Размер видео: 1280 X 720853 X 480640 X 360
Показать панель управления
Автовоспроизведение
Автоповтор
เจอคลิปนี้โดยบังเอิญ หัวข้อบรรยายน่าสนใจเลยเข้ามาฟัง คิดว่าเป็นธรรมมะจัดสรรค่ะ เพราะว่าอาจารย์ให้ความรู้ที่ละเอียดและชัดเจนมาก มีความเข้าใจเรื่องนี้ขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง กราบขอบพระคุณอาจารย์และขออนุโมทนาในการเผยแพร่ธรรมมะเป็นวิทยาทานต่อกัลยาณมิตรทุกท่านที่ได้ประโยชน์ในการฟังครั้งนี้🙇🏻♀️
ถ้าเอากฎ...อิทัปปัจยตา....ปฏิจจสมุปบาท...มาเริ่ม..ศึกษาเป็นบทปฐม...เริ่มแรก...และศึกษาแต่ละคำ...ให้เข้าใจ...จนละเอียดได้แล้ว...ก็จะค่อยฯขยับการเรียนรู้.ถึง..ขั้นกลางฯ...ถึงขุั้นสูง..ลึกละเอียดขึ้นไปเรื่อยฯ...แต่ที่สำคัญ...ต้องปฎิบัติตาม....คำสอน...ที่องค์พระศาสดา...ได้ทรงตรัสสอนไว้...ให้ได้จริงฯด้วย...ไม่ใช่แค่...เรียนรูู้...แต่ควรปฎิไปให้เห็นด้วย...ว่า..พระพุทธเจ้า ..สอนไว้จริงหรือไม่...เพราพระองค์...ทรงบอกไว้ว่า..ไม่ให้เชื่อพระองค์...แต่พระองค์...บอกสอน..ไว้ว่าต้องปฎิบัติ ...จริงฯ.เพื่อที่จะเข้าไปเ ห็น...หนทางเดิน..ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น..เพื่อให้พ้นจาก...สังสารวัฏนี้..ให้ได้ในที่สุด...ขออนุโมทนา...สาธุ..สาธุ..ค่ะ
ก็เพราะว่าถ้ายังมีการยึดถือตัวตนอยู่ตราบใด ผู้ทำกรรมก็ย่อมต้องรับผลกรรมของตนเองไม่มีใครมารับกรรมแทนผู้นั้นใด้ คำว่าอนัตตา คือไม่มีตัวตนนั้นเป็นคนละบริบท กับ คำว่ากรรม ถ้าเมื่อใดผู้ที่สามารถตัดความยึดมั่นใด้โดยเด็ดขาด จากความยึดถือ10 ประการแล้ว กรรมใดๆที่มีอยู่ของบุคคลใดย่อมหมดไปโดยอ้ตโนมัติหลังจากร่างกายผู้นั้นเสื่อมสลายไปแล้วนั่นเอง. เพราะเหตุที่ว่า ตัวเหตุที่จะต้องรับกรรมนั่นดับไปแล้ว เหมือนเปลวไฟ เทียนไข ใส้เทียน หมดแล้ว พลังงานความร้อน และพลังงานแสง ย่อมหมดด้วยเหมือนกัน เมื่อความยึดตัวตนหมด ร่างกายเปรียบเหมือนเทียนไข ก็จะไม่มาก่อร่างสร้างเทียนเล่มใหม่ ส่วนเปลวไฟ(ชีวะ)ก็มีไม่ใด้ ใส้เทียนเปรียบเหมือน(กรรม)ก็ไม่มีที่รองรับผลแห่งกรรม นี่เปรียบกับคำว่าอนัตตา ครับ เราไม่จับแพะมาชนแกะ คือ เรืองของกรรม กับอนัตตา มาปนก้น อันหนึ่งเป็น โลกียะ(กฎแห่งกรรม) และอันหนึ่งเป็นโลกุตระ(อนัตตา)ครับผม คำว่าปถุชน กับ อริยชน(ผู้เข้าถึงกระแสมุ่งไปสู่จุดหมาย) ธรรมะนั้นมีอยู่ สองชนิด 1.พุทธธรรม 2.ธรรมะโดยทั่วไปที่ปุถุชนประสบอยู่เป็นธรรมดาในชีวิต แต่พุทธธรรม เป็นธรรมะที่พุทธทรงค้นพบด้วยพระปัญญาที่เหนือมนุษย์ในสากลจักวาล แล้วนำมาสอนมนุษย์ให้ใด้รู้ เห็น เข้าถึงด้วยตนเอง โดยไม่อาศัยความเชื่อใดๆมาให้เชื่อตาม แต่พระองค์ให้มาพิสูจน์ด้วยตนเอง ถ้าพิสูจน์แล้วประสบผลตาม สิ่งที่พระองค์สอน ก็ย่อมเป็นความจริงแท้ เพราะเขาใด้พิสูจน์แล้วด้วยตัวเอง ครับผม
ชัดเจน สาธุครับ
สาธุ สาธุ สาธุ
คำว่า อนุโมทนา คือการมีใจนินดีในกุศลวัตรของผู้อื่น ด้วยมุทิตาจิต ด้วยคารวะจิตได้อ่านหลายคอมเม้นท์ ล้วนสะท้อนเห็นถึงความคับแคบของผู้ที่ทนงว่าทรงภูมิ ท่าทีเช่นนี้สะท้อนว่าเข้าไม่ถึงธรรม แม้นว่าจะทรงภูมิธรรมก็ตามขออนุโมทนากับอาจารย์ด้วยครับ และขอบคุณที่แบ่งปันความรู้ครับ
เห็นด้วยค่ะ บางคนศึกษาธรรมมะมาเยอะ แต่จิตใจไม่เปิดกว้าง มองเห็นได้ชัดเลยค่ะ
พระพุทธองค์ตรัสว่าเราถูกจิตนี้คดโกงหลอกลวงมานานแล้วหนอ จิตเป็นสิ่งที่ต้องทิ้งต้องปล่อยวาง
เข้าใจเครับขอบคุณทิ่อาจารย์ให้ความรู้เพิ่มเติ่ม...ขอบคุณครับ
ก็ว่ากันไปตามกำลังความคิดความรู้ของๆตน..
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา..ท่านไปหยิบคำสอนพุทธองค์ในพระไตรปฎิฏกมาอธิบายจะชัดเจนลึกซึ่งถูกต้อง ดีกว่าที่จะเอาความเข้าใจตนเองส่วนหนึ่งที่ยังไม่ลึกพอมาอธิบายนะครับ
โอว ขอคารวะท่านนักปราชญ์คีย์บอร์ด
ใช่ค่ะ ได้อ่านจากที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ในพระไตรปิฏกเข้าใจละเอียดลึกซึ้งมาก เคลียร์มากๆเลยค่ะ
ความคิด สร้างเรื่องสมมุติการให้ค่า แทนค่าสิ่งต่างๆ ออกมาเป็นภาษา เพื่อสื่อสารกันคือ สังขารที่เห็นได้ยาก . ..ทุกคนจึงตกอยู่ในสังขาร อธิบายสังขาร เพื่อใช้เป็นเครื่องมือค้นหาสัจจะ .งูกินหาง . สุดท้าย แค่รู้ สักว่ารู้ คืออธิบายได้แค่นั้น เหมือนโปรด พาหิยะ .เพราะยิ่งพูด ยิ่งหลงไปกับสังขารไม่รู้ตัว .ตกอยู่ในสงสารของความคิดไม่รู่จบ เอเมน แค่ตั้งข้อสังเกตุ
ที่ท่านอธิบายว่าจิตซอฟต์แวร์ตายแล้วไปหาฮาร์ดแวร์ใหม่....แปลว่าเป็นอัตตานะคับตรงนี้ต้องศึกษาใหม่ แม้แต่จิตก็เป็นอนัตตา
สอนเด็กผู้เกิดใหม่ให้ข้าใจอย่างลึกซึ่งจะเป็นกุศลแก่มนุษย์และสัตว์เป็นอย่างยิ่งพระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้วตรงแล้วถูกแล้วทุกประการสาธุสาธุสาธุค่ะ💗💗💗🙏🙏🙏
กรรม.ล้วนเกิดจากผัสสะที่มากระทบต่อสฬายตนะทั้งภายนอกภายใน..
@@sweetmodaka แต่ผมว่าเขากล่าวถูกนะ กรรมทุกกรรมเกิดจากผัสสะ แต่ผัสสะทุกผัสสะ ไม่ได้สร้างกรรมเสมอไป เพราะถ้าผัสสะนั้นไม่ได้ประกอบด้วยเจตนาก็ไม่เป็นกรรม กลับกันกรรมที่ประกอบด้วยเจตนาต้องมีเหตุจากผัสสะทั้งสิ้น
@@sweetmodakaครับผม ต้องลองกลับไปค้นหาดูเรื่องกรรมว่าพระตถาคตบัญญัติเรื่องกรรมเหตุเกิดของกรรม.เรากล่าวซึ่งเจตนาว่าเป็นกรรม..กรรมคือ เจตนา สิ่งใดถ้าเราไม่เจตนาไม่ถือว่าเป็นกรรม...เหตุเกิดของกรรมทั้งหลาย ย่อมมี เพราะการเกิดของผัสสะ.ความดับแห่งกรรมทั้งหลาย ย่อมมี เพราะความดับแห่งผัสสะ.มรรคมีองค์8นี้นั่นเอง เป็นกัมมนิโรธคามินีปฎิปทาที่กล่าวว่าผัสสะคือเหุตเกิดแห่งกรรม คืออายตนะทั้งภายนอก และภายในซึ่งรวมกันเรียกว่า สฬายตนะ.ตาหูจมูกลิ้นกายใจตากระทบสิ่งที่ไม่น่ามองก็ทำให้เราพอใจหรือไม่พอใจนี้ก็ทำให้เกิดกรรม..เพราะให้เกิดทุกข์หรือสุข พอใจก็สุขไม่พอใจก็ทุกข์.บางคนไม่เข้าใจเลยคิดว่ากรรมเกิดจากผู้อื่นบันดาล..แท้จริงแล้วต้นเหตุของกรรมมีขึ้นด้วยผัสสะทั้งหลายครับ.ขอบคุณครับ
ขอบคุณ คอมเม้นท์ พี่ทั้ง 2ครับ
@@bentoonmoota9799 สาธุธรรมครับ
ถูกกิเลสขั้นสูงทางจิตจูงให้เข้าใจผิดอย่างมหันต์ หลงผิดหลงทางหลงประเด็น เข้าใจกรรม กับอนัตตา รวมกัน ระนาบเดียวไม่ใช่ เราศืกษาพุทธเพื่อ ยังจิตให้ถึงซึ่งความบริสุทธิ์ พ้นทุกข์จากกิเลสที่ปรุงแต่งนาๆประการ
ธาตุ ทั้ง5 เป็นอนัตตา กรรมเกิดจาก กรรมภพ เป็นผู้สร้างให้มีเราเป็นเรา เป็นภาวะอาการเข้าถึงกรรม
ผู้ยึดเป็นผู้เข้าไปรับกรรมเอง ไม่ยึดก็เป็นแค่ผู้ชม
สาธุๆครับ ก่อนสอนควรศึกษาบาลีให้ถ่องแท้ก่อนครับ ขึ้นต้นมาวิภัตติก็ผิดแล้ว ภาษาผิด ความเข้าใจก็ผิดการปฏิบัติก็ผิดไปด้วย 🙏🙏🙏
เค้ายังไม่รู้จริงอธิบายก็ผิดครับ
สุดยอด...ตามความ..เป็นจริง...
ไม่ใช่ตัวตน ต้องปล่อยวางไม่ได้แปลว่าไม่มีตัวตนถ้าไม่มีตัวตน ไม่ต้องปล่อยวางจิตที่ยังไม่ปล่อยวางรับวิบากกรรม
สาธุ สาธุ สาธุ เป็นธรรมที่ลึกซึ้งมากใครฟังเข้าใจหมายความว่าถึงที่สุดแห่งธรรมแล้ว กราบสาธุท่านอริยะ
อธิบายได้เข้าใจละเอียดดีครับ
สังขารทั้งหลาย เป็นทุกข์สังขารทั้งหลาย ไม่เที่ยงธรรมทั้งหลาย เป็นไม่ใช่ตัวตนการใช้คำขึ้นต้นที่ต่างกันมีความหมายลึกซึ้ง ระหว่าง สังขาร กับ ธรรมธรรม ก็คือ สิ่งที่ใจสัมผัสอารมณ์ เป็นคู่ อายตนะที่ 6 ครับ พูดง่ายๆก็คือใจรับรู้ ธรรมารมณ์ แล้วปรุงแต่ง(สังขาร) ให้เป็นทุกข์ ให้ปรุงแต่ง(สังขาร) จึงไม่เที่ยง(ขั้นอรหันต์มรรค-ผล) ปล่อยวางใจให้ว่าง ไม่ดิ้นกับธรรมารมณ์ ไม่วิ่งไปเสพธรรมารมณ์ฟุ้งซ่านไปเรื่อย ไม่ไปยึดติดว่าตัวกรูของกรู จึงไม่เกิดการปรุงแต่ง ไม่ปรุงแต่งจึงไม่ทุกข์ สุขสงบ และเที่ยงแท้ อยู่เช่นนั้นนิจนิรันดร์ ไม่ตายไม่เกิดอีก นั่นแล นิพพาน อันบริสุทธิ์ขาวรอบ ที่อยู่ร่วมกับขันธ์ ดับขันธ์ก็เข้าสู่สภาวะนั้นๆจริงๆส่วนวัตถุ มันก็เป็นวัตถุ ของมัน ขันธ์ก็เป็นขันธ์ มีตัวตนของมัน มีการปรุงแต่งของมัน ปล่อยและทำตามให้มันคงอยู่หรือเปลี่ยนตามประโยชน์/กาลเทศะไป ให้ทำตามความเป็นใหญ่ของหน้าที่นั้นๆไป ส่วนความคิดของเราที่ไปยึดติดนั่นแล ที่เป็นปัญหา สร้างทุกข์
อย่าไปยึดติดว่า ธรรมทั้งหลาย มีตัวตน จบขั้นสุดท้ายของพุทธศาสตร์ ขั้นอรหันต์แต่ก่อนที่จะเข้าถึง ขั้นอรหันต์ ก็ต้องผ่าน-ดวงตาเห็นธรรม อันเข้าถึงกระแสนิพพาน หรือโสดาบัน ศึกษาธรรมเกี่ยวกับ พุทธศาสนา ณ จุดหนึ่ง อันมีกรอบอยู่ใน อริยสัจ 4 จนแน่ชัดว่า พุทธศาสนา คือของจริง ด้วยใจตน มีนิพพานเป็นแก่นแท้ นั่นแหละ โสดาบันมรรค เริ่มแล้ว ศึกษา นิพพานสภาวะและอริยะสัจ4 ให้รู้ชัด มากขึ้นย่อมเกิดผล ในขณะจิตที่ศึกษาเกิดสมาธิ(เสี้ยววินาทีเดียวก็ตาม) ด้วยมรรค สมบูรณ์-ผู้ลดกามคุณ 5 (อายตนะ 5) ด้วยสมาธิได้ รู้หลักการคือเกิดสัมมาทิฐิ เข้าสู่ สกคาทามีมรรค สามารถเข้าสัมมาสมาธิ ครบ ตั้งแต่ สัมมาทิฐิ เห็นหลักการครบ ปราถนาพ้นตั้งเป้าหมาย พูด กระทำ อาชีพเหมาะ เพียร มีสติเข้าถึงพิจารณาในขณะตั้งสมาธิ แน่นิ่ง (ฌาน 4 มี 2 ลักษณะห้อง คือ นิ่งเงียบสงบ และวางเฉยแต่รับรู้สัมผัสทั้ง 5 ทุกอย่าง ห้องอุเบกขานี้และคือเป้าหมาย) ได้หนึ่งครั้ง ก็เข้า สกทาคามีผล-ละกามคุณ 5 ด้วยทรงมรรค จนละกามคุณ ทั้ง 5 (อายตนะ 5 คู่แรก) ในการใช้ชีวิตประจำวัน นี่ขั้น อนาคามี เบื่อหน่าย กามคุณ รู้หลักการของขั้นนี้เกิด สัมมาทิฐิ เริ่มอนาคามีมรรค ทำได้เกิดผล(ไม่หลุดจากสมาธิ ต่ำสุดคือขณิกสมาธิ เท่านั้น จึงไม่ถูกกามคุณรบกวนจิต) ออกแบบทำสมาธิ 40 วิธี ในการใช้ชีวิตได้ด้วยตนเอง-อรหันต์ มรรค-ผล จัดการกับ อายตนะคู่ที่ 6 ที่เหลือ
สงสารผู้บรรยาย
ขอบคุณครับ ผมได้เข้าใจเพิ่มขึ้นอีกบ้างครับ กว่าจะเกืดปัญญาทื่จะเข้าใจก็คงอีกนานครับ ดั่งคำพระท่านว่า มีอวิชชาเป็นเครื่องกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องผูก ขอบคุณครับ
สัตว์ตานัง เป็นผู้หลงยึดติดมีอวิชาเป็นเครื่องกั้น มีตันหาเป็นเครื่องผูกอยู่ในสังสารวัฎไม่มีที่สิ้นสุด สาธุธรรมครับ
สาธุธรรมครับ
สัตตานัง ไม่ใช้เป็นประธานในประโยคนะครับ ผิดเพราะอาจารย์พาผิดนะครับ ฝากแก้ไขพระอาจารย์ด้วยครับ
@@user-cw9mn6in6t สัตตานังไม่ได้แปลว่าผู้ยึดติด
พระพุทธเจ้าสอนเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย แต่ผู้บรรยาย(บรรยาย)ทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องง่าย โดยเฉพาะภาษาที่นำมาบรรยายก็ไม่ทราบว่าท่านเป็นฝรั่งหรือที่ไม่สามารถจะทำความเข้าใจกับภาษาของตัวเองได้ อีกประการหนึ่งมีใหมในพระไตรปิฎกมีภาษาต่างประเทศกำกับด้วย
แก้ข้อคำว่า ทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องง่าย ที่ถูกทำเรื่องง่ายให้เป็นยากครับ
นั่นประโยคที่ปรุงแต่งใหม่...จริงแล้วสรรพสิ่งกำเนิดจากธาตุทั้ง 4 ดิน น้ำ ไฟ ลม...เมื่อลมดับ ไฟก็ดับ น้ำถูกแซกซึม ดินถูกย่อยสลาย...กรรมเป็นเพียงนามธรรม ไม่เคยมีอยู่จริง ไม่มีตัวตน การแก้กรรมจึงล้างกรรมไม่มี
ผมขอแย้งนะครับเพื่อประโยชน์ของท่านเองครับ ในระบบนี้คือ สังสารวัฏ หรือ สังขตธรรม มีการเกิด มีสิ่งปรุงแต่ง มีมหาภูติ ๔คือ ดินน้ำไฟลม มีขันธ์๕ ( รูป เวทนา สัญญา สังขาร และ วิญญาน ) มีกรรม ผู้ใดทำกรรมใดไว้ ผู้นั้นย่อมได้รับผลของกรรม กรรมมี๓อย่างคือ กรรมขาว กรรมดำ กรรมไม่ขาวไม่ดำ ในระบบนี้หนีกรรมไม่พ้น ล้างกรรมไม่ได้ แต่ถ้าเรารู้วิธีหนีกรรมนั้นมีอยู่ ต้องปฏิบัติตามที่ตถาคตแนะนำ คือปฏิบัติตนให้ออกจากระบบนี้ไปสู่อีกระบบหนึ่ง คือ อสังขตธรรม (นิพพาน) ด้วยการละสังโยชน์๑๐ ให้ได้ หรือ ก่อนตายละสังโยชน์๕ได้ ก็หนีกรรมได้ เพราะ ในสิ่งนั้น มารเข้าไปไม่ถึง ไม่ใช่ที่เที่ยวของปุถุชน เข้าไปแล้วออกมาไม่ได้ ไม่มี ดิน น้ำ ไฟ ลม ไม่มี นามรูป ไม่มีวิญญาน ไม่มีการเกิด (จึงไม่มีการแก่ ไม่มีการตาย) ไม่มีสิ่งปรุงแต่ง สิ่งนั้นมีอยู่
ชัดเจนมากครับ
อนุโมทนาสาธุครับ
ขอบคุณสำหรับวีดีโอค่ะอาจารย์
ธรรมใดที่มาจากปุถุชน ย่อมมีโอกาสผิดเพี้ยนมากกว่าธรรมจากอริยสงฆ์ ดังนั้น พีงระวัง
@@Nevermind_Smile ruclips.net/video/PJOk66u-qBo/видео.html ลองฟังดู
เมื่อเดิม ไม่มีอะไรแล้ว ต่อไปจะมีอะไรอีก
สาธุ สาธุ. เจ้าค่ะ
ขอบคุณครับ
ผู้สร้างกรรมดีและชั่วคือรูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณประชุมกันตั้งอยู่แล้วดับไปตราบใดที่ยังมีกิเลสก็เวียนมาเกิดอีกส่วนจะเกิดเป็นอะใรแล้วแต่แรงกรรมของตน
น้อมกราบคารวธรรมครับ
อนุโมทนาสาธุนะคะ
Actual knowledge is from practical activities, sir.
อนุโมทนาสาธุที่ให้ความรู้ค่ะ
สาทุดีใจที่ได้รับฟังธรรมจากอาจารเจ้าคะ...
โลกุตรธรรม สุญตา เข้าใจสองอย่างนี้รู้จริงเข้าถึงจริง ก็มองทุกอย่างขาด
นี่แหละคือศาสตร์ทีควรศึกษาและเลิศกว่าศาสตร์ทั้งปวง
แปลง่ายฯสิ่งต่างฯทั้งหลายที่ปรุงแต่งล้วนไม่เที่ยงครับ
ธาตุ➡️ สติ ➡️อนัตตา, สิ่ง➡️มี➡️ไม่ใช่ตัวตนสพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ➡️สภาวธาตุทั้งหลาย(สํขต+อสํขต) **มี ไม่ใช่ตัวตน**
สิ่งใดเกิด ทุกสิ่งล้วนดับไปเป็นธรรมดา
ไม่ใช่คำสอนขอนพระพุทธเจ้าแน่นอนคือไตรลักณ์คุณยังพูดไม่ถูก
แต่คุณเขียนไม่ถูก(ลักษณ์)
สาธุครับ
ศึกษา เรื่อง ภาษา คน&ธรรมให้ เข้าใจ ก่อนที่ จะเพี้ยน มากไปกว่านี้.
อนุโมทนาสาธุ
จริงค่ะ ถ้าสมองบังคับได้ทุกอย่าง คนมีสมองทุกคนก็คงไม่ตัดสิน "ใจ" ผิดพลาดหรอก เพราะใช้ใจ ไม่ได้ใช้สมอง และที่เสียใจเจ็บใจก็เพราะใจ สมองมีส่วนแค่ทำให้นึกถึง กับเป็นวิธีคิดวิเคราะห์ให้กระทบต่อใจรู้สึกอีกที
ขอบคุณอาจารย์ค่ะ เข้าใจขึ้นเยอะเลย
สาธุ
จิตชรรูป..เมื่อการปรุงแต่งจิตไม่มี..วิญญานก็ไม่มี เมื่อไม่มีวิญญาน นามและรูปก็ไม่มี..ไม่มีผู้กระทำและผู้ถูกกระทำ คือไม่มีใครทำกรรม ไม่มีใครรับวิบากของการกระทำ..
ดีมากครับ เรียกอีกอย่างว่านี้และพุทธแท้ ครับ ฟันธง ครับ
กราบขอบคุณอาจารย์และคณะผู้จัดทำค่ะ ฟังถึงแค่ข้อสองก็ซาบซึ้งเกิดปิติน้ำตาไหลแล้ว🙏🙏🙏 เราน่าจะมีแปลเป็นอังกฤษแบบนี้ตอนสอน เพราะคนไทยยืมภาษาบาลีสันสกฤตมาใช้ จนมันปนกันไปหมด ผิดความหมายที่แท้จริง ฟังแล้วจะเข้าใจผิด ตย.ง่ายๆ ใช้คำว่าวิญญาณเป็นผี สัญญาเป็นคำมั่นสัญญา แบบนี้จะฟังธรรมไม่ถึงที่พระพุทธองค์จะสื่อ น่าเสียดายค่ะ
ขอบคุณมากครับ!
กราบอนุโมทนาครับ
สาธุสาธุสาธุคะขออนุโมทนาในบุญด้วยนะค่ะ
สาทุอาจารย์🙏
อนุโมทนา สาธุ ด้วยครับ
เป็นเรื่องลึกซึ้งค่ะ ขอบพระคุณ อ.ทวีศักดิ์ ได้ความรู้มากค่ะ
จิตคือพุทธะสาธุ
สาธุสาธุสาธุค่ะ🙏
ความไม่สบายกายสบายใจ. ง่ายๆคือทุกขัง
กราบสาธุท่านอาจารย์ พ่อเเม่ครูบาร์อาจาร์ย สำหรับผมเเล้วผู้ที่ถ่ายทอดธรรมมะจากพระพุทธเจ้าไห้ผู้โง่เขลาได้พอเข้าจิตเข้าใจครับผม
"หากทุกอย่างเป็นอนัตตา แล้วใครเป็นผู้ทำกรรมและรับผลแห่งกรรม.".รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นสิ่งที่ไม่เที่ยงสิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์สิ่งนั้นเป็นอนัตตา(ตัวตนชั่วคราว) นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่ใช่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา (พุทธวจน)แล้วใครเป็นผู้ทำกรรม และรับผลของกรรม คือสัตตานังที่มีอวิชชาเป็นเครื่องกั้นมีตัณหาเป็นเครื่องผูกจึงเที่ยวไปแล่นไปในสังสารวัฎ ....ราธะ!ความพอใจอันใด ราคะอันใด นันทิอันใด ตัณหาอันใดมีอยู่ในรูป ในเวทนา ในสัญญา ในสังขารทั้งหลายและในวิญญาณ เพราะการติดแล้วข้องแล้วในสิ่งนั้นๆเพราะฉะนั้นสิ่งนี้จึงเรียกว่าสัตว์ ดังนี้(พุทธวจน) " เหตุเกิดของกรรม คือ ผัสสะ! "ภิกษุทั้งหลาย ! เรากล่าวซึ่งเจตนาว่าเป็นกรรม เพราะว่าบุคคลเจตนาแล้ว ย่อมกระทำซึ่งกรรมด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ.ภิกษุทั้งหลาย ! นิทานสัมภวะ (เหตุเป็นแดนเกิดพร้อม)แห่งกรรมทั้งหลาย เป็นอย่างไรเล่า ?ภิกษุทั้งหลาย ! นิทานสัมภวะแห่งกรรมทั้งหลาย คือ ผัสสะ.(ภาษาไทย) ฉกฺก. อํ. ๒๒/๓๖๕/๓๓๔.
สาธุ คำความอันรวบรัด ชัดเจนยิ่ง ไม่ต้องอธิบายมากความพาลงงงวย
ถูกแล้ว ถูกแล้ว พุทธวจน/พุทธพจน์. สาธุ.
มิติครับ อยู่ในอากาศ ที่เรามองไม่เห็น ยิ่งนานวัน วิทยาศาสตร์ ยิ่งค้นพบ ครับ😊😊😊
สาธุครับสาธุ
สาธุครับ 🙏🙏🙏
ความเข้าใจส่วนตัวคือคนที่เข้าถึงไตรลักษณ์จะไม่ทำกรรมจึงไม่ต้องรับผลกรรม คนที่ทำกรรมอยู่คือคนที่เข้าไม่ถึงไตรลักษณ์ยังต้องทำกรรมและรับผลกรรม
สาทุ สาทุ สาทุ อานุโมทามิ
จิตตะสัมปะยุตตา อัตตา ความ นะระวาระ ปะภะกะ มอุตตะ วิปัสสนา รู้เห็นตนอื่นตื่นตัวเราเสมอ สิ่งใดคือตน สิ่งใดคือตัว สิ่งใดคือเรา จงโยนิโสแต่งให้ประจักญาณ การทัศนะ" วะตะ " อภิญญาสัมมา ปาระมีนั้นความเราจะวาจาสิทธิ ซึ้งเราได้มาด้วยอภิญญาญาณนุตสติตานังเราควรจงต้องปฏิบัติแล้วจะประจักมัคนิโรจสมบัติ จะประจักเนื้อสมบัติกัม เอวัง ก้อด้วยปะการะฌานี สาธุ
สรุป โดยการใช้ศัพภาษายุคใหม่ให้เข้าใจง่ายๆก็คึอ สังขารคือร่างกาย, ร่างกายประกอบด้วย ทาดทั้งสี่ คือ ดิน, น้ำ, ลม, ไฟ, และ ทาดเหล่านี้มาจากธรรมชาติ. แก่นแท้ของธรรมมะ ก็คือสอนให้รู้เกี่วยกับธรรมชาติ ของสิ่งต่างๆนั้นเอง. ร่างกายของทุกสิ่งที่มีชีวิต และ ปรากดการต่างๆจะเกิดขี้นจากธรรมชาติด้วยเหตุ และ ปัจใจของมัน เมื่อเกิดขื้นแล้วก็ไม่มีอันใดแน่นอน ในที่สุดก็สลายไปกลับคืนสู่ธรรมชาติเหมือนเดิม.
ผม ขอแสดงความเคารพได้ ในตัวตนท่าน.. ที่มีความรููู้.ความสามารถ.ที่จะถ่ายทอดและส่งต่อไปได้ ในสังคมให้เกิดเปนประโยชน์ แก่ประเทศชาติได้ อันนี้ผมคงพูดได้แค่นี้..ในพุทธะมากะ.ในพุทธะบริษัททั้งสี่.. อันนี้ก้อถ้า มีอะไรที่ต้องช่วยกันหรือจะสูญหาย.. ในที่รู้กันดียิ่ง.. ผมยังไม่ตาย.ผมให้ได้.. จะเอาอะไรกับผมละครับ ในความเปนจริงได้.. ในทุกๆมิติ.. ในทางธรรมประยุกต์ร่วมใช้ให้แล้ว.. มันต้อง ปรับเปลี่ยน.ได้ในความสมดุล ในที่.สงบ.เย็น.งั้นไหมไม่รู้นะครับ.. ถ้าผมจะทำอะไรผมต้องให้ถึงที่สุดได้.. ผมไม่พลาดหรอกครับ.มันก้อเปนไปอัตโนมัติได้มั้งครับถ้าทำให้มันเคยจนเปนไปได้.. ในอัตโนมัติเท่านั้น.. จะเอาอยู่หรือในยุคสมัยนี้..มันมองดียิ่งได้.สัมผัสเอาความเสื่อมในนี้ มันมีอามรณ์อะไรกันละครับ.. ใจมั่น.พอในความอดทน.. ได้.. ทุกข์ที่มันเกินรับได้ ผมเข้าใจได้.. แต่ต้องให้มันสัมผัส.รู้ในอามรณ์นั้น.. เอาให้มันจนรู้ทันได้ รู้ในทุกข์ถึงที่สุดแล้ว มันถึงออกมาได้ในประโยชน์ออกทุกข์ได้ ที่นี้เครื่องสตาร์ติด.มั้งครับ..
เราทุกคนก่คือวิญญานธาตุหรือผู้รั้ จิตเดิมแท้ จิตใต้สำนึก แล้วแต่จะเรียก ธาตุผู้รุ้วิญญาน มาซ้อนจิตธาตุหรือสมองบนหัวนี้อยู่ ปฎิสนธิจิตนั่นแหละ เราคือจิตในจิต มาปรุงแต่ง หลงสมมุติโลก กายนี้อยู่ จึงต้องฝึกวิมุติคือว่างจากกระแส สุข ทุก ที่สมองผลิตหรือขันห้านั่นเอง เพื่ออาศัยสูญตาอยู่ เพื่อรอแยกธาตุ หรือตาย เพื่อไปโลกนิพพานคือ ทั้งหมดอนันต์จักวาลชั้นในสุดขิดภวังค์ เปนกระอภัสราหรือบริสุทธไม่ปรุงแต่ง เราคือวิญญาณธาตุ เปนธาตุอมตะ ที่ยึดติดปรุงแต่ง หลงสมมุติอยู่
ตายเท่านั้น ความคิดถึงจะหยุด
ทุกข์ ใน ธัมมจักร - ทุกในไตรลักษณ์
ธรรมรู้ได้คือผู้ปฏิบัติเท่านั้นมโนไป ก็ร้อยแปด
สังขารคือร่างกายจิตใจ และรูปธรรมนามธรรม ทั้งหมดทั้งสิ้น พระองค์อธิบายไว้ให้แล้ว เป็นทั้งกาย(วัตถุธาตุ) เป็นทั้งจิต(จิตธาตุ เวทนา สัญญา สังขาร(คิด) วิญญาณ) เป็นทั้งรูปธรรม(รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส มโน) นามธรรม(ความว่าง สูญญตา เจตสิก อารมณ์...)สรุปว่า ทุกสิ่งคือสังขาร ที่มีคุณลักษณะแห่งการเปลี่ยนแปลง(อนิจจัง)และเกิดดับ(ทุกข์)
สังขาร เป็น นามธัมมะ หมายถึง การปรุงแต่งจิตเจตสิก มากกว่าสังขารตามคนไทยตีว่า คือ ร่างกาย ๆ คือ สรีระกาย ที่มาจาก ธาตุสี่มารวมกัน
ร้อนวิชา.!. ทำให้เกิดธรรมปฏิรูป ทางที่ดีควรจะแจ้งอย่างแม่นมั่นว่า นี้เป็นแค่เพียงความคิดเห็นหรือความเข้าใจของตนเองเท่านั้น หรือควรจะกล่าวคำพุทธวจนะล้วน ๆ....บางคนสะสมยังน้อยอยู่ ก็ไม่ค่อยเข้าถึง บางคนก็สะสมมาพอสมควร ก็เข้าถึงบ้าง เข้าไม่ถึงบ้าง คนใดสะสมมาเยอะ ก็เข้าถึงได้เป็นส่วนมากและค่อนข้างไปทางง่าย ตามลักษณะลาดเอียงของภูเขา...... คนจนได้เงินหมื่นเงินแสนก็ดีใจว่าตนรวยแล้ว คนรวยได้เงินมาพันล้านยังคิดว่าตัวเองยังไม่รวย..... บางคนจดจำมาได้นิดหน่อยก็ดีใจแล้วที่ได้รู้ บางคนรู้มากรู้เยอะเพราะจดจำมามากก็คิดขยายความจนมากมายแล้วหยุดไม่ได้ ในใจมันคลั่ง มันร้อนต้องระบายออกบ้าง พอมีผู้คนรับฟังก็ค่อยทุเลา จิตใจสงบลงหน่อย น่าเสียดายไม่น่ากล่าวธรรมปฏิรูป ในขณะที่คำสอนยังคงมีอยู่
สวัสดีค่ะ อาจารย์เข้ามาฟัง ที่อาจารย์ อธิบายจริง อย่างที่ท่าน อธิบามาทุกอย่างค่ะยุคนี้ ในบ้านเมืองเรา ศาลยุติธรรม เป็นเทวทัศน์ สะเอง สิคะ
เพิ่งฟังถึงนาทีที่ 12 อธิบายได้ดีจริงๆครับ ผมสงสัยมานานแล้วว่า"สังขาร"แปลว่าอะไรแน่ "ร่างกาย" หรือ "ความคิดปรุงแต่ง" ภาษาไทยคงไม่มีคำที่แปลสังขารได้ตรงๆเลยต้องสลับเอาคำโน้นบ้างคำนี้บ้างมาใช้ พอไปย้อนอธิบายเป็นภาษาอังกฤษที่น่าจะครอบคลุมความหมายได้กว้างพอกับภาษาบาลีเลยทำให้เข้าใจมากขึ้นขอบคุณครับ
จิตเป็นพลังงาน.ที่ใช้สร้างสมไปใน.นิพพาน.นักวิจัยควรทำให้จิตเกิดเกิดรูปได้.คนชั่วจะไม่มี
ท่านอาจารย์ได้ถ่ายทอดธรรมะของพระพุทธเจ้าได้ลึกซึ้งดีมากครับ
แนวคิดหลักๆนี้ ถูกสร้างขึ้นเพื่อต่อต้านความเชื่อของพราหมณ์ในสมัยนั้น ทีมพระพุทธเจ้าคือทีมกบฎทางความคิดต่อความเชื่อของคนยุคนั้น เลยมีการโกนหัวเป็นสัญลักษณ์ของการประท้วง คราวนี้ ถ้าเอากฎแห่งกรรมมาอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน มันอาจทำให้เข้าใจผิดได้เหมือนกัน อย่างเช่น สมัยฮิตเลอร์มีอำนาจล้นฟ้า = เขาคือความชอบธรรมเพราะมีบุญบารมี อันนี้คงไม่ใช่ มันกลายเป็นเรื่องของการต่อสู้เพื่อความถูกต้อง จนในที่สุดผู้ที่อ่อนแอกว่าสามารถเอาชนะผู้ที่แข็งแกร่งกว่าแต่ทำผิดได้ ดังนั้นเรื่องบุญกรรมมันเหมาะที่จะเอาไว้อธิบายเหตุการณ์เมื่อหลายพันปีก่อน แต่สิ่งที่เยี่ยมมากของศาสนาพุทธที่ได้รับการยอมรับไปทั่วโลก คือการคิดตามหลักเหตุและผล ข้อนี้คือสัจธรรมที่มีอยู่ในธรรมชาติ ไม่ต้องมีศาสนาก็ได้ ถ้าทุกคนรู้จักใช้ความคิดด้วยเหตุด้วยผล ไม่คอยใช้อำนาจหรือกฎหมายที่สร้างขึ้นมาข่มเหงกัน หรือพยายามหาความชอบธรรมแล้วบังคับจัดการกับผู้ที่อ่อนแอกว่า การคิดด้วยเหตุและผลก็คือปัญญาของมนุษยชาตินั่นเอง ที่เราสามารถทำได้ทุกคน รู้จักที่จะเรียนรู้เรื่องราวใหม่ๆไม่จบสิ้น และประมวลวิเคราะห์ตามเหตุผลเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ดีที่สุด ต่อการดำรงอยู่ ความเจริญก้าวหน้า และความสุขได้ทั่วกัน สามารถสร้างระบบที่ดี ที่ไม่ใช่ตัวถ่วงชีวิตของคน ที่มีความถนัด มีความเก่งแตกต่างกัน ระบบที่แย่ทำให้เกิดคนที่มีชีวิตยากลำบาก และความชั่วร้ายก็จะสามารถเข้ามาได้ มีการปล้น การฆ่า เพื่อเอาตัวรอดเกิดขึ้น จะเห็นได้ว่า ประเทศที่พัฒนาแล้วจริงๆ อาชญากรรมต่ำมาก การคอรัปชันน้อยมาก หรือแทบไม่มี ประชาชนได้ใช้ชีวิตของตัวเองจริงๆ และมีวิธีคิดตามเหตุตามผลได้เต็มที่ ส่วนเรื่องกรรม ก็เอาไว้ใช้อธิบายได้เกี่ยวกับ บางคนที่กินอาหารแย่มากๆ จึงอายุสั้นเป็นโรคหัวใจ โรคมะเร็ง โรคทางสมองไว ซึ่งเรื่องของกรรม อธิบายผลที่มาจากการเลือกกินอาหารได้ตรงมากที่สุด
ทุกขัง คือทนสภาพเดิมไม่ได้ เกิดดับๆ จะถูกเบียบครั้นหรือไม่ก็ตามเพราะความไม่เที่ยงนั้นเอง ส่วนอนัตตา คือ ไม่มีตัวตน และก็ไม่ใช่ตัวตน เพราะมีตัวตน จึงมีผู้กระทำกรรมและมีผู้รับผลของกรรม หากเพิกถอนสมมุติบัญญัติเสียได้ จะไม่มีผู้กระทำกรรมและจะไมมีผู้รับผลของกรรม ถ้าไม่มีตัวตนไปรองรับ
จิตการรับรู้เป็นอีกนามรูปหนึ่งมันก็มีอยู่ของมันตามธรรมชาติมันต้องอิงอาศัย รูป เวทนา สัญญา สังขาร มาประกอบจึงจะรับรู้ได้หากรูปพัง จิตก็ยึดอยู่ไม่ได้ ต้องไปหาที่ยึดใหม่ ถ้าเราคิดว่าจิตเป็นของเราเมื่อไหร่ ครั้นกายแตกทำลายไป เราที่ยึดติดจิตจะตามมันไปทุกที่ตามแต่ที่จิตมันคุ้นเคยชิน
อาจารย์อธิบายได้เข้าใจได้ง่ายค่ะ
ความเกิดไงเป็นกรรม ถ้าไม่เกิดก็ไม่ต้องรับกรรม หัวใจหลักของพุทธคือ ไม่เกิดไม่ตายอีกต่อไปทำยังไง
ตถาคตได้บัญญัติไว้ว่า แดนอมตหรือนิพพาน นั้นมีอยู่ เป็น สิ่งๆหนึ่งซึ่งบุคคลพีงรู้แจ้ง เป็นสิ่งที่ไม่มีปรากฏการณ์ ไม่มีที่สุด สามารถปฏิบัติเข้าถึงได้โดยรอบ ในสิ่งนั้นแหละ ดินน้ำไฟลม ไม่อาจหยั่งลงได้ ในสิ่งนั้นแหละ ความยาว ความสั้น ความเล็ก ความใหญ่ ความงาม ความไม่งาม ไม่อาจหยั่งลงได้ ในสิ่งนั้นแหละ นามรูป ไม่อาจหยั่งลงได้ นามรูปดับสนิทไม่มีเศษเหลือ เพราะการดับสนิทของวิญญาน (ในสิ่งนั้น ไม่มีการเกิด ไม่มีสิ่งปรุงแต่ง ไม่มีกรรม มารเข้าไปไม่ถึง เรียกระบบนี้ว่า อสังขตธรรม) เมื่อปฏิบัติตามมรรค๘ ย่อมเกิดความเบื่อหน่าย(ในขันธ์๕) คลายกำหนัด ย่อมหลุดพ้น (สัตว์ ไม่ยึดในขันธ์๕ หมดราคะ โทสะโมหะ) เมื่อทำกาละ ย่อมเข้าสู่นิพพาน การปฏิบัติมีหลายวิธี เช่น ละสังโยชน์๑๐ได้(เป็นพระอรหันต์) เมื่อทำกาละย่อมไปสู่นิพพาน ละสังโยชน์ ๕ได้(เป็นพระอนาคามี) เมื่อทำกาละโดยไม่มี อุปทิเหลืออยู่ ย่อมไปสู่นิพพาน แต่ถ้ายังมีอุปทิเหลืออยู่ ย่อมไปสู่พรหมชั้นสุทธาวาสชั้นที่ ๕ คือ อุทธังโสโตอกนิฐคามี เมื่อหมดบุญวาระ (มีอายุประมาณ ๕๐๐ถึง๒๐๐๐๐ กัป) ก็จะปรินิพพานในภพนั้น และ การได้สมาธิในทุกระดับชั้น นับนั้งแต่ชั้นปฐมฌาน เมื่อจิตตั้งมั่นแล้วน้อมจิตไปใน นิโรธสัญญา เมื่อทำกาละไม่มีอุปทิเหลืออยู่ เอาจิตไว้กับกายได้ช่วงมรณะย่อมหลุดพ้น หรือการทำทานด้วย เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา(พรหมวิหาร๔) และได้สะสมสุตตะของตถาคต มีความเห็นถูก แม้จะทำสมาธิไม่ได้ เมื่อทำกาละย่อมไปสู่ชั้นพรหมกายิกา กลุ่มอริยะ (เพราะรู้สุตตะของตถาคต) มีอายุหนึ่งกัป แล้วจะไปสู่พรหมชั้นสุทธาวาส มีสี่ชั้นคือ อวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี มีอายุ ๕๐๐ถึง๒๐๐๐๐กัป ก็จะปรินิพพานในภพนั้น
@@user-ug7ps6lf7s ก็นั่นละนะที่พูดมาทั้งหมด ก็ อมตะ ไม่เกิดไม่ตาย ก็ไม่ต้องรับกรรม กรรมมีกายเป็นผล ใช่ไหมละ
เรื่องไตรลักษณ์ ถ้าเอาเข้าใจแบบบรรลุธรรม ต้องเจริญกรรมฐานจนเห็นสภาวะเกิดดับ จึงจะเข้าใจจริงๆ ตนเอง การอธิบายแบบนี้ได้แค่พื้นฐานครับ ต่อให้เป็นปรมาจารย์ทางพุทธปรัชาก็ตามเถอะ
ทนฟังจนจบ เหมือนจะดี แต่ยังดีไม่พอ เหมือนจะถูก แต่ยังถูกไม่พอ ถูกนิดๆหน่อยๆ เอาความคิดเห็นปุถุชน ของตนเองมาวิเคราะห์เฉยเลย ห่างไกลมากคับ พวกที่ศึกษา พุทธวจน เค้าไปไกลกว่าลุงคนนี้นานแล้วคับลุง
มันไม่ได้ละเอียดลึกซึ้งอะไรหรอกเพียงแค่เราไม่รู้เฉยๆนี่แหละ...ง่ายๆถ้าเรารู้แล้ว จะลึกแค่ไหนเราก็ยังรู้ได้เมื่อเรารู้ได้ก็แสดงว่าไม่ลึก
กราบอนุโมทนาค่ะ
ความรู้ความเห็นของผู้บรรยายเป็นมิจฉาทิฐิครับ
อนัตตาเฉยๆ อ.อริยเจ้า
ถ้าคุณไม่ศรัทธาพระพุทธเจ้าก็เรืีองของคุณผมไม่ฟังคุณหรอก
ถ้าเขาไม่ศรัทธาพระพุทธเจ้า เขาจะบรรยายธรรมของพระพุทธเจ้าได้อย่างไร.......
โวหารมากไป ห่างไกลจุดหมาย
อยากให้ผู้มาดูคลิปให้วางความเห็น เก็บเกี่ยวส่ิงเป็นประโยชน์ ถ้าไม่ชอบให้ืเลื่อนผ่านคลิปไปครับ
ปัญหาตอนนี้ เกิดมาแล้วจะทำอย่างไรต่อไป..ดีนะได้เกิดมาเจอพุทธะ
ผมเข้าใจอย่างนี้ว่า มีแต่พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกเท่านั้นที่ "รู้และเห็นทุกอย่างเป็นอนัตตา" ** "จิต"ของพวกเราทั้งหลายอยู่กับสิ่งที่เป็น "อนัตตา"เพราะรู้จากพระธรรมคำสอน แต่ยังไม่เห็นอนัตตาตามเป็นจริงด้วยปัญญาที่แท้จริงของตน ฉะนั้นจะกล่าวทั้ง "อนัตตา หรือ อัตตา"ก็ไม่ต่างกัน **สิ่งที่เป็น "อนัตตา"ที่สัมปยุตต์กับ "จิต"คือ กิเลส กรรม วิบาก(ขันธ์)" จำแนกเป็นอริยสัจ 2 ได้แก่(1) ทุกข์ คือ วิบาก(ขันธ์) (2)สมุทัย คือ กิเลสและกรรม(เจตนา) *เมื่อประสงค์จะถ่ายถอน "จิต"ออกจาก "ทุกข์และสมุทัย"(สิ่งที่เป็นอนัตตา) ก็ต้องถ่ายถอนด้วยสิ่งที่เป็น "อนัตตา"เช่นกันคือ "นิโรธกับมรรค" กล่าวโดยสรุปคือ การทำกิจญาณหรือทำหน้าที่อริยสัจ 4 ในตนนั่นเอง
ท่านกล่าวได้ดีครับ แต่การที่ท่านกล่าวว่า อนัตตาและ อัตตา ไม่ต่างกันนั้น ผมขอแย้งว่าต่างกันครับ ตถาคตได้กล่าวไว้ใน อุปาทาน๔ ที่ศาสนาอื่นๆ อาจจะมีสอนแค่สาม แต่ในศาสนาพุทธ สอนว่ามี ๔ อย่าง ข้อที่ศาสนาอื่นไม่มีสอนแต่สอนเฉพาะในศาสนาพุทธคือ อัตวาทุปาทาน
อนัตตาบัญญัติมาเพื่อขันธ์5คือสะภาวะที่เกิดขึ้น_ตั้งอยู่_ดับไป เป็นทางสายกลางที่ไม่เข้าไปหาส่วนสุดทั้งสองคือความมีและความไม่มี
สายกลาง เคยเห็นแต่ ไม่สุดไป ทางอัตตกิลมถานุโยค คือ การประกอบตนเองให้ลำบากเกินไป หรือ กามสุขัลลิกานุโยค คือ การพัวพันในกามในความสบาย ยังไม่เคยเห็น ว่า สายกลาง ระหว่าง ความมี หรือ ความไม่มีไม่ทราบว่า มีอ้างอิง ในตำรา ไหม หรือ ประสบการณ์ จากการปฎิบัติ
@@Ajjiam ดูกรกัจจานะ โลกนี้ โดยมากอาศัยส่วน ๒ อย่าง คือ ความ มี ๑ ความไม่มี ๑ ก็เมื่อบุคคลเห็นความเกิดแห่งโลกด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความไม่มีในโลก ย่อมไม่มี เมื่อบุคคลเห็นความดับแห่งโลกด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความมีในโลก ย่อมไม่มีโลกนี้โดยมากยังพัวพันด้วยอุบายอุปาทานและอภินิเวส แต่พระอริยสาวก ย่อมไม่เข้าถึง ไม่ถือมั่น ไม่ตั้งไว้ซึ่งอุบายและอุปาทานนั้น อันเป็นอภินิเวสและอนุสัย อันเป็น ที่ตั้งมั่นแห่งจิตว่า อัตตาของเรา ดังนี้ ย่อมไม่เคลือบแคลงสงสัยว่าทุกข์นั่นแหละ เมื่อบังเกิด ขึ้น ย่อมบังเกิดขึ้น ทุกข์เมื่อดับ ย่อมดับ พระอริยสาวกนั้นมีญาณหยั่งรู้ในเรื่องนี้โดยไม่ต้อง เชื่อผู้อื่นเลย ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล กัจจานะจึงชื่อว่าสัมมาทิฐิ ฯ[๔๔] ดูกรกัจจานะ ส่วนสุดข้อที่ ๑ นี้ว่า สิ่งทั้งปวงมีอยู่ ส่วนสุดข้อที่ ๒ นี้ว่า สิ่งทั้งปวงไม่มี ตถาคตแสดงธรรมโดยสายกลาง ไม่เข้าไปใกล้ส่วนสุดทั้ง ๒ นั้นว่า เพราะอวิชชา เป็นปัจจัย จึงมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัยจึงมีวิญญาณ ... ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้เพราะอวิชชานั่นแหละดับด้วยการสำรอกโดยไม่เหลือ สังขารจึงดับ เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ ... ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ฯ (ไทย) นิทาน.สํ.๑๖/๑๕/๔๓
@@user-uq5nh7tp7r ทรงชี้ ว่าถ้ามีปัญญา ก็จะเห็นว่า ไม่มี หรือ อนัตตาไม่ได้เป็นทางสายกลาง ระหว่าง มีความมี หรือ ความไม่มีที่ยกมา เน้น ตอกย้ำ ว่า ธรรมะ คือ อนัตตา
@@Ajjiam ดูกรกัจจานะ ส่วนสุดข้อที่ ๑ นี้ว่า สิ่งทั้งปวงมีอยู่ ส่วนสุดข้อที่ ๒ นี้ว่า สิ่งทั้งปวงไม่มี #ตถาคตแสดงธรรมโดยสายกลาง ไม่เข้าไปใกล้ส่วนสุดทั้ง ๒ นั้น...ปล. อ่านอีกรอบครับ อ่านซ้ำๆ พิจารณาให้ดีๆ ขบธรรมะให้แตก จะได้เกิดปัญญา
@UCie4_tFldizMDL8xq5N1o0A พิจารณาตามหลักปฏิจจสมุปบาทสายเกิด-ดับได้เลยครับ ความมี(สังขารฯ)เหตุปัจจัยปรุงแต่งขึ้น เพราะอวิชชา แต่ถ้ารู้ตามความจริง ไม่สร้างเหตุขึ้นมา ความมี(อัตตาฯ)ก็ย่อมไม่มี สรุปสั้นๆ คือถ้าไม่มีเหตุ ก็จะไม่มีผล ถ้ามีเหตุ ก็จะมีผลตามมาฯถ้าคุณเข้าใจปฏิจจสมุปบาท ก็จะไม่ตั้งคำถามแบบนี้นะครับ
เป็นการฟังบรรยายธรรมะที่่เข้าใจที่สุด นั่งฟังตั้งใจฟังแบบมีความสุขและความเข้าใจ ขอบพระคุณอาจารย์อย่างยิ่งค่ะ
ถูกต้องครับอาจารย์.อธิบายคำสอนของพระพุทธองค์ได้ถูกต้องที่สุด.สาธุ.สาธุ.สาธุ..ครับ..เปรียบเทียบหลักวิทยาศาสตร์ได้ดี..เห็นด้วย..ยังไม่เคยยินจากใครเลยครับ
มีในพระไตรฯ ฉบับเต็ม..หลวงปู่ดูลย์อธิบายจักรวาล ธาตุ สสาร นามธาตุ รูปธาตุ ไว้ใน "จิตคือพุทธะ" นักปราชญ์ว่ากันว่า..ผู้มีปัญญาติดมาฟังแล้วเข้าใจทันที ผู้ที่ไม่เข้าใจครั้งแรกแต่ใคร่ครวญไตร่ตรองจักรู้ได้ ภายหลังฟังครั้งแรกๆๆ
พระ
กราบขอบพระคุณท่านมากๆครับ..นี้คือการศึกษาธรรมของพระผู้มีพระภาคแบบวิทยาศาสตร์จริงๆ
เจอคลิปนี้โดยบังเอิญ หัวข้อบรรยายน่าสนใจเลยเข้ามาฟัง คิดว่าเป็นธรรมมะจัดสรรค่ะ เพราะว่าอาจารย์ให้ความรู้ที่ละเอียดและชัดเจนมาก มีความเข้าใจเรื่องนี้ขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง กราบขอบพระคุณอาจารย์และขออนุโมทนาในการเผยแพร่ธรรมมะเป็นวิทยาทานต่อกัลยาณมิตรทุกท่านที่ได้ประโยชน์ในการฟังครั้งนี้🙇🏻♀️
ถ้าเอากฎ...อิทัปปัจยตา....ปฏิจจสมุปบาท...มาเริ่ม..ศึกษาเป็นบทปฐม...เริ่มแรก...และศึกษาแต่ละคำ...ให้เข้าใจ...จนละเอียดได้แล้ว...ก็จะค่อยฯขยับการเรียนรู้.ถึง..ขั้นกลางฯ...ถึงขุั้นสูง..ลึกละเอียดขึ้นไปเรื่อยฯ...แต่ที่สำคัญ...ต้องปฎิบัติตาม....คำสอน...ที่องค์พระศาสดา...ได้ทรงตรัสสอนไว้...ให้ได้จริงฯด้วย...ไม่ใช่แค่...เรียนรูู้...แต่ควรปฎิไปให้เห็นด้วย...ว่า..พระพุทธเจ้า ..สอนไว้จริงหรือไม่...เพราพระองค์...ทรงบอกไว้ว่า..ไม่ให้เชื่อพระองค์...แต่พระองค์...บอกสอน..ไว้ว่าต้องปฎิบัติ ...จริงฯ.เพื่อที่จะเข้าไปเ ห็น...หนทางเดิน..ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น..เพื่อให้พ้นจาก...สังสารวัฏนี้..ให้ได้ในที่สุด...ขออนุโมทนา...สาธุ..สาธุ..ค่ะ
ก็เพราะว่าถ้ายังมีการยึดถือตัวตนอยู่ตราบใด ผู้ทำกรรมก็ย่อมต้องรับผลกรรมของตนเองไม่มีใครมารับกรรมแทนผู้นั้นใด้ คำว่าอนัตตา คือไม่มีตัวตนนั้นเป็นคนละบริบท กับ คำว่ากรรม ถ้าเมื่อใดผู้ที่สามารถตัดความยึดมั่นใด้โดยเด็ดขาด จากความยึดถือ10 ประการแล้ว กรรมใดๆที่มีอยู่ของบุคคลใดย่อมหมดไปโดยอ้ตโนมัติหลังจากร่างกายผู้นั้นเสื่อมสลายไปแล้วนั่นเอง. เพราะเหตุที่ว่า ตัวเหตุที่จะต้องรับกรรมนั่นดับไปแล้ว เหมือนเปลวไฟ เทียนไข ใส้เทียน หมดแล้ว พลังงานความร้อน และพลังงานแสง ย่อมหมดด้วยเหมือนกัน เมื่อความยึดตัวตนหมด ร่างกายเปรียบเหมือนเทียนไข ก็จะไม่มาก่อร่างสร้างเทียนเล่มใหม่ ส่วนเปลวไฟ(ชีวะ)ก็มีไม่ใด้ ใส้เทียนเปรียบเหมือน(กรรม)ก็ไม่มีที่รองรับผลแห่งกรรม นี่เปรียบกับคำว่าอนัตตา ครับ เราไม่จับแพะมาชนแกะ คือ เรืองของกรรม กับอนัตตา มาปนก้น อันหนึ่งเป็น โลกียะ(กฎแห่งกรรม) และอันหนึ่งเป็นโลกุตระ(อนัตตา)ครับผม คำว่าปถุชน กับ อริยชน(ผู้เข้าถึงกระแสมุ่งไปสู่จุดหมาย) ธรรมะนั้นมีอยู่ สองชนิด 1.พุทธธรรม 2.ธรรมะโดยทั่วไปที่ปุถุชนประสบอยู่เป็นธรรมดาในชีวิต แต่พุทธธรรม เป็นธรรมะที่พุทธทรงค้นพบด้วยพระปัญญาที่เหนือมนุษย์ในสากลจักวาล แล้วนำมาสอนมนุษย์ให้ใด้รู้ เห็น เข้าถึงด้วยตนเอง โดยไม่อาศัยความเชื่อใดๆมาให้เชื่อตาม แต่พระองค์ให้มาพิสูจน์ด้วยตนเอง ถ้าพิสูจน์แล้วประสบผลตาม สิ่งที่พระองค์สอน ก็ย่อมเป็นความจริงแท้ เพราะเขาใด้พิสูจน์แล้วด้วยตัวเอง ครับผม
ชัดเจน สาธุครับ
สาธุ สาธุ สาธุ
คำว่า อนุโมทนา คือการมีใจนินดีในกุศลวัตรของผู้อื่น ด้วยมุทิตาจิต ด้วยคารวะจิต
ได้อ่านหลายคอมเม้นท์ ล้วนสะท้อนเห็นถึงความคับแคบของผู้ที่ทนงว่าทรงภูมิ ท่าทีเช่นนี้สะท้อนว่าเข้าไม่ถึงธรรม แม้นว่าจะทรงภูมิธรรมก็ตาม
ขออนุโมทนากับอาจารย์ด้วยครับ และขอบคุณที่แบ่งปันความรู้ครับ
เห็นด้วยค่ะ บางคนศึกษาธรรมมะมาเยอะ แต่จิตใจไม่เปิดกว้าง มองเห็นได้ชัดเลยค่ะ
พระพุทธองค์ตรัสว่าเราถูกจิตนี้คดโกงหลอกลวงมานานแล้วหนอ จิตเป็นสิ่งที่ต้องทิ้งต้องปล่อยวาง
เข้าใจเครับขอบคุณทิ่อาจารย์ให้ความรู้เพิ่มเติ่ม...ขอบคุณครับ
ก็ว่ากันไปตามกำลังความคิดความรู้ของๆตน..
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา..ท่านไปหยิบคำสอนพุทธองค์ในพระไตรปฎิฏกมาอธิบายจะชัดเจนลึกซึ่งถูกต้อง ดีกว่าที่จะเอาความเข้าใจตนเองส่วนหนึ่งที่ยังไม่ลึกพอมาอธิบายนะครับ
โอว ขอคารวะท่านนักปราชญ์คีย์บอร์ด
ใช่ค่ะ ได้อ่านจากที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ในพระไตรปิฏกเข้าใจละเอียดลึกซึ้งมาก เคลียร์มากๆเลยค่ะ
ความคิด สร้างเรื่องสมมุติการให้ค่า แทนค่าสิ่งต่างๆ ออกมาเป็นภาษา เพื่อสื่อสารกันคือ สังขารที่เห็นได้ยาก .
..ทุกคนจึงตกอยู่ในสังขาร อธิบายสังขาร เพื่อใช้เป็นเครื่องมือค้นหาสัจจะ .งูกินหาง .
สุดท้าย แค่รู้ สักว่ารู้ คืออธิบายได้แค่นั้น เหมือนโปรด พาหิยะ .เพราะยิ่งพูด ยิ่งหลงไปกับสังขารไม่รู้ตัว .ตกอยู่ในสงสารของความคิดไม่รู่จบ
เอเมน
แค่ตั้งข้อสังเกตุ
ที่ท่านอธิบายว่าจิตซอฟต์แวร์ตายแล้วไปหาฮาร์ดแวร์ใหม่....แปลว่าเป็นอัตตานะคับตรงนี้ต้องศึกษาใหม่ แม้แต่จิตก็เป็นอนัตตา
สอนเด็กผู้เกิดใหม่ให้ข้าใจอย่างลึกซึ่งจะเป็นกุศลแก่มนุษย์และสัตว์เป็นอย่างยิ่งพระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้วตรงแล้วถูกแล้วทุกประการสาธุสาธุสาธุค่ะ💗💗💗🙏🙏🙏
กรรม.ล้วนเกิดจากผัสสะที่มากระทบต่อสฬายตนะทั้งภายนอกภายใน..
@@sweetmodaka แต่ผมว่าเขากล่าวถูกนะ กรรมทุกกรรมเกิดจากผัสสะ แต่ผัสสะทุกผัสสะ ไม่ได้สร้างกรรมเสมอไป เพราะถ้าผัสสะนั้นไม่ได้ประกอบด้วยเจตนาก็ไม่เป็นกรรม กลับกันกรรมที่ประกอบด้วยเจตนาต้องมีเหตุจากผัสสะทั้งสิ้น
@@sweetmodakaครับผม ต้องลองกลับไปค้นหาดูเรื่องกรรมว่าพระตถาคตบัญญัติเรื่องกรรมเหตุเกิดของกรรม.เรากล่าวซึ่งเจตนาว่าเป็นกรรม..กรรมคือ เจตนา สิ่งใดถ้าเราไม่เจตนาไม่ถือว่าเป็นกรรม..
.เหตุเกิดของกรรมทั้งหลาย ย่อมมี เพราะการเกิดของผัสสะ
.ความดับแห่งกรรมทั้งหลาย ย่อมมี เพราะความดับแห่งผัสสะ
.มรรคมีองค์8นี้นั่นเอง เป็นกัมมนิโรธคามินีปฎิปทา
ที่กล่าวว่าผัสสะคือเหุตเกิดแห่งกรรม คืออายตนะทั้งภายนอก และภายในซึ่งรวมกันเรียกว่า สฬายตนะ.ตาหูจมูกลิ้นกายใจ
ตากระทบสิ่งที่ไม่น่ามองก็ทำให้เราพอใจหรือไม่พอใจนี้ก็ทำให้เกิดกรรม..เพราะให้เกิดทุกข์หรือสุข พอใจก็สุขไม่พอใจก็ทุกข์.บางคนไม่เข้าใจเลยคิดว่ากรรมเกิดจากผู้อื่นบันดาล..แท้จริงแล้วต้นเหตุของกรรมมีขึ้นด้วยผัสสะทั้งหลายครับ.ขอบคุณครับ
ขอบคุณ คอมเม้นท์ พี่ทั้ง 2ครับ
@@bentoonmoota9799 สาธุธรรมครับ
ถูกกิเลสขั้นสูงทางจิตจูงให้เข้าใจผิดอย่างมหันต์ หลงผิดหลงทางหลงประเด็น เข้าใจกรรม กับอนัตตา รวมกัน ระนาบเดียวไม่ใช่ เราศืกษาพุทธเพื่อ ยังจิตให้ถึงซึ่งความบริสุทธิ์ พ้นทุกข์จากกิเลสที่ปรุงแต่งนาๆประการ
ธาตุ ทั้ง5 เป็นอนัตตา กรรมเกิดจาก กรรมภพ เป็นผู้สร้างให้มีเราเป็นเรา เป็นภาวะอาการเข้าถึงกรรม
ผู้ยึดเป็นผู้เข้าไปรับกรรมเอง ไม่ยึดก็เป็นแค่ผู้ชม
สาธุๆครับ ก่อนสอนควรศึกษาบาลีให้ถ่องแท้ก่อนครับ ขึ้นต้นมาวิภัตติก็ผิดแล้ว ภาษาผิด ความเข้าใจก็ผิดการปฏิบัติก็ผิดไปด้วย 🙏🙏🙏
เค้ายังไม่รู้จริงอธิบายก็ผิดครับ
สุดยอด...ตามความ..เป็นจริง...
ไม่ใช่ตัวตน ต้องปล่อยวาง
ไม่ได้แปลว่าไม่มีตัวตน
ถ้าไม่มีตัวตน ไม่ต้องปล่อยวาง
จิตที่ยังไม่ปล่อยวางรับวิบากกรรม
สาธุ สาธุ สาธุ เป็นธรรมที่ลึกซึ้งมากใครฟังเข้าใจหมายความว่าถึงที่สุดแห่งธรรมแล้ว กราบสาธุท่านอริยะ
อธิบายได้เข้าใจละเอียดดีครับ
สังขารทั้งหลาย เป็นทุกข์
สังขารทั้งหลาย ไม่เที่ยง
ธรรมทั้งหลาย เป็นไม่ใช่ตัวตน
การใช้คำขึ้นต้นที่ต่างกันมีความหมายลึกซึ้ง ระหว่าง สังขาร กับ ธรรม
ธรรม ก็คือ สิ่งที่ใจสัมผัสอารมณ์ เป็นคู่ อายตนะที่ 6 ครับ พูดง่ายๆก็คือใจรับรู้ ธรรมารมณ์ แล้วปรุงแต่ง(สังขาร) ให้เป็นทุกข์ ให้ปรุงแต่ง(สังขาร) จึงไม่เที่ยง
(ขั้นอรหันต์มรรค-ผล) ปล่อยวางใจให้ว่าง ไม่ดิ้นกับธรรมารมณ์ ไม่วิ่งไปเสพธรรมารมณ์ฟุ้งซ่านไปเรื่อย ไม่ไปยึดติดว่าตัวกรูของกรู จึงไม่เกิดการปรุงแต่ง ไม่ปรุงแต่งจึงไม่ทุกข์ สุขสงบ และเที่ยงแท้ อยู่เช่นนั้นนิจนิรันดร์ ไม่ตายไม่เกิดอีก นั่นแล นิพพาน อันบริสุทธิ์ขาวรอบ ที่อยู่ร่วมกับขันธ์ ดับขันธ์ก็เข้าสู่สภาวะนั้นๆจริงๆ
ส่วนวัตถุ มันก็เป็นวัตถุ ของมัน ขันธ์ก็เป็นขันธ์ มีตัวตนของมัน มีการปรุงแต่งของมัน ปล่อยและทำตามให้มันคงอยู่หรือเปลี่ยนตามประโยชน์/กาลเทศะไป ให้ทำตามความเป็นใหญ่ของหน้าที่นั้นๆไป ส่วนความคิดของเราที่ไปยึดติดนั่นแล ที่เป็นปัญหา สร้างทุกข์
อย่าไปยึดติดว่า ธรรมทั้งหลาย มีตัวตน จบขั้นสุดท้ายของพุทธศาสตร์ ขั้นอรหันต์
แต่ก่อนที่จะเข้าถึง ขั้นอรหันต์ ก็ต้องผ่าน
-ดวงตาเห็นธรรม อันเข้าถึงกระแสนิพพาน หรือโสดาบัน ศึกษาธรรมเกี่ยวกับ พุทธศาสนา ณ จุดหนึ่ง อันมีกรอบอยู่ใน อริยสัจ 4 จนแน่ชัดว่า พุทธศาสนา คือของจริง ด้วยใจตน มีนิพพานเป็นแก่นแท้ นั่นแหละ โสดาบันมรรค เริ่มแล้ว ศึกษา นิพพานสภาวะและอริยะสัจ4 ให้รู้ชัด มากขึ้นย่อมเกิดผล ในขณะจิตที่ศึกษาเกิดสมาธิ(เสี้ยววินาทีเดียวก็ตาม) ด้วยมรรค สมบูรณ์
-ผู้ลดกามคุณ 5 (อายตนะ 5) ด้วยสมาธิได้ รู้หลักการคือเกิดสัมมาทิฐิ เข้าสู่ สกคาทามีมรรค สามารถเข้าสัมมาสมาธิ ครบ ตั้งแต่ สัมมาทิฐิ เห็นหลักการครบ ปราถนาพ้นตั้งเป้าหมาย พูด กระทำ อาชีพเหมาะ เพียร มีสติเข้าถึงพิจารณาในขณะตั้งสมาธิ แน่นิ่ง (ฌาน 4 มี 2 ลักษณะห้อง คือ นิ่งเงียบสงบ และวางเฉยแต่รับรู้สัมผัสทั้ง 5 ทุกอย่าง ห้องอุเบกขานี้และคือเป้าหมาย) ได้หนึ่งครั้ง ก็เข้า สกทาคามีผล
-ละกามคุณ 5 ด้วยทรงมรรค จนละกามคุณ ทั้ง 5 (อายตนะ 5 คู่แรก) ในการใช้ชีวิตประจำวัน นี่ขั้น อนาคามี เบื่อหน่าย กามคุณ รู้หลักการของขั้นนี้เกิด สัมมาทิฐิ เริ่มอนาคามีมรรค ทำได้เกิดผล(ไม่หลุดจากสมาธิ ต่ำสุดคือขณิกสมาธิ เท่านั้น จึงไม่ถูกกามคุณรบกวนจิต) ออกแบบทำสมาธิ 40 วิธี ในการใช้ชีวิตได้ด้วยตนเอง
-อรหันต์ มรรค-ผล จัดการกับ อายตนะคู่ที่ 6 ที่เหลือ
สงสารผู้บรรยาย
ขอบคุณครับ ผมได้เข้าใจเพิ่มขึ้นอีกบ้างครับ กว่าจะเกืดปัญญาทื่จะเข้าใจก็คงอีกนานครับ ดั่งคำพระท่านว่า มีอวิชชาเป็นเครื่องกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องผูก ขอบคุณครับ
สัตว์ตานัง เป็นผู้หลงยึดติด
มีอวิชาเป็นเครื่องกั้น มีตันหาเป็นเครื่องผูกอยู่ในสังสารวัฎ
ไม่มีที่สิ้นสุด สาธุธรรมครับ
สาธุธรรมครับ
สัตตานัง ไม่ใช้เป็นประธานในประโยคนะครับ ผิดเพราะอาจารย์พาผิดนะครับ ฝากแก้ไขพระอาจารย์ด้วยครับ
@@user-cw9mn6in6t สัตตานังไม่ได้แปลว่าผู้ยึดติด
พระพุทธเจ้าสอนเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย แต่ผู้บรรยาย(บรรยาย)ทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องง่าย โดยเฉพาะภาษาที่นำมาบรรยายก็ไม่ทราบว่าท่านเป็นฝรั่งหรือที่ไม่สามารถจะทำความเข้าใจกับภาษาของตัวเองได้ อีกประการหนึ่งมีใหมในพระไตรปิฎกมีภาษาต่างประเทศกำกับด้วย
แก้ข้อคำว่า ทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องง่าย ที่ถูกทำเรื่องง่ายให้เป็นยากครับ
นั่นประโยคที่ปรุงแต่งใหม่...จริงแล้วสรรพสิ่งกำเนิดจากธาตุทั้ง 4 ดิน น้ำ ไฟ ลม...เมื่อลมดับ ไฟก็ดับ น้ำถูกแซกซึม ดินถูกย่อยสลาย...กรรมเป็นเพียงนามธรรม ไม่เคยมีอยู่จริง ไม่มีตัวตน การแก้กรรมจึงล้างกรรมไม่มี
ผมขอแย้งนะครับเพื่อประโยชน์ของท่านเองครับ ในระบบนี้คือ สังสารวัฏ หรือ สังขตธรรม มีการเกิด มีสิ่งปรุงแต่ง มีมหาภูติ ๔คือ ดินน้ำไฟลม มีขันธ์๕ ( รูป เวทนา สัญญา สังขาร และ วิญญาน ) มีกรรม ผู้ใดทำกรรมใดไว้ ผู้นั้นย่อมได้รับผลของกรรม กรรมมี๓อย่างคือ กรรมขาว กรรมดำ กรรมไม่ขาวไม่ดำ ในระบบนี้หนีกรรมไม่พ้น ล้างกรรมไม่ได้ แต่ถ้าเรารู้วิธีหนีกรรมนั้นมีอยู่ ต้องปฏิบัติตามที่ตถาคตแนะนำ คือปฏิบัติตนให้ออกจากระบบนี้ไปสู่อีกระบบหนึ่ง คือ อสังขตธรรม (นิพพาน) ด้วยการละสังโยชน์๑๐ ให้ได้ หรือ ก่อนตายละสังโยชน์๕ได้ ก็หนีกรรมได้ เพราะ ในสิ่งนั้น มารเข้าไปไม่ถึง ไม่ใช่ที่เที่ยวของปุถุชน เข้าไปแล้วออกมาไม่ได้ ไม่มี ดิน น้ำ ไฟ ลม ไม่มี นามรูป ไม่มีวิญญาน ไม่มีการเกิด (จึงไม่มีการแก่ ไม่มีการตาย) ไม่มีสิ่งปรุงแต่ง สิ่งนั้นมีอยู่
ชัดเจนมากครับ
อนุโมทนาสาธุครับ
ขอบคุณสำหรับวีดีโอค่ะอาจารย์
ธรรมใดที่มาจากปุถุชน ย่อมมีโอกาสผิดเพี้ยนมากกว่าธรรมจากอริยสงฆ์ ดังนั้น พีงระวัง
@@Nevermind_Smile ruclips.net/video/PJOk66u-qBo/видео.html ลองฟังดู
เมื่อเดิม ไม่มีอะไรแล้ว ต่อไปจะมีอะไรอีก
สาธุ สาธุ. เจ้าค่ะ
ขอบคุณครับ
ผู้สร้างกรรมดีและชั่วคือรูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณประชุมกันตั้งอยู่แล้วดับไปตราบใดที่ยังมีกิเลสก็เวียนมาเกิดอีกส่วนจะเกิดเป็นอะใรแล้วแต่แรงกรรมของตน
น้อมกราบคารวธรรมครับ
อนุโมทนาสาธุนะคะ
Actual knowledge is from practical activities, sir.
อนุโมทนาสาธุที่ให้ความรู้ค่ะ
สาทุดีใจที่ได้รับฟังธรรมจากอาจารเจ้าคะ...
โลกุตรธรรม สุญตา เข้าใจสองอย่างนี้รู้จริงเข้าถึงจริง ก็มองทุกอย่างขาด
นี่แหละคือศาสตร์ทีควรศึกษาและเลิศกว่าศาสตร์ทั้งปวง
แปลง่ายฯสิ่งต่างฯทั้งหลายที่ปรุงแต่งล้วนไม่เที่ยงครับ
ธาตุ➡️ สติ ➡️อนัตตา, สิ่ง➡️มี➡️ไม่ใช่ตัวตน
สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ➡️สภาวธาตุทั้งหลาย(สํขต+อสํขต) **มี ไม่ใช่ตัวตน**
สิ่งใดเกิด ทุกสิ่งล้วนดับไปเป็นธรรมดา
ไม่ใช่คำสอนขอนพระพุทธเจ้าแน่นอนคือไตรลักณ์คุณยังพูดไม่ถูก
แต่คุณเขียนไม่ถูก(ลักษณ์)
สาธุครับ
ศึกษา เรื่อง ภาษา คน&ธรรมให้ เข้าใจ ก่อนที่ จะเพี้ยน มากไปกว่านี้.
อนุโมทนาสาธุ
จริงค่ะ ถ้าสมองบังคับได้ทุกอย่าง คนมีสมองทุกคนก็คงไม่ตัดสิน "ใจ" ผิดพลาดหรอก เพราะใช้ใจ ไม่ได้ใช้สมอง และที่เสียใจเจ็บใจก็เพราะใจ สมองมีส่วนแค่ทำให้นึกถึง กับเป็นวิธีคิดวิเคราะห์ให้กระทบต่อใจรู้สึกอีกที
ขอบคุณอาจารย์ค่ะ เข้าใจขึ้นเยอะเลย
สาธุ
จิตชรรูป..เมื่อการปรุงแต่งจิตไม่มี..วิญญานก็ไม่มี เมื่อไม่มีวิญญาน นามและรูปก็ไม่มี..ไม่มีผู้กระทำและผู้ถูกกระทำ คือไม่มีใครทำกรรม ไม่มีใครรับวิบากของการกระทำ..
ดีมากครับ เรียกอีกอย่างว่านี้และพุทธแท้ ครับ ฟันธง ครับ
สาธุ สาธุ สาธุ
กราบขอบคุณอาจารย์และคณะผู้จัดทำค่ะ ฟังถึงแค่ข้อสองก็ซาบซึ้งเกิดปิติน้ำตาไหลแล้ว🙏🙏🙏 เราน่าจะมีแปลเป็นอังกฤษแบบนี้ตอนสอน เพราะคนไทยยืมภาษาบาลีสันสกฤตมาใช้ จนมันปนกันไปหมด ผิดความหมายที่แท้จริง ฟังแล้วจะเข้าใจผิด ตย.ง่ายๆ ใช้คำว่าวิญญาณเป็นผี สัญญาเป็นคำมั่นสัญญา แบบนี้จะฟังธรรมไม่ถึงที่พระพุทธองค์จะสื่อ น่าเสียดายค่ะ
ขอบคุณมากครับ!
กราบอนุโมทนาครับ
สาธุสาธุสาธุคะขออนุโมทนาในบุญด้วยนะค่ะ
สาทุอาจารย์🙏
อนุโมทนา สาธุ ด้วยครับ
เป็นเรื่องลึกซึ้งค่ะ ขอบพระคุณ อ.ทวีศักดิ์ ได้ความรู้มากค่ะ
จิตคือพุทธะสาธุ
สาธุสาธุสาธุค่ะ🙏
ความไม่สบายกายสบายใจ. ง่ายๆคือทุกขัง
กราบสาธุท่านอาจารย์ พ่อเเม่ครูบาร์อาจาร์ย สำหรับผมเเล้วผู้ที่ถ่ายทอดธรรมมะจากพระพุทธเจ้าไห้ผู้โง่เขลาได้พอเข้าจิตเข้าใจครับผม
"หากทุกอย่างเป็นอนัตตา แล้วใครเป็นผู้ทำกรรมและรับผลแห่งกรรม.".
รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นสิ่งที่ไม่เที่ยงสิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์สิ่งนั้นเป็นอนัตตา(ตัวตนชั่วคราว) นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่ใช่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา (พุทธวจน)
แล้วใครเป็นผู้ทำกรรม และรับผลของกรรม
คือสัตตานังที่มีอวิชชาเป็นเครื่องกั้นมีตัณหาเป็นเครื่องผูกจึงเที่ยวไปแล่นไปในสังสารวัฎ ....ราธะ!ความพอใจอันใด ราคะอันใด นันทิอันใด ตัณหาอันใดมีอยู่ในรูป ในเวทนา ในสัญญา ในสังขารทั้งหลายและในวิญญาณ เพราะการติดแล้วข้องแล้วในสิ่งนั้นๆเพราะฉะนั้นสิ่งนี้จึงเรียกว่าสัตว์ ดังนี้(พุทธวจน)
" เหตุเกิดของกรรม คือ ผัสสะ! "
ภิกษุทั้งหลาย ! เรากล่าวซึ่งเจตนาว่าเป็นกรรม เพราะว่า
บุคคลเจตนาแล้ว ย่อมกระทำซึ่งกรรมด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ.
ภิกษุทั้งหลาย ! นิทานสัมภวะ (เหตุเป็นแดนเกิดพร้อม)
แห่งกรรมทั้งหลาย เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุทั้งหลาย ! นิทานสัมภวะแห่งกรรมทั้งหลาย คือ ผัสสะ.
(ภาษาไทย) ฉกฺก. อํ. ๒๒/๓๖๕/๓๓๔.
สาธุ คำความอันรวบรัด ชัดเจนยิ่ง ไม่ต้องอธิบายมากความพาลงงงวย
ถูกแล้ว ถูกแล้ว พุทธวจน/พุทธพจน์. สาธุ.
มิติครับ อยู่ในอากาศ ที่เรามองไม่เห็น ยิ่งนานวัน วิทยาศาสตร์ ยิ่งค้นพบ ครับ😊😊😊
สาธุครับสาธุ
สาธุครับ 🙏🙏🙏
ความเข้าใจส่วนตัวคือคนที่เข้าถึงไตรลักษณ์จะไม่ทำกรรมจึงไม่ต้องรับผลกรรม คนที่ทำกรรมอยู่คือคนที่เข้าไม่ถึงไตรลักษณ์ยังต้องทำกรรมและรับผลกรรม
สาทุ สาทุ สาทุ อานุโมทามิ
จิตตะสัมปะยุตตา อัตตา ความ นะระวาระ ปะภะกะ มอุตตะ วิปัสสนา รู้เห็นตนอื่นตื่นตัวเราเสมอ สิ่งใดคือตน สิ่งใดคือตัว สิ่งใดคือเรา จงโยนิโสแต่งให้ประจักญาณ การทัศนะ" วะตะ " อภิญญาสัมมา ปาระมีนั้นความเราจะวาจาสิทธิ ซึ้งเราได้มาด้วยอภิญญาญาณนุตสติตานังเราควรจงต้องปฏิบัติแล้วจะประจักมัคนิโรจสมบัติ จะประจักเนื้อสมบัติกัม เอวัง ก้อด้วยปะการะฌานี สาธุ
สรุป โดยการใช้ศัพภาษายุคใหม่ให้เข้าใจง่ายๆก็คึอ สังขารคือร่างกาย, ร่างกายประกอบด้วย ทาดทั้งสี่ คือ ดิน, น้ำ, ลม, ไฟ, และ ทาดเหล่านี้มาจากธรรมชาติ. แก่นแท้ของธรรมมะ ก็คือสอนให้รู้เกี่วยกับธรรมชาติ ของสิ่งต่างๆนั้นเอง. ร่างกายของทุกสิ่งที่มีชีวิต และ ปรากดการต่างๆจะเกิดขี้นจากธรรมชาติด้วยเหตุ และ ปัจใจของมัน เมื่อเกิดขื้นแล้วก็ไม่มีอันใดแน่นอน ในที่สุดก็สลายไปกลับคืนสู่ธรรมชาติเหมือนเดิม.
ผม ขอแสดงความเคารพได้ ในตัวตนท่าน.. ที่มีความรููู้.ความสามารถ.ที่จะถ่ายทอดและส่งต่อไปได้ ในสังคมให้เกิดเปนประโยชน์ แก่ประเทศชาติได้ อันนี้ผมคงพูดได้แค่นี้..ในพุทธะมากะ.ในพุทธะบริษัททั้งสี่.. อันนี้ก้อถ้า มีอะไรที่ต้องช่วยกันหรือจะสูญหาย.. ในที่รู้กันดียิ่ง.. ผมยังไม่ตาย.ผมให้ได้.. จะเอาอะไรกับผมละครับ ในความเปนจริงได้.. ในทุกๆมิติ.. ในทางธรรมประยุกต์ร่วมใช้ให้แล้ว.. มันต้อง ปรับเปลี่ยน.ได้ในความสมดุล ในที่.สงบ.เย็น.งั้นไหมไม่รู้นะครับ.. ถ้าผมจะทำอะไรผมต้องให้ถึงที่สุดได้.. ผมไม่พลาดหรอกครับ.มันก้อเปนไปอัตโนมัติได้มั้งครับถ้าทำให้มันเคยจนเปนไปได้.. ในอัตโนมัติเท่านั้น.. จะเอาอยู่หรือในยุคสมัยนี้..มันมองดียิ่งได้.สัมผัสเอาความเสื่อมในนี้ มันมีอามรณ์อะไรกันละครับ.. ใจมั่น.พอในความอดทน.. ได้.. ทุกข์ที่มันเกินรับได้ ผมเข้าใจได้.. แต่ต้องให้มันสัมผัส.รู้ในอามรณ์นั้น.. เอาให้มันจนรู้ทันได้ รู้ในทุกข์ถึงที่สุดแล้ว มันถึงออกมาได้ในประโยชน์ออกทุกข์ได้ ที่นี้เครื่องสตาร์ติด.มั้งครับ..
เราทุกคนก่คือวิญญานธาตุหรือผู้รั้ จิตเดิมแท้ จิตใต้สำนึก แล้วแต่จะเรียก ธาตุผู้รุ้วิญญาน มาซ้อนจิตธาตุหรือสมองบนหัวนี้อยู่ ปฎิสนธิจิตนั่นแหละ เราคือจิตในจิต มาปรุงแต่ง หลงสมมุติโลก กายนี้อยู่ จึงต้องฝึกวิมุติคือว่างจากกระแส สุข ทุก ที่สมองผลิตหรือขันห้านั่นเอง เพื่ออาศัยสูญตาอยู่ เพื่อรอแยกธาตุ หรือตาย เพื่อไปโลกนิพพานคือ ทั้งหมดอนันต์จักวาลชั้นในสุดขิดภวังค์ เปนกระอภัสราหรือบริสุทธไม่ปรุงแต่ง เราคือวิญญาณธาตุ เปนธาตุอมตะ ที่ยึดติดปรุงแต่ง หลงสมมุติอยู่
ตายเท่านั้น ความคิดถึงจะหยุด
ทุกข์ ใน ธัมมจักร - ทุกในไตรลักษณ์
ธรรมรู้ได้คือผู้ปฏิบัติเท่านั้น
มโนไป ก็ร้อยแปด
สังขารคือร่างกายจิตใจ และรูปธรรมนามธรรม ทั้งหมดทั้งสิ้น พระองค์อธิบายไว้ให้แล้ว เป็นทั้งกาย(วัตถุธาตุ) เป็นทั้งจิต(จิตธาตุ เวทนา สัญญา สังขาร(คิด) วิญญาณ) เป็นทั้งรูปธรรม(รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส มโน) นามธรรม(ความว่าง สูญญตา เจตสิก อารมณ์...)สรุปว่า ทุกสิ่งคือสังขาร ที่มีคุณลักษณะแห่งการเปลี่ยนแปลง(อนิจจัง)และเกิดดับ(ทุกข์)
สังขาร เป็น นามธัมมะ หมายถึง การปรุงแต่งจิตเจตสิก มากกว่าสังขารตามคนไทยตีว่า คือ ร่างกาย ๆ คือ สรีระกาย ที่มาจาก ธาตุสี่มารวมกัน
ร้อนวิชา.!. ทำให้เกิดธรรมปฏิรูป ทางที่ดีควรจะแจ้งอย่างแม่นมั่นว่า นี้เป็นแค่เพียงความคิดเห็นหรือความเข้าใจของตนเองเท่านั้น หรือควรจะกล่าวคำพุทธวจนะล้วน ๆ
....บางคนสะสมยังน้อยอยู่ ก็ไม่ค่อยเข้าถึง บางคนก็สะสมมาพอสมควร ก็เข้าถึงบ้าง เข้าไม่ถึงบ้าง คนใดสะสมมาเยอะ ก็เข้าถึงได้เป็นส่วนมากและค่อนข้างไปทางง่าย ตามลักษณะลาดเอียงของภูเขา
...... คนจนได้เงินหมื่นเงินแสนก็ดีใจว่าตนรวยแล้ว คนรวยได้เงินมาพันล้านยังคิดว่าตัวเองยังไม่รวย..... บางคนจดจำมาได้นิดหน่อยก็ดีใจแล้วที่ได้รู้ บางคนรู้มากรู้เยอะเพราะจดจำมามากก็คิดขยายความจนมากมายแล้วหยุดไม่ได้ ในใจมันคลั่ง มันร้อนต้องระบายออกบ้าง พอมีผู้คนรับฟังก็ค่อยทุเลา จิตใจสงบลงหน่อย น่าเสียดายไม่น่ากล่าวธรรมปฏิรูป ในขณะที่คำสอนยังคงมีอยู่
สวัสดีค่ะ อาจารย์
เข้ามาฟัง ที่อาจารย์ อธิบาย
จริง อย่างที่ท่าน อธิบามาทุกอย่างค่ะ
ยุคนี้ ในบ้านเมืองเรา ศาลยุติธรรม
เป็นเทวทัศน์ สะเอง สิคะ
เพิ่งฟังถึงนาทีที่ 12 อธิบายได้ดีจริงๆครับ ผมสงสัยมานานแล้วว่า"สังขาร"แปลว่าอะไรแน่ "ร่างกาย" หรือ "ความคิดปรุงแต่ง" ภาษาไทยคงไม่มีคำที่แปลสังขารได้ตรงๆเลยต้องสลับเอาคำโน้นบ้างคำนี้บ้างมาใช้ พอไปย้อนอธิบายเป็นภาษาอังกฤษที่น่าจะครอบคลุมความหมายได้กว้างพอกับภาษาบาลีเลยทำให้เข้าใจมากขึ้น
ขอบคุณครับ
จิตเป็นพลังงาน.ที่ใช้สร้างสมไปใน.นิพพาน.นักวิจัยควรทำให้จิต
เกิดเกิดรูปได้.คนชั่วจะไม่มี
ท่านอาจารย์ได้ถ่ายทอดธรรมะของพระพุทธเจ้าได้ลึกซึ้งดีมากครับ
แนวคิดหลักๆนี้ ถูกสร้างขึ้นเพื่อต่อต้านความเชื่อของพราหมณ์ในสมัยนั้น ทีมพระพุทธเจ้าคือทีมกบฎทางความคิดต่อความเชื่อของคนยุคนั้น เลยมีการโกนหัวเป็นสัญลักษณ์ของการประท้วง คราวนี้ ถ้าเอากฎแห่งกรรมมาอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน มันอาจทำให้เข้าใจผิดได้เหมือนกัน อย่างเช่น สมัยฮิตเลอร์มีอำนาจล้นฟ้า = เขาคือความชอบธรรมเพราะมีบุญบารมี อันนี้คงไม่ใช่ มันกลายเป็นเรื่องของการต่อสู้เพื่อความถูกต้อง จนในที่สุดผู้ที่อ่อนแอกว่าสามารถเอาชนะผู้ที่แข็งแกร่งกว่าแต่ทำผิดได้ ดังนั้นเรื่องบุญกรรมมันเหมาะที่จะเอาไว้อธิบายเหตุการณ์เมื่อหลายพันปีก่อน แต่สิ่งที่เยี่ยมมากของศาสนาพุทธที่ได้รับการยอมรับไปทั่วโลก คือการคิดตามหลักเหตุและผล ข้อนี้คือสัจธรรมที่มีอยู่ในธรรมชาติ ไม่ต้องมีศาสนาก็ได้ ถ้าทุกคนรู้จักใช้ความคิดด้วยเหตุด้วยผล ไม่คอยใช้อำนาจหรือกฎหมายที่สร้างขึ้นมาข่มเหงกัน หรือพยายามหาความชอบธรรมแล้วบังคับจัดการกับผู้ที่อ่อนแอกว่า การคิดด้วยเหตุและผลก็คือปัญญาของมนุษยชาตินั่นเอง ที่เราสามารถทำได้ทุกคน รู้จักที่จะเรียนรู้เรื่องราวใหม่ๆไม่จบสิ้น และประมวลวิเคราะห์ตามเหตุผลเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ดีที่สุด ต่อการดำรงอยู่ ความเจริญก้าวหน้า และความสุขได้ทั่วกัน สามารถสร้างระบบที่ดี ที่ไม่ใช่ตัวถ่วงชีวิตของคน ที่มีความถนัด มีความเก่งแตกต่างกัน ระบบที่แย่ทำให้เกิดคนที่มีชีวิตยากลำบาก และความชั่วร้ายก็จะสามารถเข้ามาได้ มีการปล้น การฆ่า เพื่อเอาตัวรอดเกิดขึ้น จะเห็นได้ว่า ประเทศที่พัฒนาแล้วจริงๆ อาชญากรรมต่ำมาก การคอรัปชันน้อยมาก หรือแทบไม่มี ประชาชนได้ใช้ชีวิตของตัวเองจริงๆ และมีวิธีคิดตามเหตุตามผลได้เต็มที่ ส่วนเรื่องกรรม ก็เอาไว้ใช้อธิบายได้เกี่ยวกับ บางคนที่กินอาหารแย่มากๆ จึงอายุสั้นเป็นโรคหัวใจ โรคมะเร็ง โรคทางสมองไว ซึ่งเรื่องของกรรม อธิบายผลที่มาจากการเลือกกินอาหารได้ตรงมากที่สุด
ทุกขัง คือทนสภาพเดิมไม่ได้ เกิดดับๆ จะถูกเบียบครั้นหรือไม่ก็ตามเพราะความไม่เที่ยงนั้นเอง ส่วนอนัตตา คือ ไม่มีตัวตน และก็ไม่ใช่ตัวตน เพราะมีตัวตน จึงมีผู้กระทำกรรมและมีผู้รับผลของกรรม หากเพิกถอนสมมุติบัญญัติเสียได้ จะไม่มีผู้กระทำกรรมและจะไมมีผู้รับผลของกรรม ถ้าไม่มีตัวตนไปรองรับ
จิตการรับรู้เป็นอีกนามรูปหนึ่งมันก็มีอยู่ของมันตามธรรมชาติมันต้องอิงอาศัย รูป เวทนา สัญญา สังขาร มาประกอบจึงจะรับรู้ได้
หากรูปพัง จิตก็ยึดอยู่ไม่ได้ ต้องไปหาที่ยึดใหม่ ถ้าเราคิดว่าจิตเป็นของเราเมื่อไหร่ ครั้นกายแตกทำลายไป เราที่ยึดติดจิตจะตามมันไปทุกที่ตามแต่ที่จิตมันคุ้นเคยชิน
อาจารย์อธิบายได้เข้าใจได้ง่ายค่ะ
ความเกิดไงเป็นกรรม ถ้าไม่เกิดก็ไม่ต้องรับกรรม หัวใจหลักของพุทธคือ ไม่เกิดไม่ตายอีกต่อไปทำยังไง
ตถาคตได้บัญญัติไว้ว่า แดนอมตหรือนิพพาน นั้นมีอยู่ เป็น สิ่งๆหนึ่งซึ่งบุคคลพีงรู้แจ้ง เป็นสิ่งที่ไม่มีปรากฏการณ์ ไม่มีที่สุด สามารถปฏิบัติเข้าถึงได้โดยรอบ ในสิ่งนั้นแหละ ดินน้ำไฟลม ไม่อาจหยั่งลงได้ ในสิ่งนั้นแหละ ความยาว ความสั้น ความเล็ก ความใหญ่ ความงาม ความไม่งาม ไม่อาจหยั่งลงได้ ในสิ่งนั้นแหละ นามรูป ไม่อาจหยั่งลงได้ นามรูปดับสนิทไม่มีเศษเหลือ เพราะการดับสนิทของวิญญาน (ในสิ่งนั้น ไม่มีการเกิด ไม่มีสิ่งปรุงแต่ง ไม่มีกรรม มารเข้าไปไม่ถึง เรียกระบบนี้ว่า อสังขตธรรม) เมื่อปฏิบัติตามมรรค๘ ย่อมเกิดความเบื่อหน่าย(ในขันธ์๕) คลายกำหนัด ย่อมหลุดพ้น (สัตว์ ไม่ยึดในขันธ์๕ หมดราคะ โทสะโมหะ) เมื่อทำกาละ ย่อมเข้าสู่นิพพาน การปฏิบัติมีหลายวิธี เช่น ละสังโยชน์๑๐ได้(เป็นพระอรหันต์) เมื่อทำกาละย่อมไปสู่นิพพาน ละสังโยชน์ ๕ได้(เป็นพระอนาคามี) เมื่อทำกาละโดยไม่มี อุปทิเหลืออยู่ ย่อมไปสู่นิพพาน แต่ถ้ายังมีอุปทิเหลืออยู่ ย่อมไปสู่พรหมชั้นสุทธาวาสชั้นที่ ๕ คือ อุทธังโสโตอกนิฐคามี เมื่อหมดบุญวาระ (มีอายุประมาณ ๕๐๐ถึง๒๐๐๐๐ กัป) ก็จะปรินิพพานในภพนั้น และ การได้สมาธิในทุกระดับชั้น นับนั้งแต่ชั้นปฐมฌาน เมื่อจิตตั้งมั่นแล้วน้อมจิตไปใน นิโรธสัญญา เมื่อทำกาละไม่มีอุปทิเหลืออยู่ เอาจิตไว้กับกายได้ช่วงมรณะย่อมหลุดพ้น หรือการทำทานด้วย เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา(พรหมวิหาร๔) และได้สะสมสุตตะของตถาคต มีความเห็นถูก แม้จะทำสมาธิไม่ได้ เมื่อทำกาละย่อมไปสู่ชั้นพรหมกายิกา กลุ่มอริยะ (เพราะรู้สุตตะของตถาคต) มีอายุหนึ่งกัป แล้วจะไปสู่พรหมชั้นสุทธาวาส มีสี่ชั้นคือ อวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี มีอายุ ๕๐๐ถึง๒๐๐๐๐กัป ก็จะปรินิพพานในภพนั้น
@@user-ug7ps6lf7s ก็นั่นละนะที่พูดมาทั้งหมด ก็ อมตะ ไม่เกิดไม่ตาย ก็ไม่ต้องรับกรรม กรรมมีกายเป็นผล ใช่ไหมละ
เรื่องไตรลักษณ์ ถ้าเอาเข้าใจแบบบรรลุธรรม ต้องเจริญกรรมฐานจนเห็นสภาวะเกิดดับ จึงจะเข้าใจจริงๆ ตนเอง การอธิบายแบบนี้ได้แค่พื้นฐานครับ ต่อให้เป็นปรมาจารย์ทางพุทธปรัชาก็ตามเถอะ
ทนฟังจนจบ เหมือนจะดี แต่ยังดีไม่พอ เหมือนจะถูก แต่ยังถูกไม่พอ ถูกนิดๆหน่อยๆ เอาความคิดเห็นปุถุชน ของตนเองมาวิเคราะห์เฉยเลย ห่างไกลมากคับ พวกที่ศึกษา พุทธวจน เค้าไปไกลกว่าลุงคนนี้นานแล้วคับลุง
มันไม่ได้ละเอียดลึกซึ้งอะไรหรอกเพียงแค่เราไม่รู้เฉยๆนี่แหละ...ง่ายๆถ้าเรารู้แล้ว จะลึกแค่ไหนเราก็ยังรู้ได้เมื่อเรารู้ได้ก็แสดงว่าไม่ลึก
กราบอนุโมทนาค่ะ
ความรู้ความเห็นของผู้บรรยายเป็นมิจฉาทิฐิครับ
อนัตตาเฉยๆ อ.อริยเจ้า
ถ้าคุณไม่ศรัทธาพระพุทธเจ้าก็เรืีองของคุณผมไม่ฟังคุณหรอก
ถ้าเขาไม่ศรัทธาพระพุทธเจ้า เขาจะบรรยายธรรมของพระพุทธเจ้าได้อย่างไร.......
โวหารมากไป ห่างไกลจุดหมาย
อยากให้ผู้มาดูคลิปให้วางความเห็น เก็บเกี่ยวส่ิงเป็นประโยชน์ ถ้าไม่ชอบให้ืเลื่อนผ่านคลิปไปครับ
ปัญหาตอนนี้ เกิดมาแล้วจะทำอย่างไรต่อไป..ดีนะได้เกิดมาเจอพุทธะ
ผมเข้าใจอย่างนี้ว่า มีแต่พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกเท่านั้นที่ "รู้และเห็นทุกอย่างเป็นอนัตตา" ** "จิต"ของพวกเราทั้งหลายอยู่กับสิ่งที่เป็น "อนัตตา"เพราะรู้จากพระธรรมคำสอน แต่ยังไม่เห็นอนัตตาตามเป็นจริงด้วยปัญญาที่แท้จริงของตน ฉะนั้นจะกล่าวทั้ง "อนัตตา หรือ อัตตา"ก็ไม่ต่างกัน **สิ่งที่เป็น "อนัตตา"ที่สัมปยุตต์กับ "จิต"คือ กิเลส กรรม วิบาก(ขันธ์)" จำแนกเป็นอริยสัจ 2 ได้แก่(1) ทุกข์ คือ วิบาก(ขันธ์) (2)สมุทัย คือ กิเลสและกรรม(เจตนา) *เมื่อประสงค์จะถ่ายถอน "จิต"ออกจาก "ทุกข์และสมุทัย"(สิ่งที่เป็นอนัตตา) ก็ต้องถ่ายถอนด้วยสิ่งที่เป็น "อนัตตา"เช่นกันคือ "นิโรธกับมรรค" กล่าวโดยสรุปคือ การทำกิจญาณหรือทำหน้าที่อริยสัจ 4 ในตนนั่นเอง
ท่านกล่าวได้ดีครับ แต่การที่ท่านกล่าวว่า อนัตตาและ อัตตา ไม่ต่างกันนั้น ผมขอแย้งว่าต่างกันครับ ตถาคตได้กล่าวไว้ใน อุปาทาน๔ ที่ศาสนาอื่นๆ อาจจะมีสอนแค่สาม แต่ในศาสนาพุทธ สอนว่ามี ๔ อย่าง ข้อที่ศาสนาอื่นไม่มีสอนแต่สอนเฉพาะในศาสนาพุทธคือ อัตวาทุปาทาน
อนัตตาบัญญัติมาเพื่อขันธ์5คือสะภาวะที่เกิดขึ้น_ตั้งอยู่_ดับไป เป็นทางสายกลางที่ไม่เข้าไปหาส่วนสุดทั้งสองคือความมีและความไม่มี
สายกลาง เคยเห็นแต่ ไม่สุดไป ทางอัตตกิลมถานุโยค คือ การประกอบตนเองให้ลำบากเกินไป หรือ กามสุขัลลิกานุโยค คือ การพัวพันในกามในความสบาย
ยังไม่เคยเห็น ว่า สายกลาง ระหว่าง ความมี หรือ ความไม่มี
ไม่ทราบว่า มีอ้างอิง ในตำรา ไหม
หรือ ประสบการณ์ จากการปฎิบัติ
@@Ajjiam
ดูกรกัจจานะ โลกนี้ โดยมากอาศัยส่วน ๒ อย่าง คือ ความ มี ๑ ความไม่มี ๑
ก็เมื่อบุคคลเห็นความเกิดแห่งโลกด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความไม่มีในโลก ย่อมไม่มี
เมื่อบุคคลเห็นความดับแห่งโลกด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความมีในโลก ย่อมไม่มี
โลกนี้โดยมากยังพัวพันด้วยอุบายอุปาทานและอภินิเวส แต่พระอริยสาวก ย่อมไม่เข้าถึง ไม่ถือมั่น ไม่ตั้งไว้ซึ่งอุบายและอุปาทานนั้น อันเป็นอภินิเวสและอนุสัย อันเป็น ที่ตั้งมั่นแห่งจิตว่า อัตตาของเรา ดังนี้ ย่อมไม่เคลือบแคลงสงสัยว่าทุกข์นั่นแหละ เมื่อบังเกิด ขึ้น ย่อมบังเกิดขึ้น ทุกข์เมื่อดับ ย่อมดับ พระอริยสาวกนั้นมีญาณหยั่งรู้ในเรื่องนี้โดยไม่ต้อง เชื่อผู้อื่นเลย ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล กัจจานะจึงชื่อว่าสัมมาทิฐิ ฯ
[๔๔] ดูกรกัจจานะ ส่วนสุดข้อที่ ๑ นี้ว่า สิ่งทั้งปวงมีอยู่ ส่วนสุดข้อที่ ๒ นี้ว่า สิ่งทั้งปวงไม่มี ตถาคตแสดงธรรมโดยสายกลาง ไม่เข้าไปใกล้ส่วนสุดทั้ง ๒ นั้นว่า เพราะอวิชชา เป็นปัจจัย จึงมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัยจึงมีวิญญาณ ... ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้เพราะอวิชชานั่นแหละดับด้วยการสำรอกโดยไม่เหลือ สังขารจึงดับ เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ ... ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ฯ
(ไทย) นิทาน.สํ.๑๖/๑๕/๔๓
@@user-uq5nh7tp7r ทรงชี้ ว่าถ้ามีปัญญา ก็จะเห็นว่า ไม่มี หรือ อนัตตา
ไม่ได้เป็นทางสายกลาง ระหว่าง มีความมี หรือ ความไม่มี
ที่ยกมา เน้น ตอกย้ำ ว่า ธรรมะ คือ อนัตตา
@@Ajjiam ดูกรกัจจานะ ส่วนสุดข้อที่ ๑ นี้ว่า สิ่งทั้งปวงมีอยู่ ส่วนสุดข้อที่ ๒ นี้ว่า สิ่งทั้งปวงไม่มี #ตถาคตแสดงธรรมโดยสายกลาง ไม่เข้าไปใกล้ส่วนสุดทั้ง ๒ นั้น...
ปล. อ่านอีกรอบครับ อ่านซ้ำๆ พิจารณาให้ดีๆ ขบธรรมะให้แตก จะได้เกิดปัญญา
@UCie4_tFldizMDL8xq5N1o0A พิจารณาตามหลักปฏิจจสมุปบาทสายเกิด-ดับได้เลยครับ ความมี(สังขารฯ)เหตุปัจจัยปรุงแต่งขึ้น เพราะอวิชชา แต่ถ้ารู้ตามความจริง ไม่สร้างเหตุขึ้นมา ความมี(อัตตาฯ)ก็ย่อมไม่มี สรุปสั้นๆ คือถ้าไม่มีเหตุ ก็จะไม่มีผล ถ้ามีเหตุ ก็จะมีผลตามมาฯ
ถ้าคุณเข้าใจปฏิจจสมุปบาท ก็จะไม่ตั้งคำถามแบบนี้นะครับ
เป็นการฟังบรรยายธรรมะที่่เข้าใจที่สุด นั่งฟังตั้งใจฟังแบบมีความสุขและความเข้าใจ ขอบพระคุณอาจารย์อย่างยิ่งค่ะ
ถูกต้องครับอาจารย์.อธิบายคำสอนของพระพุทธองค์ได้ถูกต้องที่สุด.สาธุ.สาธุ.สาธุ..ครับ..เปรียบเทียบหลักวิทยาศาสตร์ได้ดี..เห็นด้วย..ยังไม่เคยยินจากใครเลยครับ
มีในพระไตรฯ ฉบับเต็ม..หลวงปู่ดูลย์อธิบายจักรวาล ธาตุ สสาร นามธาตุ รูปธาตุ ไว้ใน "จิตคือพุทธะ" นักปราชญ์ว่ากันว่า..ผู้มีปัญญาติดมาฟังแล้วเข้าใจทันที ผู้ที่ไม่เข้าใจครั้งแรกแต่ใคร่ครวญไตร่ตรองจักรู้ได้ ภายหลังฟังครั้งแรกๆๆ
พระ
กราบขอบพระคุณท่านมากๆครับ..นี้คือการศึกษาธรรมของพระผู้มีพระภาคแบบวิทยาศาสตร์จริงๆ