Размер видео: 1280 X 720853 X 480640 X 360
Показать панель управления
Автовоспроизведение
Автоповтор
จริงครับ ใช้จริงไม่สะดวก ฟังก์ชั่นมันควรเป็นการใช้มือสัมผัสโดยไม่จำเป็นต้องใช้ตามอง
มือสัมผัสก็ต้องใช้งานควรเป็นปุ่มกดลงไปเลยมากกว่า
ใช้จอไม่สะดวกด้วยครับ สำหรับคนขับรถ ต้องหันมาดู อันตรายด้วย
@@angkokth แล้วถนนประเทศไทยคือมีแต่เรื่องเซอร์ไพรซ์ ขับ ๆ ไป หมาเอย คนเอย มอไซเอย สารพัด โพล่มาตลอด ละสายตาแทบไม่ได้ด้วยซ้ำ
ขับๆอยู่เกิดจอดับ ทำไรได้บ้าง
@@รพินทร์ไพรวัลย์-ฬ4ง สวดมนต์เลยครับ
เรื่องนี้ ผมเคยไปแสดงว่าคิดเห็นในเพจๆนึงอยู่แต่โดนคคในเพจด่าว่าเป็นพวกไม่พัฒนาตาม คือแบบ แค่ปุ่มแอร์ หรือปุ่มพื้นฐานอ่ะ ขอแค่นั้น ให้ออกมาเป็นปุ่มจริงๆ เพราะเวลาขับรถจริง 1 วิของการละสายตาจากถนน คือชีวิตเลยนะ
ใช่เลยยยยยย คุณอู๋ได้พูดตรงใจมากๆคือผมไม่นิยมทุกอย่างเอาไปจิ้มในจอรถอ่ะ บางครั้งคือมีปุ่มกด (เท่าที่จำเป็น) เช่น ปรับช่องลม ปรับความเย็น/ความเร็วพัดลม หรือพวกระบบช่วยเหลือความปลอดภัยสำคัญเช่น Traction Control หรือแม้กระทั่งเปิดเก๊ะเก็บของ ผมอยากให้เป็นปุ่มกายภาพหนักหน่อยก็แบบ บางยี่ห้อ (แต่คิดว่าคุณอู๋และเพื่อนๆ ในเม้นต์จะเดาออก) เกียร์ selector ดันอยู่่ในจอ อันนี้เกินไป (รวมถึงระบบไฟเลี้ยวไปอยู่พวงมาลัยแค่เป็นปุ่มแปะพวงมาลัยด้วย นี่เกินไป รับไม่ไหว) พอรวมทุกอย่างในจอ มันจะซับซ้อน แล้วถ้า UI/UX ไม่โอเค ปวดหัวกว่าเก่าอีกครับผมเข้าใจนะ เรื่องต้นทุนทำปุ่ม แต่แบบ... หาสมดุลย์ก็ยังโอเคกว่า
@@zetsuboublogger เกียร์ Selector อยู่ในจอส่วนตัวผมว่าไม่ลำบากต่อการใข้งานครับเพราะ tesla มันเดาเกียร์ให้เราเองตอน start ว่าเราควรถอยหรือเดินหน้า
"หรือแม้กระทั่งเปิดเก๊ะเก็บของ ผมอยากให้เป็นปุ่มกายภาพ" รถบางค่ายสั่งได้ด้วยเสียง Open Glovebox
แต่สำหรับพฤติกรรมการใช้งานของผมมันคือปัญหาเลยครับ บ้านผมจอดรถได้ 3 แต่ต้องถอยเข้าถอยออกเกือบทุกวันเทียบกับอีก 2 คันใช้เวลาอยู่บน tesla นานที่สุดแล้วครับทั้งๆที่อีก 2 คันไม่มีกล้อง 360 ด้วยซ้ำ 555 ผ่านมา 3 เดือนก็ยังรู้สึกเป็นปัญหาอยู่แต่ก็ต้องทนเพราะโดยรวมถือว่าเป็นรถที่ใช้งานดีมากๆ @@Ronnakrit_T
ผมก็ไม่ชอบเทรนด์การออกแบบคอนโซลยุคนี้ครับ มันมักง่าย แทบไม่ต้องคิดอะไรเลย แค่เอาจอแท็บเล็ตมาแปะตรงกลาง จบ แล้วหน้าตาก็ซ้ำๆ ซากๆ โดยเฉพาะรถไฟฟ้าจีนเนี่ย พอปิดโลโก้บนพวงมาลัยแล้ว แทบจะแยกไม่ออกเลยว่าแบรนด์ไหนรุ่นไหน ที่สำคัญคิดได้ยังไงที่ฝากการควบคุมแทบทุกอย่างไว้ในจอจอเดียว ถ้าจอพังล่ะ ไม่เป็นรถพิการเลยรึ
ผมว่าคนบางกลุ่มกำลังหลงทางอยู่กับคำว่า "ล้ำ" และ "ทันสมัย" จนบัญญัติกันไปเอง (รวมถึงผู้ผลิต) ว่าถ้าจะทำรถให้ทันสมัย คนรุ่นใหม่ ล้ำอนาคต ก็ต้องรวมทุกอย่างไว้ในจอสิ .แถมยังมีค่านิยมในการรีวิวรถในช่วง 1-2 ปีมานี้ ว่ารถที่ยังมีปุ่มกด = "รถโบราณ" อีกในบางสื่อ ก็ยิ่งทำให้ภาพของการใช้ปุ่มในรถ ดูด้อยค่าขึ้นไปอีกในสายตาคนทั่วไปขอบคุณพี่อู๋ที่ทำคอนเทนท์ประเด็นนี้มาก ๆ ครับ ผมคนนึงล่ะยอมโดนด่าว่าหัวโบราณ 55555
ส่วนใหญ่จะพวกอวย ev จีนครับ พวกนี้ตรรกะเพี้ยนครับ ไม่ต้องเสียเวลาเถียงดีแล้วครับ
เห็นด้วยเลยครับ
เห็นด้วยมาก ๆ เลยครับ ยิ่งพูดในด้านความปลอดภัย การนำปุ่มออกไปสำหรับผมคิดว่ามันเป็นการลดต้นทุนที่ไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ใช้งานนึกถึงตอนที่พี่อู๋เคยรีวิวเครื่องบินที่อธิบายความแหลมคมจนถึงความมนของปุ่มบนเครื่องบิน ที่มันแสดงถึงความละเอียดอ่อนในการใช้ปุ่มนั้น ๆ ผมว่าบนรถยนต์ก็ไม่ต่างกัน ยิ่งปุ่มฉุกเฉินยิ่งควรมี feedback เมื่อกดไป ไม่ใช่ปุ่มด้าน ๆ ที่ไม่รู้ว่ากดโดนรึเปล่าเห็นหลายคนหลงประเด็นเรื่อง ปุ่มกับจอสัมผัส บนความปลอดภัยของการขับขี่ ไปเปรียบเทียบกับการเปลี่ยนเทคโนโลยีบนอุปกรณ์สื่อสาร มันดูจะผิดฝาผิดตัวไปไกลนะครับ
อยากทำให้คลีน ❌อยากลดต้นทุน ✅
@@KokoroShashin ไม่อะ อยากลดขั้นตอนผลิตมากกว่า 555
@Ronnakrit_T มันคือส่วนเดียวกันแหละ งานขึ้นรูปพวกนี้ส่วนมากจ้างซัพทำ ลดขั้นตอนซัพแต่ก็กดราคาซัพลงได้อีก
@@Ronnakrit_Tลดขั้นตอนการผลิต ก็คือ ลดต้นทุนนั่นแหละ
ยุคนี้การทำปุ่ม+เดินสายไฟแพงกว่าจอ
WIN WINคนซื้อได้รับความรู้สึกว่า ล้ำสุดๆ นี่คืออนาคต นี่คือนวัตกรรมคนขาย ได้ลดต้นทุน
เห็นด้วยมากๆครับ ผมเป็นคนชอบความทันสมัยในรถยนต์นะ แต่บางอย่างของเดิมมันดีอยู่แล้ว โดยเฉพาะการปรับแอร์เนี่ย ของเดิมหมุนๆเอาง่ายกว่าเยอะ เร็วกว่าจิ้มจอด้วย
ลดต้นทุนครับไม่มีอะไรมาก จริงๆพวกปุ่มกดเบื้องหลังมันก็คือการกลั่นกรองมาแล้วจากประสบการณ์ของผู้ใช้งานครับ การเขียนอยู่ใน software มันเขียนง่ายแต่การแยกปุ่มมันมีต้นทุนเพิ่ม
@@PhatrawuthKensomsriแต่หน้ากากแอร์นี้ของเดิมทุนน้อยกว่านะ การย้ายไปบนจอต้องมีมอเตอร์มาปรับไฟฟ้าอีก
@ ย้ายยังงัยครับ มันแค่ซอฟต์แวร์คอนโทรลธรรมดาเลย แล้วสิ้นคิดคือเอาแอร์ไปจิ้มในจอเพื่อบังคับลมให้เป่าตามทิศทาง ทำไปเพื่อ อุปกรณ์พวกปรับมือคือ Short Cut มันคือเบสิกฟังก์ชั่น หลายๆอย่างจับไปยัดไว้ในจอ ทั้งๆที่มันควรเป็นสิ่งที่ควรคอนโทรลด้วยปุ่มกด พวกชิ้นส่วนมันก็คือ part รถยนต์ 1 คัน part เกือบ 3 พันชิ้น รถไฟฟ้ามีอะไรบ้างครับ ชิ้นส่วนแต่ละชิ้นก็มาจากคนละที่กันตามแต่ที่ผลิต ต้นทุนมันก็สูงกว่าอยู่แล้วเมื่อมองภาพรวม เครื่องยนต์มันก็เหมือนนาฬิกาไขลาน รถไฟฟ้าก็เหมือนนาฬิกาใส่ถ่าน ยังงัยรถไฟฟ้าต้นทุนมันก็ถูกถึงถูกมากๆ เค้าไม่ได้มานั่งประกอบทีละชิ้นเหมือนเครื่องยนต์ที่ต้องใช้แรงงานคนเป็นจำนวนมาก อะไรที่ใช้ซอฟต์แวร์ความคุมมันไม่แพงหรอกครับ อุปกรณ์เค้าไม่ได้แรงงานมานั่งประกอบชิ้นส่วน พวกนี้มันแพคมาเป็นชุดๆแล้วมาประกอบ
@@PhatrawuthKensomsri ใช่ไง เราก็เห็นตรงกันครับ แต่ที่ผมพูดเรื่องหน้ากากแอร์ครับ ถ้าทำไฟฟ้า มันไม่ใช่แค่ software มันต้องมี hardware มาควบคุมอีกทีนึง แล้วต้นทุนมันจะลดได้ยังไง เพราะของเดิม manual มีแค่หน้ากากเปล่าๆเอามือเลื่อน อีกอย่างอุปกรณ์ไฟฟ้าผลิตมาถูก แต่ถ้าพังต้องซ่อมแพงกว่าหลายเท่า คนไม่ค่อยนึกถึงส่วนนี้
@@chavicly ผมพูดถึงซอฟต์แวร์ที่เอาไว้ควบคุมอุปกรณ์ ที่เห็นปุ่มๆ มันก็ไม่ได้ถูกๆนะครับ หน้ากากแอร์มันก็ต้องมีมอเตอร์คุมครับ ปุ่มเร่งต่างๆ ก่อนจะมีลมผ่านช่องแอร์ก็ต้องไปกดปุ่มส่งคำสั่งก่อนทั้งนั้นล่ะครับ อย่างพับกระจก มีปุ่มกดมันก็ต้องคอนโทรลมอเตอร์ แต่บนจอคือมันใช้คำสั่งซอฟต์แวร์ไม่ได้มีอุปกรณ์อะไร
หน้ากากแอร์นี่ไม่เข้าใจจริงๆว่าจะเอาตัวปรับทางลมออกทำไม มันเขี่ยตรงหน้ากากง่ายๆก็ดีอยู่แล้ววว คือบางทีขึ้นรถมาร้อนๆอยากให้มันเป่าหน้าสัก 2-3 นาทีแล้วค่อยเขี่ยให้มันไปทางอื่นงี้ พออยู่ในจอแล้วปรับตอนขับไม่ได้เลย
@@cgtt22 มันขึ้นรูปแล้วต้องประกอบอีดครับหุ่นยนตร์มันทำไม่ได้ เขาเลยเอาไปใส่ในจอลดต้นทุน
ข้อดีของการย้ายการปรับแอร์ไปอยู่ในจอ (ปรับไฟฟ้า) คือมันทำให้บันทึกตำแหน่งลมแอร์ลงใน Profile ผู้ขับขี่ได้ครับ // ถ้ารถเราขับกันหลายคน เวลาเปลี่ยนคนขับมันก็จะปรับไปตามที่แต่ละคนปรับไว้อัตโนมัติ ถ้าเป็นคนที่ไม่ได้ขับไปปรับแอร์ไปบ่อยๆ ก็คือสะดวกมากครับ อีกข้อดีก็คือสามารถใช้คำสั่งเสียงในการปรับตำแหน่งแอร์ได้ เช่นให้เป่าหน้า ให้เป่าตัว เป่าไปทางอื่น // ข้อดีของการบันทึกลง Profile อีกข้อก็เช่นในเทสล่าถ้าเราไปใช้คันอื่น เช่นรถเช่า -- Profile ที่เราเคยตั้งไว้ในรถเราก็ย้ายตามไปด้วยอีกต่างหาก รวมถึงตำแหน่งพวงมาลัย ตำแหน่งที่นั่ง ทุกอย่างที่คอมพิวเตอร์รถเข้าถึงได้ก็จะตามไปทั้งหมดเลย ทำให้รถคันนั้นกลายเป็นรถเราไปเลย
รถยนต์ มันต้องการความเสถียร ความทนทาน และความปลอดภัย ..... รวมทั้งปัญหา หนูกัดสายไฟ ที่มักเจอกันประจำ รถรุ่นเก่า ไม่มีปัญหา ขับใช้งานได้ แต่รถใหม่ ไม่ใช่แค่วิ่งไม่ได้ แต่แก้ปัญหาเอง ซ่อมเองเพื่อการใช้งานเร่งด่วน ก็ทำไม่ได้
เอาแค่ลอคประตูหรือกระจกไฟฟ้าผมยังอยากให้มีปุ่มแมนนวลด้วยเลยไม่ใช่ไฟดับแล้วไฟไหม้ตายในรถแบบในจีนหรือ รถจมน้ำเปิดประตูเปิดกระจกไม่ได้น่าจะมีแมนนวลไว้สำรอง
ทุกค่ายควรเรียนรู้งานจาก mazda cx60 นี่คือการออกแบบ interior ที่ใช้ได้จริง
สำคัญอีกอย่างคือ พวกปุ่มดิจิตอล เมื่อเวลาผ่านไปนานๆสัก5-6ปี เกิดจอเสียหายหรือสัมผัสไม่ได้ ทำให้ใช้ฟังก์ชั่นนั้นไม่ได้เลย ทั้งๆที่ระบบครบ แต่ตัวเปิดเสียหาย ถ้าเป็นแมนนวนสวิส มันจะแยกกัน อันไหนเสีย ก็แค่ ซ่อมสวิสนั้น จากใจคนมีรถ ที่เก่าระดับนึงแต่เป็นพวกดิจจิตอลยุคแรก ตอนนี้จอที่ใช้สัมผัสเสียหมดแล้ว ดีที่ไม่สำคัญกับรถ มีแค่ เครื่องเสียง อย่าลืม เครื่องมือดิจิตอลที่อยู่บนรถ มันสั่นสะเทือนเกือบตลอดเวลา
ผมก็ไม่ชอบหน้าจอครับมันไม่ปลอดภัยจริง ที่ชอบสุดน่าจะชอบของ Mazda แอร์ยังหมุนอยู่สะดวกกว่าเยอะ แถมควบคุมจอผ่านลูกบิดที่เขาให้ได้ด้วย ทำให้ปลอดภัยในเวลาขับขี่ครับ
ใช้จริงเสี่ยงมากครับ ไม่รู้กดไปหรือยังต้องหันไปดู ทีนี้แหละหันมาอีกทีวูบวาบเลย
CIVIC FK ไม่ชอบปุ่มปรับแอร์ที่ขึ้นหน้าจอทั้งหมด ยังดีที่มีปุ่ม climate ไว้ให้เข้าเมนู และดีไซน์ให้ดูง่าย แต่ไม่สะดวกเพราะปกติจะเป็นคนชอบปิด AC ก่อนจอด ยิ่งเผลอเข้าเกียร์ถอยแล้ว จอกลางจะเป็นกล้องมองหลังนี้ จบข่าวเลยครับ พอมา ACCORD G11 เวลาต้องใช้เมนูแอร์ทีนึงต้องตั้งสติ ปุ่ม AC เล็กมาก ตัวปรับแอร์กลางรถที่เป็นจอกลมๆเหมือนจะเท่ ล้ำดีตอนแรก ดีใจที่ของไทยได้มาทุกรุ่นย่อย พอใช้งานจริง ยังไงต้องมอจอมากวก่า civic อีก อิจฉาตัวนอกที่ได้จอแอร์ที่เป็นจอแอร์จริงๆแบบ G10 จอแอร์แบบปุ่มๆผสมจอ ยังไงควรแยกกับจอกลางครับ อีกเรื่องนึงต้องตั้งหน่วงเมนูจอแอร์ที่จอกลางให้พอดีด้วยครับ แรกๆกดเข้าเมนู แล้วต้องละสายตาจากจอกลางไปมองถนน พอหันกลับมาดูจอกลางอีกที อ่าว จอกลางกลับไปหน้า HOME เหมือนเดิม ตอนนี้ปรับหน่วงให้พอดีก็รู้สึกดีขึ้นครับ อีกเรื่องก็ปุ่มบนพวงมาลัยไม่ควรเป็นลูกลิ้ง หรืออะไรที่ไม่ใช่ปุ่มครับ ยกตัวอย่าง G11 อีกเช่นเคย การเลื่่อนเมนูต่างๆจะเป็น scroll เวลาใช้งานต้องแอบเกร็จนิดหน่อย ไม่ให้กลิ้งไปเกิน 1 คลิกครับ ถ้าเป็นปุ่มขึ้นกับลงแยกกันจะดีมากครับ กดคือกดเลยไม่ต้องกลัว กลิ้งไปเกินครับ
จริงมาก ทุกวันนี้เลือกรถคือ เข้าไปนั่งดูการจัดวางปุ่ม ฟังคชั่นการกดก่อนเลย ถ้า ux ยี่ห้อไหนจัดวางปุ่มได้ดีสุด คือ มั่นใจได้ว่าคิดมาเพื่อคนใช้รถจริงๆ
เห็นด้วยเลยค่ะ ส่วนตัวที่ขับรถคันเก่าตั้งแต่อายุ 18 ไม่มีฟังก์ชั่นช่วยขับอะไรทั้งนั้น พอมีรถคันแรกที่มีแค่เซ็นเซอร์ถอยหลังช่วย จนรู้สึกว่า เคยตัวมากค่ะ เวลาไปขับรถคันเก่าทีไรก็จะกะระยะถอยหลังช้ามาก จนตอนนี้กำลังดูรถคันใหม่อยู่ เซลล์ก็ขายเรื่องฟังก์ชั่นบางอย่างมาก อย่างกล้องมองหลัง ตัวช่วยถอยจอด บลาๆๆๆ จนต้องถามเลยค่ะว่าไม่เอาได้มั้ย บางอย่างที่ช่วยได้จริงๆก็ดีนะคะ เช่น adaptive cruise control แต่บางอย่างพอใช้นานๆ รู้สึกทักษะในการขับรถมันถดถอยไปเลย รวมถึงถ้าพวกปุ่มต่างๆย้ายไปอยู่ในจอหมด อย่าว่าแต่คนแก่มองไม่เห็นเลย เราเองก็คงรำคาญเหมือนกัน มันดึงสมาธิตอนขับรถจริงๆ
อยากให้เพิ่มขึ้นมาอีก 1 เกณฑ์ที่เป็นมาตรฐานในเรื่องของความปลอดภัยต่อเพื่อนร่วมถนนด้วยครับ เพราะรถปัจจุบันหลายรุ่นมีการออกแบบขนาดไฟเลี้ยวให้เล็กม๊ากกก... จนยากต่อการสังเกตและมองเห็นในช่วงเวลากลางวัน อย่างน้อยๆพื้นที่ของไฟเลี้ยวควรมีขนาดสัดส่วนเป็น 30% ของโคมไฟเลี้ยวทั้งหมด เพราะบ่อยครั้งที่ขับรถตามหลังรถบางรุ่นเกือบจะชนเอาอยู่หลายครั้งเพราะไม่สามารถสังเกตเห็นว่าเขาเปิดไฟเลี้ยวอยู่ เนื่องจากมันมีขนาดเล็กมาก
ไฟเลี้ยว ไฟถอย ไฟเบรคเล็กจิ๋ว แต่ไฟหน้าแยงตาชาวบ้าน 😂
อะไรที่ใช้บ่อยๆ เช่น ปุ่มแอร์ ปุ่มปรับเสียง หรือปรับทิศทางแอร์ ควรจะเป็น physical นะ จะได้ไม่ต้องละสายตาไปจากถนนทุกวันนี้คนขับโดนยูทูบดึงสายตาไปจากถนนก็แย่แล้ว นี่ยังต้องย้ายสายตามาเพื่อปรับแอร์อีก อันตรายมาก
รถรุ่นไหน เปิดใช้งาน RUclips ขณะขับใช้งานได้ด้วยอ่ะ
@ หลายอยู่นะคะโดยเฉพาะรุ่นใหม่ๆ บางรุ่นทำไม่ได้คนก็เอาไปโมกันเพียบเลย อันตรายมากกกก
ใครสั่งใครสอนให้ดูยูทูปในรถครับเนี่ย สภาพนี้ให้ปุ่มเต็มพวงมาลัยก็ขับง่าวอยู่ดี
@@iboommm_ เราเขียนไม่เคลียร์เอง เราไม่ได้ดูค่าาาาา แต่คุณไปดูตามกลุ่มรถดิ โมหน้าจอกันเพียบเลย คำถามแบบ ทำยังไงถึงจะดูยูทูบได้ รถแพงรถถูกมาหมด ก็คือต้องขับรถร่วมทางกะคนดูยูทูบไปด้วยอะยุคนี้
ที่บอกๆกันเนี่ย คนใช้มือถือระหว่างขับรถอันตรายกว่า คนทำแบบนั้นเพียบ รถที่มีแต่จอมีไม่กี่รุ่นเอง ถ้าไม่โอเคก็ต้องไปใช้ยี่ห้ออื่น
จริง ใช้รถไฟฟ้า จะกดปุ่มทีต้องเล็งกันหลายรอบ เสียสมาธิจริงๆ ขอปุ่มเดิมๆกลับมา
ผมเคยแสดงความเห็นแบบเนี้ยแหละ สุดท้ายโดนแอนตี้รถน้ำมัน หาว่าเราโบราณ รถเขามีระบบปรับด้วยสัญญาณนิ้ว ทำมือได้ อะไรบลาๆ ผมก็ปล่อยผ่านไม่เถียงละกันแล้วแต่ความถนัดเลย
ผู้บริโภคแบบนี้ ผู้ผลิตยิ้มเลย ไม่ต้องเสียค่าผลิตปุ่ม
ผมก็โดนเหมือนกันครับ ไปคอมเม้นต์เรื่องระบบการควบคุมแอร์หรือระบบอื่นๆควรจะมีปุ่มกดเพื่อให้ง่ายต่อการใช้งาน โดนบรรดาหัวสมัยใหม่หาว่าเป็นพวกล้าหลังไม่ทันยุคทันสมัยแล้วโยงไปเรื่องมือถือปุ่มกดเฉยเลย มันเอามาเทียบกันได้เหรอ 😂
ผมอายุจะ30ละใช้รถมีจอเอื้อมมือซ้ายจะไปปรับแอร์จิ้มไม่ถูกสักทีรถวิ่งมือก็สั่นหัวจะปวดเห้อออเหนื่อยใจ ผมไม่มีปัญหากับการลดปุ่มไปเป็นจอ แต่ Ui ควรทำให้มันใหญ่ๆจิ้มโดนง่ายหน่อย
เห็นด้วยมากมากมากกกกกกกเลยค่ะะะ คือการมีปุ่มมันสะดวกกว่าจริงๆ เรายอมซื้อรถรุ่นที่เก่าลงไป1รุ่น เพื่อจะเอาปุ่มปรับแอร์ และปุ่มปรับวิทยุเอาไว้ คือเอาทุกปุ่มไปขึ้นบนหน้าจอมันสุดยอดจะไม่สะดวกกก ถึงแม้จะบอกว่าสามารถใช้คำสั่งเสียงได้อะไรต่างๆ แต่มันไม่ถนัดและไม่สะดวกจริงๆ สุดท้ายแล้วรู้สึกว่าการมีปุ่มมันรวดเร็วกว่า ปลอดภัยกว่าเวลาเราขับรถและต้องการจะปรับ ถ้าขับรถไปด้วยแล้วปรับแบบที่อยู่บนแผงหน้าจอ โห อันตรายมาก กว่าจะเจอสิ่งที่ต้องการจะปรับ
Bentley กับ Rolls Royce ยังใช้ปุ่มอยู่นะ รุ่นใหม่ก็ใช้
วิทยุคืออะไรหรอครับ
@@Morocco-j3i วิทยุคือ Radio
ส่วนตัวตัวผมชอบรถที่หรูล้ำ คำว่าล้ำของผมก็คือขอหนีความอนาล็อกยุค80-90ให้ใกลที่สุด ซึ่งมีแต่แอร์ วิทยุ เทป แมค แต่ก็ไม่ต้องล้ำถึงขั้นเป็นเทสล่าหรือรถไฟฟ้าจีนยุค20s(2020-2030) ส่วนตัวผมผมชอบรถยุค10s(2010-2020)ซึ่งบาลานซ์ระหว่างจอกับปุ่มกายภาพได้อย่างกลมกล่อมลงตัวที่สุดและเป็นรถที่หนีความอนาล็อกยุค80-90ได้ใกลสะใจสุดๆเลยครับ แล้วในมุมผมปุ่มกายภาพนอกจอจะใช้สะดวกแล้วมันทำให้รถดูแพงหรูพรีเมียมกว่า ต่อให้จะไม่ใช้รถแบรนด์หรูราคาเกิน2ล้านก็ตาม ส่วนตัวผมมองว่าปุ่มกายภาพก็เหมือนเป็นhandmadeชนิดหนึ่งครับ
มันเริ่มตั้งแต่ยุคที่เครื่องเสียงในรถเริ่มทำ touchscreen แล้วครับ ตั้งแต่ยุคต้น 2010 เครื่องเสียงทำ touchscreen กันใหญ่ แต่ปุ่มบนจอเล็กมาก ดันไปเน้นโชว์ graphic และพื้นที่ว่างๆ ที่ไม่จำเป็นเลย แถมระบบยังหน่วงอีกเช่น Fortuner 2015คนออกแบบรถ ต้องไปดูงานคนออกแบบเครื่องบิน ล้ำแค่ไหน ก็ต้องทำให้ใช้งานจริงได้
ง่าย ๆ ครับ อีกหน่อย บริษัทรถ จะขาย option เหล่านี้เป็น cloud service แล้วเก็บเงินครับ คือ ถ้าจะเอา feature อะไรพิเศษ ๆ ผู้ขายจะสามารถ enable / disable ได้จาก center on cloud ตรับ
เรียกว่า Software Define Vehicle (SDV) ครับ
ก็ดีหนิครับ ถ้าไม่ใช้อะไรจะได้ไม่ต้องจ่ายตังในส่วนนั้น
จริงครับ ปุ่มที่เป็นกายภาพมันให้ความรู้สึกว่าเรากดแล้วจริงๆ ไม่ต้องใช้ตาเหล่มองนานๆ เหมือนหน้าจอบนรถสมัยใหม่ที่ต้องมองนานมากว่าจะจิ้มลงตรงไหนบนหน้าจอ มันส่งผลต่อความปลอดภัยในการขับขี่ยานพาหนะโดยตรงเลย
อีกไม่นานก็ กลับ เป็นปุ่มแล้วครับใจเย็นๆ เพราะ ปุ่มPhysical จะเป็นส่วนนึงของมาตราฐานความปลอดภัยผมเองก็คงยังไม่ได้เปลี่ยนอีกพักนึงเลย หักค่าเช่า ค่าเสื่อมให้หมด ก่อน
เมื่อหลายๆแบรนด์พยายามทำรถให้ไม่เป็นรถการเอาทุกอย่างไปยัดไว้ในจอ คนที่ขับรถในเมือง ขับช้าๆ ติดไฟแดงเป็นครึ่งชั่วโมง ไม่มีปัญหาแต่ถ้าขับบนซุปเปอร์ไฮเวย์ ความเร็ว 100+ มันไม่โอเค
เหมือนเป็นการพัฒนา แต่ถอยหลังบางอย่าง Physical button นี่คือดีที่สุด
ของผม พ่อ-แม่ แก่แล้วไม่ค่อยกล้ากดหน้าจอ กลัวกดผิด ก็จะให้ลูกมากดให้แทนตลอด มันเลยลำบากตรงนี้ ขับรถแล้วต้องมามองจอปรับให้อีก
พัฒนาเพื่อความต้องการ แรกๆพากันชื้นชม สุดท้ายก็กลับมาแบบเดิม แล้วก็เรียกหาการพัฒนาวนไปวนมา มนุษย์นี้โคตรเรื่องมากเลย
เริ่มต้นมา ... ก็ปรับดิ .... เหมือนออกมาจากใจ 😂😂😂ด้วยอายุ40+อย่างผมนี่ .... เปิดแอร์หมุนออโต้ .... แล้วไม่ต้องไปจับแอร์อีกเลย .. แล้วระบบหมุนเวียนอากาศ ทำมาได้ดี ดีมากพอที่ทำให้อากาศร้อนตรงกระจกหน้าไหลเวียนออกไปได้ เลยทำให้ รู้สึกสะดวกสบายมากขึ้น จน ไม่ต้องมาสนใจที่จะปรับหน้ากากแอร์เองเลย ..... พอคนถามว่าขึ้นรถมาตอนแรกๆมันร้อนอยากเปิดแอร์เป่าตัว ..... ผมอยากจะบอกว่า .... ก่อนขึ้นรถเราแค่เปิดแอร์ 5นาที ผ่านมือถือ..พอมาถึงรถ ก็เย็นแล้วครับ
พวกระบบ Active Safety หรือโหมดการขับขี่กลายเป็นเมนูในจอพอเข้าใจได้ครับ เพราะเราอาจจะไม่ได้ปรับมันบ่อยขนาดนั้นแต่ปรับทิศทางแอร์ในจอ ปุ่มกดไฟฉุกเฉินไม่อยู่ตรงกลางของคอนโซลหน้าปุ่มไฟเลี้ยวทั้งซ้ายและขวาอยู่ด้านเดียวกันบนพวงมาลัยและการเปลี่ยนเกียร์ไปอยู่ในหน้าจอหรือบนหลังคา4 อย่างนี้ผมว่าไม่ควรปรับเป็นแบบที่ว่าเลยครับ น่าจะใช้ได้ยากขึ้นมากหรือไม่ก็ต้องใช้เวลาเรียนรู้มากขึ้นเยอะเลยครับ
ถ้าเคยขับมันไม่ได้ใช้ยากแบบนั้นนะ แค่คนไม่ชิน ขับแปปเดียวก็ชินแล้ว ยกเว้นเป็นคนแก่อายุเยอะอันนั้นพอจะเข้าใจ
ปุ่มสะดวกดีครับ พอไม่ใส่คงช่วยลดต้นทุน แต่เวลาขับจำเป็นก็ปรับที่จอยาก
ผมชอบแบบเดิมๆ ยุกเมโสโบเตเมียเลยคับ สะดวกดี ที่สำคัญแบบใหม่หน้าจอเสีย เรียบร้อย😅
ปุ่มกดสะดวกกว่าจริงๆนะ เวลาขับรถเอามือไปลูบๆแล้วมันรู้ได้เลยว่าปุ่มอะไร เพราะจำตำแหน่งได้แต่สัมผัสคือต้องมองเท่านั้นถึงกดโดน
จาก haval user กดแตรแล้วเสียงดีเลย์มากกกกกก
มันไม่ใช่เทรนด์ครับมันคือการถูกยัดเยียดให้ใช้เพราะผู้ใช้(ส่วนใหญ่)ก็ไม่ได้ชอบรถไร้ปุ่มกด
ตอนแรกเลยอยากได้จอใหญ่ๆ หวือหวา เท่เลย แต่พอลองเช่ารถรุ่นที่เล็งๆ ไว้มาลองขับ คือ เอาจริง ถ้าต้องมองจอทุกอย่าง คือ distracted มากเวลาขับ มันไม่ดีเลยทีต้องละสายตาจากถนน ผลสุดท้ายรถที่ซื้อคือ ค่ายญี่ปุ่นที่คนด่าว่ากั๊ก ที่จอไม่หวือหวา เน้น practical สุดแต่มันก็ขับสบาย 😅
ไม่ชอบระบบควบคุมแบบ touch type จริงค่ะ มันไม่ได้สะดวกอะไรขนาดนั้น สำหรับคนขับรถ การต้องมองหน้าจอเพื่อปรับนู่นนี่นั่น มันอันตรายมาก แล้วเทคตัวนี้มันกำลังพัฒนา ซึ่งมันไปเร็วมากกกกกก แป๊บๆตกรุ่น ไม่ต้องดูอะไรเลย หน้าจอรถจากเมื่อสิบปีที่แล้ว เทียบกับตอนนี้คือดูเก่ามาก อัพเดทhardwareก็ไม่ได้ ซอฟแวร์ก็ไม่ซัพพอร์ตแล้ว หงุดหงิดทุกครั้งล่าสุดตอนไปซื้อรถ Porsche บอกเซลเลยค่ะว่าขอรถเก่า รุ่นสุดท้ายที่ยังมีปุ่มควบคุมปกติอยู่ ตอนแรกก็คิดว่าเซลอาจจะงง แต่ปรากฏว่าเซลไม่งงนะคะ เพราะเค้าบอกว่าคนเล่นรถจะมีคำขอเหมือนกัน รถรุ่นที่ซื้อมาราคาลงไม่มากเลยค่ะเมื่อเทียบกับรุ่นที่ใหม่กว่าแต่ปุ่มทุกอย่างมันเป็นแบบ touchtype แถมเป็นtexture แบบเงาๆอีก รอยนิ้วมือเต็มไปหมดไม่พอ ยังสะท้อนแสงเข้าตาอีก คนอื่นอาจคิดว่าทันสมัย อิชั้นว่ามันอันตรายค่ะ มากด้วย
เห็นด้วย ปุ่มสำคัญอย่าง แอร์ เอาแบบกายภาพเหมือนเดิมเถอะส่วนตัวใช้รถเก่าอายุเกือบ20ปี อนาล็อค กายภาพเกือบทุกอย่าง สบายมาก ไม่ต้องละสายตาจากถนนก็ปรับแอร์ได้สบาย ทั้งแรงลม ทิศทาง ความเยน รวมถึงไฟฉุกเฉิน อยู่ใกล้มือมาก ละจากคันเกียรนิดเดียว ไม่ต้องมองก็กดถุกใช่จอใหญ่ กวนสายตา ส่วนตัวขนาดใช้โทรศัพท์ติดแทนเครื่องเสียง กลางคอลโซล จอแค่5-6 นิ้ว ขับกลางคืน บางทียังต้องปิดหน้าจอ
เป็นหนึ่งคนที่ยังอยากได้ปุ่มกลับมา มีที่ปรับแอสะดวกๆ กดหน้าจอละต้องตั้งสติเยอะ ผู้สูงอายุขับก็ลำบาก
ผมเป็นคนที่ปรับแอร์บ่อยมาก และไม่ได้ปรับตอนเริ่มขับ แต่จะปรับตอนเริ่มหนาว ทุกวันนี้รถที่ใช้มีปุ่มปรับแอร์โดยเฉพาะ ผมสามารถปรับเพิ่มลดได้โดยไม่ละสายตาไปจากถนนเลย คิดในใจว่าถ้าใช้รถที่มีแต่จอคงจะไม่สะดวกแน่ๆ
บางอย่างควรต้องปุ่มเมนวลครับ ไม่ใช่อะไร เพื่อความปลอดภัยล้วนๆ ไม่ต้องมาจิ้มจอ อันตรายมาก ต้องละสายตามาจอ ที่ผมชอบเลยรถไฟฟ้า audi etron rs อันนั้นทำปุ่มมาให้คนไม่เสียโฟกัสถนน
คุณพ่อผมปวดหัวไม่อยากขับรถที่ไม่เสียบกุญแจสตาร์ทเลยด้วยซ้ำครับ นั่นก็ติดความคลาสสิกมากไปหน่อยแต่ผมยอมรับนะครับว่าปุ่มอะลดได้ แค่มันต้องพร้อมใช้ทันทีที่เราต้องการในเวลาฉุกเฉิน ไม่ใช้ต้องกดเข้า tab นั้นเลือกเมนูนี้ เลือกซ้ายขวา ค่อยปรับได้ ผมเองก็ยังติดกับความ physical อยู่ครับ
คนออกแบบควรคำนึงถึงความปลอดภัยก่อน Sleek design อะไรที่น้อยกว่านั้นผมว่ามันคือความผิดพลาด ผมเจอปัญหาแบบนี้ตอนไปเช่ารถขับที่นอร์เวย์ รู้ซึ้งถึงความไม่สะดวกจริงๆ มันทำให้คิดว่าคนดีไซน์นี่พยายามจะทำให้มันคลีนจนคิดว่ารถมันกลายเป็น Gadget มากกว่ามันเป็นรถจริงๆ นอกจากไม่สะดวกแล้วยังอันตรายมากๆที่ต้องคอยละสายตามาหาว่าต้องกดตรงไหนบนจอ เพื่อให้ฟังก์ชันบางอย่างทำงานผมไม่มองว่ามันเป็น Innovation แต่มันเป็น Major Setback ของการดีไซน์
จริงที่สุดครับ เวลาฉุกเฉิน ไม่ทันได้จิ้มหน้าจอ ก็ "ชน"...ซะแล้วครับ
ชอบปุ่มเยอะ มากกว่าหน้าจอครับ
อะไรที่ย้ายมาบนจอแล้วก็อยู่บนจอต่อไป ส่วนอะไรที่จำเป็นก็ทำกลับเข้าไปเป็น physical เหมือนเดิม เสร็จแล้วทำให้มันเป็น 2-way control จะคุมจะปรับจากไหนก็ได้ controller ทั้งสองตัวก็จะ sync กัน เผลอ ๆ อาจจะทำเหมือนปุ่มคีย์บอร์ด มีให้ customize เองว่ากดแล้วจะให้ทำอะไรบ้าง
ในฐานะคนยุค 90 บอกตรงๆไม่ชอบจอใหญ่ๆเลย ยิ่งถ้าปิดหน้าจอไม่ได้นี่ขอบายครับ รบกวนสมาธิขับรถ และหลายๆอย่างใช้แบบปุ่มง่ายและตามใจได้มากกว่านะ
ผมมองหารถไฟฟ้าที่มีพวก physical button ให้กด จำพวก start/stop, ปรับแอร์, ปรับทิศทางลม, ปรับกระจกมองข้าง ฯลฯ คล้ายๆรถสันดาป จนมาได้ ioniq 6 นี้หละที่กำลังพอเหมาะ พอดี 🎉
จริงครับ หรือผมไม่ชินไม่รู้ เอาว่าไปนั่งรถเพื่อนแอร์เย็นจริง แต่เย็นไป เพื่อนขับรถอยู่ ไปต่างจังหวัง เราก็จะปรับ ปรับไม่เป็น ต้องถามเพื่อน กลายเป็นเพื่อนเสียสมาธิในการขับรถเพื่อต้องมาบอกเรา ไม่ยากครับ แต่มันดูหลาย step และยิ่งขับรถทางไกลเราไม่มีจังหวะจอดมาช่วยอย่างผมนั่ง grab bike บ่อย แอปไม่ผิดนะ คนขับดูแต่จอ หลายครั้งผมบอกคนขับเลย พี่ขอผมบอกทางเองเพราะส่วนใหญ่เป็นเส้นทางที่เรารู้อยู่ละ แล้วมอเตอร์ไซค์ผมคิดว่ายิ่งวอกแวกไม่ได้ เอาจริงๆนะถ้าไม่ติดราคาที่แอปถูกกว่า นั่งพี่วินสบายใจกว่ามากครับ นั้นเขารู้ทางอยู่ละ และไม่เล่นมือถือ
ยังใช้รถปิคอัพ ยุค 90 อยู่เลยค่ะ เลี้ยงคลัชกันไป 😂 แม้ขับออโต้ ก็ยังซีเรียสเรื่องใช้มือถือ ค่อนข้างขับจริงจัง มันหลุดง่าย แวบดูแผนที่ได้บ้าง สำหรับทางไม่คุ้น รุ่นใหม่ยังไม่เคยลอง
ผมขับรถตัวเองโตโยต้าอัลติสมันก็ฟิวชิวๆแต่พอไปขับเทสล่าแฟนค่อนข้างหงุดหงิด อะไรนักหนากับจอ บางทีก็เบื่อ มันไม่ตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตจริงเลย
นึกว่าเป็นคนเดียว ขอบคุณพี่อู๋ที่ออกคลิปนี้มาครับ
เป็นคลิปที่ดีมากครับ
จริง อยากได้ปุ่มคืน ตั้งค่าอะไรต้องผ่านจอ แอร์ ก็ด้วยลำบากจริงรถรุ่นใหม่ๆ
ขับรถ EV คนอื่นมา 3-4 คัน เรื่องปรับแอร์บนหน้าจอเป็นอะไรที่น่ารำคาญมากครับ
สั่งการด้วยเสียง ต้องใช้ได้จริงครับ ปัญหานี้ อนาคตของจริงเลย😂😂😂
เห็นด้วยที่สุดครับบบ อย่างน้อยแอร์ ขอเถอะ ได้โปรดดดด
ปุ่มเวลากดต่อให้ไม่ได้แต่ก็สัมผัสได้ว่ากดถูกปุ่มจากรำดับการวางปุ่ม อักษรหรือตัวหนังสือที่สกรีนบนปุ่ม ต่างจากหน้าที่เรียบๆ จะรูดนิ้วไปตรงไหนก็เหมือนกันหมด ต่อให้มีระบบสั่นใส่เข้ามามันก็ยากที่จะกดโดนหรือกดให้ถูกปุ่ม แถมหน้าจอยังมีความหนาวยในหลายๆรุ่น แสงจากจอที่ใหญ่เกินไปก็รบกวนการขับในตอนกลางคืน ต่อให้ปรับเป็นโทนมืดก็ยังมีแสงส่องออกมา ทั้งนี้มันก็อยู่ที่คนซื้ออ่ะแหละ แต่กาอนจะซื้อรถแบบไหน คิดให้ดี ชีวิตคุณมีชีวิตเดียว คนที่นั่งไปกับคุณก็เช่น ถ้าคิดว่าหน้าจอไม่ใช่อุปสรรค จะซื้อรถที่เป็นหน้าจอล้วนนั่นก็สิทธิ์ของคุณแล้ว
ป้าผมคัดสินใจไม่ซื้อ TESLA ไปซื้อรถไฟฟ้าค่ายอื่นเพราะทุกอย่างไปรวมอยู่หน้าจอ ใช้งานไม่สะดวกนี่แหละครับ
สำหรับผม ถ้าให้ลองขับ Tesla น่าจะชอบ แค่ถ้าให้ใช้จริงในชีวิตประจำวัน คงไม่เอา
ผมก็กำลังตัดสินใจเทสลาา แต่ก็คิดเหมือนกันว่ามันไม่สะดวก
ผมรู้สึกว่าอันตรายที่ต้องเหลือบตามอง เเละไม่คุ้ม เเลกกับความคลีน
ไฟฉุกเฉิน ไฟเลี้ยว การเปลี่ยนเกียร์ เห้นแล้วหนักใจแอบเสียดายรถสวยแต่ใช้จริงไม่ค่อยสะดวก ตัดปุ่มที่จำเป็นออกหมดเลย
อันตรายมากครับ
เห็นด้วยค่ะ ทุกข้อค่ะความปลอดภัยวัดเป็นวินาที
ผมคนนึงที่ไม่ชอบจอกลางใหญ่ ๆ เอามาโชว์ตรงกลาง ผมชอบจอแบบว่าโอเคระดับนึง มีปุ่มอยู่ด้านล่าง เช่นกันครับ เพราะสุดท้ายผมไม่มองจอด้านข้างผมใช้มือสัมผัสปุ่มมากกว่าเพื่อไม่ให้ละสายตามากจนเกินไป ปล.จอไม่ต้องใหญ่มาก ปุ่มคีย์ลัดสักหน่อย จอแค่ไว้ดูอะไรที่จำเป็นมากกว่าเป็นสารพัดทุกสิ่ง มันดูไม่ปลอดภัยครับ
อุ้ย หมุนกระจก ฟ้องอายุเลย 555 รุ่นเดียวกัน
ผมคนนึงที่อยากให้ physical button กลับมานะ...กดแล้วรู้เลยว่าติดไม่ติด
ความปุ่มเยอะๆ อนาล็อคถึงมันจะไม่ทันสมัย แต่มันโคตรทน และใช้ง่าย แทบไม่ต้องปรับตัวเลยครับ
เห็นด้วยมากๆ เวลาอยากปรับ กดเองก็ไม่ได้ เจ้าของรถบ่น ว่า เดี๋ยวเรากดมั่ว 555 กดที ก็โดนบ่นที แล้วการที่ต้องละสายตาไปหาปุ่มบนจอ คือ อันนี้ลำบากสุด
ถ้าไม่มีเลย ผมก็ไม่ชอบนะ ไม่เอาเลย ชอบแบบ อนาลอค 70% นิ้วแห้ง กดไม่ได้เลย แถมบางทีเบิ้ล บางทีค้าง ไปหมดรวนนน รถยุง 2010-2020 นี่แหละแจ่ม แค่มี จอสัมผัสบน วิทยุเอง จอไมล์ก็ ดิจิตอลแทนลงตัว
มันดีครับ แต่ต้องจอดรถกด เวลาขับแล้วต้องมาหาฟังก์ชันต่าง ๆ มันตรายต่อการใช้รถใช้ถนนมากสำหรับผม นอกซะจากก่อนคุณเดินทางตั้งค่าฟังก์ชันต่าง ๆ ให้เสร็จเรียบร้อย
ชอบแบบ ปุ่มกายภาพมากกว่า เอามือลูบๆยังพอรู้ ตอนนี้ต้องมองตลอดว่าอยู่หน้าจอไหน หรือกดโดนถูกปุ่มไหม
ผมว่าจริงๆมันคือการลดต้นทุนของผู้ผลิต การเจาะช่องติดตั้งปุ่ม การเดินสายไฟ งานออกแบบ การจัดวาง มันมีต้นทุนเยอะกว่าการสร้างไอคอนบนหน้าจอ
ชอบปกคลิปมาก ดูรีวิวรถไฟฟ้ารถใหม่ๆชอบให้ตายยังไงถ้าฟังชั่นควบคุมรถต้องกดจากจอ กดปิดรีวิวทันที55
ส่วนตัวอยากให้มีปุ่มปรับเร่งเครื่องเสียงเป็นแบบหมุน อันนี้สะดวกจริงๆ
รถที่ Balance ระหว่างปุ่มกับจอดีสุดสำหรับผมคือ BMW G20 ตัวก่อน LCI
ก้านไฟเลี้ยว ก้านที่ปัดน้ำฝน ก้านเกียร์ ขอที่ดันกระพริบไฟสูงด้วย รวมทั้งปุ่มปรับโหมดการขับขี่ ปุ่มหมุนปรับระดับเสียงเพลง และที่ปรับแอร์ขอแยกส่วนออกมาจากจอหลัก
สำหรับผมอายุของผู้ใช้มีผลในระดับนึงนะครับ.ผมในช่วงอายุ 30 กลางๆ ผมมีปัญหาจริงๆครับถ้ามันไม่มีปุ่ม ออกแนวจะหงุดหงิดด้วยซ้ำ และมีผลกับการตัดสินใจในการซื้อรถคันไหม่มาก!!แต่ถ้ามองจากมุมของแฟนที่อายุห่างกับเกือบ 10 ปี แฟนเรากลับมองว่าการมีปุ่มหรือไม่มี ไม่ได้เป็นเรื่องไหญ่เท่าผมนะครับ.สุดท้ายคือหลานชายและหลานสาวของผม เด็กรุ่นไหม่มองว่ามีปุ่มนี้ออกแนวโบราณด้วยซ้ำและมองว่าปุ่มนั้นแทบไม่มีความจำเป็น
เหมือนรถยนต์ไฟฟ้าจะยัดทุกอย่างไว้ในจอ มันไม่สะดวกอ่ะครับ คือต่อให้มีระบบช่วยขับ แต่โฟกัสคนขับ สายตาก็ควรอยู่บนถนน แต่พอใช้จอแล้วมันต้องมาแบ่งโฟกัสจากถนนไปที่จอเพื่อหาที่ปรับแอร์มันก็ไม่น่าจะปลอดภัยเท่าไร บางทีต้องจอดรถเพื่อปรับแอร์มันก็ไม่น่าจะใช่ มันไม่ใช่ปัญหาเรื่องความทันสมัยหรือความเคยชินเลย แต่ปัญหาคือการโฟกัสในการขับรถ
ใช้เทสลาอยู่เอาเกือบทุกอย่างไปไว้หน้าจอผมรับได้นะ ยกเว้นอย่างเดียวที่รับไม่ได้คือเอาปุ่มไฟฉุกเฉินไปไว้เพดานรถไม่รู้คิดได้ไง
นั่นคือสิ่งเดียวที่ผมไม่กล้าซื้อ Tesla ใช้
จริงครับ สิ่งที่ผู้ขับต้องใช้ในการควบคุมรถควรเข้าถึงง่ายและเรียนรู้ง่ายส่วน entertainปล่อยเขาดีไซน์ไปเถอะครับ ผู้ขับอยากเข้าไปใช้ก็แล้วกัน
ผมอายุมากตาไม่ค่อยดีเลยยังไม่กล้าใช้รถไฟฟ้าเลยเพราะกลัวมองไม่ถนัดตัวหนังสือจะเล็ก ต้องหยิิบแว่นมาใส่ คงต้องรอการปรับปรุงอีกหน่อย แต่เห็นด้วยกับซู่ชิงครับ เหมือนเรือนไมล์แบบหน้าปัทม์มองสะดวกกว่าแบบตัวเลข
การกดบนหน้าจอมันจะไม่แม่นยำเท่าแบบปุ่มกดครับ ต้องละสายตามามองก่อนแล้วจึงกด เป็นแบบนี้ทุกครั้งที่ต้องการจะปรับอะไรตรงหน้าคอนโทรล
เห็นด้วยมากกกก การออกแบบภายในไม่ใช่เล่นงานคือเอาแค่จอๆเดียวแปะ ก็คือเสร็จละ มันไม่ใช่อะครับ เสน่ของแบรนต่างๆมันหายไปเรื่อยๆ เล่นง่ายไปครับแบบนี้ ❤
จริงๆ ปรับยากเนื่องจากเราพวงมาลัยขวาด้วยครับ ต้องมาฝึกกดจอมือซ้าย ใช้จริงเลยขัดๆ กลุ่มประเทศพวงมาลัยซ้ายจะเหมาะสมกว่าครับ ระบบนี้
อือ... ลืมคิดไปเรื่องมีเหตุผล แต่อย่างน้อยปุ่มแอร์ก็ควรจะมีให้บ้าง
@@thanatyimlamai1214 ถ้า tesla แค่สไลด์ สไลด์ ซ้าย ขวา มันก็ปรับให้แล้วครับ ไม่ต้องมองจอก็ได้ Ui มันจะอยู่ตำแหน่งเดิมตลอด
จริง จะขับรถเพื่อน รถน้อง รถพี่ เปลี่ยนคันเมื่อไร ก็งงๆ บางทีต้องนั่งตั้งสติ ดูปุ่มที่จำเป็น ว่าอยู่จุดไหนต่างจากเมื่อก่อน ใช้คันไหนพร้อมไปได้เลย
ปัญหาเดียวกับผมเลย รถแต่ละคันเมนูไม่เหมือนกันต้องเรียนรู้ทุกครั้งที่ไปขับไม่สะดวกเลย แต่รถรุ่นเก่าอะไรๆ มันจะคล้ายกันขับได้ทันที จะงงก็แค่รถยุโรปกับญุี่ปุ่นที่ไฟเลี้ยวอยู่คนละฝั่ง
+1 techno + functional ควรไปด้วยกัน
จริงครับ #แอร์ นี่คือตัวแรกเลย ไม่ว่าจะทิศทาง ไม่ว่าจะเพิ่มลดอุณหภูมิ
ขอบคุณรถยุโรป รุ่นใหม่ๆ ที่คิดถึงความปลอดภัยและยังมีปุ่มกายภาพที่สำคัญอยู่ครับ
จริงๆก็ไม่ใช่อ่ะครับ แบรนด์ยุโรปอยากทำจอกันมาก ทำมาขายแล้วแต่ Software ห่วยมากจนลูกค้าด่า จนกลับมาเป็นปุ่ม
ควรสั่งงานด้วยเสียงได้ทุกฟังก์ชั่น หรือเซ็ดค่าโดยมีการตั้งเป็นค่าเฉพาะคนใช้งาน เหมือนการตั้งค่าเบาะ โดยต้องไม่เปลี่ยนเป็นค่าเริ่มต้นหลังจากดับเครื่อง
ใช่เลย มันต้องละสายตา ไปมองที่ปุ่มแบบสัมผัส ปกติปุ่มแบบเก่า ลูบๆ คลำๆ เอาไม่ต้องมองเลย
เห็นด้วยมากๆ ครับ
ใช่ค่ะเรื่องปุ่มกดย้ายไปอยู่บนจอนี่ทำให้ตัดตัวเลือกไปได้หลายคันเลยค่ะ ขนาดเรา30+จะใช้ยังรู้สึกว่ายุ่งยากมากในการใช้งานที่ต้องไปดูจอตลอด แล้วนึกถึงพ่อกับแม่ที่บ้านเคยพาเขาไปดูเขาบอกว่ามึงซื้อมากูไม่ต้องขับเลยแบบนี้😅 แล้วปุ่มรถสมัยใหม่คือสุ่มมากอย่างเช่นที่คุณยกตัวอย่างปุ่มฉุกเฉินอ่ะค่ะมันสมควรที่จะอยู่ในตำแหน่งที่คุ้นมือคือตรงกลางให้กดได้ง่ายขับหลายคันก็จะต้องมาหาอีกว่าอยู่ที่ไหนในตอนฉุกเฉินนี่ยากมากค่ะ ส่วนเรื่องหน้าจอเป็นปัญาหามากกับแสง เราเป็นที่ขับรถเดินทางต่างจังหวัดบ่อยมีแสงแล้วทำให้ตาล้ามากค่ะเราถามก่อนเลยจอดับได้ไหมมันยิ่งใหญ่ยิ่งสว่างแล้วถนนประเทศไทยคือขับไปมืดขับไปสว่างก็ปวดตาแล้ว อันนี้คือปัญหาที่เกิดกับเราค่ะ ขอให้พัฒนาระบบขึ้นแต่ไม่อยากให้ใส่ทุกอย่างลงในจอค่ะ ปรับเบาะก็ให้อยู่ที่เบาะก็ได้ค่ะ 😂 ของ่ายๆแบบเดิมเห็นแล้วเหมือนรู้สึกว่าใส่ใจในการออกแบบให้ใช้งานมากกว่าค่ะ😊
ถึงจะเข้ามาดูช้า แต่ว่า "ฝันไปเหอะ" ที่จะทวงคืนมาได้ อาจมีทำให้แค่บางยี่ห้อ เพราะเหตุผลเดียว(แต่ยิ่งใหญ่) มันลดต้นทุนได้มหาศาล คิดว่าจะทวงคืนได้ไหมล่ะ มันไม่ใช่แค่สวิทซ์ สายไฟไม่ต้องโยงไปโยงมา ขั้วต่ออีก หน้ากากคอนโซลก็ต้องทำใหม่ เพิ่มรูเพิ่มช่อง ส่วนตัวไม่เคยหลงไหล หรือ วี๊ดว๊ายกระตู้วู๊อื้อฮือเฮฮากับของ "หลอกเด็ก" พวกนี้หรอก ดูเหมือนดี แต่ใช้งานจริงไม่เวิร์ค ถ้าจะให้มันล้ำจริง ๆ ต้องควบคุมด้วยพลังจิตได้ นั่นแหละถึงจะขอวี๊ดว๊ายกระตู้วู๊อื้อฮือเฮฮาด้วยคน แล้วเมื่อไรการรีวิวรถไฟฟ้า(มหากาฬ)จะใช้คำว่า เพาเวอร์-ออน(Power ON) แทนคำว่า "ดิดเครื่อง" ซะที
ปุ่มไฟเลี้ยวกับเกียร์ปรับตัวไม่ยากค่ะ รู้สึกสะดวกพอๆกับแบบก้านแต่ที่ไม่ชอบคือ ปุ่มฉุกเฉินบนหัว ไม่เคยกดทันเวลาฉุกเฉินเลยค่ะ สถานที่มันไม่ได้ 😅
ผมไม่ได้ขับรถ แต่เวลาซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ราคาแพงๆ ผมก็ชอบมองหารุ่นที่มีปุ่มกด มากกว่าที่ใช้เป็นจอสัมผัสไปซะหมดเหมือนกันครับ
ไม่ชอบรถที่มีปุ่มเยอะควรมีเท่าที่จำเป็นและจุดที่ควรเป็นปุ่มก็ควรใช้ปุ่มแบบแมนวล แอร์เบื่อมากที่เป็นแบบปุ่มกดใช้แบบหมุนสะดวกสุด จอสัมผัสที่ดีคตือแบบใช้ปุ่มหมุนเอาเหมือนเครื่องยุโบราณ มันไม่ทำให้เสียสมาธิเวลาขับขี่ เวลาซื้อรถใหม่พยายามหาตัวท็อปในรุ่นนั้นๆที่ปุ่มต่างๆดูsimple ที่สุด ตอนกลางคืนนี่จริงเลยถ้าไม่จำเป็นต้องดูแผนที่จะเปิดหน้าแอ็พเล่นเพลงมืดๆไปเลยมัน
มันได้ฟีลลิ่งด้วยค่ะ เหมือนคีย์บอร์ด ระหว่างคีย์บอร์ดเลเซอร์กับคีย์บอร์ดที่เป็นปุ่มกด ขอปุ่มกดดดดดด 🤣🤣🤣
จริงครับ ใช้จริงไม่สะดวก ฟังก์ชั่นมันควรเป็นการใช้มือสัมผัสโดยไม่จำเป็นต้องใช้ตามอง
มือสัมผัสก็ต้องใช้งานควรเป็นปุ่มกดลงไปเลยมากกว่า
ใช้จอไม่สะดวกด้วยครับ สำหรับคนขับรถ ต้องหันมาดู อันตรายด้วย
@@angkokth แล้วถนนประเทศไทยคือมีแต่เรื่องเซอร์ไพรซ์ ขับ ๆ ไป หมาเอย คนเอย มอไซเอย สารพัด โพล่มาตลอด ละสายตาแทบไม่ได้ด้วยซ้ำ
ขับๆอยู่เกิดจอดับ ทำไรได้บ้าง
@@รพินทร์ไพรวัลย์-ฬ4ง สวดมนต์เลยครับ
เรื่องนี้ ผมเคยไปแสดงว่าคิดเห็นในเพจๆนึงอยู่แต่โดนคคในเพจด่าว่าเป็นพวกไม่พัฒนาตาม คือแบบ แค่ปุ่มแอร์ หรือปุ่มพื้นฐานอ่ะ ขอแค่นั้น ให้ออกมาเป็นปุ่มจริงๆ เพราะเวลาขับรถจริง 1 วิของการละสายตาจากถนน คือชีวิตเลยนะ
ใช่เลยยยยยย คุณอู๋ได้พูดตรงใจมากๆ
คือผมไม่นิยมทุกอย่างเอาไปจิ้มในจอรถอ่ะ บางครั้งคือมีปุ่มกด (เท่าที่จำเป็น) เช่น ปรับช่องลม ปรับความเย็น/ความเร็วพัดลม หรือพวกระบบช่วยเหลือความปลอดภัยสำคัญเช่น Traction Control หรือแม้กระทั่งเปิดเก๊ะเก็บของ ผมอยากให้เป็นปุ่มกายภาพ
หนักหน่อยก็แบบ บางยี่ห้อ (แต่คิดว่าคุณอู๋และเพื่อนๆ ในเม้นต์จะเดาออก) เกียร์ selector ดันอยู่่ในจอ อันนี้เกินไป (รวมถึงระบบไฟเลี้ยวไปอยู่พวงมาลัยแค่เป็นปุ่มแปะพวงมาลัยด้วย นี่เกินไป รับไม่ไหว) พอรวมทุกอย่างในจอ มันจะซับซ้อน แล้วถ้า UI/UX ไม่โอเค ปวดหัวกว่าเก่าอีกครับ
ผมเข้าใจนะ เรื่องต้นทุนทำปุ่ม แต่แบบ... หาสมดุลย์ก็ยังโอเคกว่า
@@zetsuboublogger เกียร์ Selector อยู่ในจอส่วนตัวผมว่าไม่ลำบากต่อการใข้งานครับเพราะ tesla มันเดาเกียร์ให้เราเองตอน start ว่าเราควรถอยหรือเดินหน้า
"หรือแม้กระทั่งเปิดเก๊ะเก็บของ ผมอยากให้เป็นปุ่มกายภาพ" รถบางค่ายสั่งได้ด้วยเสียง Open Glovebox
แต่สำหรับพฤติกรรมการใช้งานของผมมันคือปัญหาเลยครับ บ้านผมจอดรถได้ 3 แต่ต้องถอยเข้าถอยออกเกือบทุกวันเทียบกับอีก 2 คันใช้เวลาอยู่บน tesla นานที่สุดแล้วครับทั้งๆที่อีก 2 คันไม่มีกล้อง 360 ด้วยซ้ำ 555 ผ่านมา 3 เดือนก็ยังรู้สึกเป็นปัญหาอยู่แต่ก็ต้องทนเพราะโดยรวมถือว่าเป็นรถที่ใช้งานดีมากๆ @@Ronnakrit_T
ผมก็ไม่ชอบเทรนด์การออกแบบคอนโซลยุคนี้ครับ มันมักง่าย แทบไม่ต้องคิดอะไรเลย แค่เอาจอแท็บเล็ตมาแปะตรงกลาง จบ แล้วหน้าตาก็ซ้ำๆ ซากๆ โดยเฉพาะรถไฟฟ้าจีนเนี่ย พอปิดโลโก้บนพวงมาลัยแล้ว แทบจะแยกไม่ออกเลยว่าแบรนด์ไหนรุ่นไหน ที่สำคัญคิดได้ยังไงที่ฝากการควบคุมแทบทุกอย่างไว้ในจอจอเดียว ถ้าจอพังล่ะ ไม่เป็นรถพิการเลยรึ
ผมว่าคนบางกลุ่มกำลังหลงทางอยู่กับคำว่า "ล้ำ" และ "ทันสมัย" จนบัญญัติกันไปเอง (รวมถึงผู้ผลิต) ว่าถ้าจะทำรถให้ทันสมัย คนรุ่นใหม่ ล้ำอนาคต ก็ต้องรวมทุกอย่างไว้ในจอสิ .
แถมยังมีค่านิยมในการรีวิวรถในช่วง 1-2 ปีมานี้ ว่ารถที่ยังมีปุ่มกด = "รถโบราณ" อีกในบางสื่อ ก็ยิ่งทำให้ภาพของการใช้ปุ่มในรถ ดูด้อยค่าขึ้นไปอีกในสายตาคนทั่วไป
ขอบคุณพี่อู๋ที่ทำคอนเทนท์ประเด็นนี้มาก ๆ ครับ ผมคนนึงล่ะยอมโดนด่าว่าหัวโบราณ 55555
ส่วนใหญ่จะพวกอวย ev จีนครับ พวกนี้ตรรกะเพี้ยนครับ ไม่ต้องเสียเวลาเถียงดีแล้วครับ
เห็นด้วยเลยครับ
เห็นด้วยมาก ๆ เลยครับ ยิ่งพูดในด้านความปลอดภัย การนำปุ่มออกไปสำหรับผมคิดว่ามันเป็นการลดต้นทุนที่ไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ใช้งาน
นึกถึงตอนที่พี่อู๋เคยรีวิวเครื่องบินที่อธิบายความแหลมคมจนถึงความมนของปุ่มบนเครื่องบิน ที่มันแสดงถึงความละเอียดอ่อนในการใช้ปุ่มนั้น ๆ ผมว่าบนรถยนต์ก็ไม่ต่างกัน ยิ่งปุ่มฉุกเฉินยิ่งควรมี feedback เมื่อกดไป ไม่ใช่ปุ่มด้าน ๆ ที่ไม่รู้ว่ากดโดนรึเปล่า
เห็นหลายคนหลงประเด็นเรื่อง ปุ่มกับจอสัมผัส บนความปลอดภัยของการขับขี่ ไปเปรียบเทียบกับการเปลี่ยนเทคโนโลยีบนอุปกรณ์สื่อสาร มันดูจะผิดฝาผิดตัวไปไกลนะครับ
อยากทำให้คลีน ❌
อยากลดต้นทุน ✅
@@KokoroShashin ไม่อะ อยากลดขั้นตอนผลิตมากกว่า 555
@Ronnakrit_T มันคือส่วนเดียวกันแหละ งานขึ้นรูปพวกนี้ส่วนมากจ้างซัพทำ ลดขั้นตอนซัพแต่ก็กดราคาซัพลงได้อีก
@@Ronnakrit_Tลดขั้นตอนการผลิต ก็คือ ลดต้นทุนนั่นแหละ
ยุคนี้การทำปุ่ม+เดินสายไฟแพงกว่าจอ
WIN WIN
คนซื้อได้รับความรู้สึกว่า ล้ำสุดๆ นี่คืออนาคต นี่คือนวัตกรรม
คนขาย ได้ลดต้นทุน
เห็นด้วยมากๆครับ ผมเป็นคนชอบความทันสมัยในรถยนต์นะ แต่บางอย่างของเดิมมันดีอยู่แล้ว โดยเฉพาะการปรับแอร์เนี่ย ของเดิมหมุนๆเอาง่ายกว่าเยอะ เร็วกว่าจิ้มจอด้วย
ลดต้นทุนครับไม่มีอะไรมาก จริงๆพวกปุ่มกดเบื้องหลังมันก็คือการกลั่นกรองมาแล้วจากประสบการณ์ของผู้ใช้งานครับ การเขียนอยู่ใน software มันเขียนง่ายแต่การแยกปุ่มมันมีต้นทุนเพิ่ม
@@PhatrawuthKensomsriแต่หน้ากากแอร์นี้ของเดิมทุนน้อยกว่านะ การย้ายไปบนจอต้องมีมอเตอร์มาปรับไฟฟ้าอีก
@ ย้ายยังงัยครับ มันแค่ซอฟต์แวร์คอนโทรลธรรมดาเลย แล้วสิ้นคิดคือเอาแอร์ไปจิ้มในจอเพื่อบังคับลมให้เป่าตามทิศทาง ทำไปเพื่อ อุปกรณ์พวกปรับมือคือ Short Cut มันคือเบสิกฟังก์ชั่น หลายๆอย่างจับไปยัดไว้ในจอ ทั้งๆที่มันควรเป็นสิ่งที่ควรคอนโทรลด้วยปุ่มกด พวกชิ้นส่วนมันก็คือ part
รถยนต์ 1 คัน part เกือบ 3 พันชิ้น รถไฟฟ้ามีอะไรบ้างครับ ชิ้นส่วนแต่ละชิ้นก็มาจากคนละที่กันตามแต่ที่ผลิต ต้นทุนมันก็สูงกว่าอยู่แล้วเมื่อมองภาพรวม
เครื่องยนต์มันก็เหมือนนาฬิกาไขลาน รถไฟฟ้าก็เหมือนนาฬิกาใส่ถ่าน ยังงัยรถไฟฟ้าต้นทุนมันก็ถูกถึงถูกมากๆ เค้าไม่ได้มานั่งประกอบทีละชิ้นเหมือนเครื่องยนต์ที่ต้องใช้แรงงานคนเป็นจำนวนมาก อะไรที่ใช้ซอฟต์แวร์ความคุมมันไม่แพงหรอกครับ อุปกรณ์เค้าไม่ได้แรงงานมานั่งประกอบชิ้นส่วน พวกนี้มันแพคมาเป็นชุดๆแล้วมาประกอบ
@@PhatrawuthKensomsri ใช่ไง เราก็เห็นตรงกันครับ แต่ที่ผมพูดเรื่องหน้ากากแอร์ครับ ถ้าทำไฟฟ้า มันไม่ใช่แค่ software มันต้องมี hardware มาควบคุมอีกทีนึง แล้วต้นทุนมันจะลดได้ยังไง เพราะของเดิม manual มีแค่หน้ากากเปล่าๆเอามือเลื่อน อีกอย่างอุปกรณ์ไฟฟ้าผลิตมาถูก แต่ถ้าพังต้องซ่อมแพงกว่าหลายเท่า คนไม่ค่อยนึกถึงส่วนนี้
@@chavicly ผมพูดถึงซอฟต์แวร์ที่เอาไว้ควบคุมอุปกรณ์ ที่เห็นปุ่มๆ มันก็ไม่ได้ถูกๆนะครับ หน้ากากแอร์มันก็ต้องมีมอเตอร์คุมครับ ปุ่มเร่งต่างๆ ก่อนจะมีลมผ่านช่องแอร์ก็ต้องไปกดปุ่มส่งคำสั่งก่อนทั้งนั้นล่ะครับ อย่างพับกระจก มีปุ่มกดมันก็ต้องคอนโทรลมอเตอร์ แต่บนจอคือมันใช้คำสั่งซอฟต์แวร์ไม่ได้มีอุปกรณ์อะไร
หน้ากากแอร์นี่ไม่เข้าใจจริงๆว่าจะเอาตัวปรับทางลมออกทำไม มันเขี่ยตรงหน้ากากง่ายๆก็ดีอยู่แล้ววว คือบางทีขึ้นรถมาร้อนๆอยากให้มันเป่าหน้าสัก 2-3 นาทีแล้วค่อยเขี่ยให้มันไปทางอื่นงี้ พออยู่ในจอแล้วปรับตอนขับไม่ได้เลย
@@cgtt22 มันขึ้นรูปแล้วต้องประกอบอีดครับหุ่นยนตร์มันทำไม่ได้ เขาเลยเอาไปใส่ในจอลดต้นทุน
ข้อดีของการย้ายการปรับแอร์ไปอยู่ในจอ (ปรับไฟฟ้า) คือมันทำให้บันทึกตำแหน่งลมแอร์ลงใน Profile ผู้ขับขี่ได้ครับ // ถ้ารถเราขับกันหลายคน เวลาเปลี่ยนคนขับมันก็จะปรับไปตามที่แต่ละคนปรับไว้อัตโนมัติ ถ้าเป็นคนที่ไม่ได้ขับไปปรับแอร์ไปบ่อยๆ ก็คือสะดวกมากครับ อีกข้อดีก็คือสามารถใช้คำสั่งเสียงในการปรับตำแหน่งแอร์ได้ เช่นให้เป่าหน้า ให้เป่าตัว เป่าไปทางอื่น // ข้อดีของการบันทึกลง Profile อีกข้อก็เช่นในเทสล่าถ้าเราไปใช้คันอื่น เช่นรถเช่า -- Profile ที่เราเคยตั้งไว้ในรถเราก็ย้ายตามไปด้วยอีกต่างหาก รวมถึงตำแหน่งพวงมาลัย ตำแหน่งที่นั่ง ทุกอย่างที่คอมพิวเตอร์รถเข้าถึงได้ก็จะตามไปทั้งหมดเลย ทำให้รถคันนั้นกลายเป็นรถเราไปเลย
รถยนต์ มันต้องการความเสถียร ความทนทาน และความปลอดภัย ..... รวมทั้งปัญหา หนูกัดสายไฟ ที่มักเจอกันประจำ รถรุ่นเก่า ไม่มีปัญหา ขับใช้งานได้ แต่รถใหม่ ไม่ใช่แค่วิ่งไม่ได้ แต่แก้ปัญหาเอง ซ่อมเองเพื่อการใช้งานเร่งด่วน ก็ทำไม่ได้
เอาแค่ลอคประตูหรือกระจกไฟฟ้าผมยังอยากให้มีปุ่มแมนนวลด้วยเลยไม่ใช่ไฟดับแล้วไฟไหม้ตายในรถแบบในจีนหรือ รถจมน้ำเปิดประตูเปิดกระจกไม่ได้น่าจะมีแมนนวลไว้สำรอง
ทุกค่ายควรเรียนรู้งานจาก mazda cx60 นี่คือการออกแบบ interior ที่ใช้ได้จริง
สำคัญอีกอย่างคือ พวกปุ่มดิจิตอล เมื่อเวลาผ่านไปนานๆสัก5-6ปี เกิดจอเสียหายหรือสัมผัสไม่ได้ ทำให้ใช้ฟังก์ชั่นนั้นไม่ได้เลย ทั้งๆที่ระบบครบ แต่ตัวเปิดเสียหาย ถ้าเป็นแมนนวนสวิส มันจะแยกกัน อันไหนเสีย ก็แค่ ซ่อมสวิสนั้น จากใจคนมีรถ ที่เก่าระดับนึงแต่เป็นพวกดิจจิตอลยุคแรก ตอนนี้จอที่ใช้สัมผัสเสียหมดแล้ว ดีที่ไม่สำคัญกับรถ มีแค่ เครื่องเสียง อย่าลืม เครื่องมือดิจิตอลที่อยู่บนรถ มันสั่นสะเทือนเกือบตลอดเวลา
ผมก็ไม่ชอบหน้าจอครับมันไม่ปลอดภัยจริง ที่ชอบสุดน่าจะชอบของ Mazda แอร์ยังหมุนอยู่สะดวกกว่าเยอะ แถมควบคุมจอผ่านลูกบิดที่เขาให้ได้ด้วย ทำให้ปลอดภัยในเวลาขับขี่ครับ
ใช้จริงเสี่ยงมากครับ ไม่รู้กดไปหรือยังต้องหันไปดู ทีนี้แหละหันมาอีกทีวูบวาบเลย
CIVIC FK ไม่ชอบปุ่มปรับแอร์ที่ขึ้นหน้าจอทั้งหมด ยังดีที่มีปุ่ม climate ไว้ให้เข้าเมนู และดีไซน์ให้ดูง่าย แต่ไม่สะดวกเพราะปกติจะเป็นคนชอบปิด AC ก่อนจอด ยิ่งเผลอเข้าเกียร์ถอยแล้ว จอกลางจะเป็นกล้องมองหลังนี้ จบข่าวเลยครับ พอมา ACCORD G11 เวลาต้องใช้เมนูแอร์ทีนึงต้องตั้งสติ ปุ่ม AC เล็กมาก ตัวปรับแอร์กลางรถที่เป็นจอกลมๆเหมือนจะเท่ ล้ำดีตอนแรก ดีใจที่ของไทยได้มาทุกรุ่นย่อย พอใช้งานจริง ยังไงต้องมอจอมากวก่า civic อีก อิจฉาตัวนอกที่ได้จอแอร์ที่เป็นจอแอร์จริงๆแบบ G10 จอแอร์แบบปุ่มๆผสมจอ ยังไงควรแยกกับจอกลางครับ อีกเรื่องนึงต้องตั้งหน่วงเมนูจอแอร์ที่จอกลางให้พอดีด้วยครับ แรกๆกดเข้าเมนู แล้วต้องละสายตาจากจอกลางไปมองถนน พอหันกลับมาดูจอกลางอีกที อ่าว จอกลางกลับไปหน้า HOME เหมือนเดิม ตอนนี้ปรับหน่วงให้พอดีก็รู้สึกดีขึ้นครับ อีกเรื่องก็ปุ่มบนพวงมาลัยไม่ควรเป็นลูกลิ้ง หรืออะไรที่ไม่ใช่ปุ่มครับ ยกตัวอย่าง G11 อีกเช่นเคย การเลื่่อนเมนูต่างๆจะเป็น scroll เวลาใช้งานต้องแอบเกร็จนิดหน่อย ไม่ให้กลิ้งไปเกิน 1 คลิกครับ ถ้าเป็นปุ่มขึ้นกับลงแยกกันจะดีมากครับ กดคือกดเลยไม่ต้องกลัว กลิ้งไปเกินครับ
จริงมาก ทุกวันนี้เลือกรถคือ เข้าไปนั่งดูการจัดวางปุ่ม ฟังคชั่นการกดก่อนเลย
ถ้า ux ยี่ห้อไหนจัดวางปุ่มได้ดีสุด คือ มั่นใจได้ว่าคิดมาเพื่อคนใช้รถจริงๆ
เห็นด้วยเลยค่ะ ส่วนตัวที่ขับรถคันเก่าตั้งแต่อายุ 18 ไม่มีฟังก์ชั่นช่วยขับอะไรทั้งนั้น พอมีรถคันแรกที่มีแค่เซ็นเซอร์ถอยหลังช่วย จนรู้สึกว่า เคยตัวมากค่ะ เวลาไปขับรถคันเก่าทีไรก็จะกะระยะถอยหลังช้ามาก จนตอนนี้กำลังดูรถคันใหม่อยู่ เซลล์ก็ขายเรื่องฟังก์ชั่นบางอย่างมาก อย่างกล้องมองหลัง ตัวช่วยถอยจอด บลาๆๆๆ จนต้องถามเลยค่ะว่าไม่เอาได้มั้ย บางอย่างที่ช่วยได้จริงๆก็ดีนะคะ เช่น adaptive cruise control แต่บางอย่างพอใช้นานๆ รู้สึกทักษะในการขับรถมันถดถอยไปเลย รวมถึงถ้าพวกปุ่มต่างๆย้ายไปอยู่ในจอหมด อย่าว่าแต่คนแก่มองไม่เห็นเลย เราเองก็คงรำคาญเหมือนกัน มันดึงสมาธิตอนขับรถจริงๆ
อยากให้เพิ่มขึ้นมาอีก 1 เกณฑ์ที่เป็นมาตรฐานในเรื่องของความปลอดภัยต่อเพื่อนร่วมถนนด้วยครับ เพราะรถปัจจุบันหลายรุ่นมีการออกแบบขนาดไฟเลี้ยวให้เล็กม๊ากกก... จนยากต่อการสังเกตและมองเห็นในช่วงเวลากลางวัน อย่างน้อยๆพื้นที่ของไฟเลี้ยวควรมีขนาดสัดส่วนเป็น 30% ของโคมไฟเลี้ยวทั้งหมด เพราะบ่อยครั้งที่ขับรถตามหลังรถบางรุ่นเกือบจะชนเอาอยู่หลายครั้งเพราะไม่สามารถสังเกตเห็นว่าเขาเปิดไฟเลี้ยวอยู่ เนื่องจากมันมีขนาดเล็กมาก
ไฟเลี้ยว ไฟถอย ไฟเบรคเล็กจิ๋ว แต่ไฟหน้าแยงตาชาวบ้าน 😂
อะไรที่ใช้บ่อยๆ เช่น ปุ่มแอร์ ปุ่มปรับเสียง หรือปรับทิศทางแอร์ ควรจะเป็น physical นะ จะได้ไม่ต้องละสายตาไปจากถนน
ทุกวันนี้คนขับโดนยูทูบดึงสายตาไปจากถนนก็แย่แล้ว นี่ยังต้องย้ายสายตามาเพื่อปรับแอร์อีก อันตรายมาก
รถรุ่นไหน เปิดใช้งาน RUclips ขณะขับใช้งานได้ด้วยอ่ะ
@ หลายอยู่นะคะโดยเฉพาะรุ่นใหม่ๆ บางรุ่นทำไม่ได้คนก็เอาไปโมกันเพียบเลย อันตรายมากกกก
ใครสั่งใครสอนให้ดูยูทูปในรถครับเนี่ย สภาพนี้ให้ปุ่มเต็มพวงมาลัยก็ขับง่าวอยู่ดี
@@iboommm_ เราเขียนไม่เคลียร์เอง เราไม่ได้ดูค่าาาาา แต่คุณไปดูตามกลุ่มรถดิ โมหน้าจอกันเพียบเลย คำถามแบบ ทำยังไงถึงจะดูยูทูบได้ รถแพงรถถูกมาหมด ก็คือต้องขับรถร่วมทางกะคนดูยูทูบไปด้วยอะยุคนี้
ที่บอกๆกันเนี่ย คนใช้มือถือระหว่างขับรถอันตรายกว่า คนทำแบบนั้นเพียบ รถที่มีแต่จอมีไม่กี่รุ่นเอง ถ้าไม่โอเคก็ต้องไปใช้ยี่ห้ออื่น
จริง ใช้รถไฟฟ้า จะกดปุ่มทีต้องเล็งกันหลายรอบ เสียสมาธิจริงๆ ขอปุ่มเดิมๆกลับมา
ผมเคยแสดงความเห็นแบบเนี้ยแหละ สุดท้ายโดนแอนตี้รถน้ำมัน หาว่าเราโบราณ รถเขามีระบบปรับด้วยสัญญาณนิ้ว ทำมือได้ อะไรบลาๆ ผมก็ปล่อยผ่านไม่เถียงละกันแล้วแต่ความถนัดเลย
ผู้บริโภคแบบนี้ ผู้ผลิตยิ้มเลย ไม่ต้องเสียค่าผลิตปุ่ม
ผมก็โดนเหมือนกันครับ ไปคอมเม้นต์เรื่องระบบการควบคุมแอร์หรือระบบอื่นๆควรจะมีปุ่มกดเพื่อให้ง่ายต่อการใช้งาน โดนบรรดาหัวสมัยใหม่หาว่าเป็นพวกล้าหลังไม่ทันยุคทันสมัยแล้วโยงไปเรื่องมือถือปุ่มกดเฉยเลย มันเอามาเทียบกันได้เหรอ 😂
ผมอายุจะ30ละใช้รถมีจอเอื้อมมือซ้ายจะไปปรับแอร์จิ้มไม่ถูกสักทีรถวิ่งมือก็สั่นหัวจะปวดเห้อออเหนื่อยใจ ผมไม่มีปัญหากับการลดปุ่มไปเป็นจอ แต่ Ui ควรทำให้มันใหญ่ๆจิ้มโดนง่ายหน่อย
เห็นด้วยมากมากมากกกกกกกเลยค่ะะะ คือการมีปุ่มมันสะดวกกว่าจริงๆ เรายอมซื้อรถรุ่นที่เก่าลงไป1รุ่น เพื่อจะเอาปุ่มปรับแอร์ และปุ่มปรับวิทยุเอาไว้ คือเอาทุกปุ่มไปขึ้นบนหน้าจอมันสุดยอดจะไม่สะดวกกก ถึงแม้จะบอกว่าสามารถใช้คำสั่งเสียงได้อะไรต่างๆ แต่มันไม่ถนัดและไม่สะดวกจริงๆ สุดท้ายแล้วรู้สึกว่าการมีปุ่มมันรวดเร็วกว่า ปลอดภัยกว่าเวลาเราขับรถและต้องการจะปรับ ถ้าขับรถไปด้วยแล้วปรับแบบที่อยู่บนแผงหน้าจอ โห อันตรายมาก กว่าจะเจอสิ่งที่ต้องการจะปรับ
Bentley กับ Rolls Royce ยังใช้ปุ่มอยู่นะ รุ่นใหม่ก็ใช้
วิทยุคืออะไรหรอครับ
@@Morocco-j3i วิทยุคือ Radio
ส่วนตัวตัวผมชอบรถที่หรูล้ำ คำว่าล้ำของผมก็คือขอหนีความอนาล็อกยุค80-90ให้ใกลที่สุด ซึ่งมีแต่แอร์ วิทยุ เทป แมค แต่ก็ไม่ต้องล้ำถึงขั้นเป็นเทสล่าหรือรถไฟฟ้าจีนยุค20s(2020-2030) ส่วนตัวผมผมชอบรถยุค10s(2010-2020)ซึ่งบาลานซ์ระหว่างจอกับปุ่มกายภาพได้อย่างกลมกล่อมลงตัวที่สุดและเป็นรถที่หนีความอนาล็อกยุค80-90ได้ใกลสะใจสุดๆเลยครับ แล้วในมุมผมปุ่มกายภาพนอกจอจะใช้สะดวกแล้วมันทำให้รถดูแพงหรูพรีเมียมกว่า ต่อให้จะไม่ใช้รถแบรนด์หรูราคาเกิน2ล้านก็ตาม ส่วนตัวผมมองว่าปุ่มกายภาพก็เหมือนเป็นhandmadeชนิดหนึ่งครับ
มันเริ่มตั้งแต่ยุคที่เครื่องเสียงในรถเริ่มทำ touchscreen แล้วครับ ตั้งแต่ยุคต้น 2010 เครื่องเสียงทำ touchscreen กันใหญ่ แต่ปุ่มบนจอเล็กมาก ดันไปเน้นโชว์ graphic และพื้นที่ว่างๆ ที่ไม่จำเป็นเลย แถมระบบยังหน่วงอีกเช่น Fortuner 2015
คนออกแบบรถ ต้องไปดูงานคนออกแบบเครื่องบิน ล้ำแค่ไหน ก็ต้องทำให้ใช้งานจริงได้
ง่าย ๆ ครับ อีกหน่อย บริษัทรถ จะขาย option เหล่านี้เป็น cloud service แล้วเก็บเงินครับ คือ ถ้าจะเอา feature อะไรพิเศษ ๆ ผู้ขายจะสามารถ enable / disable ได้จาก center on cloud ตรับ
เรียกว่า Software Define Vehicle (SDV) ครับ
ก็ดีหนิครับ ถ้าไม่ใช้อะไรจะได้ไม่ต้องจ่ายตังในส่วนนั้น
จริงครับ ปุ่มที่เป็นกายภาพมันให้ความรู้สึกว่าเรากดแล้วจริงๆ ไม่ต้องใช้ตาเหล่มองนานๆ เหมือนหน้าจอบนรถสมัยใหม่ที่ต้องมองนานมากว่าจะจิ้มลงตรงไหนบนหน้าจอ มันส่งผลต่อความปลอดภัยในการขับขี่ยานพาหนะโดยตรงเลย
อีกไม่นานก็ กลับ เป็นปุ่มแล้วครับใจเย็นๆ
เพราะ ปุ่มPhysical จะเป็นส่วนนึงของมาตราฐานความปลอดภัย
ผมเองก็คงยังไม่ได้เปลี่ยนอีกพักนึงเลย หักค่าเช่า ค่าเสื่อมให้หมด ก่อน
เมื่อหลายๆแบรนด์พยายามทำรถให้ไม่เป็นรถ
การเอาทุกอย่างไปยัดไว้ในจอ คนที่ขับรถในเมือง ขับช้าๆ ติดไฟแดงเป็นครึ่งชั่วโมง ไม่มีปัญหา
แต่ถ้าขับบนซุปเปอร์ไฮเวย์ ความเร็ว 100+ มันไม่โอเค
เหมือนเป็นการพัฒนา แต่ถอยหลัง
บางอย่าง Physical button นี่คือดีที่สุด
ของผม พ่อ-แม่ แก่แล้วไม่ค่อยกล้ากดหน้าจอ กลัวกดผิด ก็จะให้ลูกมากดให้แทนตลอด มันเลยลำบากตรงนี้ ขับรถแล้วต้องมามองจอปรับให้อีก
พัฒนาเพื่อความต้องการ แรกๆพากันชื้นชม สุดท้ายก็กลับมาแบบเดิม แล้วก็เรียกหาการพัฒนาวนไปวนมา มนุษย์นี้โคตรเรื่องมากเลย
เริ่มต้นมา ...
ก็ปรับดิ ....
เหมือนออกมาจากใจ 😂😂😂
ด้วยอายุ40+อย่างผมนี่ ....
เปิดแอร์หมุนออโต้ .... แล้วไม่ต้องไปจับแอร์อีกเลย .. แล้วระบบหมุนเวียนอากาศ ทำมาได้ดี ดีมากพอที่ทำให้อากาศร้อนตรงกระจกหน้าไหลเวียนออกไปได้ เลยทำให้ รู้สึกสะดวกสบายมากขึ้น จน ไม่ต้องมาสนใจที่จะปรับหน้ากากแอร์เองเลย .....
พอคนถามว่าขึ้นรถมาตอนแรกๆมันร้อนอยากเปิดแอร์เป่าตัว .....
ผมอยากจะบอกว่า .... ก่อนขึ้นรถเราแค่เปิดแอร์ 5นาที ผ่านมือถือ..พอมาถึงรถ ก็เย็นแล้วครับ
พวกระบบ Active Safety หรือโหมดการขับขี่กลายเป็นเมนูในจอพอเข้าใจได้ครับ เพราะเราอาจจะไม่ได้ปรับมันบ่อยขนาดนั้น
แต่ปรับทิศทางแอร์ในจอ
ปุ่มกดไฟฉุกเฉินไม่อยู่ตรงกลางของคอนโซลหน้า
ปุ่มไฟเลี้ยวทั้งซ้ายและขวาอยู่ด้านเดียวกันบนพวงมาลัย
และการเปลี่ยนเกียร์ไปอยู่ในหน้าจอหรือบนหลังคา
4 อย่างนี้ผมว่าไม่ควรปรับเป็นแบบที่ว่าเลยครับ น่าจะใช้ได้ยากขึ้นมากหรือไม่ก็ต้องใช้เวลาเรียนรู้มากขึ้นเยอะเลยครับ
ถ้าเคยขับมันไม่ได้ใช้ยากแบบนั้นนะ แค่คนไม่ชิน ขับแปปเดียวก็ชินแล้ว ยกเว้นเป็นคนแก่อายุเยอะอันนั้นพอจะเข้าใจ
ปุ่มสะดวกดีครับ พอไม่ใส่คงช่วยลดต้นทุน แต่เวลาขับจำเป็นก็ปรับที่จอยาก
ข้อดีของการย้ายการปรับแอร์ไปอยู่ในจอ (ปรับไฟฟ้า) คือมันทำให้บันทึกตำแหน่งลมแอร์ลงใน Profile ผู้ขับขี่ได้ครับ // ถ้ารถเราขับกันหลายคน เวลาเปลี่ยนคนขับมันก็จะปรับไปตามที่แต่ละคนปรับไว้อัตโนมัติ ถ้าเป็นคนที่ไม่ได้ขับไปปรับแอร์ไปบ่อยๆ ก็คือสะดวกมากครับ อีกข้อดีก็คือสามารถใช้คำสั่งเสียงในการปรับตำแหน่งแอร์ได้ เช่นให้เป่าหน้า ให้เป่าตัว เป่าไปทางอื่น // ข้อดีของการบันทึกลง Profile อีกข้อก็เช่นในเทสล่าถ้าเราไปใช้คันอื่น เช่นรถเช่า -- Profile ที่เราเคยตั้งไว้ในรถเราก็ย้ายตามไปด้วยอีกต่างหาก รวมถึงตำแหน่งพวงมาลัย ตำแหน่งที่นั่ง ทุกอย่างที่คอมพิวเตอร์รถเข้าถึงได้ก็จะตามไปทั้งหมดเลย ทำให้รถคันนั้นกลายเป็นรถเราไปเลย
ผมชอบแบบเดิมๆ ยุกเมโสโบเตเมียเลยคับ สะดวกดี ที่สำคัญแบบใหม่หน้าจอเสีย เรียบร้อย😅
ปุ่มกดสะดวกกว่าจริงๆนะ เวลาขับรถเอามือไปลูบๆแล้วมันรู้ได้เลยว่าปุ่มอะไร เพราะจำตำแหน่งได้
แต่สัมผัสคือต้องมองเท่านั้นถึงกดโดน
จาก haval user กดแตรแล้วเสียงดีเลย์มากกกกกก
มันไม่ใช่เทรนด์ครับ
มันคือการถูกยัดเยียดให้ใช้
เพราะผู้ใช้(ส่วนใหญ่)ก็ไม่ได้ชอบรถไร้ปุ่มกด
ตอนแรกเลยอยากได้จอใหญ่ๆ หวือหวา เท่เลย แต่พอลองเช่ารถรุ่นที่เล็งๆ ไว้มาลองขับ คือ เอาจริง ถ้าต้องมองจอทุกอย่าง คือ distracted มากเวลาขับ มันไม่ดีเลยทีต้องละสายตาจากถนน ผลสุดท้ายรถที่ซื้อคือ ค่ายญี่ปุ่นที่คนด่าว่ากั๊ก ที่จอไม่หวือหวา เน้น practical สุดแต่มันก็ขับสบาย 😅
ไม่ชอบระบบควบคุมแบบ touch type จริงค่ะ มันไม่ได้สะดวกอะไรขนาดนั้น สำหรับคนขับรถ การต้องมองหน้าจอเพื่อปรับนู่นนี่นั่น มันอันตรายมาก แล้วเทคตัวนี้มันกำลังพัฒนา ซึ่งมันไปเร็วมากกกกกก แป๊บๆตกรุ่น ไม่ต้องดูอะไรเลย หน้าจอรถจากเมื่อสิบปีที่แล้ว เทียบกับตอนนี้คือดูเก่ามาก อัพเดทhardwareก็ไม่ได้ ซอฟแวร์ก็ไม่ซัพพอร์ตแล้ว หงุดหงิดทุกครั้ง
ล่าสุดตอนไปซื้อรถ Porsche บอกเซลเลยค่ะว่าขอรถเก่า รุ่นสุดท้ายที่ยังมีปุ่มควบคุมปกติอยู่ ตอนแรกก็คิดว่าเซลอาจจะงง แต่ปรากฏว่าเซลไม่งงนะคะ เพราะเค้าบอกว่าคนเล่นรถจะมีคำขอเหมือนกัน รถรุ่นที่ซื้อมาราคาลงไม่มากเลยค่ะเมื่อเทียบกับรุ่นที่ใหม่กว่าแต่ปุ่มทุกอย่างมันเป็นแบบ touchtype แถมเป็นtexture แบบเงาๆอีก รอยนิ้วมือเต็มไปหมดไม่พอ ยังสะท้อนแสงเข้าตาอีก คนอื่นอาจคิดว่าทันสมัย อิชั้นว่ามันอันตรายค่ะ มากด้วย
เห็นด้วย ปุ่มสำคัญอย่าง แอร์ เอาแบบกายภาพเหมือนเดิมเถอะ
ส่วนตัวใช้รถเก่าอายุเกือบ20ปี อนาล็อค กายภาพเกือบทุกอย่าง สบายมาก ไม่ต้องละสายตาจากถนนก็ปรับแอร์ได้สบาย ทั้งแรงลม ทิศทาง ความเยน รวมถึงไฟฉุกเฉิน อยู่ใกล้มือมาก ละจากคันเกียรนิดเดียว ไม่ต้องมองก็กดถุก
ใช่จอใหญ่ กวนสายตา ส่วนตัวขนาดใช้โทรศัพท์ติดแทนเครื่องเสียง กลางคอลโซล จอแค่5-6 นิ้ว ขับกลางคืน บางทียังต้องปิดหน้าจอ
เป็นหนึ่งคนที่ยังอยากได้ปุ่มกลับมา มีที่ปรับแอสะดวกๆ กดหน้าจอละต้องตั้งสติเยอะ ผู้สูงอายุขับก็ลำบาก
ผมเป็นคนที่ปรับแอร์บ่อยมาก และไม่ได้ปรับตอนเริ่มขับ แต่จะปรับตอนเริ่มหนาว ทุกวันนี้รถที่ใช้มีปุ่มปรับแอร์โดยเฉพาะ ผมสามารถปรับเพิ่มลดได้โดยไม่ละสายตาไปจากถนนเลย คิดในใจว่าถ้าใช้รถที่มีแต่จอคงจะไม่สะดวกแน่ๆ
บางอย่างควรต้องปุ่มเมนวลครับ ไม่ใช่อะไร เพื่อความปลอดภัยล้วนๆ ไม่ต้องมาจิ้มจอ อันตรายมาก ต้องละสายตามาจอ ที่ผมชอบเลยรถไฟฟ้า audi etron rs อันนั้นทำปุ่มมาให้คนไม่เสียโฟกัสถนน
คุณพ่อผมปวดหัวไม่อยากขับรถที่ไม่เสียบกุญแจสตาร์ทเลยด้วยซ้ำครับ นั่นก็ติดความคลาสสิกมากไปหน่อย
แต่ผมยอมรับนะครับว่าปุ่มอะลดได้ แค่มันต้องพร้อมใช้ทันทีที่เราต้องการในเวลาฉุกเฉิน ไม่ใช้ต้องกดเข้า tab นั้นเลือกเมนูนี้ เลือกซ้ายขวา ค่อยปรับได้ ผมเองก็ยังติดกับความ physical อยู่ครับ
คนออกแบบควรคำนึงถึงความปลอดภัยก่อน Sleek design อะไรที่น้อยกว่านั้นผมว่ามันคือความผิดพลาด
ผมเจอปัญหาแบบนี้ตอนไปเช่ารถขับที่นอร์เวย์ รู้ซึ้งถึงความไม่สะดวกจริงๆ มันทำให้คิดว่าคนดีไซน์นี่พยายามจะทำให้มันคลีนจนคิดว่ารถมันกลายเป็น Gadget มากกว่ามันเป็นรถจริงๆ นอกจากไม่สะดวกแล้วยังอันตรายมากๆที่ต้องคอยละสายตามาหาว่าต้องกดตรงไหนบนจอ เพื่อให้ฟังก์ชันบางอย่างทำงาน
ผมไม่มองว่ามันเป็น Innovation แต่มันเป็น Major Setback ของการดีไซน์
จริงที่สุดครับ เวลาฉุกเฉิน ไม่ทันได้จิ้มหน้าจอ ก็ "ชน"...ซะแล้วครับ
ชอบปุ่มเยอะ มากกว่าหน้าจอครับ
อะไรที่ย้ายมาบนจอแล้วก็อยู่บนจอต่อไป ส่วนอะไรที่จำเป็นก็ทำกลับเข้าไปเป็น physical เหมือนเดิม เสร็จแล้วทำให้มันเป็น 2-way control จะคุมจะปรับจากไหนก็ได้ controller ทั้งสองตัวก็จะ sync กัน เผลอ ๆ อาจจะทำเหมือนปุ่มคีย์บอร์ด มีให้ customize เองว่ากดแล้วจะให้ทำอะไรบ้าง
ในฐานะคนยุค 90 บอกตรงๆไม่ชอบจอใหญ่ๆเลย ยิ่งถ้าปิดหน้าจอไม่ได้นี่ขอบายครับ รบกวนสมาธิขับรถ และหลายๆอย่างใช้แบบปุ่มง่ายและตามใจได้มากกว่านะ
ผมมองหารถไฟฟ้าที่มีพวก physical button ให้กด จำพวก start/stop, ปรับแอร์, ปรับทิศทางลม, ปรับกระจกมองข้าง ฯลฯ คล้ายๆรถสันดาป จนมาได้ ioniq 6 นี้หละที่กำลังพอเหมาะ พอดี 🎉
จริงครับ หรือผมไม่ชินไม่รู้ เอาว่าไปนั่งรถเพื่อนแอร์เย็นจริง แต่เย็นไป เพื่อนขับรถอยู่ ไปต่างจังหวัง เราก็จะปรับ ปรับไม่เป็น ต้องถามเพื่อน กลายเป็นเพื่อนเสียสมาธิในการขับรถเพื่อต้องมาบอกเรา ไม่ยากครับ แต่มันดูหลาย step และยิ่งขับรถทางไกลเราไม่มีจังหวะจอดมาช่วย
อย่างผมนั่ง grab bike บ่อย แอปไม่ผิดนะ คนขับดูแต่จอ หลายครั้งผมบอกคนขับเลย พี่ขอผมบอกทางเองเพราะส่วนใหญ่เป็นเส้นทางที่เรารู้อยู่ละ แล้วมอเตอร์ไซค์ผมคิดว่ายิ่งวอกแวกไม่ได้ เอาจริงๆนะถ้าไม่ติดราคาที่แอปถูกกว่า นั่งพี่วินสบายใจกว่ามากครับ นั้นเขารู้ทางอยู่ละ และไม่เล่นมือถือ
ยังใช้รถปิคอัพ ยุค 90 อยู่เลยค่ะ เลี้ยงคลัชกันไป 😂 แม้ขับออโต้ ก็ยังซีเรียสเรื่องใช้มือถือ ค่อนข้างขับจริงจัง มันหลุดง่าย แวบดูแผนที่ได้บ้าง สำหรับทางไม่คุ้น รุ่นใหม่ยังไม่เคยลอง
ผมขับรถตัวเองโตโยต้าอัลติสมันก็ฟิวชิวๆแต่พอไปขับเทสล่าแฟนค่อนข้างหงุดหงิด อะไรนักหนากับจอ บางทีก็เบื่อ มันไม่ตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตจริงเลย
นึกว่าเป็นคนเดียว ขอบคุณพี่อู๋ที่ออกคลิปนี้มาครับ
เป็นคลิปที่ดีมากครับ
จริง อยากได้ปุ่มคืน ตั้งค่าอะไรต้องผ่านจอ แอร์ ก็ด้วยลำบากจริงรถรุ่นใหม่ๆ
ขับรถ EV คนอื่นมา 3-4 คัน เรื่องปรับแอร์บนหน้าจอเป็นอะไรที่น่ารำคาญมากครับ
สั่งการด้วยเสียง ต้องใช้ได้จริงครับ ปัญหานี้ อนาคตของจริงเลย😂😂😂
เห็นด้วยที่สุดครับบบ
อย่างน้อยแอร์ ขอเถอะ ได้โปรดดดด
ปุ่มเวลากดต่อให้ไม่ได้แต่ก็สัมผัสได้ว่ากดถูกปุ่มจากรำดับการวางปุ่ม อักษรหรือตัวหนังสือที่สกรีนบนปุ่ม ต่างจากหน้าที่เรียบๆ จะรูดนิ้วไปตรงไหนก็เหมือนกันหมด ต่อให้มีระบบสั่นใส่เข้ามามันก็ยากที่จะกดโดนหรือกดให้ถูกปุ่ม แถมหน้าจอยังมีความหนาวยในหลายๆรุ่น แสงจากจอที่ใหญ่เกินไปก็รบกวนการขับในตอนกลางคืน ต่อให้ปรับเป็นโทนมืดก็ยังมีแสงส่องออกมา ทั้งนี้มันก็อยู่ที่คนซื้ออ่ะแหละ แต่กาอนจะซื้อรถแบบไหน คิดให้ดี ชีวิตคุณมีชีวิตเดียว คนที่นั่งไปกับคุณก็เช่น ถ้าคิดว่าหน้าจอไม่ใช่อุปสรรค จะซื้อรถที่เป็นหน้าจอล้วนนั่นก็สิทธิ์ของคุณแล้ว
ป้าผมคัดสินใจไม่ซื้อ TESLA ไปซื้อรถไฟฟ้าค่ายอื่นเพราะทุกอย่างไปรวมอยู่หน้าจอ ใช้งานไม่สะดวกนี่แหละครับ
สำหรับผม ถ้าให้ลองขับ Tesla น่าจะชอบ แค่ถ้าให้ใช้จริงในชีวิตประจำวัน คงไม่เอา
ผมก็กำลังตัดสินใจเทสลาา แต่ก็คิดเหมือนกันว่ามันไม่สะดวก
ผมรู้สึกว่าอันตรายที่ต้องเหลือบตามอง เเละไม่คุ้ม เเลกกับความคลีน
ไฟฉุกเฉิน ไฟเลี้ยว การเปลี่ยนเกียร์ เห้นแล้วหนักใจแอบเสียดายรถสวยแต่ใช้จริงไม่ค่อยสะดวก ตัดปุ่มที่จำเป็นออกหมดเลย
อันตรายมากครับ
เห็นด้วยค่ะ ทุกข้อค่ะความปลอดภัยวัดเป็นวินาที
ผมคนนึงที่ไม่ชอบจอกลางใหญ่ ๆ เอามาโชว์ตรงกลาง ผมชอบจอแบบว่าโอเคระดับนึง มีปุ่มอยู่ด้านล่าง เช่นกันครับ เพราะสุดท้ายผมไม่มองจอด้านข้างผมใช้มือสัมผัสปุ่มมากกว่าเพื่อไม่ให้ละสายตามากจนเกินไป
ปล.จอไม่ต้องใหญ่มาก ปุ่มคีย์ลัดสักหน่อย จอแค่ไว้ดูอะไรที่จำเป็นมากกว่าเป็นสารพัดทุกสิ่ง มันดูไม่ปลอดภัยครับ
อุ้ย หมุนกระจก ฟ้องอายุเลย 555 รุ่นเดียวกัน
ผมคนนึงที่อยากให้ physical button กลับมานะ...กดแล้วรู้เลยว่าติดไม่ติด
ความปุ่มเยอะๆ อนาล็อคถึงมันจะไม่ทันสมัย แต่มันโคตรทน และใช้ง่าย แทบไม่ต้องปรับตัวเลยครับ
เห็นด้วยมากๆ เวลาอยากปรับ กดเองก็ไม่ได้ เจ้าของรถบ่น ว่า เดี๋ยวเรากดมั่ว 555 กดที ก็โดนบ่นที แล้วการที่ต้องละสายตาไปหาปุ่มบนจอ คือ อันนี้ลำบากสุด
ถ้าไม่มีเลย ผมก็ไม่ชอบนะ ไม่เอาเลย ชอบแบบ อนาลอค 70% นิ้วแห้ง กดไม่ได้เลย แถมบางทีเบิ้ล บางทีค้าง ไปหมดรวนนน รถยุง 2010-2020 นี่แหละแจ่ม แค่มี จอสัมผัสบน วิทยุเอง จอไมล์ก็ ดิจิตอลแทนลงตัว
มันดีครับ แต่ต้องจอดรถกด เวลาขับแล้วต้องมาหาฟังก์ชันต่าง ๆ มันตรายต่อการใช้รถใช้ถนนมากสำหรับผม นอกซะจากก่อนคุณเดินทางตั้งค่าฟังก์ชันต่าง ๆ ให้เสร็จเรียบร้อย
ชอบแบบ ปุ่มกายภาพมากกว่า เอามือลูบๆยังพอรู้ ตอนนี้ต้องมองตลอดว่าอยู่หน้าจอไหน หรือกดโดนถูกปุ่มไหม
ผมว่าจริงๆมันคือการลดต้นทุนของผู้ผลิต การเจาะช่องติดตั้งปุ่ม การเดินสายไฟ งานออกแบบ การจัดวาง มันมีต้นทุนเยอะกว่าการสร้างไอคอนบนหน้าจอ
ชอบปกคลิปมาก ดูรีวิวรถไฟฟ้ารถใหม่ๆชอบให้ตายยังไงถ้าฟังชั่นควบคุมรถต้องกดจากจอ กดปิดรีวิวทันที55
ส่วนตัวอยากให้มีปุ่มปรับเร่งเครื่องเสียงเป็นแบบหมุน อันนี้สะดวกจริงๆ
รถที่ Balance ระหว่างปุ่มกับจอดีสุดสำหรับผมคือ BMW G20 ตัวก่อน LCI
ก้านไฟเลี้ยว ก้านที่ปัดน้ำฝน ก้านเกียร์ ขอที่ดันกระพริบไฟสูงด้วย รวมทั้งปุ่มปรับโหมดการขับขี่ ปุ่มหมุนปรับระดับเสียงเพลง และที่ปรับแอร์ขอแยกส่วนออกมาจากจอหลัก
สำหรับผมอายุของผู้ใช้มีผลในระดับนึงนะครับ.
ผมในช่วงอายุ 30 กลางๆ ผมมีปัญหาจริงๆครับถ้ามันไม่มีปุ่ม ออกแนวจะหงุดหงิดด้วยซ้ำ และมีผลกับการตัดสินใจในการซื้อรถคันไหม่มาก!!
แต่ถ้ามองจากมุมของแฟนที่อายุห่างกับเกือบ 10 ปี แฟนเรากลับมองว่าการมีปุ่มหรือไม่มี ไม่ได้เป็นเรื่องไหญ่เท่าผมนะครับ.
สุดท้ายคือหลานชายและหลานสาวของผม เด็กรุ่นไหม่มองว่ามีปุ่มนี้ออกแนวโบราณด้วยซ้ำและมองว่าปุ่มนั้นแทบไม่มีความจำเป็น
เหมือนรถยนต์ไฟฟ้าจะยัดทุกอย่างไว้ในจอ มันไม่สะดวกอ่ะครับ คือต่อให้มีระบบช่วยขับ แต่โฟกัสคนขับ สายตาก็ควรอยู่บนถนน แต่พอใช้จอแล้วมันต้องมาแบ่งโฟกัสจากถนนไปที่จอเพื่อหาที่ปรับแอร์มันก็ไม่น่าจะปลอดภัยเท่าไร บางทีต้องจอดรถเพื่อปรับแอร์มันก็ไม่น่าจะใช่ มันไม่ใช่ปัญหาเรื่องความทันสมัยหรือความเคยชินเลย แต่ปัญหาคือการโฟกัสในการขับรถ
ใช้เทสลาอยู่เอาเกือบทุกอย่างไปไว้หน้าจอผมรับได้นะ ยกเว้นอย่างเดียวที่รับไม่ได้คือเอาปุ่มไฟฉุกเฉินไปไว้เพดานรถไม่รู้คิดได้ไง
นั่นคือสิ่งเดียวที่ผมไม่กล้าซื้อ Tesla ใช้
จริงครับ สิ่งที่ผู้ขับต้องใช้ในการควบคุมรถควรเข้าถึงง่ายและเรียนรู้ง่าย
ส่วน entertainปล่อยเขาดีไซน์ไปเถอะครับ ผู้ขับอยากเข้าไปใช้ก็แล้วกัน
ผมอายุมากตาไม่ค่อยดีเลยยังไม่กล้าใช้รถไฟฟ้าเลยเพราะกลัวมองไม่ถนัดตัวหนังสือจะเล็ก ต้องหยิิบแว่นมาใส่ คงต้องรอการปรับปรุงอีกหน่อย แต่เห็นด้วยกับซู่ชิงครับ เหมือนเรือนไมล์แบบหน้าปัทม์มองสะดวกกว่าแบบตัวเลข
การกดบนหน้าจอมันจะไม่แม่นยำเท่าแบบปุ่มกดครับ ต้องละสายตามามองก่อนแล้วจึงกด เป็นแบบนี้ทุกครั้งที่ต้องการจะปรับอะไรตรงหน้าคอนโทรล
เห็นด้วยมากกกก การออกแบบภายในไม่ใช่เล่นงานคือเอาแค่จอๆเดียวแปะ ก็คือเสร็จละ มันไม่ใช่อะครับ เสน่ของแบรนต่างๆมันหายไปเรื่อยๆ เล่นง่ายไปครับแบบนี้ ❤
จริงๆ ปรับยากเนื่องจากเราพวงมาลัยขวาด้วยครับ ต้องมาฝึกกดจอมือซ้าย ใช้จริงเลยขัดๆ กลุ่มประเทศพวงมาลัยซ้ายจะเหมาะสมกว่าครับ ระบบนี้
อือ... ลืมคิดไปเรื่องมีเหตุผล แต่อย่างน้อยปุ่มแอร์ก็ควรจะมีให้บ้าง
@@thanatyimlamai1214 ถ้า tesla แค่สไลด์ สไลด์ ซ้าย ขวา มันก็ปรับให้แล้วครับ ไม่ต้องมองจอก็ได้ Ui มันจะอยู่ตำแหน่งเดิมตลอด
จริง จะขับรถเพื่อน รถน้อง รถพี่ เปลี่ยนคันเมื่อไร ก็งงๆ บางที
ต้องนั่งตั้งสติ ดูปุ่มที่จำเป็น ว่าอยู่จุดไหน
ต่างจากเมื่อก่อน ใช้คันไหนพร้อมไปได้เลย
ปัญหาเดียวกับผมเลย รถแต่ละคันเมนูไม่เหมือนกันต้องเรียนรู้ทุกครั้งที่ไปขับไม่สะดวกเลย แต่รถรุ่นเก่าอะไรๆ มันจะคล้ายกันขับได้ทันที จะงงก็แค่รถยุโรปกับญุี่ปุ่นที่ไฟเลี้ยวอยู่คนละฝั่ง
+1 techno + functional ควรไปด้วยกัน
จริงครับ #แอร์ นี่คือตัวแรกเลย ไม่ว่าจะทิศทาง ไม่ว่าจะเพิ่มลดอุณหภูมิ
ขอบคุณรถยุโรป รุ่นใหม่ๆ ที่คิดถึงความปลอดภัยและยังมีปุ่มกายภาพที่สำคัญอยู่ครับ
จริงๆก็ไม่ใช่อ่ะครับ แบรนด์ยุโรปอยากทำจอกันมาก ทำมาขายแล้วแต่ Software ห่วยมากจนลูกค้าด่า จนกลับมาเป็นปุ่ม
ควรสั่งงานด้วยเสียงได้ทุกฟังก์ชั่น หรือเซ็ดค่าโดยมีการตั้งเป็นค่าเฉพาะคนใช้งาน เหมือนการตั้งค่าเบาะ โดยต้องไม่เปลี่ยนเป็นค่าเริ่มต้นหลังจากดับเครื่อง
ใช่เลย มันต้องละสายตา ไปมองที่ปุ่มแบบสัมผัส ปกติปุ่มแบบเก่า ลูบๆ คลำๆ เอาไม่ต้องมองเลย
เห็นด้วยมากๆ ครับ
ใช่ค่ะเรื่องปุ่มกดย้ายไปอยู่บนจอนี่ทำให้ตัดตัวเลือกไปได้หลายคันเลยค่ะ ขนาดเรา30+จะใช้ยังรู้สึกว่ายุ่งยากมากในการใช้งานที่ต้องไปดูจอตลอด แล้วนึกถึงพ่อกับแม่ที่บ้านเคยพาเขาไปดูเขาบอกว่ามึงซื้อมากูไม่ต้องขับเลยแบบนี้😅 แล้วปุ่มรถสมัยใหม่คือสุ่มมากอย่างเช่นที่คุณยกตัวอย่างปุ่มฉุกเฉินอ่ะค่ะมันสมควรที่จะอยู่ในตำแหน่งที่คุ้นมือคือตรงกลางให้กดได้ง่ายขับหลายคันก็จะต้องมาหาอีกว่าอยู่ที่ไหนในตอนฉุกเฉินนี่ยากมากค่ะ ส่วนเรื่องหน้าจอเป็นปัญาหามากกับแสง เราเป็นที่ขับรถเดินทางต่างจังหวัดบ่อยมีแสงแล้วทำให้ตาล้ามากค่ะเราถามก่อนเลยจอดับได้ไหมมันยิ่งใหญ่ยิ่งสว่างแล้วถนนประเทศไทยคือขับไปมืดขับไปสว่างก็ปวดตาแล้ว อันนี้คือปัญหาที่เกิดกับเราค่ะ ขอให้พัฒนาระบบขึ้นแต่ไม่อยากให้ใส่ทุกอย่างลงในจอค่ะ ปรับเบาะก็ให้อยู่ที่เบาะก็ได้ค่ะ 😂 ของ่ายๆแบบเดิมเห็นแล้วเหมือนรู้สึกว่าใส่ใจในการออกแบบให้ใช้งานมากกว่าค่ะ😊
ถึงจะเข้ามาดูช้า แต่ว่า "ฝันไปเหอะ" ที่จะทวงคืนมาได้ อาจมีทำให้แค่บางยี่ห้อ เพราะเหตุผลเดียว(แต่ยิ่งใหญ่) มันลดต้นทุนได้มหาศาล คิดว่าจะทวงคืนได้ไหมล่ะ มันไม่ใช่แค่สวิทซ์ สายไฟไม่ต้องโยงไปโยงมา ขั้วต่ออีก หน้ากากคอนโซลก็ต้องทำใหม่ เพิ่มรูเพิ่มช่อง ส่วนตัวไม่เคยหลงไหล หรือ วี๊ดว๊ายกระตู้วู๊อื้อฮือเฮฮากับของ "หลอกเด็ก" พวกนี้หรอก ดูเหมือนดี แต่ใช้งานจริงไม่เวิร์ค ถ้าจะให้มันล้ำจริง ๆ ต้องควบคุมด้วยพลังจิตได้ นั่นแหละถึงจะขอวี๊ดว๊ายกระตู้วู๊อื้อฮือเฮฮาด้วยคน แล้วเมื่อไรการรีวิวรถไฟฟ้า(มหากาฬ)จะใช้คำว่า เพาเวอร์-ออน(Power ON) แทนคำว่า "ดิดเครื่อง" ซะที
ปุ่มไฟเลี้ยวกับเกียร์ปรับตัวไม่ยากค่ะ รู้สึกสะดวกพอๆกับแบบก้าน
แต่ที่ไม่ชอบคือ ปุ่มฉุกเฉินบนหัว ไม่เคยกดทันเวลาฉุกเฉินเลยค่ะ สถานที่มันไม่ได้ 😅
ผมไม่ได้ขับรถ แต่เวลาซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ราคาแพงๆ ผมก็ชอบมองหารุ่นที่มีปุ่มกด มากกว่าที่ใช้เป็นจอสัมผัสไปซะหมดเหมือนกันครับ
ไม่ชอบรถที่มีปุ่มเยอะควรมีเท่าที่จำเป็นและจุดที่ควรเป็นปุ่มก็ควรใช้ปุ่มแบบแมนวล แอร์เบื่อมากที่เป็นแบบปุ่มกดใช้แบบหมุนสะดวกสุด จอสัมผัสที่ดีคตือแบบใช้ปุ่มหมุนเอาเหมือนเครื่องยุโบราณ มันไม่ทำให้เสียสมาธิเวลาขับขี่ เวลาซื้อรถใหม่พยายามหาตัวท็อปในรุ่นนั้นๆที่ปุ่มต่างๆดูsimple ที่สุด ตอนกลางคืนนี่จริงเลยถ้าไม่จำเป็นต้องดูแผนที่จะเปิดหน้าแอ็พเล่นเพลงมืดๆไปเลยมัน
มันได้ฟีลลิ่งด้วยค่ะ เหมือนคีย์บอร์ด ระหว่างคีย์บอร์ดเลเซอร์กับคีย์บอร์ดที่เป็นปุ่มกด ขอปุ่มกดดดดดด 🤣🤣🤣