาส เพื่อความดับสิ้น
    ดังนั้นต้องมีโยนิโสมนสิการต่อบริบทอันแตกต่างกันอย่างที่สาธยายมาเพื่อตรวจสอบตัวเอง จนประจักษ์ได้ว่ามันไม่มีเราอย่างไร มันไม่มีตัวตนอย่างไร มันดับสิ้นตัวตนอย่างไร โดยผ่านกระบวนการเรียนรู้กายเรียนรู้ใจจนทะลุปรุโปร่ง

Комментарии •