Размер видео: 1280 X 720853 X 480640 X 360
Показать панель управления
Автовоспроизведение
Автоповтор
สาธุครับ🇹🇭🙇♂️🙇♂️🙇♂️💌
น้อมกราบอนุโมทนาสาธุสาธุสาธุค่ะ
สาธุธรรมครับ🙏🙏🙏
อนุโมทนาสาธุครับผม🙏🙏🙏
กราบสาธุครับ
กราบสาธุค่ะ❤
กราบพระอาจารย์ครับ🎉🎉🎉😊😊😊😊😊
สาธุ สาธุ สาธุ ครับ พระอาจารย์
😇 สาธุเจ้าค่ะ 🌼🙏
อนุโมทนาสาธุครับ
กราบสาธุ สาธุ สาธุ
สาธุครับ
กราบอนุโมทนาสาธุสาธุค่ะพระอาจารย์
สาธุ พระธรรมคำสอนของตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า นำสัตว์ให้ก้าวไปสู่ความเจริญ
🙏🙏🙏
กราบสาธุพระอาจารย์ค่ะ
สาธุ ครับ
รัก-ศรัทธา ทั้งพระพุทธเจ้า และพระเจ้า
สาธุค่ะ
สาธุ
กราบนมัสการค่ะ❤❤❤❤❤❤❤❤❤
กราบอนุโมทนาสาธุครับ🙏🙏
❤❤❤
สาธุค่ะ🙏🙏🙏
น้อมกราบพระอาจารย์สาธุในพระธรรมครับสาธุๆๆ
อินทรีย์ คือ วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญาวิริยะ คือ ความเพียรสติ คือ ความรู้ตัวสมาธิ คือ ความตั้งมั่นปัญญา คือ ความรู้แจ้งปัญญาคือทางของการหลุดพ้น แล้วจะสร้างปัญญาได้อย่างไร?***ปัญญาจะเกิดได้เมื่อมีสติ คือการรับรู้ทั่วพร้อม และการรู้นั้นจะต้องรู้ตั้งแต่เริ่ม ต่อเนื่องไปจนจบในสาย รู้นั้นมาจากไหน?***รู้นั้นเกิดจากผัสสะที่มากระทบ รู้เกิดขึ้นอยู่ตลอด ไม่สามารถควบคุมได้ ผัสสะไหนมีกำลังมาก รู้จะปรากฏ รู้ที่กำลังน้อยกว่าจะไม่ปรากฏแล้วจะทำให้รู้ทั่วตั้งแต่เหตุจนถึงผล ตลอดสายได้อย่างไร?***จะต้องมีความตั้งมั่น ในรู้นั้น ไม่เปลี่ยนเป็นรู้อื่นมาแทรกแซงระหว่างการรู้นั้นทำอย่างไรให้รู้นั้นที่ปรากฏ ยังคงอยู่ตลอดสายไม่โดนแทรกแซงจากรู้อื่น?***ก็ด้วยการมีสมาธิสมาธิจะเกิดขึ้นมาได้อย่างไร?***ก็ด้วยความเคยชิน จากพฤติกรรมที่ทำมาต่อเนื่อง หรือ คือการฝึกเราจะฝึกสมาธิได้อย่างไร?***ก็ด้วยการปิดช่องทางการรับรู้ทั้งหลาย เท่าที่จะทำได้ ปิดการกระทบของผัสสะที่เราไม่ต้องการจะรู้ ฝึกสมาธิด้วยการเปิดการรับรู้ทั้งหมดได้หรือไม่?***ย่อมได้ แต่ควรฝึกด้วยสิ่งที่ง่ายกว่าเสียก่อน แล้วค่อยเพิ่มลำดับความยากสิ่งใดเล่าเป็น ปัจจัยสำคัญในการฝึก?***สิ่งนั้นคือความเพียรปล.สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งการันตีว่า ฝึกมาดี ทำได้ดี แล้วจะหลุดพ้น หากแต่เป็นเพียงแต่เครื่องมือเบื้องต้นที่พระพุทธองค์ทิ้งไว้ให้ เพื่อใช้ในการศึกษาธรรมมะทั้งหลายที่พระองค์ได้กล่าวออกมา หากไม่มีเครื่องมือนี้ ไม่มีทางรู้สัจธรรมของพระองค์ได้เลย รับได้แค่สัญญาที่เป็นคำสมมุติ
เราคือสัต ที่มายึดติดยึดมันในขันธ์ทั้ง5 จนสัตคิดไปว่าสภาวะนี้คือตัวเรา และเพลินไปกับ รูป เวทนา สัญา สังขาร วิณญาณ พอสัตได้รู้ว่า ที่ยืดอยู่มันไม่เที่ยง เกิดขึ้นแล้วจะดับ ไม่ได้คงตัวอยู่ แต่เพราะกระบวนการของ ของการรู้ มันไวมากๆ มันจึงมองไม่ทัน เลยไม่เคยรู้ว่ามันเกิดขึ้นแล้วดับไปตลอดทุกการรู้ การทำสมาธิ ทำให้จิตตั้งมั่น แล้วเฝ้าดูการมาการไป ดูปฎิกิริยา ของการรับรู้ บวกกับการได้ยินได้ฟัง จากพระพุทธเจ้าว่า จริงๆเเล้วการรู้กำลังเกิด แล้วดับ อยู่ ทำให้สัต เจ้าใจความจริงที่ถูกต้องนี้ซะก่อน แล้วก็เพียรทำสมาธิ ต่อไปเรื่อยๆ เก็นการเกิดดับต่อไปเรื่อง สัตก็จะเกิดความเบื่อหน่าย ในความไม่เที่ยงแท้นี้ จนเกิดปัญญาว่ามันไม่ใช่ของเราจริงๆ เลิกผูกยึด ปล่อยวางขันธ์5นี้ซะ หลุดออก แยกตัวออกจากขันธ์5 คือถึงการหลุดพ้นแล้ว อันนี้ผมเข้าใจถูกไหมครับ ผมขอเปรียบเหมือน เวลาตอนเด็กเราเกิดมาไม่รู้จักการตาย พอเราผ่านเวลามาเจอประสบการการตายของผู้คน ยาติ เพื่อน คนอื่นๆเราก็เกิดปัญญาขึ้งเองเลยว่า เราต้องตาย ทุกคก่อนหน้านี้ก็ตาย หลังจากนี้ที่เกิดก็จะต้องตาย เราจึงเข้าใจถึงความไม่จริงนี้ได้ แล้วเราจะปล่อยมันได้ นี่คือปัญญาที่พระพุทธเจ้าอยากให้เกิดขึ้นแก่สัต สติ สมาธิ เป็นแค่วิธีที่จะทำให้เราเห็นถึงการเกิดตายในจิตเรา ไม่มีวิธีอื่น ส่วนจะต้องเห็นเกิดตายมากแค่ไหนถึงเกิดปัญญา ก็แล้วแต่คน ผมเข้าใจแบบนี้ตรงทางไหมครับ
@@maxmay6531 ขันธ์ทั้ง 5 แยกจากกันไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆกัน เกิดแล้วก็ดับไป มีสิ่งสมมุติที่ให้ชื่อว่าสัต ที่เป็นตัวทำหน้าที่เป็นกาวยึดโยงขันธ์ทั้ง 5 ให้เหมือนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน สัต อาศัยปัจจัยทางความเคยชินในการเลือกว่าจะเอาวิญญาณนี้ผสมสัญญานั้น สัญญาที่มีมากมายเอามาตัดแป๊ะผสมปนเป ไม่ตรงตามความเป็นจริงเรียกการปรุงหรือว่าสังขาร ต่อมา เวทนา ก็จะเกิดไปตามที่สัตเลือก จะบอกว่าผลลัพธ์ของการปรุงก็ไม่ใช่ เพราะ สัตได้เลือกเวทนามาตั้งแต่ต้นแล้ว สุดท้าย ก็จะส่งผลให้เกิดพฤติกรรมออกมา เช่นพูด หรือ การใช้รูปหรือร่างกายทำอะไรสักอย่าง ผมจะยกตัวอย่างไม่เห็นตามความเป็นจริงคืออะไร ถ้ามีความโกรธหมาที่นอนหน้าประตู 7-11 จะน่ารำคาญ ขวางหู ขวางตา ไม่พอใจหมา ถ้ารู้สึกรักหมาตัวนี้ น่ารัก น่าเอ็นดู รู้จักปรับตัว ถ้าเมตตา หมาตัวนี้ช่างหน้าสงสารปล้วก็ บลาๆๆ ปรุงไปแต่ความจริงปรากฏมีแค่หมานอนหน้าประตู 7-11 (นี่คือสมมุติ ไม่สามารถบอกต่อกันได้ ถ้าเคยรู้ก็จะตามทัน ถ้าไม่เคยรู้ก็จะไม่เข้าใจ) ต่อมา เรื่องเด็ก ทำใมตอนเด็กเราถึง มีความสุขหรือ มีความทุกข์มากกว่าตอนโต ขอให้คุณดูตัวเอง ในแต่ละนาทีที่ผ่านไป การยึดถือเราจะเพิ่มขึ้นตลอดเวลา นั่นหมายความว่า เรามีตัวมีตนมากขึ้นตามเวลาและเหตุปัจจัย ยกเว้นคนที่ สร้างกรรมมาดี คือมีโอกาศได้ฟังคำตถาคต อย่างน้อยการเพิ่มขึ้นของการยึดก็โดนชะลอไประดับนึง ขอให้สังเกตุว่า 1 วันเรามีตัวตนกี่ชั่วโมง ความจริงคือเราไม่ได้มีตัวตนตลอดเวลา ยิ่งอายุมากขึ้น ระยะเวลาของตัวตนจะเยอะขึ้นตามลำดับ เรามีตัวตนได้ยังไง เรามีตัวตนก็ตอนที่เราสงสัย คือเราไม่รู้ที่มาและไม่รู้ที่ไปของการรู้นั้น รู้ที่เกิดจากผัสสะ ถ้าทุกอย่างปกติการรู้นั้นจะหายไป เช่น เราเข้ามาในห้องแล้วได้กลิ่นหอมมากก หายความว่าสัต กำลังสงสัย ว่ามันคืออะไร เมื่อสัตอยู่กับมันนานพอ สัตจะรู้แจ้งว่ามันเป็นอย่างนั้นแหละ มันเป็นธรรมดา ไม่ได้ผิดปกติ กลิ่นจะหายไป แต่กลิ่นทางโลกไม่ได้หายไปจริงๆ ก็ยังคงส่งกลิ่นเข้าจมูก เพียงแต่สัต ไม่สงสัยลังเลแล้ว สัตจึงปล่อยวาง เสียงที่สัต ได้ยินตลอดคือเสียงความถี่สูงเหมือนไฟช็อต เสียงนั้นไม่ปรากฏแก่คนทั่วไปเพราะสัตได้ยินมาตั้งแต่เกิด จึงเป็นความธรรมดา ยกเว้นว่าสัต ไม่รู้ ไม่เห็นอะไรเลย ทุกอย่างนิ่ง สัตก็จะได้เย็นเสียงนั้นอีกครั้ง การสงสัย ความไม่รู้ของสัต ไม่ใช่ไม่รู้ในจิตสำนึกของเรานะครับ(สมมุติเราเพื่อง่ายต่อการอธิบาย) ชีวิตคนเราแต่ละวันเจออะไรมากมาย โอกาศยากที่จะรู้ได้ เหมือนลิงที่กระโดดไปมา ยากที่จะมาดูความจริงปรากฏนั้นๆ แม้นเป็นการเห็นถ้าเห็นนั้นไม่เปลี่ยนแปลง เห็นนั้นก็จะหายไปเช่นกัน บางคนไม่เข้าใจแต่รู้ว่ามีสิ่งนี้ก็สมมุติสิ่งนี้ว่านั่งใจลอย ก็คือมองแต่ไม่เห็น ถ้าคุณอมรสหวานได้นานพอ รสชาตินั้นก็จะไม่ปรากฏเหมือนกัน มาถึงตรงนี้เราก็จะเริ่มรู้แล้วว่า ทั้งการเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น รสชาติ ความรู้สึก ล้วนแต่ไม่ใช่ความจริง สัต ได้สร้างมันขึ้นมาเพื่อจะทำลายความสงสัย แต่ละวันมันก็ปรุงวนไปเรื่อยๆ
@@maxmay6531 จุดที่สำคัญคือการดูลม ถ้าเปรียบการรู้ลมหายใจและไม่รู้ลมหายใจ ลองดูว่าอะไรเหนื่อยกว่า แน่นอนรู้ลมมันเหนื่อย เพราะคิดว่าตัวเองควบคุมลมหายใจ พยายามแย่งยื้อ พยายามต่อต้านกันไป พอรู้แล้ว มันจะยึดว่ามันกำลังหายใจ มีตัวตนปรากฏ บางคนดูนานๆทรมานแต่ก็ยังไม่รู้ เพราะปัญญายังสะสมไม่พอ เมื่อรู้ลมหายใจเกิดขึ้น จะไม่รู้ก็ไม่ได้แล้ว เพราะรู้ปรากฏแล้ว ก็จะต้องรู้และแข่งกันหายใจ(ความจริงไม่มีใครแข่งกับใคร เราแค่ไปเห็นสัตหายใจและกำลังสร้างตัวตนเกิดความติดข้อง สำคัญตนผิด ทั้งที่จริงจะรู้หรือไม่ การหายใจก็ยังคงมีอยู่ดี) จนกว่าจะมีสิ่งผิดปกติอื่นเข้ามากระทบที่มีกำลังมากกว่ารู้ลมหายใจ หรือ ทะลุเข้าชาญไปเลยซึ่งเป็นเรื่องเสียเวลา คุณจะไม่ได้อะไรในชาญนอกจากความว่างเปล่า แต่ถ้าคุณไม่ท้อดูลมไปเรื่อยๆ สัตจะเลิกยึด แม้ในขณะนั้นเรายังรู้ลมหายใจอยู่ แต่มันเบา นั่นคือการฝึกปลดปล่อยตัวตน เมื่อเห็นแล้วมีความเข้าใจแล้ว ก็จะเริ่มปล่อยขันธ์อื่นๆตามลำดับ สร้างมามากก็ต้องทำลายมาก สร้างน้อยก็ทำลายน้อย ตรงนี้ไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร มันรู้ได้เฉพาะตนต้องประสบเองจริงๆ ถึงจะรู้ได้ คำสมมุติ มันยากเกินกว่าอธิบายสิ่งพวกนี้ ต้องเร่งพยายามกำจัดความไม่รู้นี้เสียให้หมด ไม่ใช่รู้แบบจำได้นะ อันนั้นสัญญา ถ้าคิดตามได้นั่นปัญญา แต่ต้องถึงขั้นสัตไม่สงสัย ถึงจะเรียกว่าฝึก้าวหน้า ท่องไว้ว่าเรามาจากกรรม เหมือนสายน้ำที่ไหลไปตามทาง ปล่อยวาง อย่าขัดขืน มันไม่มีประโยชน์ สุดท้าย ผมจะอปุมา เหมือนเรากำลังนั่งรถไฟเหาะ เราได้เห็นจริง ได้ยินจริง สนุกจริง เสียวจริง กลัวจริง เศร้าจริง รถไฟนี้แค่วิ่งไปตามราง รางที่มีความอ่อนไหว มีอะไรมากระทบมันก็จะเลี้ยวเบน ตีงอได้ง่ายๆ บางครั้งเรากลัวถึงขนาดพยายามดึงรถให้ไปทางอื่น แต่มันเป็นไปไม่ได้ กลัวที่เข้ามา เดี๋ยวผ่านก็ผ่านไป ทุกๆอย่างที่เกิดขึ้นมันจะผ่านไป เรายอมรับต่อความจริงว่าเราไม่ได้บังคับบัญชาอะไรได้ เดี๋ยวมันเร็ว เดี๋ยวมันช้า เดี๋ยวทางตรง เดี๋ยวทางเลี้ยว กรรมเราก็คือรางเส้นนั้น ความจริงของรถไฟนี้ มันวิ่งลงล่าง จะทำดีแค่ไหน มันก็จะไหลลงสู่หุบเหว แค่ยอมรับความจริงแล้วออกจากรถไฟนั้นก็พอ อย่ามัวหลงเพลินสนุกกับมันอยู่เลย กลับไปสู่ความปกติกันเถอะ ความเบื่อหน่าย ความว่างเปล่า นั่นล่ะ คือที่ไปของคนที่ไม่อยากลงล่าง เราไม่เคยมองตัวเองกันเลยว่าหลงไหลในอารมณ์นั้นแค่ไหน ตามเสพ จนเสพติด สุดท้ายก็หลง แรกๆคิดว่าลองดู นานเข้าอินจนลืมทางกลับ ไม่ชอบกลัวก็สันหาแต่เรื่องผีมาฟัง ไม่ชอบเศร้า ชีวิตนี้ไม่มีปัจจัยให้เศร้าเลยก็ไปเอาหนังดราม่ามาดู หนังบู๊ชอบจริงๆกับความโกรธ เราถวินหาอารมณ์ทุกอย่างตลอดเวลา เราชอบมันทุกอารมณ์นั่นแหละเราแค่ไม่รู้ เพียงแต่เราไม่ชอบที่มันจะหนักไปอารมณ์ใดอารมนึงเกินไป เศร้ามากๆ ชีวิตมีแต่เศร้า ไม่มีอย่างอื่นมาปนเลย ก็ชิงฆ่าตัวตาย ดูซิ หลงกันไปได้ไงขนาดนั้น ไม่รู้เลยว่าเขาได้เอาจิตที่ยึดมั่นขั้นสุดไปด้วย บางคนอินในชีวิตที่ไม่มีจริงแล้ว ยังไปอินว่าสิ่งอื่นเป็นตัวเองอีก ถ้าเศร้าก็อยู่เฉยๆดูเศร้าให้ดีซิมันคืออะไร มันว่างเปล่า มันไม่มีอะไรเลย ดูให้รู้กันไป แค่อดทนดูให้จนสัตปล่อยตัวตนให้ได้ก็พอ ไม่ว่ามีอะไรมากระทบให้อดทนดูให้จบ ดูให้รู้ บางคนถอดใจกลางทาง ไกล้จะถึงอยู่แล้ว กลายเป็นไม่ได้อะไรแถม ทำให้ความมั่นใจในตถาคตลดลงด้วย บางคนดูจนหลับ บางคนไปเข้าชาญซะ ติดอยู่แต่ในชาญ ไอ้ความซาบซ่า วูบวาบ เบาหวิวนั่นแหละระวังเถอะ ตัวดีที่ทำให้เพลินเลย คนที่เขาเข้าไป คือเขาละได้แล้ว เขาวางหมดแล้ว เขารอการตายแล้วไม่กลับมาอีกแล้ว
@@maxmay6531 ปล.จะไม่มีคนที่อยู่กลางๆ มีแค่คนที่รอดคือนิพพาน ที่เหลือจะไหลไปกองรวมกันหมด ชาตินี้ไม่ได้อย่างน้อยก็ปล่อยออกมากขึ้น การเหลือสิ่งยึดถือน้อย เวลาไปหาที่จุติที่เกิดมันก็ไปตามที่ชอบ ยึดน้อยมากๆก็ไปลอยเคว้งอยู่เป็นพรหม ยึดหนักๆเจออะไรก็เอาหมด อะไรก็แล้วแต่เป็นตัวกูได้หมด กึ้งกือก็เอา เรื่องหลังความตายไม่ควรพูดมากไปกว่านี้ คนหลงผิดก็ติดบาปเปล่าๆ ยิ่งพาเข้าใจผิดไปกันใหญ่ มันไม่มีคำสมมุติที่เอามาใช้ให้ไกล้เคียงได้เลยนอกจากเห็นเอง ถ้าคุณอ่านแล้วพิจารณาตาม และสำคัญสุดตามรู้ทุกอย่างให้มากที่สุด แต่รู้ทีละอย่าง รู้จนละได้ อาการคุณเบา แม้เจ็บคุณจะรู้ว่านั่นคือเจ็บ แต่ความไม่พอใจจะไม่ปรากฏ นั่นคือมาถูกทางแล้ว ให้ทำจนสิ่นั้นกลายเป็นความปกติ รู้ผิดและการปรุงแต่งจะไม่มาเกิดอีกค่อยๆฝึกไปทีละขันธ์ ซื้อยาแก้ปวดสีเขียวเม็ดใหญ่ๆรอไว้ได้เลย ถ้าคุณยังคงต้องใช้ชีวิตทำงาน เพราะมันจะปวดหัวสุดๆ ติดต่อกันเป็นปี แต่มาเป็นช่วงๆ พอปวดหัวเสร็จ ไม่เกิน 24 ชม. คุณจะรู้อะไรที่แปลกๆ ที่รู้ได้เฉพาะตน อธิบายคนอื่นไม่ได้ รู้แค่ว่ารู้แล้ว เป็นรู้ที่ไม่ใช่สาระของการหลุดพ้น แต่ถ้าคุณไม่ได้ทำงานก็สามารถอยู่นั่งๆดูการปวดนั้นจนหายไปเลย ถ้าคุณอ่านจบแล้วช่วยบอกผมหน่อยนะ ผมจะได้ลบออก หรือถ้าเกิน 24 ชม ผมก็ต้องลบอยู่ดี
@@maxmay6531ขอโทษครับ ผมพิมพ์ความจริงไปราว 1 หน้ากระดาษ A4 คุณได้เห็นมั๊ยครับ
ນ້ອມກາບສາທຸ
ตั้งชื่อหัวข้อสั้นไปนิด เดี๋ยวคนจะเข้าใจว่า พระอาจารย์ท่านสอนไปแนวรักในพระเจ้าแล้วไปสู่สวรรค์ เพราะไม่ใช่จะมีเพียงแค่บุญส่งผลได้อย่างเดียว บาปก็ส่งได้ ถ้ารักศรัทธา พระพุทธเจ้า แต่เผลอไปทำบาป อย่างพระนางมัลลิกาผู้ถวายอสทิสทาน แต่พลาดไปผิดศีลข้อ3 ก็ไปอบายก่อนได้ไปสวรรค์นะครับ
คิดว่า ไม่มีบอกนะครับ ว่าพระนางมัลลิกา ไปนรก
น้อมกราบอนุโมทนาสาธุค่ะ
กราบสาธุค่ะ
สาธุสาธุค่ะ🙏🙏🪷🪷🪷
สาธุครับ🇹🇭🙇♂️🙇♂️🙇♂️💌
น้อมกราบอนุโมทนาสาธุสาธุสาธุค่ะ
สาธุธรรมครับ🙏🙏🙏
อนุโมทนาสาธุครับผม🙏🙏🙏
กราบสาธุครับ
กราบสาธุค่ะ❤
กราบพระอาจารย์ครับ🎉🎉🎉😊😊😊😊😊
สาธุ สาธุ สาธุ ครับ พระอาจารย์
😇 สาธุเจ้าค่ะ 🌼
🙏
อนุโมทนาสาธุครับ
กราบสาธุ สาธุ สาธุ
สาธุครับ
กราบอนุโมทนาสาธุสาธุค่ะพระอาจารย์
สาธุ พระธรรมคำสอนของตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า นำสัตว์ให้ก้าวไปสู่ความเจริญ
🙏🙏🙏
กราบสาธุพระอาจารย์ค่ะ
สาธุ ครับ
รัก-ศรัทธา ทั้งพระพุทธเจ้า และพระเจ้า
สาธุค่ะ
สาธุ
กราบนมัสการค่ะ❤❤❤❤❤❤❤❤❤
กราบอนุโมทนาสาธุครับ🙏🙏
❤❤❤
สาธุค่ะ🙏🙏🙏
น้อมกราบพระอาจารย์สาธุในพระธรรมครับสาธุๆๆ
อินทรีย์ คือ วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา
วิริยะ คือ ความเพียร
สติ คือ ความรู้ตัว
สมาธิ คือ ความตั้งมั่น
ปัญญา คือ ความรู้แจ้ง
ปัญญาคือทางของการหลุดพ้น แล้วจะสร้างปัญญาได้อย่างไร?
***ปัญญาจะเกิดได้เมื่อมีสติ คือการรับรู้ทั่วพร้อม และการรู้นั้นจะต้องรู้ตั้งแต่เริ่ม ต่อเนื่องไปจนจบในสาย
รู้นั้นมาจากไหน?
***รู้นั้นเกิดจากผัสสะที่มากระทบ รู้เกิดขึ้นอยู่ตลอด ไม่สามารถควบคุมได้ ผัสสะไหนมีกำลังมาก รู้จะปรากฏ รู้ที่กำลังน้อยกว่าจะไม่ปรากฏ
แล้วจะทำให้รู้ทั่วตั้งแต่เหตุจนถึงผล ตลอดสายได้อย่างไร?
***จะต้องมีความตั้งมั่น ในรู้นั้น ไม่เปลี่ยนเป็นรู้อื่นมาแทรกแซงระหว่างการรู้นั้น
ทำอย่างไรให้รู้นั้นที่ปรากฏ ยังคงอยู่ตลอดสายไม่โดนแทรกแซงจากรู้อื่น?
***ก็ด้วยการมีสมาธิ
สมาธิจะเกิดขึ้นมาได้อย่างไร?
***ก็ด้วยความเคยชิน จากพฤติกรรมที่ทำมาต่อเนื่อง หรือ คือการฝึก
เราจะฝึกสมาธิได้อย่างไร?
***ก็ด้วยการปิดช่องทางการรับรู้ทั้งหลาย เท่าที่จะทำได้ ปิดการกระทบของผัสสะที่เราไม่ต้องการจะรู้
ฝึกสมาธิด้วยการเปิดการรับรู้ทั้งหมดได้หรือไม่?
***ย่อมได้ แต่ควรฝึกด้วยสิ่งที่ง่ายกว่าเสียก่อน แล้วค่อยเพิ่มลำดับความยาก
สิ่งใดเล่าเป็น ปัจจัยสำคัญในการฝึก?
***สิ่งนั้นคือความเพียร
ปล.สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งการันตีว่า ฝึกมาดี ทำได้ดี แล้วจะหลุดพ้น หากแต่เป็นเพียงแต่เครื่องมือเบื้องต้นที่พระพุทธองค์ทิ้งไว้ให้ เพื่อใช้ในการศึกษาธรรมมะทั้งหลายที่พระองค์ได้กล่าวออกมา หากไม่มีเครื่องมือนี้ ไม่มีทางรู้สัจธรรมของพระองค์ได้เลย รับได้แค่สัญญาที่เป็นคำสมมุติ
เราคือสัต ที่มายึดติดยึดมันในขันธ์ทั้ง5 จนสัตคิดไปว่าสภาวะนี้คือตัวเรา และเพลินไปกับ รูป เวทนา สัญา สังขาร วิณญาณ พอสัตได้รู้ว่า ที่ยืดอยู่มันไม่เที่ยง เกิดขึ้นแล้วจะดับ ไม่ได้คงตัวอยู่ แต่เพราะกระบวนการของ ของการรู้ มันไวมากๆ มันจึงมองไม่ทัน เลยไม่เคยรู้ว่ามันเกิดขึ้นแล้วดับไปตลอดทุกการรู้ การทำสมาธิ ทำให้จิตตั้งมั่น แล้วเฝ้าดูการมาการไป ดูปฎิกิริยา ของการรับรู้ บวกกับการได้ยินได้ฟัง จากพระพุทธเจ้าว่า จริงๆเเล้วการรู้กำลังเกิด แล้วดับ อยู่ ทำให้สัต เจ้าใจความจริงที่ถูกต้องนี้ซะก่อน แล้วก็เพียรทำสมาธิ ต่อไปเรื่อยๆ เก็นการเกิดดับต่อไปเรื่อง สัตก็จะเกิดความเบื่อหน่าย ในความไม่เที่ยงแท้นี้ จนเกิดปัญญาว่ามันไม่ใช่ของเราจริงๆ เลิกผูกยึด ปล่อยวางขันธ์5นี้ซะ หลุดออก แยกตัวออกจากขันธ์5 คือถึงการหลุดพ้นแล้ว อันนี้ผมเข้าใจถูกไหมครับ ผมขอเปรียบเหมือน เวลาตอนเด็กเราเกิดมาไม่รู้จักการตาย พอเราผ่านเวลามาเจอประสบการการตายของผู้คน ยาติ เพื่อน คนอื่นๆเราก็เกิดปัญญาขึ้งเองเลยว่า เราต้องตาย ทุกคก่อนหน้านี้ก็ตาย หลังจากนี้ที่เกิดก็จะต้องตาย เราจึงเข้าใจถึงความไม่จริงนี้ได้ แล้วเราจะปล่อยมันได้ นี่คือปัญญาที่พระพุทธเจ้าอยากให้เกิดขึ้นแก่สัต สติ สมาธิ เป็นแค่วิธีที่จะทำให้เราเห็นถึงการเกิดตายในจิตเรา ไม่มีวิธีอื่น ส่วนจะต้องเห็นเกิดตายมากแค่ไหนถึงเกิดปัญญา ก็แล้วแต่คน ผมเข้าใจแบบนี้ตรงทางไหมครับ
@@maxmay6531 ขันธ์ทั้ง 5 แยกจากกันไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆกัน เกิดแล้วก็ดับไป มีสิ่งสมมุติที่ให้ชื่อว่าสัต ที่เป็นตัวทำหน้าที่เป็นกาวยึดโยงขันธ์ทั้ง 5 ให้เหมือนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน สัต อาศัยปัจจัยทางความเคยชินในการเลือกว่าจะเอาวิญญาณนี้ผสมสัญญานั้น สัญญาที่มีมากมายเอามาตัดแป๊ะผสมปนเป ไม่ตรงตามความเป็นจริงเรียกการปรุงหรือว่าสังขาร ต่อมา เวทนา ก็จะเกิดไปตามที่สัตเลือก จะบอกว่าผลลัพธ์ของการปรุงก็ไม่ใช่ เพราะ สัตได้เลือกเวทนามาตั้งแต่ต้นแล้ว สุดท้าย ก็จะส่งผลให้เกิดพฤติกรรมออกมา เช่นพูด หรือ การใช้รูปหรือร่างกายทำอะไรสักอย่าง
ผมจะยกตัวอย่างไม่เห็นตามความเป็นจริงคืออะไร ถ้ามีความโกรธหมาที่นอนหน้าประตู 7-11 จะน่ารำคาญ ขวางหู ขวางตา ไม่พอใจหมา ถ้ารู้สึกรักหมาตัวนี้ น่ารัก น่าเอ็นดู รู้จักปรับตัว ถ้าเมตตา หมาตัวนี้ช่างหน้าสงสารปล้วก็ บลาๆๆ ปรุงไป
แต่ความจริงปรากฏมีแค่หมานอนหน้าประตู 7-11 (นี่คือสมมุติ ไม่สามารถบอกต่อกันได้ ถ้าเคยรู้ก็จะตามทัน ถ้าไม่เคยรู้ก็จะไม่เข้าใจ)
ต่อมา เรื่องเด็ก ทำใมตอนเด็กเราถึง มีความสุขหรือ มีความทุกข์มากกว่าตอนโต ขอให้คุณดูตัวเอง ในแต่ละนาทีที่ผ่านไป การยึดถือเราจะเพิ่มขึ้นตลอดเวลา นั่นหมายความว่า เรามีตัวมีตนมากขึ้นตามเวลาและเหตุปัจจัย ยกเว้นคนที่ สร้างกรรมมาดี คือมีโอกาศได้ฟังคำตถาคต อย่างน้อยการเพิ่มขึ้นของการยึดก็โดนชะลอไประดับนึง ขอให้สังเกตุว่า 1 วันเรามีตัวตนกี่ชั่วโมง ความจริงคือเราไม่ได้มีตัวตนตลอดเวลา ยิ่งอายุมากขึ้น ระยะเวลาของตัวตนจะเยอะขึ้นตามลำดับ
เรามีตัวตนได้ยังไง เรามีตัวตนก็ตอนที่เราสงสัย คือเราไม่รู้ที่มาและไม่รู้ที่ไปของการรู้นั้น รู้ที่เกิดจากผัสสะ ถ้าทุกอย่างปกติการรู้นั้นจะหายไป เช่น เราเข้ามาในห้องแล้วได้กลิ่นหอมมากก หายความว่าสัต กำลังสงสัย ว่ามันคืออะไร เมื่อสัตอยู่กับมันนานพอ สัตจะรู้แจ้งว่ามันเป็นอย่างนั้นแหละ มันเป็นธรรมดา ไม่ได้ผิดปกติ กลิ่นจะหายไป แต่กลิ่นทางโลกไม่ได้หายไปจริงๆ ก็ยังคงส่งกลิ่นเข้าจมูก เพียงแต่สัต ไม่สงสัยลังเลแล้ว สัตจึงปล่อยวาง เสียงที่สัต ได้ยินตลอดคือเสียงความถี่สูงเหมือนไฟช็อต เสียงนั้นไม่ปรากฏแก่คนทั่วไปเพราะสัตได้ยินมาตั้งแต่เกิด จึงเป็นความธรรมดา ยกเว้นว่าสัต ไม่รู้ ไม่เห็นอะไรเลย ทุกอย่างนิ่ง สัตก็จะได้เย็นเสียงนั้นอีกครั้ง การสงสัย ความไม่รู้ของสัต ไม่ใช่ไม่รู้ในจิตสำนึกของเรานะครับ(สมมุติเราเพื่อง่ายต่อการอธิบาย) ชีวิตคนเราแต่ละวันเจออะไรมากมาย โอกาศยากที่จะรู้ได้ เหมือนลิงที่กระโดดไปมา ยากที่จะมาดูความจริงปรากฏนั้นๆ แม้นเป็นการเห็นถ้าเห็นนั้นไม่เปลี่ยนแปลง เห็นนั้นก็จะหายไปเช่นกัน บางคนไม่เข้าใจแต่รู้ว่ามีสิ่งนี้ก็สมมุติสิ่งนี้ว่านั่งใจลอย ก็คือมองแต่ไม่เห็น ถ้าคุณอมรสหวานได้นานพอ รสชาตินั้นก็จะไม่ปรากฏเหมือนกัน มาถึงตรงนี้เราก็จะเริ่มรู้แล้วว่า ทั้งการเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น รสชาติ ความรู้สึก ล้วนแต่ไม่ใช่ความจริง สัต ได้สร้างมันขึ้นมาเพื่อจะทำลายความสงสัย แต่ละวันมันก็ปรุงวนไปเรื่อยๆ
@@maxmay6531 จุดที่สำคัญคือการดูลม ถ้าเปรียบการรู้ลมหายใจและไม่รู้ลมหายใจ ลองดูว่าอะไรเหนื่อยกว่า แน่นอนรู้ลมมันเหนื่อย เพราะคิดว่าตัวเองควบคุมลมหายใจ พยายามแย่งยื้อ พยายามต่อต้านกันไป พอรู้แล้ว มันจะยึดว่ามันกำลังหายใจ มีตัวตนปรากฏ บางคนดูนานๆทรมานแต่ก็ยังไม่รู้ เพราะปัญญายังสะสมไม่พอ เมื่อรู้ลมหายใจเกิดขึ้น จะไม่รู้ก็ไม่ได้แล้ว เพราะรู้ปรากฏแล้ว ก็จะต้องรู้และแข่งกันหายใจ(ความจริงไม่มีใครแข่งกับใคร เราแค่ไปเห็นสัตหายใจและกำลังสร้างตัวตนเกิดความติดข้อง สำคัญตนผิด ทั้งที่จริงจะรู้หรือไม่ การหายใจก็ยังคงมีอยู่ดี) จนกว่าจะมีสิ่งผิดปกติอื่นเข้ามากระทบที่มีกำลังมากกว่ารู้ลมหายใจ หรือ ทะลุเข้าชาญไปเลยซึ่งเป็นเรื่องเสียเวลา คุณจะไม่ได้อะไรในชาญนอกจากความว่างเปล่า แต่ถ้าคุณไม่ท้อดูลมไปเรื่อยๆ สัตจะเลิกยึด แม้ในขณะนั้นเรายังรู้ลมหายใจอยู่ แต่มันเบา นั่นคือการฝึกปลดปล่อยตัวตน เมื่อเห็นแล้วมีความเข้าใจแล้ว ก็จะเริ่มปล่อยขันธ์อื่นๆตามลำดับ สร้างมามากก็ต้องทำลายมาก สร้างน้อยก็ทำลายน้อย ตรงนี้ไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร มันรู้ได้เฉพาะตนต้องประสบเองจริงๆ ถึงจะรู้ได้ คำสมมุติ มันยากเกินกว่าอธิบายสิ่งพวกนี้
ต้องเร่งพยายามกำจัดความไม่รู้นี้เสียให้หมด ไม่ใช่รู้แบบจำได้นะ อันนั้นสัญญา ถ้าคิดตามได้นั่นปัญญา แต่ต้องถึงขั้นสัตไม่สงสัย ถึงจะเรียกว่าฝึก้าวหน้า ท่องไว้ว่าเรามาจากกรรม เหมือนสายน้ำที่ไหลไปตามทาง ปล่อยวาง อย่าขัดขืน มันไม่มีประโยชน์
สุดท้าย ผมจะอปุมา เหมือนเรากำลังนั่งรถไฟเหาะ เราได้เห็นจริง ได้ยินจริง สนุกจริง เสียวจริง กลัวจริง เศร้าจริง รถไฟนี้แค่วิ่งไปตามราง รางที่มีความอ่อนไหว มีอะไรมากระทบมันก็จะเลี้ยวเบน ตีงอได้ง่ายๆ บางครั้งเรากลัวถึงขนาดพยายามดึงรถให้ไปทางอื่น แต่มันเป็นไปไม่ได้ กลัวที่เข้ามา เดี๋ยวผ่านก็ผ่านไป ทุกๆอย่างที่เกิดขึ้นมันจะผ่านไป เรายอมรับต่อความจริงว่าเราไม่ได้บังคับบัญชาอะไรได้ เดี๋ยวมันเร็ว เดี๋ยวมันช้า เดี๋ยวทางตรง เดี๋ยวทางเลี้ยว กรรมเราก็คือรางเส้นนั้น ความจริงของรถไฟนี้ มันวิ่งลงล่าง จะทำดีแค่ไหน มันก็จะไหลลงสู่หุบเหว แค่ยอมรับความจริงแล้วออกจากรถไฟนั้นก็พอ อย่ามัวหลงเพลินสนุกกับมันอยู่เลย กลับไปสู่ความปกติกันเถอะ ความเบื่อหน่าย ความว่างเปล่า นั่นล่ะ คือที่ไปของคนที่ไม่อยากลงล่าง เราไม่เคยมองตัวเองกันเลยว่าหลงไหลในอารมณ์นั้นแค่ไหน ตามเสพ จนเสพติด สุดท้ายก็หลง แรกๆคิดว่าลองดู นานเข้าอินจนลืมทางกลับ ไม่ชอบกลัวก็สันหาแต่เรื่องผีมาฟัง ไม่ชอบเศร้า ชีวิตนี้ไม่มีปัจจัยให้เศร้าเลยก็ไปเอาหนังดราม่ามาดู หนังบู๊ชอบจริงๆกับความโกรธ เราถวินหาอารมณ์ทุกอย่างตลอดเวลา เราชอบมันทุกอารมณ์นั่นแหละเราแค่ไม่รู้ เพียงแต่เราไม่ชอบที่มันจะหนักไปอารมณ์ใดอารมนึงเกินไป เศร้ามากๆ ชีวิตมีแต่เศร้า ไม่มีอย่างอื่นมาปนเลย ก็ชิงฆ่าตัวตาย ดูซิ หลงกันไปได้ไงขนาดนั้น ไม่รู้เลยว่าเขาได้เอาจิตที่ยึดมั่นขั้นสุดไปด้วย บางคนอินในชีวิตที่ไม่มีจริงแล้ว ยังไปอินว่าสิ่งอื่นเป็นตัวเองอีก ถ้าเศร้าก็อยู่เฉยๆดูเศร้าให้ดีซิมันคืออะไร มันว่างเปล่า มันไม่มีอะไรเลย ดูให้รู้กันไป แค่อดทนดูให้จนสัตปล่อยตัวตนให้ได้ก็พอ ไม่ว่ามีอะไรมากระทบให้อดทนดูให้จบ ดูให้รู้ บางคนถอดใจกลางทาง ไกล้จะถึงอยู่แล้ว กลายเป็นไม่ได้อะไรแถม ทำให้ความมั่นใจในตถาคตลดลงด้วย บางคนดูจนหลับ บางคนไปเข้าชาญซะ ติดอยู่แต่ในชาญ ไอ้ความซาบซ่า วูบวาบ เบาหวิวนั่นแหละระวังเถอะ ตัวดีที่ทำให้เพลินเลย คนที่เขาเข้าไป คือเขาละได้แล้ว เขาวางหมดแล้ว เขารอการตายแล้วไม่กลับมาอีกแล้ว
@@maxmay6531 ปล.จะไม่มีคนที่อยู่กลางๆ มีแค่คนที่รอดคือนิพพาน ที่เหลือจะไหลไปกองรวมกันหมด ชาตินี้ไม่ได้อย่างน้อยก็ปล่อยออกมากขึ้น การเหลือสิ่งยึดถือน้อย เวลาไปหาที่จุติที่เกิดมันก็ไปตามที่ชอบ ยึดน้อยมากๆก็ไปลอยเคว้งอยู่เป็นพรหม ยึดหนักๆเจออะไรก็เอาหมด อะไรก็แล้วแต่เป็นตัวกูได้หมด กึ้งกือก็เอา เรื่องหลังความตายไม่ควรพูดมากไปกว่านี้ คนหลงผิดก็ติดบาปเปล่าๆ ยิ่งพาเข้าใจผิดไปกันใหญ่ มันไม่มีคำสมมุติที่เอามาใช้ให้ไกล้เคียงได้เลยนอกจากเห็นเอง ถ้าคุณอ่านแล้วพิจารณาตาม และสำคัญสุดตามรู้ทุกอย่างให้มากที่สุด แต่รู้ทีละอย่าง รู้จนละได้ อาการคุณเบา แม้เจ็บคุณจะรู้ว่านั่นคือเจ็บ แต่ความไม่พอใจจะไม่ปรากฏ นั่นคือมาถูกทางแล้ว ให้ทำจนสิ่นั้นกลายเป็นความปกติ รู้ผิดและการปรุงแต่งจะไม่มาเกิดอีกค่อยๆฝึกไปทีละขันธ์ ซื้อยาแก้ปวดสีเขียวเม็ดใหญ่ๆรอไว้ได้เลย ถ้าคุณยังคงต้องใช้ชีวิตทำงาน เพราะมันจะปวดหัวสุดๆ ติดต่อกันเป็นปี แต่มาเป็นช่วงๆ พอปวดหัวเสร็จ ไม่เกิน 24 ชม. คุณจะรู้อะไรที่แปลกๆ ที่รู้ได้เฉพาะตน อธิบายคนอื่นไม่ได้ รู้แค่ว่ารู้แล้ว เป็นรู้ที่ไม่ใช่สาระของการหลุดพ้น แต่ถ้าคุณไม่ได้ทำงานก็สามารถอยู่นั่งๆดูการปวดนั้นจนหายไปเลย ถ้าคุณอ่านจบแล้วช่วยบอกผมหน่อยนะ ผมจะได้ลบออก หรือถ้าเกิน 24 ชม ผมก็ต้องลบอยู่ดี
@@maxmay6531ขอโทษครับ ผมพิมพ์ความจริงไปราว 1 หน้ากระดาษ A4 คุณได้เห็นมั๊ยครับ
ນ້ອມກາບສາທຸ
ตั้งชื่อหัวข้อสั้นไปนิด เดี๋ยวคนจะเข้าใจว่า พระอาจารย์ท่านสอนไปแนวรักในพระเจ้าแล้วไปสู่สวรรค์ เพราะไม่ใช่จะมีเพียงแค่บุญส่งผลได้อย่างเดียว บาปก็ส่งได้ ถ้ารักศรัทธา พระพุทธเจ้า แต่เผลอไปทำบาป อย่างพระนางมัลลิกาผู้ถวายอสทิสทาน แต่พลาดไปผิดศีลข้อ3 ก็ไปอบายก่อนได้ไปสวรรค์นะครับ
คิดว่า ไม่มีบอกนะครับ ว่าพระนางมัลลิกา ไปนรก
น้อมกราบอนุโมทนาสาธุค่ะ
กราบสาธุค่ะ
สาธุสาธุค่ะ🙏🙏🪷🪷🪷