Размер видео: 1280 X 720853 X 480640 X 360
Показать панель управления
Автовоспроизведение
Автоповтор
ในฐานะคนที่ทำงานในหน่วยงานหนึงมาเป็น10 ปี อยากบอกเลยว่ามันเหนือยมากกับการที่ต้องปั้นหน้าเพื่อเข้าสังคมที่ใส่หน้ากากเข้าหากัน ยิ่งในสังคมที่มีการแบ่งชนชนชั้นวรรณะมันเหนือยจริงๆนะ
จริงค่ะ ยิ่งเป็นเด็กใหม่ เข้าไปแบบตัวคนเดียว ตัวลีบตัวแบนไม่รู้จะปั้นหน้ายังไงดี ยิ่งถ้าเป็นองค์กรใหญ่ๆ มีการแบ่งพรรคแบ่งพวกนี่ เลือกไม่ถูกจริงๆว่าจะทำไง เข้ากรุ๊ปไหนดี
จริง เป็นตัวของตนเองยากมาก ถ้าไม่พยายามกลืนไปข้างไหนข้างนึงนี่อยู่ยากอะ ไม่โดนรุ่นพี่เพื่อนร่วมงานเกลียด ก็โดนหัวหน้าจ้องจะจับผิดหักเงิน
เราไม่กล้าทัก กลัวเขาหาว่าตีตัวเสมอเขาอีก เราเคยไปฝึกงาน แล้วคิดว่าเขาคงไม่จำ ไม่สนใจเราหรอก มันเกรงใจเขาไปหมด เด็กฝึกงานอะไม่มีใครมีเจตนาที่จะดูหมิ่นเจ้าขององค์กรอยู่แล้ว มีแต่ความกลัว ความเกรงใจ จนไม่กล้าทัก
ผมก็คนทำงานครับอยู่ร่วมกับคนกลุ่มไหน ผมก็ทำตามคนกลุ่มนั้นปั้นหน้า ใส่หน้ากาก นั้นแหละผมทำครับไม่ทำจะอยู่ร่วมกับคนอื่นเค้ายากงานจะเดินยาก เผลอๆเวลางานเดินยากเพราะมัวแต่เสียอารมกับบรรยากาศ จะเหนื่อยกว่ามากงานไม่เดินคราวนี้แหละ หาชิปไม่เจอเปิดหน้าทำตามใจชอบ ถูกใจอะไร ไม่ถูกใจใคร แสดงออกเต็มที่ หาชิปไม่เจอแน่นอนครับผมมองว่า การเข้าสังคม เป็นความสามารถด้านนึงครับอาจโดนมองไม่ดี หาว่าใส่หน้ากาก แต่ผมก็เลือกทำทุกอย่างให้งานเดินสะดวกครับ
ยิ่งบรรยากาศที่ไม่ค่อยได้เจอ ห่างเหินกัน นานๆ ceoจะโผล่มาทีนึง เด็กมันก็ไม่กล้าทักอะ อย่าไปโทษมันเลย อยู่ที่บรรยากาศในที่ทำงานด้วย ถ้าสร้างให้มันใกล้ชิดกัน เด็กมันก็จะกล้าทักเอง
ผมเข้าใจทั้ง 2 ฝั่งนะ ตำแหน่งผมเป็นตำแหน่งทำคนเดียว และต้องมีสมาธิอยู่กับงาน หน้าเลยมุ่ยตลอด และคุยกับคนไม่เก่งอีก คือเรารู้ตัวเลยว่า เรานี่แหละคนทำเสียบรรยากาศ จนได้มา WFH ต้องออนไลน์เวลาติดต่องาน เลยได้มีโอกาสคุย กับคนอื่นมากขึ้น ได้อธิบายตัวเรามากขึ้น ปัจจุบันก็เงียบเหมือนเดิม แต่รู้เลยว่าความรู้สึกเกรงของคนรอบข้างหายไปแล้ว สุดท้ายองค์กรมันต้องทำงานร่วมกับคนอื่น ถ้าคนในองค์กรไม่ ok กับคุณ ต่อให้เก่งก็จะอยู่ไม่ยาวอยู่ดี
จริงครับ เหนื่อยกับการทักทายหรือจะเหนื่อยใจที่ทุกคนในบริษัทไม่ชอบอันไหนมันแย่กว่า มันปรับทัศนะกันได้ ถ้าเป็นผมก็คงหงุดหงิดอะ ทำไมกุคุยกับมันมันไม่คุยกับกุวะ เจอกันก็ไม่ทักราวกับว่าเหมือนไม่รู้จัก ทั่งๆที่นั่งโต๊ะข้างกัน
ไม่จริงหรอกครับ คนเก่งๆมีโอกาสในการเลื่อนตำแหน่งได้เร็วกว่ามาก ถึงแม้จะไม่ได้อัธยาศัยดี แต่พอสื่อสารพูดคุยรวมไปถึงทำงานของตัวเองได้เรียบร้อยก็พอแล้ว
ในออฟฟิศผมก็มี สุดท้ายก็อยู่ไม่ได้ก็ออกไป เขาไม่ได้โดนไล่ออกหรืออะไรนะเขาทำตัวเอง - เข้ามาทำงานแรกๆไม่คุยกับใคร ชวนคุยก็ถามคำตอบคำไอ้เราก็อยากให้น้องมีบรรยากาศในการทำงานที่ดี แต่พอนานไปพอคุยด้วยก็ไม่ค่อยจะตอบ ทีนี้คนในออฟฟิศก็เมินเหมือนกัน เลิกงานมาคนอื่นๆเขาพากันเข้าสังคม,วันหยุดพากันไปนั้นไปนี้หาความสุข ผลสุดท้ายน้องเขาโพสต์ใน FB บอกว่าที่ทำงานไม่มีใครช่วยเหลือ,ไม่มีคนพูดด้วย,เหมือนต่างคนต่างอยู่บลาๆๆๆ ทั้งๆที่น้องเขาทำตัวเองล้วนๆ เพราะแรกๆพักเที่ยงก็ชวนไปกินข้าว,เลิกงานมาชวนไปเลี้ยง ก็เงียบเหมือนไม่ค่อยมีการตอบรับ พอหลังไม่ก็ไท่มีคนคุยด้วย,ไม่มีคนถามไถ่,เขาเห็นเพื่อนร่วมงานเป็นแค่อากาศพวกผมก็เห็นน้องเขาเป็นแค่อากาศเหมือนกัน ไม่คุยด้วยก็ไม่คุย สุดท้ายอยู่ไม่ได้กดดันลาออกไปเองในที่สุด
ประโยคที่ว่า คนบางกลุ่มต้องใช้ energy เยอะมากในการเข้าสังคม คือฟังแล้วน้ำตาจะไหล เข้าใจมาก เหนื่อยมากเหมือนต้องเริ่มใหม่ในทุกๆวัน ต้องพยายามคุยกับเพื่อนร่วมงาน พยายามไม่ทำให้คนรอบข้างลำบากใจ พอหมดวันคือหมดแรงสุด กลับบ้านมาแทบไม่อยากจะพูด การทำงานกับคนอื่นไม่ใช่เรื่องยากแต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
กำลังเป็นเลยครับตอนนี้ (สำหรับวันนี้) เหนื่อยจนเกินจะบรรยายจริงๆ
ผมขอแนะนำลองคุยกับทางหัวหน้าดูครับหรือเอาคนที่เราคุยด้วยแล้วโอเคสุดในที่ทำงาน ค่อยๆกระจายว่าเราเป็นแบบนี้นะๆ ผมว่าทุกคนจะค่อยๆปรับจูนตัวเองขึ้นครับ
จะไม่บอกให้สู้ๆนะครับแต่จะบอกว่า เป็นกำลังใจให้นะครับ ✌️✌️✌️
'พยายามไม่ทำให้คนรอบข้างลำบากใจ' เวลาไปทำงาน เราคิดแบบนี้ตลอดเลยจนบางครั้งก็รู้สึกแอบกดดันตัวเอง
ถ้าตัดประโยค "พยายามให้คนไม่ลำบากใจออก" ปัญหาจบเลยครับ คนปกติไม่กลัวคนเกลียดขนาดนั้น ลองคิดตามดูก็ได้ว่าจริงมั้ย
สำหรับเราที่ทำงานมาจนได้โปรโมทเป็นหัวหน้าสักพักแล้วนะคะ ต้องสัมภาษณ์พนักงานใหม่เข้ามา ส่วนตัวคิดว่าการทำงานเค้าไม่ได้วัดแค่ performance นะคะ ต่อให้จะทำงานเก่งแค่ไหน อย่างไรก็ต้องมีความสัมพันธ์ที่ดีในองค์กรด้วยค่ะ เห็นด้วยมากๆที่เนมบอกว่า มันอาจจะส่งผลต่อบรรยากาศการทำงาน คือการคุยเล่นกันกับเพื่อนที่ทำงาน เป็นเพื่อนกับคนที่ทำงานเดียวกัน ไม่ใช่สิ่งที่จำเป็น แต่จะเป็นประโยชน์ต่อตัวเราเองค่ะ อย่างน้องในทีมที่เคยลาออกไปแล้วได้งานใหม่ เอชอาโทรมาเช็คประวัติและถามถึงความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานที่บริษัทเก่าเป็นยังไง นี่คือหนึ่งใน KPI ที่เค้าวัด เพราะโดยส่วนใหญ่ คนไม่ได้ถูกไล่ออกง่ายๆเพราะผลงาน แต่ถูกไล่ออกง่ายเพราะพฤติกรรมต่างหาก // ส่วนการแขวนน้องบนเฟสนี่ เป็นเรื่องที่ไม่ควรทำจริงๆนั่นแหละ แต่การออกมาขอโทษของพี่เค้า เราว่าก็ครอบคลุมและเป็น learning point ให้ทุกคนที่เห็นเรื่องนี้แน่ๆ อ้อ อีกเรื่อง เมื่อก่อนเราเคยวัด mbti ว่าเป็น introvert แต่หลังจากเป็นหัวหน้า ผลดันเปลี่ยนออกมาเป็น extrovert เพราะหน้าที่การงานทำให้เราต้องเข้าหาคนอื่นมากขึ้น เพราะมนุษย์ปรับตัวเก่งมากค่ะ โดยที่เราเองก็ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ
คิดเหมือนกันครับ บางทีงานไม่ต้องดีก็ได้แต่คุยเล่นบ้าง ช่วยๆกันไป ไม่งั้นเแบบอึมครึมตั้งแต่เช้าวันจันทร์ยันวันศุกร์ ยิ่งวันเครียดๆนี่ถ้าไม่มีกำลังใจดีๆสติแตกกันได้เลย
ความเห็นของคุณครอบคลุม ตอนทุกข้อสงสัยได้จริง ๆ นับถือครับ
ผมก็เป็น introvert แต่หลังจากเปลี่ยนตำแหน่งงานคือต้องพูดเยอะขึ้น ต้องแสดงความคิดเห็นมากขึ้นเลยต้องพยายามเปลี่ยนตัวเองคับ
ส่วนตัวมองว่า การเป็น Introver หรือ type ไหนก็ตาม มันฝึกในกันได้ แต่เบื้องต้นมันก็มาจากนิสัยตั้งต้น+ภาวะแวดล้อมที่เจอระหว่างเติบโต+สันดาน(นิสัยที่ พัฒนามาจากนิสัยตั้งต้น+ถาวะแวดล้อม แล้วยากต่อการเปลี่ยนแปลง)สุดท้ายถ้าสิ่งใดสิ่งนึงเปลี่ยนไป มันจะส่งผลถึง type โดยรวมไม่มากก็น้อย เพราะงั้น พอพี่ๆร่วมงานจะโปรโมทเรา เขาจะพัฒนาส่วนที่ขาดของเรา ตอนแรกเราจะเหนื่อยมากๆ พอไปซักพักมันก็เป็นเรื่องปกติ เพราะเราได้เปลี่ยนเป็น Type นั้นโดยสมบูรณืแล้ว
ในการทำงานเรื่องโลกส่วนตัวสูงก็อีกเรื่องหนึ่ง เรื่องงานก็อีกเรืองหนึ่งถ้าเนื้องานมันต้องประสานงานมันก็ต้องทำให้ต้องทำให้ดีที่สุด การทักทายสั้นๆกับเพื่อนร่วมงานไม่ทำให้เราสุญเสียความเป็นส่วนตัวหรอกคะการแสดงออกทางด้านกายภาพว่าเราเป็นมิตรกับทุกคนนะ ไม่จำเป็นต้องคุยเรื่องส่วนตัวกับเพื่อนร่วมงานทุกคน เพราะทุกคนต้องการระยะความเป็นส่วนตัวเอง แค่แสดงความเป็นมิตรบ้างก็ทำให้บรรยากาศในการทำงานดีขึ้นแล้ว เป็นกำลังใจให้คนทำงานนะคะ
บางคนมันกระจอกขนาดแค่ทำตาม "มรรยาททางสังคม" ก็ไม่กล้า และมโนอะไรมั่วๆมาเข้าข้างตัวเองครับ อย่าง อินเวิร์ท เอาท์เวิร์ท ที่เป็นแค่ไทป์แคแรคเตอร์พวกนี้ยังมั่วเอามายึดเป็นคัมภีร์ตัดสินแยกลักษณะมนุษย์เลย (ambivertนี่ไม่นับรวมกัน? เคยได้ยินกัน?)ส่วนตัวผมไม่แคร์เรื่องพวกนี้มาก แค่ทักทายทุกคนด้วยมรรยาท และคุยเท่าที่อยากคุย แค่นี้ก็แสดงออกถึงความเป็นมนุษย์พร้อมสื่อสารได้แล้ว (พวกอินเวิร์ทหลายคนที่ผมรู้จักก็ทำแค่นี้)สรุปคือถ้าเกิดมากระจอกและขี้แพ้เกินกว่าจะแก้ปัญหา ก็ไม่เห็นต้องมั่วหาทฤษฎีอะไรเปลือกๆมาอวดแคแรคเตอร์ตัวเองเลย บอกทุกคนกูกระจอกเรื่องนี้เข้าใจกูเถอะยังดูดีกว่า (ผมก็ทำ ตัดปัญหาเร็วกว่า)
เห็นด้วยครับ ยิ่งงานที่ต้อง ประสานงานกันด้วย
ประเด็นที่ว่าคือไม่ใช่แค่เขาไม่ทักทายคนที่ทำงาน แต่ชวนกินข้าวแล้วเมินใส่อันนี้ก็เกินไป ไม่สะดวก มีธุระ อะไรก็ตอบปัดไปก็ได้ เหมือนไม่ได้คุยกับคนเหมือนพูดกับผนัง ไม่สะดวกก็บอกดีๆ ส่วนตัวก็ไม่ได้ชอบไปสุงสิงกับใครหรือชวนใครมากินข้าวด้วยอยู่แล้ว แต่ถ้าใครพูดด้วยก็นะตอบอะไรสักหน่อย
จริงครับ ผมก็ชาว introvert พูดคุยไม่เก่ง แต่ก็ไม่ได้ใช้มาเป็นข้ออ้างในการที่จะไม่พูด อาจจะเพราะคนที่ทำงานดีด้วยมั้ง เค้ามองผมออก ว่าเป็น introvert เค้าเลยพยายามจะคุยกับเราก่อน ซึ่งผมก็แค่พยายามพูดกลับไปบ้าง ยากตอนพูด สุดท้ายกลับบ้านมาใจฟูที่เราไม่เงียบใส่เพื่อนร่วมงาน
เด็กก็เกินไป
@@YUNALOVE039 ใช่เลยค่ะ เราก็introvert ดีใจด้วยซ้ำบางทีที่ชวนคุย ไม่ใช่คนพูดเก่งอะไร แต่ก็ไม่อยากทำให้บรรยายกาศที่ทำงานมันไม่ดี
พูดถูกมากๆ เรื่องผลกระทบกับคนอื่นในเรื่องบรรกาศการทำงาน ผมเองเป็นคนที่มีบุคลิค introvert ผมถือ ตัวเรา เราจะเป็นอย่างไรก็ได้ ถ้าเราอยู่ในพื้นที่ของเรา แต่เมื่อผมพาตัวเองไปอยู่ในสังคม ไปแชร์พื้นที่กับคนอื่น ผมจะมองว่าตัวผมเองต้องเป็นฝ่ายปรับตัว ไม่ใช่ให้คนอื่นปรับตวเข้าหาเรา หรือคาดหวังว่าคนอื่นจะต้องเข้าใจเราเพราะเรา introvert อย่าลืมว่าเราพาตัวเองเข้าไปอยู่ตรงนั้น ไปใช้ชีวิต ไปแชร์อากาศหายใจกับคนอื่นในพื้นที่ตรงนั้น ถึงแม้คุณจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม ซึ่งมันมีวัฒนธรรมองค์กรของเค้าอยู่
คนบางกลุ่มต้องใช้ energy เยอะมากในการเข้าสังคม แต่การมีมารยาท การเข้าสังคม และการทำให้บรรยากาศในการทำงานร่วมกัน เป็นทักษะที่ฝึกได้และสำคัญมาก
เห็นด้วยครับ แบบนี้ ควร WFH ไปคนเดียวเลย
@@webpages ตลก สัด ใช้สมองส่วนใหญ่คิด 5555
@@สมชายใจดี-ฏ6ฤ5ร ตลก เหมือนกัน พวกคุยกับคนอื่นไม่ได้🥶
@@webpages wfhได้เขาคงไม่มาหรอกครับถ้าเจอพวกนิสัยแบบคุณ
ผมก็มีเด็กฝึกงานมาทุกปีครับ เราแต่ตั้งใจว่า เขามาฝึกกับเราเพื่อให้เขามีความรู้ออกไปทำงานและพัฒนาประเทศ เรามีหน้าที่สอนเขาอย่างเมตตา และยอมรับความต่าง ที่เหลือก็แล้วแต่น้องๆว่าจะรับได้แค่ไหนครับ
ถ้าเด็กฝึกงานมาทำให้บรรยากาศในการทำงานแย่ลง หรือพนักงานประจำของเราอึดอัด ทำงานไม่เต็มที่ เราก้อคงไม่เอาไว้ค่ะ
@@jumpiam8477 เด็กฝึกงานมีอิทธิพลขนาดนั้นเลยเหรอครับ
@@kengkt1449 เป็นไปได้ค่ะ ไม่มีใครอยากสอนเด็กที่ไม่เชื่อฟัง ไม่อยากเรียนรู้ ไม่เคารพรุ่นพี่ กิริยามารยาทไม่ดีหรอกค่ะ มันน่าเบื่อ เสียเวลาทำงาน เด็กที่น่ารัก ผู้ใหญ่ก้อจะสนับสนุน เอ็นดูค่ะ การฝึกงานคือการเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าสู่ตลาดแรงงานจริง ถ้าผู้บริหาร พี่เลี้ยงฝึกงานเตือน เราจะปรับปรุงตัวทันที ดีซะอีก ที่มีคนสอน การทำงานจริง ไม่มีใครเตือนใครหรอกค่ะ
@@jumpiam8477 ต้องดูครับว่าอยากได้คนแบบไหน
@@jumpiam8477 เด็กฝึกงานนะ 555 ก็ไปบอกบริษัทไม่ต้องรับสิครับ
เคยโดนมาแล้วค่ะ เราเข้าออฟฟิศมาร้อนๆเหนื่อยๆ คิดแต่จะเตรียมตัวเข้างานไม่ได้ทักใครสรุป ไปเจอพี่หัวหน้างานยืนเม้าท์เราในครัวให้เด็กใหม่(รุ่นน้อง)อีกคนฟัง เราเปิดประตูไปเจอพอดี ก็เลยลาออก สู้ความปั้นหน้าของแต่ละคนไม่ไหวจริงๆค่ะ เหนื่อยมาก ร้องไห้เลย
ส่วนตัวไม่ได้คิดว่าเข้าสังคมมันไม่ดีหรอกค่ะเราแค่ชอบฟังคนคุยกันมากกว่าร่วมวงคุยแค่นั้นเอง ตอนนี้เจอที่ใหม่ที่ทุกคนน่ารักมากดีใจมากที่ตัดสินใจลาออกมาจากตรงนั้นค่ะ
เคยเจอแบบตอนไหว้รุ่นพี่เขาบอกที่นี่ไม่ต้องไหว้ ให้ไหว้แต่นายพอไหว้แต่นายเขาก็ไปฟ้องนายว่าไม่เคารพรุ่นพี่.... ใช่มะ สงครามประสาทในที่ทำงาน ไม่รู้บริบทโดยรวมเลย ใครจะบ้าไม่มีมารยาทขนาดไม่สนนาย คิดว่าคงสุดแล้วล่ะ เป็นดราม่านี้แล้วเหมือนเห็นอดีตอันดำมืดของตัวเองเจ็บจี๊ด
บางที องค์นั้นไม่เหมาะ กับคุณ หางานไปเรื่อย จนกว่าจะเจอ หรือไม่ก็ หันมาขาย ของออนไลน์ จบ
@@yamato00001 ทำงานกับองค์กรนั้นๆ ต้องปั้นหน้าใส่หน้ากากงี้เหรอ??? พอทำไม่ได้ ไล่ให้ไปขายของออนไลน์งี้หรอ??บางคนการเข้าสังคมมันยากนะ พอเข้าไปก็กลัวล้ำเส้น จิตใจมนุษย์นี่มันยากแท้หยั่งถึงน่ะ
@@puttomill องค์กรไม่ใช่ของคุณหรือใคร ถ้า ทำตัวเป็น ไม้แข็ง ไม่ลู่ลม ไม่นานก็หัก ต้องเป็นต้นอ้อลู่ตามลม เข้าไปก็ตัวอ่อนน้อมไหว้ให้ทั่ว ตั้งแต่ หน้าห้องถึงท้ายห้อง ไม่ใช่แข็งกระด้าง ถ้าทำไม่ได้ ก็สมัครไปเรื่อยๆ จนกว่า จะเจองานที่ใช่ บอกเลยเจอมาแล้ว นี่แค่ด่านแรก การที่คุณไหว้อ่อนน้อม นี่เรื่องเล็ก กินข้าวด้วยกัน ก็เรื่องเล็ก ไปไหนไปกัน แต่ที่ จะทำ ให้เราแข็งแกร่งได้ คือ ความรู้ ที่ เรามี ถ้าเราแข็ง พอ เขาก็เอาเราไม่ลง ถึงเก่งกล้า วิชาแล้ว พลาดขึ้นมา ทำพลาดเอง ลูกค้าด่าเรา เขาก็ซ้ำทันที ทำดีแค่ไหน ก็ถือว่า เสมอตัว พลาดครั้งเดียวโดนเหยียบเละ ถึงบอกว่า ยกมือไหว้ ตั้งแต่ หน้าห้องถึงหลังห้องแค่ด่านแรก ไม่ชอบก็ลาออกหางานใหม่
สมัยนี้การประกาศรับสมัครงาน ต้องเขียนคุณสมบัติว่า สามารถทำงานร่วมกับบุคคลอื่นได้ เป็นอันดับแรกแล้วมั้ง องค์กรจะไม่พัฒนา ถ้าหากคนในองค์กร ไม่มีการสื่อสารกันที่มีประสิทธิภาพ ต่างคนต่างอยู่ มาทำงาน เพื่อให้มันผ่าน ๆ ไปวัน ๆ เราคิดว่าคุณหนุ่ยให้โอกาสเยอะแล้วนะ ฝึกงานแค่ 4 เดือน แป๊ปเดียว ก้อจบแล้ว มนุษย์ต้องมีสังคม เราอยู่คนเดียวในโลกไม่ได้ หลายครั้ง เราก้อต้องทำในสิ่งที่เราไม่ชอบ ฝืนบ้าง ไม่มีสิ่งใด ได้ดั่งใจเราทุกอย่างหรอก
ผมเป็น introvert คนหนึ่งที่เข้าสังคมค่อนข้างยากตอนอายุน้อยๆ ก็คิดว่าตัวเราเป็นแบบนี้ ทำไมต้องมาปั้นหน้าเพื่อเข้าสังคมพอทำงานไปเรื่อยๆ มันก็ผ่านประสบการณ์และสอนเราว่า งานทุกอย่างมันจะง่ายขึ้นถ้าเรามี connection ที่ดี อย่างที่คุณเนมบอก เราไม่ได้เก่งไปทุกเรื่อง ต่อให้ทำงาน freelance เวลามีปัญหาที่เราไม่ถนัดเรายังต้องติดต่อหาคนรู้จักเลยยิ่งทำงานออฟฟิศนี่ยิ่งสำคัญ เพราะมันต้องทำงานเป็นทีม การเรายอมปั้นหน้าเพื่อรักษาบรรยากาศ รักษามิตรภาพ มันก็ไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรงซักเท่าไหร่เวลาเรามีปัญหา ทุกคนก็พร้อมยินดีที่จะช่วยเรา ทำให้อะไรๆ มันง่ายขึ้นมากผมเลยยอมเสียพลังงานเพิ่มในการพยายามเข้าสังคม พอเลิกงานก็ค่อยพักชาร์จพลังไว้ลุยต่อวันพรุ่งนี้
เราเป็นคนที่ทุกคนบอกว่าเราโคด introvert เป็นคนเงียบๆ คือพยายามพูดแล้ว แต่ก็ยังโดนบอกว่าเงียบ เหนื่อยจัด แต่ก็พยายามทักทายคนที่รู้จัก เพราะอยากมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนร่วมงาน ก็ทักเป็นแค่ สวัสดีค่า แล้วก็จบ555นึกเรื่องชวนคุยไม่ออก คนที่เป็น extrovert ได้เปรียบมากจริงในชีวิตการทำงาน ได้เส้นสาย มีคนชื่นชอบเยอะกว่า พรีเซ็นต์เก่งประสานงานเก่งตำแหน่งก็จะขึ้นไวกว่า แต่เราเปลี่ยนตัวเองเป็นอีกประเภทไม่ได้หรอก เหนื่อย
+1คับ เหมือนกันมันยากจริงๆคับ
สู้ๆคับ ทำงานในสังคมไทยไม่เหมาะกับชาว introvert จริงๆ มีความรู้สึกว่าคนเป็น extrovert ได้เปรียบมากกว่าในทุกๆวัน
+1 ทำงานครั้งแรก introvert ปกติก็เข้าสังคมไม่เก่งอยู่แล้ว ยิ่งตกอยู่ในสภาวะกดดันหรือความเครียดจากสภาวะที่จำเป็นต้องเข้าสังคมในสภาพแวดล้อมใหม่ยิ่งเครียดเข้าไปใหญ่ จากนั้นนรกแห่งความวายป่วงจะเริ่มต้นขึ้น จากการที่คนๆหนึ่งในบริษัทเริ่มตั้งแง่กับนิสัยนั้น และพูดคุยต่อกันไป อาจมีคนหวังดีพยายามช่วยเปิดโอกาสการเข้าสังคมของพวกเขาแต่กลับกลายเป็นการกดดันหนักข้อขึ้น บุคลิกการตีตัวออกห่างจะยิ่งกว้างขึ้น ก่อเป็นกำแพงสูงชัน ฝ่ายที่พยายามเข้าหาจะคิดว่าเขาทำดีแล้ว ตามที่มนุษย์ทั่วไปเขาทำกัน จากนั้นอคติต่ออีกฝ่ายที่ปิดกั้นจะยิ่งมากขึ้น มากขึ้น และฝ่ายที่เก็บตัวมากเกินไปจนต่างจากพวกจะกลายเป็นคนผิดโดยธรรมชาติ ที่ปฎิเสธความสัมพันธ์อันดี ย์ทำให้บรรยากาศการทำงานยิ่งแย่ลงไปจยกลายเป็นรูธนรก... ฮ่า ช่างเจ็บปวดเมื่อนึกถึงความหลัง ฝึกงานครั้งแรกก็แบบนี้ 555 นรกชัดๆ
เป็นคนตีหน้ายิ้มแย้มกับทุกเรื่องไม่เก่งเลย ปกติเป็นคนหน้านิ่งๆ ไม่พอใจก็อาจจะสีหน้าออกไปทางไม่ดี... อยู่ในบริษัทยากเหมือนกัน ดียังมีเพื่อนบางคนที่เข้าใจ ก็จะคุยๆกันได้ไม่กี่คน...
@@hikineet789 วิเคราะห์เห็นภาพเลยค่ะ
ส่วนตัวชื่นชมนายจ้างที่ชมลูกจ้างต่อหน้า และเรียกไปตำหนิในห้อง. เหมือนเค้าใสใจบรรยากาศการทำงาน🙏
สรุปสุดท้ายดีมากครับ 👍👍👍
ส่วนตัวเราเป็น Extreme Introvert นะ ทำแบบประเมินแล้วคะแนน Introvert คือ 90%++ มาตั้งแต่อายุ 18 ที่เริ่มทำ Test เราก็ไม่ค่อยทักใคร Chat ยังไม่ค่อยทักใครก่อนเลย ยกเว้นมีธุระ แต่ถ้าใครทักเรามา เราทักตอบนะ แล้วก็คุยด้วย ชอบนั่งกินข้าวบน Office มากกว่าลงไปกินข้าวเป็นกลุ่มตอนกลางวัน แต่ก็ไปบ้าง แต่เราก็บอกว่าที่ไม่ชอบลงไปด้วยเพราะไม่ชอบคนเยอะ ร้อน บลาๆๆ ทุกคนก็เข้าใจเรานะ ไม่ได้ดูมีปัญหาอะไร ตอนทำงานก็รู้สึกว่าทุกคนรู้ว่าเรานิสัยติสต์ โลกส่วนตัวสูง แต่ก็ไม่ Level มีผลต่อการทำงานและทำให้บรรยากาศใน Office เสียแต่หลังๆ เราเบื่อ ก็เปลี่ยนมาเป็น Freelance แทน เพื่อลดจำนวนวันที่ต้องตื่นเช้า ต้องเดินทาง เราก็ยังรู้สึกว่า Relationship ก็ยังโอเคนะ ทางนั้นก็ยังให้งานเรามาทำต่อ ... เงินบางเดือนลดลงแต่ก็แลกกับการไม่ต้องเจอภาวะที่ไม่อยากทำเราว่าเวลาทำงานจริงๆ จะ Happy มันคือการหาจุด Balance ของความต้องการของตัวเองและ Requirement ในการทำงานอ่ะเราคิดว่าเราก็เก่งงานระดับหนึ่ง เลือกงานได้ระดับหนึ่ง แต่เราก็คิดว่า Connection ก็สำคัญ อย่างถ้าเราไม่มี Relationship ที่ดีกับบริษัทเก่า หรือลูกค้าที่เคยทำงาน ตอนเราออกมาเป็น Freelance ถึงเราจะเก่งแค่ไหน เค้าก็อาจไม่ส่งงานมาให้ทำต่อได้ ถ้าเค้ามองว่าเค้าทำงานกับเรายาก (คือเราก็ไม่ขนาด Top1% ที่จะเลือกได้ทุกอย่างขนาดนั้น)เราเองก็เถอะ เวลาต้องดีลงานกับคนอื่น Quality ของงานสำคัญมากก็จริง แต่ถ้าคนที่ทำงานดีที่สุด แต่สื่อสารด้วยยาก ทำให้ไม่สะดวกใจจะคุยด้วย เราเลือกคนที่ Quality งานลดลงมานิดหน่อย แต่สื่อสารด้วยง่ายกว่าดีกว่า ส่วน Quality งานที่ลดลง ก็แก้ปัญหาด้วยการพยายามสื่อสารและ Feedback ไปว่าเค้าต้องเพิ่ม ต้องปรับตรงไหน มันพอชดเชยกันได้
ไทย C U M อังกฤษ C U M
@@littlepee7854 เราสบายใจที่จะเขียนแบบนี้ค่ะ ถ้าทำให้ไม่สบายใจตอนอ่านก็ขอโทษด้วยนะคะปล. โดยส่วนตัวเรามองว่าเราไม่ได้กำลังเขียนบทความอยู่ Level ความจริงจังไม่สูงขนาดนั้น พิมพ์ประมาณนี้ก็น่าจะไม่เป็นไรมั้งคะ อย่างที่บอก ถ้าทำให้ไม่สบายใจตอนอ่าน ก็ต้องขอโทษด้วยค่ะ
@@SpinelSunSupMay แซวเฉยๆครับ ไม่ได้จริงจังแต่พิมพ์ซะยาวเลยนะครับ55
@@littlepee7854 เราเป็นพวกพิมพ์ยาวเป็นปกติค่ะ แบบไม่ค่อยพูด แต่พิมพ์ทีแล้วยาวมากกกก ทั้งๆ ที่ไม่ได้รู้สึกอะไรขนาดนั้น (และไม่ใช้รอบแรกค่ะที่โดนแซวมาพิมพ์ยาว ... ความตลกคือตอนพิมพ์เองเราก็ไม่รู้สึกว่ามันยาวอะไรนะ จนพอมาย้อนอ่าน ... โห ยาวอ่ะ)
คุณเริสมากดาวล้านดวงงงง เนี่ยตัวอย่างที่ดี+มีความสามารถ หาที่เหมาะสมกับตัวเองได้ ลงตัว ไม่มีใครเดือดร้อน บางคนถามความเข้าใจจากสังคมอย่างเดียว แล้วทำงานที่เนื้องานต้องยุ่งต้องคุยกับคนไม่มากก็น้อย แล้วบอก Introvert
ส่วนตัวเราทำงานไม่ใช่ออฟฟิศแต่ก็คล้ายๆ กัน ถ้าคุยนอกเวลาคุยเรื่องงาน เกี่ยวกับงานเราว่าโอเครนะคุยด้วย แต่ถ้าชวนไปเที่ยวนั่น เที่ยวนี่ เม้ามอยเรื่องคนอื่น เราว่ามันเสียเวลาชีวิตเพราะมันน่าเบื่อ
+1
ใช่ ใช่ มันชวนคุยอะไรนักหนา มันต้องการอะไร
ส่วนใหญ่ก็เรื่องไร้สาระแหละ
เค้าถามไปงั้นแหละ จริงๆคืออยากรู้ว่าเรามีทัศนคติความคิดแนวเดียวกับเขารึเปล่า ถ้ามีก็เป็นคนปกติ ถ้าไม่มีก็เป็นคนเงียบๆไม่ค่อยคุย
ขอบคุณครับ สรุปดีมากๆ เข้าใจทุกแง่คิด👏👏👏💯
เห็นด้วยค่ะ คอนเนคชั่นมันสำคัญมากจริงๆ นะ ถึงทำงานดีมากแต่การคอนเนคชั่นเป็นศูนย์ มันก็ไปต่อยากอ่ะ เคยเจอก้มหน้าก้มตาทำงานแต่ไม่ถามไม่หืออือกับใคร เราก็ขอให้น้องลองถามลองคุยบ้าง น้องบอกทำไม่ได้ เราเลยขอโทษแล้วยุติการทำงานร่วมกันตรงนี้เลย😔 จะให้คนที่เหลือมาปรับมาเข้าใจน้องคนเดียว มันไม่ได้อ่ะ
คงามคิดผู้บริหารกับความคิดพนักงานย่อมต่างกันผู้บริหาร จะมองภาพรวมพนักงาน มองตัวเองเป็นหลักใช่ครับ คุณหนุ่ยพลาดตรงที่ออกมาเขียน ถ้าจริงๆควรให้ไม่ผ่านและบอกเหตุผลเขาไปก็จบครับการทำงานในบริษัทการอยู่ในสังคมนี้ต้องเปิดใจครับ เข้าสังคมให้เป็น ไม่ใช่สังคมจะเข้าหาตัวเองเสมอ เรียนรู้และออกไปเจอโลกกว้างครับ
ถ้าคุยกับน้องจนรู้เรื่องแล้ว แล้วเอามาแชร์เป็นประสบการณ์ที่พบเจอ คุณหนุ่ยจะไม่โดนทัวร์ลงขนาดนี้หรอก รอบนี้คุณหนุ่ยพลาดจริงๆค่ะ
จากที่โพสเหมือนสุมหัวกันนินหาเรื่องที่ตัวเองไม่พอใจ แล้วก็เอามาพูดในที่ประชุมแบบกว้างๆไม่เจาะจงแต่ให้รู้ว่าเป็นใคร (อารมณ์เหมือนแซะกลางห้องประชุม) ทั้งที่ควรคุยกับเจ้าตัวตรงๆ รับฟังความรู้สึกเลยว่า เห้ย มีปัญหาอะไรบอกได้นะ พี่กับคนอื่นๆไม่สบายใจ
ผมเข้าใจทั้ง 2 ฝ่ายนะครับ การที่พี่หนุ่ยออกมาแชร์สตอรี่(บางส่วน)ภายในบริษัท โดยมีจุดประสงค์มุ่งหวัง บอกเล่าประสพการณ์ในการทำงานของบริษัทจริงๆว่าบรรยากาศในการทำงานมีส่วนสำคัญมากเช่นกัน การทำงานเก่งไม่ได้แปลว่างานเสร็จนะครับ หากงานของคุณยังเป็นจุดเชื่อมต่อไปถึงแผนกอื่น เพื่อให้เขาทำงานต่อให้สำเร็จ ดังนั้นสิ่งที่พี่หนุ่ยอยากสอนน้องฝึกงาน ก็คือการรักษา connection และ respect ต่อเพื่อนร่วมงานเป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน แต่สิ่งที่พี่หนุ่ยพยายามจะสื่อสารต่อผู้คนอื่นนั้น ก็อาจเป็นจุดที่พลาดได้เองเช่นกัน เช่น การตัดสินใจทำบางอย่างในฐานะเจ้าของบริษัท... ซึ่งตรงจุดนี้พี่หหนุ่ยอาจวิเคราะห์ยังไม่ถี่ถ้วนพอ ทำให้การแสดงความคิดเห็นเอนเอียงไปทางของตัวเองมากเกินไป ทำให้การส่ง Message ครั้งนี้ คาดเคลื่อนจากสิ่งที่ตัวเองต้องการจะนำเสนอจริงๆก็เป็นได้.... แต่ผมก็นับถือพี่หนุ่ยอย่างนึงนะ ในเรื่องของการรับฟังความคืดเห็น แกพร้อมมาก ที่จะเปิดใจรับฟังเสียงสะท้อนในทุกๆด้าน เพื่อมาไตร่ตรองอีกครั้งเพื่อหาข้อสรุปถึง ปัญหาหรือข้อสงสัยในครั้งนี้ และพร้อมที่จะขอโทษ social และน้องฝึกกงาน เมื่อสรุปได้ว่าสิ่งที่ตัวเองทำไปนั้น... อาจสร้่งผลกระทบต่อตัวน้องฝึกงานมากเกินไป
5:45 อารมณ์แบบ คนนอกอ่ะ ต้องพยายามมากกว่าเขา ได้มาก็ไม่คุ้มเหนื่อย เสียความรู้สึก นั้นละ อาการคนนอกบางครั้งมันก็ไม่ได้มีแค่เรื่องงานน่ะ มันมีความไว้ใจ ความสัมพันธ์เพื่อนร่วมงาน คนรอบข้างใช่ว่า ทำงานดีทำงานเก่ง แล้วจะประสบความสำเร็จ ง่ายๆมันมีเรื่องความไว้ใจ ความสัมพันธ์เพื่อนร่วมงาน คนรอบข้างเข้ามากเกี่ยวข้องด้วย เราอยู่ร่วมกันในสังคม ต้องยอมว่าสิ่งนี้สำคัญไม่แพ้ ความเก่งกาจในเรื่องงานของคุณ
เราไม่ได้เข้าข้างใครน่ะ “นอกจากเก่งการทำงานแล้ว ต้องเก่งความสัมพันธ์กับผู้คนด้วยจะทำให้คุณโชคดีได้โอกาสดีง่าย”เราเห็นคนต่างชาติ เขาจะทำงานแบบ รักษาความสัมพันธ์กับผู้คนมากกว่าเงินทอง สิ่งนี้ทำให้เขาได้รับโอกาส ได้งานที่ดีขึ้น มีแต่คนคอยช่วยเหลือสนับสนุนอยู่ตลอด ก็คือทักษะการอยู่ร่วมกันในสังคมนั่นแหละ
นั้นคือ เหตุผลที่บริษัทต่างชาติหลายๆบริษัทมีพื้นที่สำหรับให้พนักงานได้ปรึกษาหรือระบายต่อนักจิตบำบัดอยู่ในสำนักงานนั้นด้วย......
@@hikineet789 เม้นคุณตอบโจทย์เรื่องนี้ที่สุด..คนอื่นแค่ระบายหรือเม้นตามใจตัวเอง...
ผมว่าผิดทั้ง2ฝ่ายนะ ปัญหาคือแต่ละฝ่ายใช้สิทธิ์ในแต่ละพื้นที่ไม่ถูกต้องแค่นั้นเอง1. คุณหนุ่ยใช้สิทธิ์ตักเตือนได้ในบริษัทตนเอง แต่ใช้ในพื้นที่ Public ไม่เหมาะสม2. น้องๆฝึกงาน ใช้สิทธิ์ตามใจฉัน(ภายใต้กฎหมายประเทศ)ได้ที่บ้านหรือที่public แต่หากไปที่บริษัท, บริษัทจ้างคุณ หรือเสียcost ให้คุณมาฝึกงาน, สิทธิ์ของคุณที่บริษัทคือจะรับกับ Culture องค์กรนั้นๆให้ได้ หรือลาออกนะครับ ไม่ใช่สิทธิ์ตามใจฉันคือสิทธิ์ในทุกสถานที่นะครับ ผมว่าเราตีประเด็นรวมกันไปหมดจนแยกแยะไม่ออก แล้วโทษ Generationอยู่ร่วมกันแบบเข้าใจสิทธิ์ตามแต่ละสถานที่จะเหมาะสมสุดครับ
เขียนซะยาวมีแต่น้า สรุปง่ายๆ แค่อยากไหว้กับไม่อยากไหว้ แค่นั้นแระ ส่วนทำไหมไม่อยากไหว้ เพราะอะไร มันอยู่ที่ตัวบุคคล
เห็นด้วยเหมือนกันครับว่าผิดทั้งสองฝ่าย ถ้าไม่อยากไหว้ก็ออกไปไหว้พ่อกับแม่ที่บ้านก็ถูกแล้ว หรือไม่ก็ไปหางานที่ไม่ต้องเจอหน้าหัวหน้าหรือใครเลย(ไม่รู้ว่างานไร) จะได้ถูกใจ
- บางทีเวลาทำงานออฟฟิตที่คนเยอะๆ มันจะมีคนที่เราทักทายละเค้า เมินมั่ง ตึงใส่มั่ง เจอแบบนี้หลายๆรอบก็ไม่ค่อยอยากทัก หรืออีกประเภทคือพวกพูดมาก ชอบชวนคุย แต่เราไม่ว่างจะคุยขนาดนั้น - connection สำคัญแต่บางครั้งบางสายงานก็ไม่มีใครสนใจเลย - มันจะมีนะพวกคุยเก่ง ประจบเก่ง "พรีเซ้น" เก่ง แต่ถ้าเป็น colleague ด้วยกันจะรู้ว่า เชี่ยงานช้า งานจะไม่ทัน เหมือนพวกนี้เอา energy ไปเข้าสังคมหมด ภาระคนอื่นต้องมาช่วยเติมงานอีก
เอาจริง ๆ นะเวลาทำงานจริงถ้าเจอหัวหน้าไม่ทักไม่ไหว้เขาคงอยู่ได้ไม่นานนะ ถ้างานที่ต้องมีปฎิสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานแบบนี้คงไม่เหมาะกับเรา เราก็คงต้องหาที่ทำงานที่เหมาะกันเราแทน
ปัญหาเกิดที่ทัศนคติก็แก้กันที่ทัศนคติหน้าตากริยา คำพูดมันแสดงออกมาจากภายในโดยที่บางครั้งคนเราไม่รู้ตัวแต่มันก็คือตัวตนของเราไม่ว่าจะโลกส่วนตัวสูงเหนื่อย เครียด บราๆๆแต่มันคือตัวตนของเราโดยแท้จริง( ใครจะใช้คำว่าสันดานก็ได้ )ถ้าเราอยู่คนเดียวในป่าเราก็คงไม่ต้องแคร์หมีที่ไหนเราอยู่ในสังคมที่เจอคน คนอื่นเค้าไม่ได้รับรู้เรามาตั้งแต่เกิด แต่สิ่งที่เราแสดงออกมาวินาทีนั้นคือ ตัวตนของเราตั้งแต่เกิดให้เค้าเห็น มันเป็นธรรมชาติที่เค้าอาจจะตัดสินเราแบบที่เขาเข้าใจสิ่งที่เราทำได้ถ้ายังได้พบปะคนกลุ่มนั้นอยู่คือ พูดคุยสื่อสาร เพราะการติดต่อสื่อสารจะช่วยเยียวยาความไม่เข้าใจการติดต่อสื่อสารจึงสำคัญกับสังคมมนุษย์ ถ้าน้องคนที่ฝึกงานเจออะไรบ้างผมไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ แต่เชื่อพี่ได้เลย ถ้าเอ็งติดต่อสื่อสารแบบปกติที่มนุษย์ธรรมดาเค้าทำกัน พี่เชื่อได้ไม่มีใครใจร้ายกับเอ็งหรือเข้าใจเอ็งไม่ดีหรอก และยังมีโอกาสอธิบายความเข้าใจผิดของผู้อื่นด้วย แค่เอ็งสื่อสารกับเค้า พี่หวังดีไอ้น้อง ^__^
จริง ทำงานไม่ทัก หรือ เข้าสังคม มันอยู่ที่ตัวงาน ถ้างานคุณไม่จำเป็นต้องไปเข้ากับสังคมมากมันก็ไม่มีปัญหา ถ้างานไหนที่ต้องเข้าสังคมหรือต้องการความคิดเห็นของเขาเพื่อมาปรับปรุงแก้ไขตรงนี้แหละจะเป็นปัญหากับตัวบุคคล
ความเคารพทำให้เราดูน่ารักครับ ผู้ใหญ่เตือนหมายถึงผู้ใหญ่รักและหวังดีกับเราครับ และพร้อมจะถ่ายทอดความรู้ให้อย่างเต็มที่ แต่แค่วิธิการตักเตือนผิดไปหน่อยครับ แต่ทุกความผิดพลาดทำให้เรามองทางได้ชัดขึ้นและคอนเนคชั่นสำครับมากในการทำงานครับ รักษาไว้ให้ดีครับ
ผมเข้าใจนะ เพราะสมัยนี้มันเห็นจนชินแล้ว ผมก็เจอเด็กฝึกงานหรือเพื่อนรวมงานที่ไม่ค่อยทักทายกันเท่าไหร่ แต่ตอนทำงานก็คุยกันปกติ แล้วแต่ความสนิทกันไป ซึ่งผมก็เฉยๆนะเพราะสมัยนี้อะไรๆมันก็ไม่ได้เหมือนเดิมแล้ว
เราก็ทำงานกับคนที่ทั้ง extrovert Introvert เราว่ามันส่งผลกับบรรยากาศการทำงานจริงๆและส่งผลต่อผลลัพท์การทำงานที่ออกมาExtrovert สุดโต่งพูดจนน่ารำคาญ จนไม่มีสมาธิทำงาน เธอรู้โลกรู้ รายละเอียดเยอะเกินกว่าจะจบ หลุดประเด็นไปละ หรือ Introvert มากจนไม่มีใครกล้ายุ่ง มีไรไม่ถามด้วย ถามแค่เฉพาะคนที่สบายใจสุดท้ายปัญหาดองลามไกล คนเรามันโตมาไม่เหมือนกันอยู่แล้วไม่ว่า gen ไหน หรือสังคมไหน แต่สำคัญคือการสมดุลให้มันอยู่จุดที่เหมาะสมมากกว่าในที่ทำอยู่ ทำงานทำทุกวันนะเห้ย เจอหน้าทุกวัน ซ้ำๆเดิมๆ มันส่งผลต่อจิตใจมาก
คิดว่าด้วยวัฒนธรรมองค์กรนี้ที่ต้อง Active ตัวเอง การทำงานเก่งอาจจะไม่ใช่ประเด็นสำคัญเสมอไป สิ่งเหล่านี้พัฒนาได้ เหมือนกับการเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับเพื่อนร่วมงานเหล่านั้น หากปรับตัว พัฒนาสิ่งที่ขาดเพื่อให้เข้ากับองค์กร(ในส่วนที่ไม่ใช่ความรู้)ได้ ก็จะสามารถทำงานร่วมกับองค์กรนั้นได้นานมากขึ้นเหมือนที่หลายๆคนพูด เพื่อนร่วมงานดีจะทำให้งานน่าทำขึ้นผมเคยเห็นบางองค์กรเลือกที่จะไม่จ้างคนที่เก่ง แต่ไม่สามารถเข้ากับที่ทำงานได้ แต่ก็มีอีกหลายที่ที่เน้นฝีมือ ไม่เน้นวัฒนธรรมองค์กร ก็ต้องหาที่ๆเหมาะกับตัวเองเอาแหละเข้าใจในส่วนของ introvert นะ แต่ก็เข้าใจด้วยว่าทั้งชีวิต คุณจะไม่มีสัมพันธ์กับใครเลยก็ไม่ได้ มันเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ มันอาจไม่เกิดขึ้นในวันนี้ มันก็จะเกิดขึ้นในวันหน้าในมุมที่คุณเป็นลูกน้อง การทำงานก็แค่รับงานแล้วทำ แต่พอเติบโตขึ้น คุณก็ต้องพัฒนาสกิลต่างๆ เพื่อพูดคุยกับเพื่อนร่วมงาน หัวหน้า ลูกค้า ผู้ที่เราติดต่อด้วย และมีลูกน้อง แทบทุกสายงานคุณก็ต้องอยู่ในระดับที่ต้องใช้ทักษะการมีปฏิสัมพันธ์เข้าซักวัน และจะอ้างไม่ได้ว่าเหนื่อย หรือเพราะว่าเป็นแบบนี้คุณเลยไม่สามารถทำได้ เพราะเหตุนี้ การให้พัฒนาความสามารถในการปฏิสัมพันธ์จึงเป็นอะไรที่ควรทำตั้งแต่แรกๆที่สามารถทำได้ คล้ายกับการโตเป็นผู้ใหญ่ ที่ไม่ใช่แค่อายุถึง20 คุณก็โตได้ในทันที ส่วนการเอามาแขวน อันนี้มันก็ไม่ถูกต้องจริงๆ แต่ถ้าอยากให้เป็นวิทยาทาน ก็ควรเล่าเรื่องหลังจากเหตุเกิดแล้ว หลังจากน้องๆผ่านฝึกงานแล้ว ซัก1-2เดือนมากกว่า และควรเป็นการพูดแนวเล่าเรื่อง และเน้นจุดที่ต้องการนำเสนอ เพราะสุดท้ายการเขียนมันมุ่งเน้นจุดที่ต้องการได้ยากและใช่ว่าทุกคนจะอ่านแล้วจับจุดที่เราต้องการเสมอไปและถึงคุณหนุ่ยจะดูเหมือนตัดสินใจเร็ว อย่างงั้นอย่างโน้น แต่อย่างน้อยก็รับฟังความเห็นเพื่อนๆพี่ๆที่ทำงานร่วมกับน้อง ไม่รีบฟันธงตัดบท และอีกส่วนที่คิดคือ เรื่องนี้ พี่ๆเพื่อนๆที่ทำงาน ได้พูดคุยกับน้องแล้วรึยัง หรือจะมีคำสั่งลงมาจาก CEO ให้พี่ๆพูดคุยกับน้อง เพราะเรื่องแบบนี้ เข้าใจว่าส่วนใหญ่จะให้พี่ที่เป็นคนดูแลน้องนั้นเป็นคนพูดมากกว่าการที่ CEO จะลงมาพูดเอง แต่ถ้าพูดแล้ว ขอให้ปรับปรุงตัวแล้ว แล้วไม่สามารถทำได้ ภายในระยะเวลาฝึกงานที่เหลือ ซึ่งไม่แน่ใจว่าเหลือเท่าไร ก็เปรียบกับการเข้ากับวัฒนธรรมองค์กรไม่ได้ ถ้าเป็นการทำงานจริง CEO อาจเลือกที่จะไม่จ้าง แต่ก็ขึ้นอยู่กับหัวหน้าทีมว่าคิดว่าจะรับมือไหวไหม และถึงแม้มันจะเหนื่อยที่ต้องเข้าสังคม มันก็ลักษณะคล้ายการอดทนเตรียมตัวสอบ หรือปั่นงานส่งอาจารย์ ในบางครั้งเราก็ต้องฝืนตัวเองเพื่อให้งานมันผ่านพ้นไป ในมุมมองผม การอดทนในระยะเวลาที่เหลือฝึกงานนั้นตอบโจทย์ ทั้งพี่หนุ่ยที่ควรอดทนขึ้น ปล่อยผ่าน และน้องๆที่ต้องอดทนในการใช้พลังงานมากขึ้นแต่ตั้งข้อสังเกตุอีกอย่างว่า น้องไม่มีปฏิสัมพันธ์ นี่ขนาดไหน แค่ทักทาย? ชวนกินข้าวแต่แยกโต๊ะ? ว่างงานแล้วนั่งเล่นมือถือคนเดียว? งานเสร็จแล้วไม่บอก? แล้วที่บอกว่าน้องทำงานได้ดี อันนี้เป็นมารยาทเฉยๆไหมเพราะการที่เราจะตำหนิใคร ก็ต้องมีการชมแทรกเข้ามาด้วยเพื่อไม่ให้มันดูแย่เกินไป และการชมที่ง่ายที่สุดก็เรื่องทำงานดี ก็เหมือนเวลาลูกทำตัวไม่ดีก็จะบอกว่านี่ครั้งแรก ปกติเป็นเด็กดีมาตลอด ถึงในใจจะรู้ว่ามันไม่ใช่ก็ตาม เพราะการที่ผู้ใหญ่คนนึงจะออกมาโพสเกี่ยวกับปัญหาที่เจอ มันไม่ได้หาได้ง่ายๆ ถ้าไม่เพราะมันเหลืออดจริงๆ ก็เป็นเพราผู้ใหญ่ยังเป็นผู้ใหญ่ไม่พอ
บุคลิกแบบนี้ถ้าทำงานอยู่ในสังคมตะวันตก เป็นอะไรที่ธรรมดามาก สามีเราก็บุคลิกแบบนี้แต่ทำงานได้สบาย คนเขายอมรับและเคารพความต่างของแต่ละคน อาจจะเป็นเพราะวัฒนธรรมไทยด้วย ที่ระบบอาวุโส ระบบอุปถัม connection ต่างๆ มีความสำคัญมากพอๆกับผลงาน
สังคมสำคัญคับ มันทำให้คุณอยากมาทำงานหรือไม่อยากมาทำงานได้เลย ผมมีวันนี้ก็เพราะสังคมการใหว้ผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่เปิดใจสอนทุกอย่างให้ผม ผมมองว่าสังคมสำคัญมากคับ คุณไม่เอาสังคมต้องทำงานที่ทำคนเดียวคับ อย่างมาทำกับสังคม (สังคมคือ2คนขึ้นไป)
ความคิดผมคือ ไม่ว่าสังคมไหนๆ เมื่อเราเป็นคนใหม่คนนอก ต้องรู้จักปรับตัวเข้ากับสังคมนั้นๆครับ ไม่ต้องดีมากก็ได้แค่อยู่ในระดับพอใช่ คือระดับที่ว่า มีมารยาท พูดคุยด้วยได้ มีการทักทาย ไม่เงียบหาย สิ่งที่ห้ามเลยคือ กวนตีน พูดสวน พูดย้อน นินทา ต่อให้คุณเก่งแต่ถ้าคุณไม่ได้ เก่งขนาดว่าทำกำไรให้บริษัท ขนาดว่าเขาต้องเลียเท้าคุณได้ คุณต้องรักษาเรื่องนิสัยครับ การทำงานส่วนมาก เป็นการทำงานเป็นทีม เป็นกลุ่ม ขนาดคนที่ทำงานของตัวเอง ยังต้องมีการติดต่อแผนกที่เกี่ยวข้องด้วย ดังนั้น เรื่องนี้สำคัญครับ คะแนนการประเมิน มันเป็นแบบนี้เสมอครับ ผลงาน 50 การเข้ากับเพื่อนร่วมงาน 50 รวมกันเป็น 100 นี่เอาโลกความจริงมาพูดนะ ไม่ได้แต่งนิยายมาเล่า เพราะ ก็ทำงานมาหลายที่แล้ว ก็เลยมาเล่า และ สำหรับกรณีว่าบริษัทดี สังคมแย่ ถ้าคุณปรับตัวเข้ากับเขาไม่ได้ ผมแนะนำให้ออกห่าง จะดีกว่าครับ เพราะ สังคมบางที่ก็เลวบัดซบ โกงกิน คอรัปชั่น คืออย่าปรับตัวเข้ากับเขาเลยครับ ผลที่ได้แค่เราก็จะกลายเป็นพวกชั่วช้าโดยไม่รู้ตัว
ดราม่านี้จะไม่เกิดถ้าต่างคนต่างเคารพความแตกต่างแล้วไม่โพสลงโซเชียล ส่วนวัฒนธรรมองค์กรนั้นมันเป็นเรื่องของการปรับตัวแต่ละที่ก็แตกต่างกันไป และแน่นอนว่าด้วยความแตกต่างของแต่ละคนก็จะมีคนที่ปรับตัวได้และไม่ได้ จุดนี้ต้องช่วยๆกันชี้แนะเพื่อสร้างบุคลากรที่มีประสิทธิภาพออกมาเรื่อยๆ
บางครั้งคนที่นั่งวิจารณ์มันก็พูดได้อย่างเพลิดเพลินดี เพราะตัวเองไม่ได้อยู่ในสถานการณ์เดียว ก็เปรียบเหมือนคนที่ได้รับบาดเจ็บก็ร้องโวยวาย และ คนที่ยืนดูบอกให้เขาอดทน...เราทำงานกับคนตะวันตกมาเกือบ15ปี อุดมการณ์ในการบริหารองค์กรของเขาคือไม่ให้ใครจำแนกชนชั้น ทุกคนถือว่าเป็นพนักงานอย่างเท่าเทียมกัน เวลามีกิจกรรมหลังเลิกงานก็ทักทายชนแก้วกันและนั่งทานเข้าโต๊ะเดียวกัน...เราเข้าใจว่าพี่หนุ่ย พงศ์สุข คงมีอุดมการณ์ที่ว่า สภาพแวดล้อมในการทำงานเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับองค์กรและบุคลากรทุกคน ถ้าสภาพแวดล้อมดี พนักงานก็รักในองค์กรแล้วจะพ่วงด้วยการอยากมาทำงานด้วย "สภาพจิตใจของพนักงานทุกคนสำคัญมาก"
ผมก็เป็นครับ ตอนอยู่ที่ทำงานไม่ทักใครเลย เหมือนเป็นพวกเก็บตัว แต่ถ้ามีคนมาทักก็จะคุยเหมือนคนปกติเลยครับ แต่เรื่องงานก็จะอีกเรื่องหนึ่ง ไม่ได้แบบไม่สนโลกเสียทุกอย่าง
เคยมีลูกน้องบุคลิกนิสัยเหมือนเด็กฝึกงานแบร์ไต๋เช่นกัน ทำงานดีมาก แต่ไม่สุงสิงกับใครในออฟฟิศ ซึ่งตอนสัมภาษณ์ก็ดูไม่รู้หรอก เพราะน้องทำได้ดีทุกบททดสอบ👍 ก็เลยลองตะล่อมให้เปิดใจคุยกัน ทำให้รู้ว่าความสนใจของน้องกับคนที่ทำงานต่างกันมาก การจะตีหน้าไปคุยเรื่องละคร เรื่องครอบครัว ฯลฯ กับคนอื่น ดูจะเป็นการสิ้นเปลืองพลังงานมาก (ในขณะที่น้องเขาสนใจเรื่องการลงทุน การศึกษา คดีความ)😲 มีอะไรต้องคุยกันเนอะ จะได้รู้จักกันจริงๆ
คือเราก็ไม่รู้เบื่องหลังอะนะ แต่เราว่าถ้าทำแบบนี้แล้วน้องเค้าเรียนไม่จบ มันก็ไม่ถูกต้องนะ ควรจะให้ฝึกงานผ่านไป แล้วค่อยไปเคลียร์กันทีหลังจะดีกว่าไหม ทำแบบนี่มันเกินไปหน่อยอะ ถ้าเค้าทำแบบนี้ต่อไปเด็กรุ่นต่อๆไปอาจจะไม่กล้ามาฝึกงานที่นี่แล้ว
เห็นด้วยกับตอนจบที่คุณเนมแสดงความคิดเห็นมากๆ เราเคยเป็นคนที่ทำงานแบบไม่แคร์ใครเหมือนกันเพราะเข้าสังคมไม่เก่งไม่ชอบปั้นหน้า แต่มันทำงานยากจริงๆ บรรยากาศก็ตึงๆอึดอัดๆ พอเริ่มเปลี่ยนไปเข้าหาคนอื่นมากขึ้นมันเหนื่อยจริง แต่มันทำให้ทำงานง่ายขึ้นเยอะ บรรยากาศการทำงานก็ดีขึ้นด้วยขอบคุณคุณเนมที่ออกมาสรุปเรื่องคิดว่าน่าจะมีหลายคนที่ได้ประโยชน์จากทุกเรื่องที่คุณเนมเล่าเลย 👍👍👍
ในฐานะคนทำงาน, การทำงานจำเป็นต้องมีการส่งต่อ พูดคุย และหารือหลายๆอย่างเพื่อให้งานมันออกมาการไม่ทักทายกันนั่นทำให้การรู้จักหรือการส่งต่องานอาจมีปัญหาหรือล่าช้ายกตัวอย่าง, หากลูกค้าต้องการแก้งานแล้วเพิ่งโทรมา เรายังเอิญเดินผ่านกันอาจทักทายบอกกันคร่าวๆ คุยรายละเอียด แล้วนัดเวลาประชุมได้เลย เร็วกว่าการส่งเมล์กันไปมาก่อนจะนัดคุย อะไรทำนองนั่น
เท่าที่ฟังก็ยังถือว่าคุณหนุ่ยแก้ปัญหาได้ดีนะ ฟังดูยังรู้สึกรับผิดรับชอบมากกว่าคำขอโทษที่เคยได้ยินผ่านหูมาหลายเรื่องอีก มอง Snorlax ก็ยังยิ้มได้เสมอ
ตอนแรกเราก็เป็นคล้ายๆน้องฝึกงานนะ แต่แบบถ้ามีคนมาทักเราก็จะตอบ แต่เจ้านายตอนนั้นเรียกเข้าไปคุยแล้วพี่เค้าคอยสอน ขนาดเราบอกว่าเราสายตาสั้นค่ะมองหน้าคนไม่ชัด พี่เค้าพาไปตัดแว่น เราบอกจำหน้าคนไม่เก่งพี่เค้าปริ้นรูปคนในออฟฟิศมาให้เราจำ แล้วก็มีคำนึงที่พี่เค้าสอนคือการไหว้ การทักทายคนอื่น มันไม่ได้เสียอะไรอาจจะเสียเวลาเล็กน้อยแต่เราจะได้คอนเนคชั่นมา อันนี้เราคิดว่าปัญหามันอยู่ที่การคุยกันการปรับจูนกันในออฟฟิศ
นานๆก็จะเจอเด็กแบบนี้สักที ซึ่งแบบนี้ผมก็ไม่เอานะ ไม่เสียเวลาสอนหรือพูดคุยเพราะพูดคุยกันก็ไม่มีประโยชน์ ตัวตนสูงโลกส่วนตัวสูงเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง จะทำงานดีแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์อะไรกับองค์กร เพราะทำงานเป็นทีมไม่ได้เข้ากับเพื่อนร่วมงานไม่ได้ ถ้าไม่ปรับตัวก็ต้องลดงานและความรับผิดชอบลง ปล่อยให้แห้งตายกลายเป็นธาตุอากาศไปเอง ... โตๆกันแล้วชีวิตจริงโลกไม่สวยหรอกครับ ใครจะโง่เสียเงินจ้างมาให้เป็นปัญหา...
1. ประเด็นสอน(การใช้ชีวิต)ชาวบ้านไปทั่ว 1.1.ประกอบไปด้วย - คิดว่าตัวเองเก่ง เกิดจาก ego ของคนนั้นๆเอง เช่น ประยุทธ์, คนรวยที่ชอบสอนคนจน- คิดว่าคนอื่นโง่ หรือด้อยกว่าด้านใดด้านหนึ่ง เช่น ชาวบ้านมันซื้อเสียง พวกเราฉลาด 3แสนเสียงคุณภาพ เป็นต้น 1.2. การสอนควรอยู่ในบริบทที่ตัวเองชำนาญและไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับการใช้ชีวิตที่ไม่กระทบกับงาน- การสอนงานเรียกว่า "หวังดี" - การสอนใช้ชีวิตที่ไม่มีผลกระทบกับงานเรียกว่า "เสือก" ผมมองว่าการไม่ไปกินข้าวกับเพื่อนร่วมงานไม่ได้ทำให้งานเสีย ส่วนเพื่อนร่วมงานที่รู้สึกไม่ดีควรจัดการอารมณ์ของตัวเอง ให้ถามตัวเองว่ามันมีผลกับงานด้วยหรือป่าว ที่คนนั้นกินข้าวคนเดียว 2. ประเด็นการบริหาร 2.1.การชมคนให้ชมในที่แจ้ง ตำหนิคนในที่ลับ เหตุผลเพราะ เสริมสร้าง/ไม่บั่นทอน "กำลังใจ" ของผู้ปฎิบัติงาน ไม่ใช่ลูกน้อง มีแต่ "ผู้ปฎิบัติงาน" กับ "ผู้อำนวยการ" (คอยอำนวยให้ผู้ปฎิบัติงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น) ผู้บริหารบางคนมันได้เท่านี้แหละ เพราะเวลาตำหนิคนอื่นมันทำให้ตัวเองดูดี(ดูดีเพราะชี้หน้าว่าคนอื่นเลว คุ้นๆไหมครับ) มันจะตบท้ายด้วยคำพูดที่ว่า "เป็นผมจะ...."(ซึ่งมันคนละบริบทกันอีโง่ เช่น คนรวยสอนคนจน ยั้ยแหละ) 2.2. เอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับงาน โตเป็นควายยังแยกไม่ออกว่า "ความรู้สึกส่วนตัว"(ว่าโดนเมิน) กับ ผลงานที่เขาทำ มันคนละอย่าง คุณจะลงโทษหรือไล่ใครออกเพราะเขาไม่สังคมกับเพื่อนร่วมงาน "ไม่ได้" ไล่ออกแบบนี้ไม่เป็นมืออาชีพสักนิด สุดท้ายผมเชื่อว่าหนุ่ยเลิกเป็นสลิ่มแล้ว(แล้วละมั้ง) แต่ควรทิ้งนิสัยสลิ่มด้วย(พวกนิสัยชอบสอนเรื่องใช้ชีวิตส่วนตัวของชาวบ้าน)
ชอบไปตามน้ำ ตามกระแสมากกว่า เขาบอกเองว่า ทำตัวเป็นไม้บรรทัด ศูนย์กลาง Multiverse
ถูกต้องที่สุด คิดว่าตัวเองเป็นศูนย์กลางจักรวาล
หนุ่ยก็ควรจะโดนโซเชียลแขวนแล้ว คนเป็นทั้งผู้บริหาร และเป็นอินฟลูเอนเซอร์ ดันออกมาตำหนิลูกน้องกลางสาธารณะ แล้วพยายามแสดงออกว่าตัวเองเก่ง เป็นใครก็โดนแขวนครับ ไม่ต้องพูดเรื่องผิดถูกเลย
เคยทำงานโรงงานที่ใหญ่พอสมควร พนักงาน 3,xxx คน ออฟฟิสอยู่ด้านหน้าโรงงาน ส่วนพื้นที่ปฏิบัตงานอยู่ท้ายโรงงาน ผมเป็นคนที่ต้องติดต่อกับหลายแผนก รู้จักคนแยะ เดินไปท้ายโรงงาน คอแทบเคล็ด ผงกหัวกันมันเลย พอไม่ทักก็แบบนี้แหละ งอน น้อยใจ บางครั้งประชุมที่ออฟฟิสเสร็จ ใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมงในการเดินไปดูปัญหางาน เพราะต้องทักผู้ใหญ่ เหนื่อยนะ บางครั้งรุ่นใหญ่ๆก็ลดลงบ้าง เจ้ายศเจ้าอย่างเนี้ย ผมเองก็อายุเยอะพอควร ยังไม่สนเลยว่ารุ่นน้องจะทักไหมเวลาเดินสวนกัน ขอแค่ตอนเราทำงานกับเขา มีบรรยากาศที่ดี และช่วยกันทำงานให้ออกมาดีก็พอ ไอ่บรรยากาศที่ไม่ดีเนี้ย เป็นเพราะเราคิดว่าเขาต้องเป็นแบบนั้น ทำแบบนี้ จนพาลมาใส่อารมกันนั่นแหละ
เราเป็น introvert เมื่อก่อนจะเดินเลี่ยงไม่ทักใครเลย ชอบอยู่คนเดียว โลกส่วนตัวสูง ตอนนี้ต้องละลายพฤติกรรม รู้สึกการทักทาย แค่สวัสดี หรือ hi พี่ ไปไหน ไปไหนมา ไปกินข้าวหรอ กินข้าวยัง ไม่กี่ประโยค ไม่เสียแรงเหนื่อยหรอกนะ การงานมันต้องคอนเน็คชั่นกัน เวลาลำบาก จะได้เกื้อกูลกันได้
สรุปได้ดีมากๆๆๆๆครับ👍👍👍👍
ทำงานให้เก่งมันสอนกันได้ ทุกตำแหน่งมีคนทำงานแทนได้ ใช้เหตุผลว่าเพราะฉันเป็นคนแบบนี้ คนเรามีหลายประเภท แล้วไม่ยอมปรับตัว เอาตัวเองเป็นหลัก เจอคนแบบทำงานด้วยแล้วเหนื่อยนะเอาจิงส่วนตัวก็ไม่ต้องชอบเข้าสังคม แต่การทำงานมันต้องมาการประสารงานและบรรยากาศในการทำงานเป็นสิ่งสำคัญ ถ้ายังอ่างว่าตัวเองคุยไม่เก่งหรือโลกส่วนตัวสูงก็ควรหางานทีเหมาะกับตัวเอง แต่ตราบทียังทำงานกับ คนอืนก็ควรจะปรับตัวแหละนะ
เราเป็นคนที่จะพูดจะสื่อสารตอบโต้เวลามีอะไรสำคัญหรือเกี่ยวกับงานเท่านั้น ถ้าเป็นเรื่องไร้สาระจะคุยแค่กับเพื่อนสนิท สำหรับคนอื่นการเข้าไปทักทายอาจเป็นเรื่องง่ายแต่สำหรับเราคือมันต้องผ่านกระบวนการคิดเยอะมากว่าจะตอบโต้ยังไง ต้องยิ้มแค่ไหน ต้องพูดอะไร ต้องมีมารยาทแค่ไหน กว่าจะคิดเสร็จก็อาจจะเดินสวนกันไปแล้ว หรือบางทีเราก็อยู่ในความคิดของตัวเองอยู่ก็ไม่ได้สนใจคนรอบข้าง รู้ตัวอีกทีก็เดินไปไกลแล้ว
คนเรามันต้อง “ฝึก” ครับ มันต้องหัดออกสังคมบ้าง อย่างน้อยก็เริ่มต้นด้วยการทักทาย ผมคนนึงที่เป็นแบบนี้ ไม่กล้าทักคนที่รู้จัก โลกส่วนตัวสูง ไม่ชอบไปสังสรรค์กับเพื่อน มันต้องหัดออกจากเซฟโซน ไม่ใช่จะอยู่ในที่ของตัวเองตลอด ผมเองก็ได้เรียนรู้ว่าคำพูดแค่ไม่กี่คำมันส่งผลต่อความรู้สึกจริงๆ ยิ่งทำงานในองค์กรที่มันต้องทำงานกันเป็นทีม ไม่สื่อสารกันเลยมันก็ไม่เรียกว่าทำงานดี คนโลกส่วนตัวสูงก็ต้องเรียนรู้การเข้าสังคมนะครับไม่ใช่จะอ้างว่าโลกส่วนตัวสูงตลอด พยายามพูดคุยซักหน่อยก็ยังดี เอาตรงๆ ผมเชื่อในกฏธรรมชาติคัดสรร คนเรามันต้องปรับตัวครับ
ผมคือหนึ่งในนั่นเลย คือเป็นคนนึงที่ไม่ค่อยอยากเข้าสังคม เพราะว่ามันเหนื่อยที่ต้องปั้นหน้ายิ้มทำเป็นว่าไม่เป็นอะไรโอเคดี หรือใส่หน้ากากเข้าสังคม ทั้งที่ข้างในมันสวนทาง คือเป็นคนพูดไม่เก่ง ขี้อาย เลยไม่ค่อยอยากสนทนากับผู้คน จะแค่พูดคุยงาน โลกส่วนตัวค่อนข้างสูง แต่เวลาทำงานตั้งใจทำงานนะรู้สึกดีที่มีคนเข้าใจ
เข้าใจเลยครับ
ผมอายุ 65 ปี แล้ว ก็ต้องบอกว่า การเข้าสังคมเป็นสิ่งที่ยากจริงสำหรับผม ยากสำหรับคนที่มี 2 บุคลิก(bipolar) พวกเด็กเรียน(nerd) จะมีโลกในจินตนาการและโลกในชีวิตจริง รุ่นก่อนผมที่ผมนับถือก็มี จิตร ภูมิศักดิ์ ตัวผมเองก็มีปัญหากับอาจารย์ที่จุฬาฯ ถึงกับไม่ให้ผมเข้าห้องสอบ เพราะแต่งตัวไม่เรียบร้อย ดังนั้นผมจึงเชื่อว่าคนรุ่นต่อมาก็มีอยู่เช่นกันและอาจจะรุนแรงขึ้นด้วยเทคโนโลยี่เสมือน อย่างไรก็ตามผมก็เรียนจบและได้ทำงานที่ตัวเองรัก และผ่านงานมาหลายๆบริษัทฯ( มากกว่า 3) และผมก็ผ่านอุปสรรคต่างๆมาได้ น่าจะเป็นเพราะ ผมทำงานกับบริษัทฯ ต่างประเทศในไทยมาตลอด บริษัทฯมองในเรื่องผลงานมากกว่าเรื่องส่วนตัว และผมไม่ได้มีความบกพร่องทั้งในการทำงานและในเรื่องส่วนตัว ปฏิบัติตามกฎหมายและกฎระเบียบของบริษัทฯ ดังนั้นจุดมุ่งหมายในชีวิตของตน ต้องให้คำนิยามให้ชัดเจน หากต้องการแสวงหาชื่อเสียง ลาภยศ สรรเสริญ การมีconnection ก็สำคัญจริง ดังนั้น การรู้จุดมุ่งหมายในชีวิตแต่เนิ่นๆ จึงสำคัญมากเด็กพวกนี้เกิดมาเพื่อเปลี่ยนแปลง พวกเขาจะมีนิยามของความสำเร็จที่อย่าไปคาดเดาให้ปวดหัวเลย รู้แต่เพียงว่า “พวกผมรู้ตัวเองดีพอว่า ต้องการอะไร และรู้ว่าพวกคุณต้องการอะไร” ดังนั้น เขาจะทำให้ทุกคนสมหวัง แต่อย่าไปคาดเดาและให้เป็นไปเดินไปตามทางที่พวกเขารู้ว่าคุณอยากให้ไป แต่เขาไม่อยากไป เพราะพวกเขาสร้างเส้นทางเดินที่เขาก็ชอบและรู้ว่าพวกคุณก็ชอบเช่นกัน
คนเราไม่สามารถเก่งไปได้ในทุกรื่อง (ในตอนนี้) แต่ถ้ามีความพยายาม ขวนขวายหาความรู้ ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ก็เก่งได้ครับ ส่วน Connection สำหรับผมแล้ว เป็นปัจจัยหนึ่งที่คอยขัดขวางไม่ให้องค์กร ไม่ได้คนเก่งๆ เข้ามา และรวมไปถึงคอยผลักคนเก่งๆ ออกไปครับ (จากประสบการณ์ในการทำงานของผมเอง)
จริงครับการทักคนมันยาก บางครั้งก็จำเสียงเค้าได้นะว่าเป็นใครแต่ก็ไม่ได้อยากทัก การมาเป็นลูเซอฟังเสียงบ๊ายบายคุณ Nameมีความสุขกว่าเยอะเลยครับ
พอเข้าใจนะ.. ส่วนตัวก็เป็นคนไม่ค่อยชอบสุงสิงกับใคร เปิดใจให้คนยากมากๆ ซึ่งทุกอย่างก็มีเหตุผลของมันนะ ทุกคนถูกหล่อหลอมมาต่างกัน.. แต่ในกรณีนี้ กรณีในการทำงาน หรืออยู่ที่ทำงาน เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องสำคัญมากๆนะ.. การต้องเข้ากันได้กับทีมและผู้บริหาร.. กลมกลืนและเป็นหนึ่งเดียว..... ถ้าคิดจะไม่กลมกลืนและไม่เป็นหนึ่งเดียว ก็ควรจะแยกออกไปหาทำของตัวเอง ไม่ไปรบกวนพื้นที่ๆควรเป็นหนึ่งเดียวกันแบบนั้น(ผมก็ทำแบบนั้น).. ก็เข้าใจทั้งสองฝ่ายแหละ.. แต่ก็ไม่แปลกใจนะที่คุณหนุ่ยจะรู้สึกไม่ดี.. ถ้าจะให้แนะนำก็คือ ถ้าไม่คิดจะเป็นหนึ่งเดียวกลมเกลียวกับพวกเค้า ก็ออกมาจากพื้นที่ของพวกเค้าซะ อย่าไปรบกวนพวกเค้า.. แต่ถ้ามีเหตุผลที่ต้องจำใจอยู่ ก็ต้องยอมโอนอ่อนหรือปรับตัว(แม้จะไม่เป็นตัวของตัวเอง) เพื่อจะได้ทำสิ่งที่ควรทำควรเป็นและไม่รบกวนคนอื่นเค้าจนเกินไป.. มีจังหวะออกมาได้ก็ออกมา..... ถ้าฝืนอยู่เพราะเหตุผลของตัวเอง และปฏิบัติตัวแบบไม่แคร์ความรู้สึกใคร มันก็ไม่แฟร์กับเจ้าของพื้นที่เค้านะ..
ถูกของคุณจ๊ะ 🤩
เรื่องนี้สอนว่า คนที่เงียบ ๆ พูดน้อย โลกส่วนตัวสูง เน้นทำงาน อย่า ... อย่าซวยไปทำงาน บริษัทที่ ผู้บริหารหรือหัวหน้างาน ถนัดด้านพูดและ เน้นเข้าสังคมสูง
ผมเข้าใจทั้ง2ฝ่ายนะ ผมก็เป็นคนที่จะไม่ค่อยมีเพื่อนใหม่สักเท่าไหร่จะมีแต่เพื่อนที่อยู่กันมานานเพราะเป็นคนไม่ค่อยคุยสักเท่าไหร่ทักทายได้แต่หลังจากนั้นถ้าเค้าไม่ถามผมก็คงเงียบ แต่ทักทายเป็นสิ่งที่ควรทำนะครับ เราเป็นสัตว์สังคมไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวบนโลก มันหงุดหงิดนะสำหรับผมถ้าเพื่อนที่ทำงานนั่งโต๊ะติดกันแต่ไม่คุยไม่มีปฏิสัมพันธ์เลยมันก็เกินไปจะไม่คุยไม่ทักทายกันเลยรึไงวะอยู่ด้วยกันนั่งข้างกันแท้ๆ
@@Dark.Picture.Entertainment Toxic ตรงไหน นอกเวลางานก็คือเวลาส่วนตัว แค่เจอกันเวลางานก็เยอะพอแล้ว เวลาส่วนตัวก็อยากทำอย่างอื่นมั้ง จะมาบังคับคนอื่นให้ทำโน้นนี้นั้น ไม่ Toxic กว่าหรอ ?
@@Dark.Picture.Entertainment ผิดกฎหมายไหมครับ
หางานขายของไป"อย่า"ไปทำงานบริษัท"ให้คนอื่นซวย"บริษัทฯทุกบริษัทเขาเป็นแบบนี้ทั้งนั้นแหละผีปอบไม่มองหน้าคน ไม่มีปฏิสัมพันธ์ อย่าไปทำให้องค์กรเขา"ซวย"เลย
@@Dark.Picture.Entertainment แบบคอมเม้นนี้อะป่าวววว
พูดจากประสบการส่วนตัวนะ ผมเคยเจอ เด็ก ที่ทำงานร่วมกันที่มีอาการ คล้ายๆแบบนี้นะ เดินผ่าน ไม่ทักทาย ไม่ทักใครเลยทั้งๆที่เค้าอายุน้อยสุดในทีม ลองนึกภาพตาม ทีมทำงานทีมนึง ที่เข้าออฟฟิสมา ทุกคนกล่างคำทักทายกัน ตอนเช้าที่เจอกัน สอบถามสารทุขสุขดิบกัน เมื่อคืนไปไหน มีอะไรยังไง บรรยากาศในการทำงาน ยิ้มแย้ม สนุกสนาน กับเด็กคนนึงเดินมา ไม่สนใคร ไม่ทักทายใคร ผู้ใหญ่ไม่ถือ ทักทายก่อน ก็ไม่ตอบ ไม่ทักทายกลับ บรรยากาศในที่ทำงานพังเลยนะครับ วันๆนึงคุณมาทำงานยิ้มแย้ม มาเจออะไรแบบนี้ แย่นะ
เก่งก็อยู่ส่วนเก่งไป เก่งให้สุดละกันนะน้อง ไปให้สุดแต่ถ้าไปไม่สุดอย่ามาคุยกับพี่
ถ้าผมเป็นระดับประธาน ผมก็เชิญออก เพราะผมเป็นคนควบคุมทิศทาง วิสัยทัศน์ ความเป็นอยู่และความเป็นไป สังคมของบริษัท แล้วหากใครมีพฤติกรรม ขัดแย้งกับสิ่งต่างๆที่กล่าวมา ก็เชิญให้เขาไปเจอกับสิ่งที่เขาต้องการและสามารถอยู่ร่วมกับสิ่งๆนั้นได้ เป็นคนจ่ายเงินก็ต้องการคนที่มีอะไรๆร่วมกันเพื่อผลักดันบริษัทไปสู่เป้าหมาย ส่วนเรื่องแขวนก็ถือว่าไม่เหมาะสม มันเป็นเรื่องในบริษัท
คุณก็ฝึกให้น้องเขารู้จักเข้าสังคมสิครับ ผมเป็นหัวหน้างานก็เคยเจอคนแบบนั้น อยู่ที่เราทำตัวให้คนแบบนั้นกล้าเข้าหาเรามั้ย คุณหนุ่ยเบื้องหลังเป็นคนเฮฮาแบบหน้าจอหรือเปล่า อยู่ที่คุณนายจ้างครับ
ผมเกิดปี97ครับ ผมเริ่มทำงานบริษัท2ปีก่อน งานคือไม่ต้องยุ่งกับใครเลย ผมโอเคมาก มีบ้างที่ต้องติดต่อกับคนที่เกี่ยวข้องในบริษัท แต่ต่อมาผมต้องมาทำงานร่วมกับคนอื่นครับ หลังโควิดดีขึ้น ผมเหนื่อยกับการยิ้ม ทักทาย หาเรื่องคุยกับคนในออฟฟิศ เหนื่อยครับ555ทเหนื่อยกว่าทำงาน ผมมากินเบียร์กับเพื่อนตอนเลิกงาน ผมบ่นทุกวัน ว่าอยากทำงานคนเดียวมากกว่า ผมไม่ได้อวยตัวเองนะ แต่ผมจบหน้างานได้เร็วกว่า พอคนเยอะ เรื่องก็เยอะ การคุมเวลาก็ไม่โอเค แถมเหนื่อยกับการทักทายคนจำนวนมากด้วย ซึ่งส่วนใหญ่ อายุมากกว่าผม หลังๆบางทีผมก็แค่เงียบๆ ไม่มีอะไรให้คุยหนิครับ แต่เขาก็จะถามว่า เป็นไรทำไมเงียบๆ เหนื่อย!
น้องแมวน่ารัก 😊😊
คำว่า"มนุษย์เป็นสัตว์สังคม" ไม่ได้ผุดขึ้นมากลางอากาศ ในบางเรื่องมันยากที่จะตามใจตัวเอง มันเหนื่อย มันท้อ มันหนักใจ ไม่สบายใจแค่ไหน บางคร้งต้องกล้ำฝืนทน ทำมันไป เพื่อเอาตัวรอดในสังคมอันโหดร้าย เพื่อเงินตรา เพื่อความสบาย เพื่อโอกาสและการมีอยู่มีกิน
เราเองก็เป็น introvert ที่เข้าสังคมไม่เก่ง จะเข้าสังคมที่ก็เตรียมใจมาเยอะมาก แต่ที่สังเกตุเด็กที่จบใหม่สองสามปีหลังเวลาทำงานด้วยคือ เข้าสังคมในชีวิตจริงไม่เก่ง แต่เข้าสังคมออนไลน์เก่งมากเหมาะกันการทำงานหลังบ้าน แบบไม่ต้องไปเจอลูกค้า แค่อีกหน่อยอาจจะมีปัญหาตรงพอขึ้นไปตำแหน่งที่สูงขึ้น ต้องเจอคนมากขึ้น มันจะประตัวยากมาก
ผมว่า เรื่องการสื่อสารเป็นสิ่งสำคัญนะครับ อย่างน้องที่ฝึกงาน เเล้วทำที่ตัวเองได้ดีก็ไม่มีปัญหา แต่เท่าที่ผม เจอและต้อง ประมาณงานสำหรับน้องที่เริ่ม ทำงานใหม่ หลายคนไม่สื่อสารการทำงานเป็นทีม มันจะไม่เกิด ตอนเเรก ผมคิดว่า คงเป็นแค่คนบ้างคน แต่พอผ่านไปตอนนี้เริ่มรู้สึกว่า หน้าจะ Gen ของคนGen นี้ ***สิ่งหนึ่งของปัญหาคือคุณควรปรับตัวเข้าหา โลก หรือ โลกควรปรับ เข้าหาคุณ***
นี่ก็เหนื่อยกับการทักทายเหมือนกัน แต่ชีวิตก็ยังต้องสื่อสารอยู่ดี ไม่ได้อยู่ในป่า หรือติดเกาะคนเดียวก็ว่าไปอย่าง เลิกงานอยากเงียบเข้าถ้ำก็ทำไป
ต่างคนต่างมุมเนาะในการอยู่ร่วมกัน แต่สำหรับผมไม่ทักไม่เท่าไหร่แต่ชวนกินข้าวแล้วเมินนี่ก็เกินไป ไม่ชอบไม่สะดวกใจอะไรก็ตอบปัดได้นะครับอย่าเมินกันเลย
ทักทายใครสักคนไม่เหนื่อยหรอก จะเหนื่อยก็ตรงที่ต้องทักให้ครบทุกคนที่รู้จัก ไม่งั้นคนอื่นจะน้อยใจและสงสัยว่าเราโกรธไรไม่ทักเขา แถมบางคนพอทักแล้วก็คุยยาว ไร้สาระ ลามปาม บ่นเรื่องส่วนตัว นินทาเรื่องชาวบ้าน ชวนไปเที่ยวไปนั่นไปนี่ จะให้ปฏิเสธตลอดเวลาก็ใช่เรื่อง ทุกวันนี้เราก็เลยคุยกับเพื่อนร่วมงานแค่เรื่องงานพอ ไม่คุยนอกเรื่อง หมดเวลางานก็แยกย้าย ถึงจะไม่มีทั้งเพื่อนสนิทและคอนเน็คชั่น แต่ก็สบายใจ
+1 ตอนเข้างานใหม่ๆก็ทักทุกคน พอไปสักพักเวลาเลิกงานไม่ได้เป็นของเราอีกต่อไป ช่วยไปโน้นไปนี้ เจอข้างทางก็ชวนกิน แล้วก็ต้องหารทั้งๆที่ไม่อยากจะกินทุกวันนี้ไม่ทักใครเลย คุยแค่เรื่องานเวลางานจบ
@@zafreelove2169 ใช่คนแม่งจะเอาไรหนักหนาวะแค่ทำงานเพื่อเงินให้อยู่รอดไปวันวัน
ผมก็เป็นหนึ่งในคนจำนวนนั้นนะ ที่ค่อนข้างจะมีsave zone เป็นของตัวเองสูง ไม่ชอบการเข้าสังคม ไม่ชอบสร้างภาพลักษณ์ มันฝืนความเป็นตัวของตัวเอง แต่ผมก็ไม่ถึงกับขนาดที่จะปฎิเสธคนอื่นที่มีไมตรีดีๆให้ มันมีหลายบริบทนะ ถ้ามองในแง่ของน้อง ไม่ว่าผู้ใหญ่อาจทำตัวให้เขาไม่นับถือ พฤติกรรมพนักงานประจำที่เอาเปรียบพวกเขา คิดได้หลายแง่มากในมุมของเด็กฝึกงานที่แบไต๋เอ่ยถึง แต่ยังไงเรื่องขององค์กรก็ไม่สมควรนำมาเปิดเผยแก่บุคคลภายนอก มันเป็นเรื่องของภายใน บางทีคนประเภทน้องสองคนดังกล่าว เราต้องทำให้เขาเชื่อใจ ไว้ใจ และเคารพเราก่อน ก่อนจะไปถามหาความมีมารยาทกับเขา เพราะผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้นนะ เข้าใจน้องสองคนนี้ดีคับ
จะมองว่าเป็นเรืองค่านิยมก็ได้ค่ะสังคมเกาหลีญี่ปุ่นยิ่งหนักค่ะคิดว่าน้องไม่ถูกเท่าไหร่แต่คุณหนุ่มสามารถตักเตือนได้ ถ้าหวังดีกับน้องจริงๆค่ะ
ทุกวันนี้มาทำงานเพื่อหาเงินครับ ถ้ามีเงินไม่สไลด์หน้ามาทำงานให้เสียเวลาหรอก คงนั่งถูมือถือเล่นๆ ในบ้านอะ
ใช่ๆ
มีพนักงานในบริษัทเป็นแบบนี้คนนึงเลยทำงานดี ลุกค้า(บางคน)ชอบมาก ลูกค้าที่ไม่ชอบ คือ เกลียดเลย มีพฤติกรรมมองไม่เห็นคนอื่น เป็นอากาศธาตุ ไม่รวมแม้กระทั่งหัวหน้า หรือ เพื่อร่วมงาน ไม่มีเพื่อน เพราะเพื่อนร่วมงานเองก็เจอพฤติกรรมประหลาดของเค้าเกือบครบทุกคน จนไม่มีใครอยากพยายามจะเข้าใจ เลยปล่อยผ่านปัญหาคือ เค้าจะมีพฤติกรรมแบบนี้กับลูกค้าด้วย ซึ่งทำให้ภาพลักษณ์บริษัทเสีย ดังนั้น ทำได้แค่คอยเฝ้าระวังไม่ให้เกิดปัญหา เพราะอย่างไร เค้าก็เป็นที่รักของลูกค้าบางกลุ่ม
สุดท้ายมองที่ outcome หรือ มองที่อะไรกันแน่ ในการทำงาน มองความสัมพันธ์ ความมีสัมคารวะหรอ
ถ้าโตพอระดับนึง เกือบทุกคน ต้องการลูกจ้างที่ปกครองได้ง่าย ไม่มีใครอยากได้ลูกจ้างที่ปกครองได้ยาก ผมก็เคยเป็นลูกจ้าง เเละ เคยเป็นนายจ้าง ยุคนี้ เป็น ยุค คอนเน็คชั่น เเละ คำว่า ผู้ใหญ่เเปลว่า เค้า มีคอนเน็คชั่นคุณภาพมากกว่า เรา ทำไงหละให้ได้มา ก็ต้องไปคิด
วันนี้มาแบบเท่เลยนะคะ ย้อนดูตอนเปิดคลิปหลายครั้งมาก ตอนคำว่า แทค แทค แทค 🧐😁
จริงๆเราอยากทักทายคนอื่นนะ แต่เป็นคนเข้าหาคนไม่เป็นและต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการทักแต่ละที บางทีก็ถูกมองว่าหยิ่งไปเลย ท่าตัดเรื่องการทักคนอื่นไม่ไปต้องสนใจมาก เราคิดว่ามันน่าจะใช้ชีวิตง่ายขึ้น
ชอบประโยคสุดท้ายอะ ที่หมายถึงทำอะไรก็ทำเถอะชีวิตมันสั้น
เก็บไว้เป็นประสบการณ์ชีวิตครับ นี้ละสังคมโลก
Love your contents
การไม่สื่อสารกับคนอื่น ถึงเป็นเรื่องส่วนตัวก็จริง แต่เมื่อคุณมาอยู่ออฟฟิศ ก็ต้องให้เกียต ผู้อื่นด้วยเพื่อคำว่า team work ยังไงก็ต้องปรับตัวเหมือนคนอื่นเขา ถ้าทำไม่ทำหรือไม่คิดที่จะทำเพราะ เหตุผลลำบากลำบนต่างๆนาๆใดๆ ก็นอนอยู่บ้านจะดีกว่า คนทำงานมันก็ต้องสู้ชีวิตปรับตัวกันทั้งนั้น
ผมคนเจนX นะ ถ้ามีเด็กมาฝึกงานแล้วผมเป็นเจ้าของ ผมทักน้องก่อนยังได้เลย "สวัสดีครับ" "เป็นไงบ้างน้อง(จำชื่อได้ก็ดี)" "ว่าไง ฝึกงานเป็นยังไงบ้างครับ" ง่ายๆอะไรก็ได้โทนเสียงผ่อนคลายหน่อย ไม่ต้องพิธีรีตรองมาก ให้น้องหายเกร็งน้องก็น่าจะคุยกับเรา แต่ถ้าบางคนทักไปแล้วไม่หือไม่อือสักทีก็คงต้องสังเกตหน่อยนะ หรืออาจจะเรียกไปถามว่าเค้าอึดอัดหรือเจอปัญหาอะไรบ้างรึเปล่าผมคนรุ่นเดียวกับคุณหนุ่ยก็พบเจอคนมาพอสมควรก็รู้นะว่าไม่ว่าคนรุ่นไหนๆ ก็จะมีคนทั้งที่เข้าสังคมได้ดีและบางคนที่เข้าสังคมไม่เป็นเลย
เราคือ.. Introvert ครับ ผมเข้าใจน้องๆดีเลย #มีพลังงานในการจัดการคนทีละน้อยๆ
การทำงานในองค์กรใหญ่ๆ การเข้าสังคมมันจำเป็นจริงๆ เข้าใจคนที่การเข้าสังคมมันยากสำหรับเขานะ เราก็เป็น แต่พอเข้าไปทำงานถึงได้รู้ ว่าถ้าอยากจะทำงานที่นั่นต่อไปให้รอดคือมันต้องมีการพูดคุยติดต่อกับคนอื่นนอกเหนือการทำงานจริงๆ มันเหมือนกับการสร้างมิตร ยิ่งถ้างานเป็นงานที่ยังต้องทำร่วมกับคนอื่นมันยิ่งจำเป็น ไม่งั้นเราจะกลายเป็นว่าหัวเดียวกระเทียมลีบ ติดต่องานอะไรใคร หรือขอความช่วยเหลือใครค่อนข้างยาก ก่อนเข้าทำงานก็ไม่คิดว่ามันสำคัญ แต่พอเข้าไปก็คือรู้ได้เลยว่ามันไม่รอดจริงๆถ้าไม่ฝืนตัวเอง ถ้ายังคิดอยากจะไปต่อกับองค์กรนั้นก็จำเป็นต้องปรับตัว แล้วการปรับตัวนั้น สักพักมันจะกลายเป็นเหมือนเราถูกวัฒนธรรมขององค์กรกลืนกิน กับเด็กรุ่นใหม่ไฟแรงถ้าคุณมีฝีมือ มีความสามารถ ไม่จำเป็นที่ว่าฉันต้องเอาที่นี่ให้ได้ ก็สามารถหาที่ที่เข้ากับตัวเองให้ได้ ซึ่งมันดีมาก แต่มันก็จะมีคนอีกกลุ่มอย่างเช่นเรา ที่ความสามารถไม่ได้มากมายโดดเด่น ถ้าได้งานแล้วก็ต้องรีบคว้าโอกาส ก็เลยกลายเป็นว่าต้องยอมปรับตัว ฝืนตัวเองให้มีสังคมให้ได้
เรื่องแบบนี้ก็แค่รู้จัก ทางสายกลาง เรียนรู้ที่จะเข้าสังคมเท่าที่จำเป็น ไม่มีสังคมเลยสุดท้ายก็จะถูกลืม หรือโดนคนเข้าใจผิดๆ ไม่เท่หรอกครับ ความอินดี้ที่เกินพอดี
ส่วนตัว Introvert แบบที่เจอน้อยมากๆๆในการแบ่งกลุ่ม เลยรู้สึกตัวเองประหลาดท่ามกลางเพื่อนๆ แต่ก็เข้าสังคมการเรียนหรือทำงานได้ปกติค่ะ ชอบทำหน้าที่ตัวเองให้เรียบร้อยก่อนค่อยเล่นอาจจะดูเงียบๆในสายตาของคนอื่นที่ไม่สนิท แต่ถ้าสนิทคือพูดได้น้ำไหลไฟดับจริงๆมองว่ามันไม่เกี่ยวกับการIntrovertมากน้อยหรอกค่ะ มันเกี่ยวกับทัศนคติในการปรับตัวของบุคลลนั้นๆ ว่าจะยอมลดอัตตาลงเพื่อเพื่อนมนุษย์ไหม ยอมถอยความสุดโต่งเพื่อคนร่วมสังคมหรือเปล่า 😉
เห็นด้วยนะ เพราะส่วนใหญ่ ชอบใช้คำว่า Introvert มาเป็นข้ออ้างในการไม่มีปฏิสัมพันธ์ กับคนรอบข้าง
ถูกเลยครับ ผมก็ไม่ค่อยจะพูด แต่ก็จะพยายามพูดทุกครั้ง เวลาที่รู้ตัวว่าทำให้คนอื่น อึดอัด ผมรู้ตัวว่าพูดน้อย ผมพยายามจะเข้าใจคนอื่นเวลาที่เจอกันแบบผม ไม่ใช่แบบทุกคนต้องมาเข้าใจกุดิ
ไม่ได้ดูมาสักพัก กลับมาดูวันนี้ ห้องสวยดีครับ น้องเล่าสนุกเหมือนเดิมเลย สวยขึ้นด้วยนะครับ ปล.ชอบที่มีน้องแมว
ทำงานกับคนหมู่มาก ต้องปรับตัว และให้เข้าใจ วัฒนธรรมขององค์กร พึ่งมาและเป็นเด็กฝึก ไม่ทักใครก่อน ถือตัวว่า ทำงานแต่ของตัว เสร็จแล้วไง คนนอกจะมองว่า โรคส่วนตัวสูง ไม่อยากยุ่งด้วย คือการเสียโอกาสเรียนรู้และคำชี้แนะ ผู้บริหารจะมองว่า ขาดความภักดีกับองค์กร ทางทหารจะมองว่า ช้าเร็ว มันต้องขบถ แนะนำให้ไปทางสายดนตรี วาดภาพ ปั้น แกะสลัก จะรุ่งกว่า ถ้าเป็นผม จะหาเด็กใหม่ทันที เพราะยุคนี้ ปาก SOCIAL มันเป็น TOXIN แทบทุกคน มีปากเอาไว้พล่าม ใครเดือดร้อนไม่สน
รู้จักกลุ่มคน Neet หรือฮิคิโคโมริไหม
เป็นเหมือนกัน ไม่ชอบเข้าไปนั่งในวงสนทนาภาคเที่ยง แค่ไม่ชอบเวลาที่ต้องมานั่งฟังเม้ามอยเพื่อนร่วมงานกันเอง เลยยอมที่จะไม่เข้าวงสนทนา เพราะมันไม่ถูกจริตทางเราจริงๆ แต่กลับโดนมองว่าไม่มีสัมพันธไมตรีที่ดีซะงั้น
เราก็ introvert นะกว่าจะรวบรวมพลังพูดคุยกับคนอื่นได้พอโดนเมินคือจะเฟลมากๆเหมือนส่วนตัวพยายามจะปรับให้เป็นคนเฟรนลี่มากขึ้นมันสำคัญในการเข้าสังคมมากๆ แล้วเราก็ปรับเพื่อตัวเราเองถึงกลับมาบ้านแล้วจะสภาพเหมือนซอมบี้ก็ตาม5555
พลาดที่เอามาแขวน ในแง่การทำงาน เราก็หางานที่เหมาะกับตัวเอง โลกส่วนตัวสูง อาชีพนักเขียน วิศวะแท่นขุดกลางทะเล หรือทำงานกับเครื่องมืออะไรแบบนั้น หาให้เจอที่เหมาะกับเรา ส่วนงานที่ต้องอาศัยคอนเน็คชั่น พูดคุยก็เลี่ยงซะ ก็เนื้องานมันเป็นแบบนั้น รวมถึงสังคมด้วย สังคมไทยนิยมพูดคุยกัน ทักทายกัน และบางทีก็มีเส้นบางๆคนเงียบๆ แต่ก็เข้ากันกับเพื่อนได้ดีกับเงียบๆแต่บรรยากาศเสียเลย สังคมก็มาจากพฤติกรรมคนส่วนใหญ่จุดนั้นๆ มูฟไปเลยดีกว่า ถ้าลองแล้วไม่ใช่ แต่ถ้ามีความจำเป็นก็มีแต่ต้องปรับตัวเท่านั้น
คือมันจะง่ายถ้ามีคนที่เข้าใจ ความแตกต่าง รู้วิธีที่เข้าหา ถ้าน้องไม่ชอบเข้าสังคม ก็แค่เข้าใจรักษาระยะห่างตามสมควร แต่ไม่ใช่ปล่อยให้โดดเดี่ยว และไม่ใช่การหมู่มากไปบังคับให้ทำตาม
การเข้าสังคมมันเหนื่อย ต้องใช้พลังงานเยอะจริงๆนะ ตอนโควิดที่ห้ามทุกคนออกจากบ้านในมุมนึงของจิตใจเราก็แอบดีใจเล็กๆ ขอบคุณโลกยุคนี้ที่มีการขายของออนไลน์ ถ้าต้องไปนั่งขายในตลาด พูดคุยกับลูกค้าทุกวันเราต้องบ้าตายแน่ๆ
คิดว่าน้องคงยังไม่เข้าใจว่า การทำงานจริงๆไม่ได้มีแค่งาน ถ้าน้องเปิดใจเรียนรู้ก็จะสามารถพัฒนาไปสู่ความเป็นมืออาชีพได้ เป็นกำลังใจให้น้อง ส่วนโพสของคุณหนุ่ยเป็นประโยชน์นะครับทำใจกลางๆ ก็จะเข้าใจ
ผมว่าเรื่องนี้เขาควรจะเรียกกันมาคุยกันดีกว่า ให้คำแนะนำ หรือ ปลุกไฟเขา ถ้าไปพูดในที่สาธารณะแบบนี้ไม่ได้ช่วยอะไร ยิ่งทำให้น้องเขาเกร่งกว่าเดิมอีกทีนี้
ขอแสดงความคิดเห็นในมุมคนที่ไม่ได้เป็น introvert หรือ extrovert นะครับ ผมกลางๆเลยผมอ้างอิงจากข้อความที่คุณโพสนะครับ ที่บอกว่าทางพนักงานก็พยายามทักน้องบ้าง ชวนกินข้าวบ้างแต่น้องไม่ตอบกลับเลย ซึ่งตรงนี้ผมมองว่าทางคุณหนุ่ยพยายามที่จะสร้างสัมพันธ์ระหว่างคนในองค์กรแล้วนะครับ แต่สิ่งที่น้องปฏิบัติตอบคือเมินเฉย ไม่สนใจ ผมว่าประเด็นมันอยู่ตรงนี้ครับ มันเป็นเรื่องมารยาทในที่ทำงานในการกล่าวทักทายกัน ส่วนตัวผมมองว่า มันไม่น่าเกี่ยวกับกับการเป็น introvert นะครับ เพราะเค้าไม่ได้ให้เราไปจับกลุ่มเม้าหรือต้องไปทักทายมันทุกคนกินข้าวด้วยกันตลอดขนาดนั้น มันเป็นแค่การทักทายตามมารยาทในที่ทำงานครับ อารมณ์แบบชวนกินข้าวไปงั้นๆอ่ะ ไม่ได้คาดหวังว่าต้องไปกินด้วยก็แค่บอกไม่สะดวกครับ เคยตามสบายเลยพี่ คีย์เวิร์ดมันคือแค่การทักทายตอบกลับเฉยๆ
สรุปได้กระชับดีครับ ชอบมากๆ
จริงเหนื่อย ที่ต้องมานั่งทักทาย ทุกคนที่อายุมากกว่า ต้องเข้าสังคม จนตอนนี้ อายุ 35 ปีแล้ว ยังขี้เกียจทัก ทายเข้าสังคม เลย เลยเลือกอยู่ กับบริษัทที่เขา ไม่ต้อง สนใจเรื่องพวกนี้ ที่เราอยู่ แกสุดก็ 60 ปีแล้ว เขาก็คงปลงกับคนรุ่นใหม่แล้ว ยึดติดไว้ก็เท่านั้น สนใจเด็กรุ่นใหม่มากก็เท่านั้น เราไม่ชอบที่ต้องออกไปสังสรรค์แทบทุกวัน กินข้าว เย็น อยากทำงานกลับบ้านพักผ่อน สู้กับวันถัดไป คิดดูนะถ้าเข้าสังคมมาก ตี2 ยังไม่ได้กลับบ้านเลย เหนื่อยบอกตรงๆ เช้ามายังต้องมานั่งยิ้มปั้นหน้า สวัสดีค่ะพี่ แบบนี้หรอ มันก็แล้วแต่ สังคมที่ทำงานด้วย คนที่ทำงานบันเทิง ที่ต้องคุยกับคนตลอดเวลา ก็ต้องปรับตัวแต่ ให้เวลาเด็กหน่อยเถอะ 1 ปี ยังปรับกันไม่ได้หลอก
ในฐานะคนที่ทำงานในหน่วยงานหนึงมาเป็น10 ปี อยากบอกเลยว่ามันเหนือยมากกับการที่ต้องปั้นหน้าเพื่อเข้าสังคมที่ใส่หน้ากากเข้าหากัน ยิ่งในสังคมที่มีการแบ่งชนชนชั้นวรรณะมันเหนือยจริงๆนะ
จริงค่ะ ยิ่งเป็นเด็กใหม่ เข้าไปแบบตัวคนเดียว ตัวลีบตัวแบนไม่รู้จะปั้นหน้ายังไงดี ยิ่งถ้าเป็นองค์กรใหญ่ๆ มีการแบ่งพรรคแบ่งพวกนี่ เลือกไม่ถูกจริงๆว่าจะทำไง เข้ากรุ๊ปไหนดี
จริง เป็นตัวของตนเองยากมาก ถ้าไม่พยายามกลืนไปข้างไหนข้างนึงนี่อยู่ยากอะ ไม่โดนรุ่นพี่เพื่อนร่วมงานเกลียด ก็โดนหัวหน้าจ้องจะจับผิดหักเงิน
เราไม่กล้าทัก กลัวเขาหาว่าตีตัวเสมอเขาอีก
เราเคยไปฝึกงาน แล้วคิดว่าเขาคงไม่จำ ไม่สนใจเราหรอก มันเกรงใจเขาไปหมด เด็กฝึกงานอะไม่มีใครมีเจตนาที่จะดูหมิ่นเจ้าขององค์กรอยู่แล้ว มีแต่ความกลัว ความเกรงใจ จนไม่กล้าทัก
ผมก็คนทำงานครับ
อยู่ร่วมกับคนกลุ่มไหน ผมก็ทำตามคนกลุ่มนั้น
ปั้นหน้า ใส่หน้ากาก นั้นแหละ
ผมทำครับ
ไม่ทำจะอยู่ร่วมกับคนอื่นเค้ายาก
งานจะเดินยาก
เผลอๆเวลางานเดินยากเพราะมัวแต่เสียอารมกับบรรยากาศ จะเหนื่อยกว่ามาก
งานไม่เดินคราวนี้แหละ หาชิปไม่เจอ
เปิดหน้าทำตามใจชอบ ถูกใจอะไร ไม่ถูกใจใคร แสดงออกเต็มที่ หาชิปไม่เจอแน่นอนครับ
ผมมองว่า การเข้าสังคม เป็นความสามารถด้านนึงครับ
อาจโดนมองไม่ดี หาว่าใส่หน้ากาก แต่ผมก็เลือกทำทุกอย่างให้งานเดินสะดวกครับ
ยิ่งบรรยากาศที่ไม่ค่อยได้เจอ ห่างเหินกัน นานๆ ceoจะโผล่มาทีนึง เด็กมันก็ไม่กล้าทักอะ อย่าไปโทษมันเลย อยู่ที่บรรยากาศในที่ทำงานด้วย ถ้าสร้างให้มันใกล้ชิดกัน เด็กมันก็จะกล้าทักเอง
ผมเข้าใจทั้ง 2 ฝั่งนะ ตำแหน่งผมเป็นตำแหน่งทำคนเดียว และต้องมีสมาธิอยู่กับงาน หน้าเลยมุ่ยตลอด และคุยกับคนไม่เก่งอีก คือเรารู้ตัวเลยว่า เรานี่แหละคนทำเสียบรรยากาศ จนได้มา WFH ต้องออนไลน์เวลาติดต่องาน เลยได้มีโอกาสคุย กับคนอื่นมากขึ้น ได้อธิบายตัวเรามากขึ้น ปัจจุบันก็เงียบเหมือนเดิม แต่รู้เลยว่าความรู้สึกเกรงของคนรอบข้างหายไปแล้ว สุดท้ายองค์กรมันต้องทำงานร่วมกับคนอื่น ถ้าคนในองค์กรไม่ ok กับคุณ ต่อให้เก่งก็จะอยู่ไม่ยาวอยู่ดี
จริงครับ เหนื่อยกับการทักทายหรือจะเหนื่อยใจที่ทุกคนในบริษัทไม่ชอบอันไหนมันแย่กว่า มันปรับทัศนะกันได้ ถ้าเป็นผมก็คงหงุดหงิดอะ ทำไมกุคุยกับมันมันไม่คุยกับกุวะ เจอกันก็ไม่ทักราวกับว่าเหมือนไม่รู้จัก ทั่งๆที่นั่งโต๊ะข้างกัน
ไม่จริงหรอกครับ คนเก่งๆมีโอกาสในการเลื่อนตำแหน่งได้เร็วกว่ามาก ถึงแม้จะไม่ได้อัธยาศัยดี แต่พอสื่อสารพูดคุยรวมไปถึงทำงานของตัวเองได้เรียบร้อยก็พอแล้ว
ในออฟฟิศผมก็มี สุดท้ายก็อยู่ไม่ได้ก็ออกไป เขาไม่ได้โดนไล่ออกหรืออะไรนะเขาทำตัวเอง
- เข้ามาทำงานแรกๆไม่คุยกับใคร ชวนคุยก็ถามคำตอบคำไอ้เราก็อยากให้น้องมีบรรยากาศในการทำงานที่ดี แต่พอนานไปพอคุยด้วยก็ไม่ค่อยจะตอบ ทีนี้คนในออฟฟิศก็เมินเหมือนกัน เลิกงานมาคนอื่นๆเขาพากันเข้าสังคม,วันหยุดพากันไปนั้นไปนี้หาความสุข ผลสุดท้ายน้องเขาโพสต์ใน FB บอกว่าที่ทำงานไม่มีใครช่วยเหลือ,ไม่มีคนพูดด้วย,เหมือนต่างคนต่างอยู่บลาๆๆๆ ทั้งๆที่น้องเขาทำตัวเองล้วนๆ เพราะแรกๆพักเที่ยงก็ชวนไปกินข้าว,เลิกงานมาชวนไปเลี้ยง ก็เงียบเหมือนไม่ค่อยมีการตอบรับ พอหลังไม่ก็ไท่มีคนคุยด้วย,ไม่มีคนถามไถ่,เขาเห็นเพื่อนร่วมงานเป็นแค่อากาศพวกผมก็เห็นน้องเขาเป็นแค่อากาศเหมือนกัน ไม่คุยด้วยก็ไม่คุย สุดท้ายอยู่ไม่ได้กดดันลาออกไปเองในที่สุด
ประโยคที่ว่า คนบางกลุ่มต้องใช้ energy เยอะมากในการเข้าสังคม คือฟังแล้วน้ำตาจะไหล เข้าใจมาก เหนื่อยมากเหมือนต้องเริ่มใหม่ในทุกๆวัน ต้องพยายามคุยกับเพื่อนร่วมงาน พยายามไม่ทำให้คนรอบข้างลำบากใจ พอหมดวันคือหมดแรงสุด กลับบ้านมาแทบไม่อยากจะพูด การทำงานกับคนอื่นไม่ใช่เรื่องยากแต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
กำลังเป็นเลยครับตอนนี้ (สำหรับวันนี้) เหนื่อยจนเกินจะบรรยายจริงๆ
ผมขอแนะนำลองคุยกับทางหัวหน้าดูครับหรือเอาคนที่เราคุยด้วยแล้วโอเคสุดในที่ทำงาน ค่อยๆกระจายว่าเราเป็นแบบนี้นะๆ ผมว่าทุกคนจะค่อยๆปรับจูนตัวเองขึ้นครับ
จะไม่บอกให้สู้ๆนะครับ
แต่จะบอกว่า เป็นกำลังใจให้นะครับ ✌️✌️✌️
'พยายามไม่ทำให้คนรอบข้างลำบากใจ' เวลาไปทำงาน เราคิดแบบนี้ตลอดเลยจนบางครั้งก็รู้สึกแอบกดดันตัวเอง
ถ้าตัดประโยค "พยายามให้คนไม่ลำบากใจออก" ปัญหาจบเลยครับ คนปกติไม่กลัวคนเกลียดขนาดนั้น ลองคิดตามดูก็ได้ว่าจริงมั้ย
สำหรับเราที่ทำงานมาจนได้โปรโมทเป็นหัวหน้าสักพักแล้วนะคะ ต้องสัมภาษณ์พนักงานใหม่เข้ามา ส่วนตัวคิดว่าการทำงานเค้าไม่ได้วัดแค่ performance นะคะ ต่อให้จะทำงานเก่งแค่ไหน อย่างไรก็ต้องมีความสัมพันธ์ที่ดีในองค์กรด้วยค่ะ เห็นด้วยมากๆที่เนมบอกว่า มันอาจจะส่งผลต่อบรรยากาศการทำงาน คือการคุยเล่นกันกับเพื่อนที่ทำงาน เป็นเพื่อนกับคนที่ทำงานเดียวกัน ไม่ใช่สิ่งที่จำเป็น แต่จะเป็นประโยชน์ต่อตัวเราเองค่ะ อย่างน้องในทีมที่เคยลาออกไปแล้วได้งานใหม่ เอชอาโทรมาเช็คประวัติและถามถึงความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานที่บริษัทเก่าเป็นยังไง นี่คือหนึ่งใน KPI ที่เค้าวัด เพราะโดยส่วนใหญ่ คนไม่ได้ถูกไล่ออกง่ายๆเพราะผลงาน แต่ถูกไล่ออกง่ายเพราะพฤติกรรมต่างหาก // ส่วนการแขวนน้องบนเฟสนี่ เป็นเรื่องที่ไม่ควรทำจริงๆนั่นแหละ แต่การออกมาขอโทษของพี่เค้า เราว่าก็ครอบคลุมและเป็น learning point ให้ทุกคนที่เห็นเรื่องนี้แน่ๆ
อ้อ อีกเรื่อง เมื่อก่อนเราเคยวัด mbti ว่าเป็น introvert แต่หลังจากเป็นหัวหน้า ผลดันเปลี่ยนออกมาเป็น extrovert เพราะหน้าที่การงานทำให้เราต้องเข้าหาคนอื่นมากขึ้น เพราะมนุษย์ปรับตัวเก่งมากค่ะ โดยที่เราเองก็ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ
คิดเหมือนกันครับ บางทีงานไม่ต้องดีก็ได้แต่คุยเล่นบ้าง ช่วยๆกันไป ไม่งั้นเแบบอึมครึมตั้งแต่เช้าวันจันทร์ยันวันศุกร์ ยิ่งวันเครียดๆนี่ถ้าไม่มีกำลังใจดีๆสติแตกกันได้เลย
ความเห็นของคุณครอบคลุม ตอนทุกข้อสงสัยได้จริง ๆ นับถือครับ
ผมก็เป็น introvert แต่หลังจากเปลี่ยนตำแหน่งงานคือต้องพูดเยอะขึ้น ต้องแสดงความคิดเห็นมากขึ้นเลยต้องพยายามเปลี่ยนตัวเองคับ
ส่วนตัวมองว่า การเป็น Introver หรือ type ไหนก็ตาม มันฝึกในกันได้ แต่เบื้องต้นมันก็มาจากนิสัยตั้งต้น+ภาวะแวดล้อมที่เจอระหว่างเติบโต+สันดาน(นิสัยที่ พัฒนามาจากนิสัยตั้งต้น+ถาวะแวดล้อม แล้วยากต่อการเปลี่ยนแปลง)
สุดท้ายถ้าสิ่งใดสิ่งนึงเปลี่ยนไป มันจะส่งผลถึง type โดยรวมไม่มากก็น้อย เพราะงั้น พอพี่ๆร่วมงานจะโปรโมทเรา เขาจะพัฒนาส่วนที่ขาดของเรา ตอนแรกเราจะเหนื่อยมากๆ พอไปซักพักมันก็เป็นเรื่องปกติ เพราะเราได้เปลี่ยนเป็น Type นั้นโดยสมบูรณืแล้ว
ในการทำงานเรื่องโลกส่วนตัวสูงก็อีกเรื่องหนึ่ง เรื่องงานก็อีกเรืองหนึ่งถ้าเนื้องานมันต้องประสานงานมันก็ต้องทำให้ต้องทำให้ดีที่สุด การทักทายสั้นๆกับเพื่อนร่วมงานไม่ทำให้เราสุญเสียความเป็นส่วนตัวหรอกคะการแสดงออกทางด้านกายภาพว่าเราเป็นมิตรกับทุกคนนะ ไม่จำเป็นต้องคุยเรื่องส่วนตัวกับเพื่อนร่วมงานทุกคน เพราะทุกคนต้องการระยะความเป็นส่วนตัวเอง แค่แสดงความเป็นมิตรบ้างก็ทำให้บรรยากาศในการทำงานดีขึ้นแล้ว เป็นกำลังใจให้คนทำงานนะคะ
บางคนมันกระจอกขนาดแค่ทำตาม "มรรยาททางสังคม" ก็ไม่กล้า และมโนอะไรมั่วๆมาเข้าข้างตัวเองครับ อย่าง อินเวิร์ท เอาท์เวิร์ท ที่เป็นแค่ไทป์แคแรคเตอร์พวกนี้ยังมั่วเอามายึดเป็นคัมภีร์ตัดสินแยกลักษณะมนุษย์เลย (ambivertนี่ไม่นับรวมกัน? เคยได้ยินกัน?)
ส่วนตัวผมไม่แคร์เรื่องพวกนี้มาก แค่ทักทายทุกคนด้วยมรรยาท และคุยเท่าที่อยากคุย แค่นี้ก็แสดงออกถึงความเป็นมนุษย์พร้อมสื่อสารได้แล้ว (พวกอินเวิร์ทหลายคนที่ผมรู้จักก็ทำแค่นี้)
สรุปคือถ้าเกิดมากระจอกและขี้แพ้เกินกว่าจะแก้ปัญหา ก็ไม่เห็นต้องมั่วหาทฤษฎีอะไรเปลือกๆมาอวดแคแรคเตอร์ตัวเองเลย บอกทุกคนกูกระจอกเรื่องนี้เข้าใจกูเถอะยังดูดีกว่า (ผมก็ทำ ตัดปัญหาเร็วกว่า)
เห็นด้วยครับ ยิ่งงานที่ต้อง ประสานงานกันด้วย
ประเด็นที่ว่าคือไม่ใช่แค่เขาไม่ทักทายคนที่ทำงาน แต่ชวนกินข้าวแล้วเมินใส่อันนี้ก็เกินไป ไม่สะดวก มีธุระ อะไรก็ตอบปัดไปก็ได้ เหมือนไม่ได้คุยกับคนเหมือนพูดกับผนัง ไม่สะดวกก็บอกดีๆ ส่วนตัวก็ไม่ได้ชอบไปสุงสิงกับใครหรือชวนใครมากินข้าวด้วยอยู่แล้ว แต่ถ้าใครพูดด้วยก็นะตอบอะไรสักหน่อย
จริงครับ ผมก็ชาว introvert พูดคุยไม่เก่ง แต่ก็ไม่ได้ใช้มาเป็นข้ออ้างในการที่จะไม่พูด อาจจะเพราะคนที่ทำงานดีด้วยมั้ง เค้ามองผมออก ว่าเป็น introvert เค้าเลยพยายามจะคุยกับเราก่อน ซึ่งผมก็แค่พยายามพูดกลับไปบ้าง ยากตอนพูด สุดท้ายกลับบ้านมาใจฟูที่เราไม่เงียบใส่เพื่อนร่วมงาน
เด็กก็เกินไป
@@YUNALOVE039 ใช่เลยค่ะ เราก็introvert ดีใจด้วยซ้ำบางทีที่ชวนคุย ไม่ใช่คนพูดเก่งอะไร แต่ก็ไม่อยากทำให้บรรยายกาศที่ทำงานมันไม่ดี
พูดถูกมากๆ เรื่องผลกระทบกับคนอื่นในเรื่องบรรกาศการทำงาน ผมเองเป็นคนที่มีบุคลิค introvert ผมถือ ตัวเรา เราจะเป็นอย่างไรก็ได้ ถ้าเราอยู่ในพื้นที่ของเรา แต่เมื่อผมพาตัวเองไปอยู่ในสังคม ไปแชร์พื้นที่กับคนอื่น ผมจะมองว่าตัวผมเองต้องเป็นฝ่ายปรับตัว ไม่ใช่ให้คนอื่นปรับตวเข้าหาเรา หรือคาดหวังว่าคนอื่นจะต้องเข้าใจเราเพราะเรา introvert อย่าลืมว่าเราพาตัวเองเข้าไปอยู่ตรงนั้น ไปใช้ชีวิต ไปแชร์อากาศหายใจกับคนอื่นในพื้นที่ตรงนั้น ถึงแม้คุณจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม ซึ่งมันมีวัฒนธรรมองค์กรของเค้าอยู่
คนบางกลุ่มต้องใช้ energy เยอะมากในการเข้าสังคม แต่การมีมารยาท การเข้าสังคม และการทำให้บรรยากาศในการทำงานร่วมกัน เป็นทักษะที่ฝึกได้และสำคัญมาก
เห็นด้วยครับ แบบนี้ ควร WFH ไปคนเดียวเลย
@@webpages ตลก สัด ใช้สมองส่วนใหญ่คิด 5555
@@สมชายใจดี-ฏ6ฤ5ร ตลก เหมือนกัน พวกคุยกับคนอื่นไม่ได้🥶
@@webpages wfhได้เขาคงไม่มาหรอกครับถ้าเจอพวกนิสัยแบบคุณ
ผมก็มีเด็กฝึกงานมาทุกปีครับ เราแต่ตั้งใจว่า เขามาฝึกกับเราเพื่อให้เขามีความรู้ออกไปทำงานและพัฒนาประเทศ เรามีหน้าที่สอนเขาอย่างเมตตา และยอมรับความต่าง ที่เหลือก็แล้วแต่น้องๆว่าจะรับได้แค่ไหนครับ
ถ้าเด็กฝึกงานมาทำให้บรรยากาศในการทำงานแย่ลง หรือพนักงานประจำของเราอึดอัด ทำงานไม่เต็มที่ เราก้อคงไม่เอาไว้ค่ะ
@@jumpiam8477 เด็กฝึกงานมีอิทธิพลขนาดนั้นเลยเหรอครับ
@@kengkt1449 เป็นไปได้ค่ะ ไม่มีใครอยากสอนเด็กที่ไม่เชื่อฟัง ไม่อยากเรียนรู้ ไม่เคารพรุ่นพี่ กิริยามารยาทไม่ดีหรอกค่ะ มันน่าเบื่อ เสียเวลาทำงาน เด็กที่น่ารัก ผู้ใหญ่ก้อจะสนับสนุน เอ็นดูค่ะ การฝึกงานคือการเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าสู่ตลาดแรงงานจริง ถ้าผู้บริหาร พี่เลี้ยงฝึกงานเตือน เราจะปรับปรุงตัวทันที ดีซะอีก ที่มีคนสอน การทำงานจริง ไม่มีใครเตือนใครหรอกค่ะ
@@jumpiam8477 ต้องดูครับว่าอยากได้คนแบบไหน
@@jumpiam8477 เด็กฝึกงานนะ 555 ก็ไปบอกบริษัทไม่ต้องรับสิครับ
เคยโดนมาแล้วค่ะ เราเข้าออฟฟิศมาร้อนๆ
เหนื่อยๆ คิดแต่จะเตรียมตัวเข้างานไม่ได้ทักใคร
สรุป ไปเจอพี่หัวหน้างานยืนเม้าท์เราในครัวให้เด็กใหม่(รุ่นน้อง)อีกคนฟัง เราเปิดประตูไปเจอพอดี ก็เลยลาออก สู้ความปั้นหน้าของแต่ละคนไม่ไหวจริงๆค่ะ เหนื่อยมาก ร้องไห้เลย
ส่วนตัวไม่ได้คิดว่าเข้าสังคมมันไม่ดีหรอกค่ะ
เราแค่ชอบฟังคนคุยกันมากกว่าร่วมวงคุยแค่นั้นเอง ตอนนี้เจอที่ใหม่ที่ทุกคนน่ารักมาก
ดีใจมากที่ตัดสินใจลาออกมาจากตรงนั้นค่ะ
เคยเจอแบบตอนไหว้รุ่นพี่เขาบอกที่นี่ไม่ต้องไหว้ ให้ไหว้แต่นาย
พอไหว้แต่นายเขาก็ไปฟ้องนายว่าไม่เคารพรุ่นพี่.... ใช่มะ สงครามประสาทในที่ทำงาน ไม่รู้บริบทโดยรวมเลย ใครจะบ้าไม่มีมารยาทขนาดไม่สนนาย คิดว่าคงสุดแล้วล่ะ เป็นดราม่านี้แล้วเหมือนเห็นอดีตอันดำมืดของตัวเองเจ็บจี๊ด
บางที องค์นั้นไม่เหมาะ กับคุณ หางานไปเรื่อย จนกว่าจะเจอ หรือไม่ก็ หันมาขาย ของออนไลน์ จบ
@@yamato00001 ทำงานกับองค์กรนั้นๆ ต้องปั้นหน้าใส่หน้ากากงี้เหรอ??? พอทำไม่ได้ ไล่ให้ไปขายของออนไลน์งี้หรอ??บางคนการเข้าสังคมมันยากนะ พอเข้าไปก็กลัวล้ำเส้น จิตใจมนุษย์นี่มันยากแท้หยั่งถึงน่ะ
@@puttomill องค์กรไม่ใช่ของคุณหรือใคร ถ้า ทำตัวเป็น ไม้แข็ง ไม่ลู่ลม ไม่นานก็หัก ต้องเป็นต้นอ้อลู่ตามลม เข้าไปก็ตัวอ่อนน้อมไหว้ให้ทั่ว ตั้งแต่ หน้าห้องถึงท้ายห้อง ไม่ใช่แข็งกระด้าง
ถ้าทำไม่ได้ ก็สมัครไปเรื่อยๆ จนกว่า จะเจองานที่ใช่
บอกเลยเจอมาแล้ว นี่แค่ด่านแรก การที่คุณไหว้อ่อนน้อม นี่เรื่องเล็ก กินข้าวด้วยกัน ก็เรื่องเล็ก ไปไหนไปกัน แต่ที่ จะทำ ให้เราแข็งแกร่งได้
คือ ความรู้ ที่ เรามี ถ้าเราแข็ง พอ เขาก็เอาเราไม่ลง ถึงเก่งกล้า วิชาแล้ว พลาดขึ้นมา
ทำพลาดเอง ลูกค้าด่าเรา เขาก็ซ้ำทันที ทำดีแค่ไหน ก็ถือว่า เสมอตัว พลาดครั้งเดียวโดนเหยียบเละ
ถึงบอกว่า ยกมือไหว้ ตั้งแต่ หน้าห้องถึงหลังห้องแค่ด่านแรก
ไม่ชอบก็ลาออกหางานใหม่
สมัยนี้การประกาศรับสมัครงาน ต้องเขียนคุณสมบัติว่า สามารถทำงานร่วมกับบุคคลอื่นได้ เป็นอันดับแรกแล้วมั้ง องค์กรจะไม่พัฒนา ถ้าหากคนในองค์กร ไม่มีการสื่อสารกันที่มีประสิทธิภาพ ต่างคนต่างอยู่ มาทำงาน เพื่อให้มันผ่าน ๆ ไปวัน ๆ เราคิดว่าคุณหนุ่ยให้โอกาสเยอะแล้วนะ ฝึกงานแค่ 4 เดือน แป๊ปเดียว ก้อจบแล้ว มนุษย์ต้องมีสังคม เราอยู่คนเดียวในโลกไม่ได้ หลายครั้ง เราก้อต้องทำในสิ่งที่เราไม่ชอบ ฝืนบ้าง ไม่มีสิ่งใด ได้ดั่งใจเราทุกอย่างหรอก
ผมเป็น introvert คนหนึ่งที่เข้าสังคมค่อนข้างยาก
ตอนอายุน้อยๆ ก็คิดว่าตัวเราเป็นแบบนี้ ทำไมต้องมาปั้นหน้าเพื่อเข้าสังคม
พอทำงานไปเรื่อยๆ มันก็ผ่านประสบการณ์และสอนเราว่า งานทุกอย่างมันจะง่ายขึ้นถ้าเรามี connection ที่ดี
อย่างที่คุณเนมบอก เราไม่ได้เก่งไปทุกเรื่อง ต่อให้ทำงาน freelance เวลามีปัญหาที่เราไม่ถนัดเรายังต้องติดต่อหาคนรู้จักเลย
ยิ่งทำงานออฟฟิศนี่ยิ่งสำคัญ เพราะมันต้องทำงานเป็นทีม การเรายอมปั้นหน้าเพื่อรักษาบรรยากาศ รักษามิตรภาพ มันก็ไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรงซักเท่าไหร่
เวลาเรามีปัญหา ทุกคนก็พร้อมยินดีที่จะช่วยเรา ทำให้อะไรๆ มันง่ายขึ้นมาก
ผมเลยยอมเสียพลังงานเพิ่มในการพยายามเข้าสังคม พอเลิกงานก็ค่อยพักชาร์จพลังไว้ลุยต่อวันพรุ่งนี้
เราเป็นคนที่ทุกคนบอกว่าเราโคด introvert เป็นคนเงียบๆ คือพยายามพูดแล้ว แต่ก็ยังโดนบอกว่าเงียบ เหนื่อยจัด แต่ก็พยายามทักทายคนที่รู้จัก เพราะอยากมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนร่วมงาน ก็ทักเป็นแค่ สวัสดีค่า แล้วก็จบ555นึกเรื่องชวนคุยไม่ออก คนที่เป็น extrovert ได้เปรียบมากจริงในชีวิตการทำงาน ได้เส้นสาย มีคนชื่นชอบเยอะกว่า พรีเซ็นต์เก่งประสานงานเก่งตำแหน่งก็จะขึ้นไวกว่า แต่เราเปลี่ยนตัวเองเป็นอีกประเภทไม่ได้หรอก เหนื่อย
+1คับ เหมือนกันมันยากจริงๆคับ
สู้ๆคับ ทำงานในสังคมไทยไม่เหมาะกับชาว introvert จริงๆ มีความรู้สึกว่าคนเป็น extrovert ได้เปรียบมากกว่าในทุกๆวัน
+1 ทำงานครั้งแรก introvert ปกติก็เข้าสังคมไม่เก่งอยู่แล้ว ยิ่งตกอยู่ในสภาวะกดดันหรือความเครียดจากสภาวะที่จำเป็นต้องเข้าสังคมในสภาพแวดล้อมใหม่ยิ่งเครียดเข้าไปใหญ่ จากนั้นนรกแห่งความวายป่วงจะเริ่มต้นขึ้น จากการที่คนๆหนึ่งในบริษัทเริ่มตั้งแง่กับนิสัยนั้น และพูดคุยต่อกันไป อาจมีคนหวังดีพยายามช่วยเปิดโอกาสการเข้าสังคมของพวกเขาแต่กลับกลายเป็นการกดดันหนักข้อขึ้น บุคลิกการตีตัวออกห่างจะยิ่งกว้างขึ้น ก่อเป็นกำแพงสูงชัน ฝ่ายที่พยายามเข้าหาจะคิดว่าเขาทำดีแล้ว ตามที่มนุษย์ทั่วไปเขาทำกัน จากนั้นอคติต่ออีกฝ่ายที่ปิดกั้นจะยิ่งมากขึ้น มากขึ้น และฝ่ายที่เก็บตัวมากเกินไปจนต่างจากพวกจะกลายเป็นคนผิดโดยธรรมชาติ ที่ปฎิเสธความสัมพันธ์อันดี ย์ทำให้บรรยากาศการทำงานยิ่งแย่ลงไปจยกลายเป็นรูธนรก... ฮ่า ช่างเจ็บปวดเมื่อนึกถึงความหลัง ฝึกงานครั้งแรกก็แบบนี้ 555 นรกชัดๆ
เป็นคนตีหน้ายิ้มแย้มกับทุกเรื่องไม่เก่งเลย ปกติเป็นคนหน้านิ่งๆ ไม่พอใจก็อาจจะสีหน้าออกไปทางไม่ดี... อยู่ในบริษัทยากเหมือนกัน ดียังมีเพื่อนบางคนที่เข้าใจ ก็จะคุยๆกันได้ไม่กี่คน...
@@hikineet789 วิเคราะห์เห็นภาพเลยค่ะ
ส่วนตัวชื่นชมนายจ้างที่ชมลูกจ้างต่อหน้า และเรียกไปตำหนิในห้อง. เหมือนเค้าใสใจบรรยากาศการทำงาน🙏
สรุปสุดท้ายดีมากครับ 👍👍👍
ส่วนตัวเราเป็น Extreme Introvert นะ ทำแบบประเมินแล้วคะแนน Introvert คือ 90%++ มาตั้งแต่อายุ 18 ที่เริ่มทำ Test
เราก็ไม่ค่อยทักใคร Chat ยังไม่ค่อยทักใครก่อนเลย ยกเว้นมีธุระ แต่ถ้าใครทักเรามา เราทักตอบนะ แล้วก็คุยด้วย ชอบนั่งกินข้าวบน Office มากกว่าลงไปกินข้าวเป็นกลุ่มตอนกลางวัน แต่ก็ไปบ้าง แต่เราก็บอกว่าที่ไม่ชอบลงไปด้วยเพราะไม่ชอบคนเยอะ ร้อน บลาๆๆ ทุกคนก็เข้าใจเรานะ ไม่ได้ดูมีปัญหาอะไร ตอนทำงานก็รู้สึกว่าทุกคนรู้ว่าเรานิสัยติสต์ โลกส่วนตัวสูง แต่ก็ไม่ Level มีผลต่อการทำงานและทำให้บรรยากาศใน Office เสีย
แต่หลังๆ เราเบื่อ ก็เปลี่ยนมาเป็น Freelance แทน เพื่อลดจำนวนวันที่ต้องตื่นเช้า ต้องเดินทาง เราก็ยังรู้สึกว่า Relationship ก็ยังโอเคนะ ทางนั้นก็ยังให้งานเรามาทำต่อ ... เงินบางเดือนลดลงแต่ก็แลกกับการไม่ต้องเจอภาวะที่ไม่อยากทำ
เราว่าเวลาทำงานจริงๆ จะ Happy มันคือการหาจุด Balance ของความต้องการของตัวเองและ Requirement ในการทำงานอ่ะ
เราคิดว่าเราก็เก่งงานระดับหนึ่ง เลือกงานได้ระดับหนึ่ง แต่เราก็คิดว่า Connection ก็สำคัญ อย่างถ้าเราไม่มี Relationship ที่ดีกับบริษัทเก่า หรือลูกค้าที่เคยทำงาน ตอนเราออกมาเป็น Freelance ถึงเราจะเก่งแค่ไหน เค้าก็อาจไม่ส่งงานมาให้ทำต่อได้ ถ้าเค้ามองว่าเค้าทำงานกับเรายาก (คือเราก็ไม่ขนาด Top1% ที่จะเลือกได้ทุกอย่างขนาดนั้น)
เราเองก็เถอะ เวลาต้องดีลงานกับคนอื่น Quality ของงานสำคัญมากก็จริง แต่ถ้าคนที่ทำงานดีที่สุด แต่สื่อสารด้วยยาก ทำให้ไม่สะดวกใจจะคุยด้วย เราเลือกคนที่ Quality งานลดลงมานิดหน่อย แต่สื่อสารด้วยง่ายกว่าดีกว่า ส่วน Quality งานที่ลดลง ก็แก้ปัญหาด้วยการพยายามสื่อสารและ Feedback ไปว่าเค้าต้องเพิ่ม ต้องปรับตรงไหน มันพอชดเชยกันได้
ไทย C U M อังกฤษ C U M
@@littlepee7854 เราสบายใจที่จะเขียนแบบนี้ค่ะ ถ้าทำให้ไม่สบายใจตอนอ่านก็ขอโทษด้วยนะคะ
ปล. โดยส่วนตัวเรามองว่าเราไม่ได้กำลังเขียนบทความอยู่ Level ความจริงจังไม่สูงขนาดนั้น พิมพ์ประมาณนี้ก็น่าจะไม่เป็นไรมั้งคะ อย่างที่บอก ถ้าทำให้ไม่สบายใจตอนอ่าน ก็ต้องขอโทษด้วยค่ะ
@@SpinelSunSupMay แซวเฉยๆครับ ไม่ได้จริงจังแต่พิมพ์ซะยาวเลยนะครับ55
@@littlepee7854 เราเป็นพวกพิมพ์ยาวเป็นปกติค่ะ แบบไม่ค่อยพูด แต่พิมพ์ทีแล้วยาวมากกกก ทั้งๆ ที่ไม่ได้รู้สึกอะไรขนาดนั้น (และไม่ใช้รอบแรกค่ะที่โดนแซวมาพิมพ์ยาว ... ความตลกคือตอนพิมพ์เองเราก็ไม่รู้สึกว่ามันยาวอะไรนะ จนพอมาย้อนอ่าน ... โห ยาวอ่ะ)
คุณเริสมากดาวล้านดวงงงง เนี่ยตัวอย่างที่ดี+มีความสามารถ หาที่เหมาะสมกับตัวเองได้ ลงตัว ไม่มีใครเดือดร้อน บางคนถามความเข้าใจจากสังคมอย่างเดียว แล้วทำงานที่เนื้องานต้องยุ่งต้องคุยกับคนไม่มากก็น้อย แล้วบอก Introvert
ส่วนตัวเราทำงานไม่ใช่ออฟฟิศแต่ก็คล้ายๆ กัน ถ้าคุยนอกเวลาคุยเรื่องงาน เกี่ยวกับงานเราว่าโอเครนะคุยด้วย แต่ถ้าชวนไปเที่ยวนั่น เที่ยวนี่ เม้ามอยเรื่องคนอื่น เราว่ามันเสียเวลาชีวิตเพราะมันน่าเบื่อ
+1
ใช่ ใช่ มันชวนคุยอะไรนักหนา มันต้องการอะไร
ส่วนใหญ่ก็เรื่องไร้สาระแหละ
เค้าถามไปงั้นแหละ จริงๆคืออยากรู้ว่าเรามีทัศนคติความคิดแนวเดียวกับเขารึเปล่า ถ้ามีก็เป็นคนปกติ ถ้าไม่มีก็เป็นคนเงียบๆไม่ค่อยคุย
ขอบคุณครับ สรุปดีมากๆ เข้าใจทุกแง่คิด👏👏👏💯
เห็นด้วยค่ะ คอนเนคชั่นมันสำคัญมากจริงๆ นะ ถึงทำงานดีมากแต่การคอนเนคชั่นเป็นศูนย์ มันก็ไปต่อยากอ่ะ เคยเจอก้มหน้าก้มตาทำงานแต่ไม่ถามไม่หืออือกับใคร เราก็ขอให้น้องลองถามลองคุยบ้าง น้องบอกทำไม่ได้ เราเลยขอโทษแล้วยุติการทำงานร่วมกันตรงนี้เลย😔 จะให้คนที่เหลือมาปรับมาเข้าใจน้องคนเดียว มันไม่ได้อ่ะ
คงามคิดผู้บริหารกับความคิดพนักงานย่อมต่างกัน
ผู้บริหาร จะมองภาพรวม
พนักงาน มองตัวเองเป็นหลัก
ใช่ครับ คุณหนุ่ยพลาดตรงที่ออกมาเขียน ถ้าจริงๆควรให้ไม่ผ่านและบอกเหตุผลเขาไปก็จบครับ
การทำงานในบริษัทการอยู่ในสังคมนี้ต้องเปิดใจครับ เข้าสังคมให้เป็น ไม่ใช่สังคมจะเข้าหาตัวเองเสมอ เรียนรู้และออกไปเจอโลกกว้างครับ
ถ้าคุยกับน้องจนรู้เรื่องแล้ว แล้วเอามาแชร์เป็นประสบการณ์ที่พบเจอ คุณหนุ่ยจะไม่โดนทัวร์ลงขนาดนี้หรอก รอบนี้คุณหนุ่ยพลาดจริงๆค่ะ
จากที่โพสเหมือนสุมหัวกันนินหาเรื่องที่ตัวเองไม่พอใจ แล้วก็เอามาพูดในที่ประชุมแบบกว้างๆไม่เจาะจงแต่ให้รู้ว่าเป็นใคร (อารมณ์เหมือนแซะกลางห้องประชุม) ทั้งที่ควรคุยกับเจ้าตัวตรงๆ รับฟังความรู้สึกเลยว่า เห้ย มีปัญหาอะไรบอกได้นะ พี่กับคนอื่นๆไม่สบายใจ
ผมเข้าใจทั้ง 2 ฝ่ายนะครับ
การที่พี่หนุ่ยออกมาแชร์สตอรี่(บางส่วน)ภายในบริษัท โดยมีจุดประสงค์มุ่งหวัง บอกเล่าประสพการณ์ในการทำงานของบริษัทจริงๆว่าบรรยากาศในการทำงานมีส่วนสำคัญมากเช่นกัน การทำงานเก่งไม่ได้แปลว่างานเสร็จนะครับ หากงานของคุณยังเป็นจุดเชื่อมต่อไปถึงแผนกอื่น เพื่อให้เขาทำงานต่อให้สำเร็จ ดังนั้นสิ่งที่พี่หนุ่ยอยากสอนน้องฝึกงาน ก็คือการรักษา connection และ respect ต่อเพื่อนร่วมงานเป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน แต่สิ่งที่พี่หนุ่ยพยายามจะสื่อสารต่อผู้คนอื่นนั้น ก็อาจเป็นจุดที่พลาดได้เองเช่นกัน เช่น การตัดสินใจทำบางอย่างในฐานะเจ้าของบริษัท... ซึ่งตรงจุดนี้พี่หหนุ่ยอาจวิเคราะห์ยังไม่ถี่ถ้วนพอ ทำให้การแสดงความคิดเห็นเอนเอียงไปทางของตัวเองมากเกินไป ทำให้การส่ง Message ครั้งนี้ คาดเคลื่อนจากสิ่งที่ตัวเองต้องการจะนำเสนอจริงๆก็เป็นได้.... แต่ผมก็นับถือพี่หนุ่ยอย่างนึงนะ ในเรื่องของการรับฟังความคืดเห็น แกพร้อมมาก ที่จะเปิดใจรับฟังเสียงสะท้อนในทุกๆด้าน เพื่อมาไตร่ตรองอีกครั้งเพื่อหาข้อสรุปถึง ปัญหาหรือข้อสงสัยในครั้งนี้ และพร้อมที่จะขอโทษ social และน้องฝึกกงาน เมื่อสรุปได้ว่าสิ่งที่ตัวเองทำไปนั้น... อาจสร้่งผลกระทบต่อตัวน้องฝึกงานมากเกินไป
5:45 อารมณ์แบบ คนนอกอ่ะ ต้องพยายามมากกว่าเขา ได้มาก็ไม่คุ้มเหนื่อย เสียความรู้สึก นั้นละ อาการคนนอก
บางครั้งมันก็ไม่ได้มีแค่เรื่องงานน่ะ มันมีความไว้ใจ ความสัมพันธ์เพื่อนร่วมงาน คนรอบข้าง
ใช่ว่า ทำงานดีทำงานเก่ง แล้วจะประสบความสำเร็จ ง่ายๆ
มันมีเรื่องความไว้ใจ ความสัมพันธ์เพื่อนร่วมงาน คนรอบข้างเข้ามากเกี่ยวข้องด้วย
เราอยู่ร่วมกันในสังคม ต้องยอมว่าสิ่งนี้สำคัญไม่แพ้ ความเก่งกาจในเรื่องงานของคุณ
เราไม่ได้เข้าข้างใครน่ะ “นอกจากเก่งการทำงานแล้ว ต้องเก่งความสัมพันธ์กับผู้คนด้วยจะทำให้คุณโชคดีได้โอกาสดีง่าย”
เราเห็นคนต่างชาติ เขาจะทำงานแบบ รักษาความสัมพันธ์กับผู้คนมากกว่าเงินทอง สิ่งนี้ทำให้เขาได้รับโอกาส ได้งานที่ดีขึ้น มีแต่คนคอยช่วยเหลือสนับสนุนอยู่ตลอด ก็คือทักษะการอยู่ร่วมกันในสังคมนั่นแหละ
นั้นคือ เหตุผลที่บริษัทต่างชาติหลายๆบริษัทมีพื้นที่สำหรับให้พนักงานได้ปรึกษาหรือระบายต่อนักจิตบำบัดอยู่ในสำนักงานนั้นด้วย......
@@hikineet789 เม้นคุณตอบโจทย์เรื่องนี้ที่สุด..คนอื่นแค่ระบายหรือเม้นตามใจตัวเอง...
ผมว่าผิดทั้ง2ฝ่ายนะ ปัญหาคือแต่ละฝ่ายใช้สิทธิ์ในแต่ละพื้นที่ไม่ถูกต้องแค่นั้นเอง
1. คุณหนุ่ยใช้สิทธิ์ตักเตือนได้ในบริษัทตนเอง แต่ใช้ในพื้นที่ Public ไม่เหมาะสม
2. น้องๆฝึกงาน ใช้สิทธิ์ตามใจฉัน(ภายใต้กฎหมายประเทศ)ได้ที่บ้านหรือที่public แต่หากไปที่บริษัท, บริษัทจ้างคุณ หรือเสียcost ให้คุณมาฝึกงาน, สิทธิ์ของคุณที่บริษัทคือจะรับกับ Culture องค์กรนั้นๆให้ได้ หรือลาออกนะครับ ไม่ใช่สิทธิ์ตามใจฉันคือสิทธิ์ในทุกสถานที่นะครับ
ผมว่าเราตีประเด็นรวมกันไปหมดจนแยกแยะไม่ออก แล้วโทษ Generation
อยู่ร่วมกันแบบเข้าใจสิทธิ์ตามแต่ละสถานที่จะเหมาะสมสุดครับ
เขียนซะยาวมีแต่น้า สรุปง่ายๆ แค่อยากไหว้กับไม่อยากไหว้ แค่นั้นแระ ส่วนทำไหมไม่อยากไหว้ เพราะอะไร มันอยู่ที่ตัวบุคคล
เห็นด้วยเหมือนกันครับว่าผิดทั้งสองฝ่าย ถ้าไม่อยากไหว้ก็ออกไปไหว้พ่อกับแม่ที่บ้านก็ถูกแล้ว หรือไม่ก็ไปหางานที่ไม่ต้องเจอหน้าหัวหน้าหรือใครเลย(ไม่รู้ว่างานไร) จะได้ถูกใจ
- บางทีเวลาทำงานออฟฟิตที่คนเยอะๆ มันจะมีคนที่เราทักทายละเค้า เมินมั่ง ตึงใส่มั่ง เจอแบบนี้หลายๆรอบก็ไม่ค่อยอยากทัก หรืออีกประเภทคือพวกพูดมาก ชอบชวนคุย แต่เราไม่ว่างจะคุยขนาดนั้น
- connection สำคัญแต่บางครั้งบางสายงานก็ไม่มีใครสนใจเลย
- มันจะมีนะพวกคุยเก่ง ประจบเก่ง "พรีเซ้น" เก่ง แต่ถ้าเป็น colleague ด้วยกันจะรู้ว่า เชี่ยงานช้า งานจะไม่ทัน เหมือนพวกนี้เอา energy ไปเข้าสังคมหมด ภาระคนอื่นต้องมาช่วยเติมงานอีก
เอาจริง ๆ นะเวลาทำงานจริงถ้าเจอหัวหน้าไม่ทักไม่ไหว้เขาคงอยู่ได้ไม่นานนะ ถ้างานที่ต้องมีปฎิสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานแบบนี้คงไม่เหมาะกับเรา เราก็คงต้องหาที่ทำงานที่เหมาะกันเราแทน
ปัญหาเกิดที่ทัศนคติ
ก็แก้กันที่ทัศนคติ
หน้าตากริยา คำพูด
มันแสดงออกมาจากภายใน
โดยที่บางครั้งคนเราไม่รู้ตัว
แต่มันก็คือตัวตนของเรา
ไม่ว่าจะโลกส่วนตัวสูง
เหนื่อย เครียด บราๆๆ
แต่มันคือตัวตนของเราโดยแท้จริง
( ใครจะใช้คำว่าสันดานก็ได้ )
ถ้าเราอยู่คนเดียวในป่าเราก็คงไม่ต้องแคร์หมีที่ไหน
เราอยู่ในสังคมที่เจอคน คนอื่นเค้าไม่ได้รับรู้เรามาตั้งแต่เกิด แต่สิ่งที่เราแสดงออกมาวินาทีนั้นคือ ตัวตนของเราตั้งแต่เกิดให้เค้าเห็น มันเป็นธรรมชาติที่เค้าอาจจะตัดสินเราแบบที่เขาเข้าใจ
สิ่งที่เราทำได้ถ้ายังได้พบปะคนกลุ่มนั้นอยู่คือ พูดคุยสื่อสาร เพราะการติดต่อสื่อสารจะช่วยเยียวยาความไม่เข้าใจ
การติดต่อสื่อสารจึงสำคัญกับสังคมมนุษย์ ถ้าน้องคนที่ฝึกงานเจออะไรบ้างผมไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ แต่เชื่อพี่ได้เลย ถ้าเอ็งติดต่อสื่อสารแบบปกติที่มนุษย์ธรรมดาเค้าทำกัน พี่เชื่อได้ไม่มีใครใจร้ายกับเอ็งหรือเข้าใจเอ็งไม่ดีหรอก และยังมีโอกาสอธิบายความเข้าใจผิดของผู้อื่นด้วย แค่เอ็งสื่อสารกับเค้า พี่หวังดีไอ้น้อง ^__^
จริง ทำงานไม่ทัก หรือ เข้าสังคม มันอยู่ที่ตัวงาน ถ้างานคุณไม่จำเป็นต้องไปเข้ากับสังคมมากมันก็ไม่มีปัญหา ถ้างานไหนที่ต้องเข้าสังคมหรือต้องการความคิดเห็นของเขาเพื่อมาปรับปรุงแก้ไขตรงนี้แหละจะเป็นปัญหากับตัวบุคคล
ความเคารพทำให้เราดูน่ารักครับ ผู้ใหญ่เตือนหมายถึงผู้ใหญ่รักและหวังดีกับเราครับ และพร้อมจะถ่ายทอดความรู้ให้อย่างเต็มที่ แต่แค่วิธิการตักเตือนผิดไปหน่อยครับ แต่ทุกความผิดพลาดทำให้เรามองทางได้ชัดขึ้นและคอนเนคชั่นสำครับมากในการทำงานครับ รักษาไว้ให้ดีครับ
ผมเข้าใจนะ เพราะสมัยนี้มันเห็นจนชินแล้ว ผมก็เจอเด็กฝึกงานหรือเพื่อนรวมงานที่ไม่ค่อยทักทายกันเท่าไหร่ แต่ตอนทำงานก็คุยกันปกติ แล้วแต่ความสนิทกันไป ซึ่งผมก็เฉยๆนะเพราะสมัยนี้อะไรๆมันก็ไม่ได้เหมือนเดิมแล้ว
เราก็ทำงานกับคนที่ทั้ง extrovert Introvert
เราว่ามันส่งผลกับบรรยากาศการทำงานจริงๆและส่งผลต่อผลลัพท์การทำงานที่ออกมา
Extrovert สุดโต่งพูดจนน่ารำคาญ จนไม่มีสมาธิทำงาน เธอรู้โลกรู้ รายละเอียดเยอะเกินกว่าจะจบ หลุดประเด็นไปละ หรือ Introvert มากจนไม่มีใครกล้ายุ่ง มีไรไม่ถามด้วย ถามแค่เฉพาะคนที่สบายใจสุดท้ายปัญหาดองลามไกล
คนเรามันโตมาไม่เหมือนกันอยู่แล้วไม่ว่า gen ไหน หรือสังคมไหน แต่สำคัญคือการสมดุลให้มันอยู่จุดที่เหมาะสมมากกว่าในที่ทำอยู่ ทำงานทำทุกวันนะเห้ย เจอหน้าทุกวัน ซ้ำๆเดิมๆ มันส่งผลต่อจิตใจมาก
คิดว่าด้วยวัฒนธรรมองค์กรนี้ที่ต้อง Active ตัวเอง การทำงานเก่งอาจจะไม่ใช่ประเด็นสำคัญเสมอไป สิ่งเหล่านี้พัฒนาได้ เหมือนกับการเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับเพื่อนร่วมงานเหล่านั้น หากปรับตัว พัฒนาสิ่งที่ขาดเพื่อให้เข้ากับองค์กร(ในส่วนที่ไม่ใช่ความรู้)ได้ ก็จะสามารถทำงานร่วมกับองค์กรนั้นได้นานมากขึ้น
เหมือนที่หลายๆคนพูด เพื่อนร่วมงานดีจะทำให้งานน่าทำขึ้น
ผมเคยเห็นบางองค์กรเลือกที่จะไม่จ้างคนที่เก่ง แต่ไม่สามารถเข้ากับที่ทำงานได้ แต่ก็มีอีกหลายที่ที่เน้นฝีมือ ไม่เน้นวัฒนธรรมองค์กร ก็ต้องหาที่ๆเหมาะกับตัวเองเอาแหละ
เข้าใจในส่วนของ introvert นะ แต่ก็เข้าใจด้วยว่าทั้งชีวิต คุณจะไม่มีสัมพันธ์กับใครเลยก็ไม่ได้ มันเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ มันอาจไม่เกิดขึ้นในวันนี้ มันก็จะเกิดขึ้นในวันหน้า
ในมุมที่คุณเป็นลูกน้อง การทำงานก็แค่รับงานแล้วทำ แต่พอเติบโตขึ้น คุณก็ต้องพัฒนาสกิลต่างๆ เพื่อพูดคุยกับเพื่อนร่วมงาน หัวหน้า ลูกค้า ผู้ที่เราติดต่อด้วย และมีลูกน้อง แทบทุกสายงานคุณก็ต้องอยู่ในระดับที่ต้องใช้ทักษะการมีปฏิสัมพันธ์เข้าซักวัน และจะอ้างไม่ได้ว่าเหนื่อย หรือเพราะว่าเป็นแบบนี้คุณเลยไม่สามารถทำได้ เพราะเหตุนี้ การให้พัฒนาความสามารถในการปฏิสัมพันธ์จึงเป็นอะไรที่ควรทำตั้งแต่แรกๆที่สามารถทำได้ คล้ายกับการโตเป็นผู้ใหญ่ ที่ไม่ใช่แค่อายุถึง20 คุณก็โตได้ในทันที
ส่วนการเอามาแขวน อันนี้มันก็ไม่ถูกต้องจริงๆ แต่ถ้าอยากให้เป็นวิทยาทาน ก็ควรเล่าเรื่องหลังจากเหตุเกิดแล้ว หลังจากน้องๆผ่านฝึกงานแล้ว ซัก1-2เดือนมากกว่า และควรเป็นการพูดแนวเล่าเรื่อง และเน้นจุดที่ต้องการนำเสนอ เพราะสุดท้ายการเขียนมันมุ่งเน้นจุดที่ต้องการได้ยากและใช่ว่าทุกคนจะอ่านแล้วจับจุดที่เราต้องการเสมอไป
และถึงคุณหนุ่ยจะดูเหมือนตัดสินใจเร็ว อย่างงั้นอย่างโน้น แต่อย่างน้อยก็รับฟังความเห็นเพื่อนๆพี่ๆที่ทำงานร่วมกับน้อง ไม่รีบฟันธงตัดบท และอีกส่วนที่คิดคือ เรื่องนี้ พี่ๆเพื่อนๆที่ทำงาน ได้พูดคุยกับน้องแล้วรึยัง หรือจะมีคำสั่งลงมาจาก CEO ให้พี่ๆพูดคุยกับน้อง เพราะเรื่องแบบนี้ เข้าใจว่าส่วนใหญ่จะให้พี่ที่เป็นคนดูแลน้องนั้นเป็นคนพูดมากกว่าการที่ CEO จะลงมาพูดเอง แต่ถ้าพูดแล้ว ขอให้ปรับปรุงตัวแล้ว แล้วไม่สามารถทำได้ ภายในระยะเวลาฝึกงานที่เหลือ ซึ่งไม่แน่ใจว่าเหลือเท่าไร ก็เปรียบกับการเข้ากับวัฒนธรรมองค์กรไม่ได้ ถ้าเป็นการทำงานจริง CEO อาจเลือกที่จะไม่จ้าง แต่ก็ขึ้นอยู่กับหัวหน้าทีมว่าคิดว่าจะรับมือไหวไหม
และถึงแม้มันจะเหนื่อยที่ต้องเข้าสังคม มันก็ลักษณะคล้ายการอดทนเตรียมตัวสอบ หรือปั่นงานส่งอาจารย์ ในบางครั้งเราก็ต้องฝืนตัวเองเพื่อให้งานมันผ่านพ้นไป ในมุมมองผม การอดทนในระยะเวลาที่เหลือฝึกงานนั้นตอบโจทย์ ทั้งพี่หนุ่ยที่ควรอดทนขึ้น ปล่อยผ่าน และน้องๆที่ต้องอดทนในการใช้พลังงานมากขึ้น
แต่ตั้งข้อสังเกตุอีกอย่างว่า น้องไม่มีปฏิสัมพันธ์ นี่ขนาดไหน แค่ทักทาย? ชวนกินข้าวแต่แยกโต๊ะ? ว่างงานแล้วนั่งเล่นมือถือคนเดียว? งานเสร็จแล้วไม่บอก? แล้วที่บอกว่าน้องทำงานได้ดี อันนี้เป็นมารยาทเฉยๆไหมเพราะการที่เราจะตำหนิใคร ก็ต้องมีการชมแทรกเข้ามาด้วยเพื่อไม่ให้มันดูแย่เกินไป และการชมที่ง่ายที่สุดก็เรื่องทำงานดี ก็เหมือนเวลาลูกทำตัวไม่ดีก็จะบอกว่านี่ครั้งแรก ปกติเป็นเด็กดีมาตลอด ถึงในใจจะรู้ว่ามันไม่ใช่ก็ตาม เพราะการที่ผู้ใหญ่คนนึงจะออกมาโพสเกี่ยวกับปัญหาที่เจอ มันไม่ได้หาได้ง่ายๆ ถ้าไม่เพราะมันเหลืออดจริงๆ ก็เป็นเพราผู้ใหญ่ยังเป็นผู้ใหญ่ไม่พอ
บุคลิกแบบนี้ถ้าทำงานอยู่ในสังคมตะวันตก เป็นอะไรที่ธรรมดามาก สามีเราก็บุคลิกแบบนี้แต่ทำงานได้สบาย คนเขายอมรับและเคารพความต่างของแต่ละคน อาจจะเป็นเพราะวัฒนธรรมไทยด้วย ที่ระบบอาวุโส ระบบอุปถัม connection ต่างๆ มีความสำคัญมากพอๆกับผลงาน
สังคมสำคัญคับ มันทำให้คุณอยากมาทำงานหรือไม่อยากมาทำงานได้เลย ผมมีวันนี้ก็เพราะสังคมการใหว้ผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่เปิดใจสอนทุกอย่างให้ผม ผมมองว่าสังคมสำคัญมากคับ คุณไม่เอาสังคมต้องทำงานที่ทำคนเดียวคับ อย่างมาทำกับสังคม (สังคมคือ2คนขึ้นไป)
ความคิดผมคือ ไม่ว่าสังคมไหนๆ เมื่อเราเป็นคนใหม่คนนอก ต้องรู้จักปรับตัวเข้ากับสังคมนั้นๆครับ ไม่ต้องดีมากก็ได้แค่อยู่ในระดับพอใช่ คือระดับที่ว่า มีมารยาท พูดคุยด้วยได้ มีการทักทาย ไม่เงียบหาย สิ่งที่ห้ามเลยคือ กวนตีน พูดสวน พูดย้อน นินทา ต่อให้คุณเก่งแต่ถ้าคุณไม่ได้ เก่งขนาดว่าทำกำไรให้บริษัท ขนาดว่าเขาต้องเลียเท้าคุณได้ คุณต้องรักษาเรื่องนิสัยครับ การทำงานส่วนมาก เป็นการทำงานเป็นทีม เป็นกลุ่ม ขนาดคนที่ทำงานของตัวเอง ยังต้องมีการติดต่อแผนกที่เกี่ยวข้องด้วย ดังนั้น เรื่องนี้สำคัญครับ คะแนนการประเมิน มันเป็นแบบนี้เสมอครับ ผลงาน 50 การเข้ากับเพื่อนร่วมงาน 50 รวมกันเป็น 100 นี่เอาโลกความจริงมาพูดนะ ไม่ได้แต่งนิยายมาเล่า เพราะ ก็ทำงานมาหลายที่แล้ว ก็เลยมาเล่า และ สำหรับกรณีว่าบริษัทดี สังคมแย่ ถ้าคุณปรับตัวเข้ากับเขาไม่ได้ ผมแนะนำให้ออกห่าง จะดีกว่าครับ เพราะ สังคมบางที่ก็เลวบัดซบ โกงกิน คอรัปชั่น คืออย่าปรับตัวเข้ากับเขาเลยครับ ผลที่ได้แค่เราก็จะกลายเป็นพวกชั่วช้าโดยไม่รู้ตัว
ดราม่านี้จะไม่เกิดถ้าต่างคนต่างเคารพความแตกต่างแล้วไม่โพสลงโซเชียล ส่วนวัฒนธรรมองค์กรนั้นมันเป็นเรื่องของการปรับตัวแต่ละที่ก็แตกต่างกันไป และแน่นอนว่าด้วยความแตกต่างของแต่ละคนก็จะมีคนที่ปรับตัวได้และไม่ได้ จุดนี้ต้องช่วยๆกันชี้แนะเพื่อสร้างบุคลากรที่มีประสิทธิภาพออกมาเรื่อยๆ
บางครั้งคนที่นั่งวิจารณ์มันก็พูดได้อย่างเพลิดเพลินดี เพราะตัวเองไม่ได้อยู่ในสถานการณ์เดียว ก็เปรียบเหมือนคนที่ได้รับบาดเจ็บก็ร้องโวยวาย และ คนที่ยืนดูบอกให้เขาอดทน...เราทำงานกับคนตะวันตกมาเกือบ15ปี อุดมการณ์ในการบริหารองค์กรของเขาคือไม่ให้ใครจำแนกชนชั้น ทุกคนถือว่าเป็นพนักงานอย่างเท่าเทียมกัน เวลามีกิจกรรมหลังเลิกงานก็ทักทายชนแก้วกันและนั่งทานเข้าโต๊ะเดียวกัน...เราเข้าใจว่าพี่หนุ่ย พงศ์สุข คงมีอุดมการณ์ที่ว่า สภาพแวดล้อมในการทำงานเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับองค์กรและบุคลากรทุกคน ถ้าสภาพแวดล้อมดี พนักงานก็รักในองค์กรแล้วจะพ่วงด้วยการอยากมาทำงานด้วย "สภาพจิตใจของพนักงานทุกคนสำคัญมาก"
ผมก็เป็นครับ ตอนอยู่ที่ทำงานไม่ทักใครเลย เหมือนเป็นพวกเก็บตัว แต่ถ้ามีคนมาทักก็จะคุยเหมือนคนปกติเลยครับ แต่เรื่องงานก็จะอีกเรื่องหนึ่ง ไม่ได้แบบไม่สนโลกเสียทุกอย่าง
เคยมีลูกน้องบุคลิกนิสัยเหมือนเด็กฝึกงานแบร์ไต๋เช่นกัน ทำงานดีมาก แต่ไม่สุงสิงกับใครในออฟฟิศ ซึ่งตอนสัมภาษณ์ก็ดูไม่รู้หรอก เพราะน้องทำได้ดีทุกบททดสอบ👍 ก็เลยลองตะล่อมให้เปิดใจคุยกัน ทำให้รู้ว่าความสนใจของน้องกับคนที่ทำงานต่างกันมาก การจะตีหน้าไปคุยเรื่องละคร เรื่องครอบครัว ฯลฯ กับคนอื่น ดูจะเป็นการสิ้นเปลืองพลังงานมาก (ในขณะที่น้องเขาสนใจเรื่องการลงทุน การศึกษา คดีความ)😲 มีอะไรต้องคุยกันเนอะ จะได้รู้จักกันจริงๆ
คือเราก็ไม่รู้เบื่องหลังอะนะ แต่เราว่าถ้าทำแบบนี้แล้วน้องเค้าเรียนไม่จบ มันก็ไม่ถูกต้องนะ ควรจะให้ฝึกงานผ่านไป แล้วค่อยไปเคลียร์กันทีหลังจะดีกว่าไหม ทำแบบนี่มันเกินไปหน่อยอะ ถ้าเค้าทำแบบนี้ต่อไปเด็กรุ่นต่อๆไปอาจจะไม่กล้ามาฝึกงานที่นี่แล้ว
เห็นด้วยกับตอนจบที่คุณเนมแสดงความคิดเห็นมากๆ เราเคยเป็นคนที่ทำงานแบบไม่แคร์ใครเหมือนกันเพราะเข้าสังคมไม่เก่งไม่ชอบปั้นหน้า แต่มันทำงานยากจริงๆ บรรยากาศก็ตึงๆอึดอัดๆ พอเริ่มเปลี่ยนไปเข้าหาคนอื่นมากขึ้นมันเหนื่อยจริง แต่มันทำให้ทำงานง่ายขึ้นเยอะ บรรยากาศการทำงานก็ดีขึ้นด้วย
ขอบคุณคุณเนมที่ออกมาสรุปเรื่องคิดว่าน่าจะมีหลายคนที่ได้ประโยชน์จากทุกเรื่องที่คุณเนมเล่าเลย 👍👍👍
ในฐานะคนทำงาน, การทำงานจำเป็นต้องมีการส่งต่อ พูดคุย และหารือหลายๆอย่างเพื่อให้งานมันออกมา
การไม่ทักทายกันนั่นทำให้การรู้จักหรือการส่งต่องานอาจมีปัญหาหรือล่าช้า
ยกตัวอย่าง, หากลูกค้าต้องการแก้งานแล้วเพิ่งโทรมา เรายังเอิญเดินผ่านกันอาจทักทายบอกกันคร่าวๆ คุยรายละเอียด แล้วนัดเวลาประชุมได้เลย เร็วกว่าการส่งเมล์กันไปมาก่อนจะนัดคุย อะไรทำนองนั่น
เท่าที่ฟังก็ยังถือว่าคุณหนุ่ยแก้ปัญหาได้ดีนะ ฟังดูยังรู้สึกรับผิดรับชอบมากกว่าคำขอโทษที่เคยได้ยินผ่านหูมาหลายเรื่องอีก
มอง Snorlax ก็ยังยิ้มได้เสมอ
ตอนแรกเราก็เป็นคล้ายๆน้องฝึกงานนะ แต่แบบถ้ามีคนมาทักเราก็จะตอบ แต่เจ้านายตอนนั้นเรียกเข้าไปคุยแล้วพี่เค้าคอยสอน ขนาดเราบอกว่าเราสายตาสั้นค่ะมองหน้าคนไม่ชัด พี่เค้าพาไปตัดแว่น เราบอกจำหน้าคนไม่เก่งพี่เค้าปริ้นรูปคนในออฟฟิศมาให้เราจำ แล้วก็มีคำนึงที่พี่เค้าสอนคือการไหว้ การทักทายคนอื่น มันไม่ได้เสียอะไรอาจจะเสียเวลาเล็กน้อยแต่เราจะได้คอนเนคชั่นมา อันนี้เราคิดว่าปัญหามันอยู่ที่การคุยกันการปรับจูนกันในออฟฟิศ
นานๆก็จะเจอเด็กแบบนี้สักที ซึ่งแบบนี้ผมก็ไม่เอานะ ไม่เสียเวลาสอนหรือพูดคุยเพราะพูดคุยกันก็ไม่มีประโยชน์ ตัวตนสูงโลกส่วนตัวสูงเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง จะทำงานดีแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์อะไรกับองค์กร เพราะทำงานเป็นทีมไม่ได้เข้ากับเพื่อนร่วมงานไม่ได้ ถ้าไม่ปรับตัวก็ต้องลดงานและความรับผิดชอบลง ปล่อยให้แห้งตายกลายเป็นธาตุอากาศไปเอง ... โตๆกันแล้วชีวิตจริงโลกไม่สวยหรอกครับ ใครจะโง่เสียเงินจ้างมาให้เป็นปัญหา...
1. ประเด็นสอน(การใช้ชีวิต)ชาวบ้านไปทั่ว
1.1.ประกอบไปด้วย
- คิดว่าตัวเองเก่ง เกิดจาก ego ของคนนั้นๆเอง เช่น ประยุทธ์, คนรวยที่ชอบสอนคนจน
- คิดว่าคนอื่นโง่ หรือด้อยกว่าด้านใดด้านหนึ่ง เช่น ชาวบ้านมันซื้อเสียง พวกเราฉลาด 3แสนเสียงคุณภาพ เป็นต้น
1.2. การสอนควรอยู่ในบริบทที่ตัวเองชำนาญและไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับการใช้ชีวิตที่ไม่กระทบกับงาน
- การสอนงานเรียกว่า "หวังดี"
- การสอนใช้ชีวิตที่ไม่มีผลกระทบกับงานเรียกว่า "เสือก"
ผมมองว่าการไม่ไปกินข้าวกับเพื่อนร่วมงานไม่ได้ทำให้งานเสีย ส่วนเพื่อนร่วมงานที่รู้สึกไม่ดีควรจัดการอารมณ์ของตัวเอง ให้ถามตัวเองว่ามันมีผลกับงานด้วยหรือป่าว ที่คนนั้นกินข้าวคนเดียว
2. ประเด็นการบริหาร
2.1.การชมคนให้ชมในที่แจ้ง ตำหนิคนในที่ลับ เหตุผลเพราะ เสริมสร้าง/ไม่บั่นทอน "กำลังใจ" ของผู้ปฎิบัติงาน ไม่ใช่ลูกน้อง มีแต่ "ผู้ปฎิบัติงาน" กับ "ผู้อำนวยการ" (คอยอำนวยให้ผู้ปฎิบัติงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น) ผู้บริหารบางคนมันได้เท่านี้แหละ เพราะเวลาตำหนิคนอื่นมันทำให้ตัวเองดูดี(ดูดีเพราะชี้หน้าว่าคนอื่นเลว คุ้นๆไหมครับ) มันจะตบท้ายด้วยคำพูดที่ว่า "เป็นผมจะ...."(ซึ่งมันคนละบริบทกันอีโง่ เช่น คนรวยสอนคนจน ยั้ยแหละ)
2.2. เอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับงาน
โตเป็นควายยังแยกไม่ออกว่า
"ความรู้สึกส่วนตัว"(ว่าโดนเมิน) กับ
ผลงานที่เขาทำ มันคนละอย่าง คุณจะลงโทษหรือไล่ใครออกเพราะเขาไม่สังคมกับเพื่อนร่วมงาน "ไม่ได้" ไล่ออกแบบนี้ไม่เป็นมืออาชีพสักนิด
สุดท้ายผมเชื่อว่าหนุ่ยเลิกเป็นสลิ่มแล้ว(แล้วละมั้ง) แต่ควรทิ้งนิสัยสลิ่มด้วย(พวกนิสัยชอบสอนเรื่องใช้ชีวิตส่วนตัวของชาวบ้าน)
ชอบไปตามน้ำ ตามกระแสมากกว่า เขาบอกเองว่า ทำตัวเป็นไม้บรรทัด ศูนย์กลาง Multiverse
ถูกต้องที่สุด คิดว่าตัวเองเป็นศูนย์กลางจักรวาล
หนุ่ยก็ควรจะโดนโซเชียลแขวนแล้ว คนเป็นทั้งผู้บริหาร และเป็นอินฟลูเอนเซอร์ ดันออกมาตำหนิลูกน้องกลางสาธารณะ แล้วพยายามแสดงออกว่าตัวเองเก่ง เป็นใครก็โดนแขวนครับ ไม่ต้องพูดเรื่องผิดถูกเลย
เคยทำงานโรงงานที่ใหญ่พอสมควร พนักงาน 3,xxx คน ออฟฟิสอยู่ด้านหน้าโรงงาน ส่วนพื้นที่ปฏิบัตงานอยู่ท้ายโรงงาน ผมเป็นคนที่ต้องติดต่อกับหลายแผนก รู้จักคนแยะ เดินไปท้ายโรงงาน คอแทบเคล็ด ผงกหัวกันมันเลย พอไม่ทักก็แบบนี้แหละ งอน น้อยใจ บางครั้งประชุมที่ออฟฟิสเสร็จ ใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมงในการเดินไปดูปัญหางาน เพราะต้องทักผู้ใหญ่ เหนื่อยนะ บางครั้งรุ่นใหญ่ๆก็ลดลงบ้าง เจ้ายศเจ้าอย่างเนี้ย ผมเองก็อายุเยอะพอควร ยังไม่สนเลยว่ารุ่นน้องจะทักไหมเวลาเดินสวนกัน ขอแค่ตอนเราทำงานกับเขา มีบรรยากาศที่ดี และช่วยกันทำงานให้ออกมาดีก็พอ ไอ่บรรยากาศที่ไม่ดีเนี้ย เป็นเพราะเราคิดว่าเขาต้องเป็นแบบนั้น ทำแบบนี้ จนพาลมาใส่อารมกันนั่นแหละ
เราเป็น introvert เมื่อก่อนจะเดินเลี่ยงไม่ทักใครเลย ชอบอยู่คนเดียว โลกส่วนตัวสูง ตอนนี้ต้องละลายพฤติกรรม รู้สึกการทักทาย แค่สวัสดี หรือ hi พี่ ไปไหน ไปไหนมา ไปกินข้าวหรอ กินข้าวยัง ไม่กี่ประโยค ไม่เสียแรงเหนื่อยหรอกนะ การงานมันต้องคอนเน็คชั่นกัน เวลาลำบาก จะได้เกื้อกูลกันได้
สรุปได้ดีมากๆๆๆๆครับ👍👍👍👍
ทำงานให้เก่งมันสอนกันได้ ทุกตำแหน่งมีคนทำงานแทนได้ ใช้เหตุผลว่าเพราะฉันเป็นคนแบบนี้ คนเรามีหลายประเภท แล้วไม่ยอมปรับตัว เอาตัวเองเป็นหลัก เจอคนแบบทำงานด้วยแล้วเหนื่อยนะเอาจิง
ส่วนตัวก็ไม่ต้องชอบเข้าสังคม แต่การทำงานมันต้องมาการประสารงานและบรรยากาศในการทำงานเป็นสิ่งสำคัญ ถ้ายังอ่างว่าตัวเองคุยไม่เก่งหรือโลกส่วนตัวสูงก็ควรหางานทีเหมาะกับตัวเอง แต่ตราบทียังทำงานกับ คนอืนก็ควรจะปรับตัวแหละนะ
เราเป็นคนที่จะพูดจะสื่อสารตอบโต้เวลามีอะไรสำคัญหรือเกี่ยวกับงานเท่านั้น ถ้าเป็นเรื่องไร้สาระจะคุยแค่กับเพื่อนสนิท สำหรับคนอื่นการเข้าไปทักทายอาจเป็นเรื่องง่ายแต่สำหรับเราคือมันต้องผ่านกระบวนการคิดเยอะมากว่าจะตอบโต้ยังไง ต้องยิ้มแค่ไหน ต้องพูดอะไร ต้องมีมารยาทแค่ไหน กว่าจะคิดเสร็จก็อาจจะเดินสวนกันไปแล้ว หรือบางทีเราก็อยู่ในความคิดของตัวเองอยู่ก็ไม่ได้สนใจคนรอบข้าง รู้ตัวอีกทีก็เดินไปไกลแล้ว
คนเรามันต้อง “ฝึก” ครับ มันต้องหัดออกสังคมบ้าง อย่างน้อยก็เริ่มต้นด้วยการทักทาย ผมคนนึงที่เป็นแบบนี้ ไม่กล้าทักคนที่รู้จัก โลกส่วนตัวสูง ไม่ชอบไปสังสรรค์กับเพื่อน มันต้องหัดออกจากเซฟโซน ไม่ใช่จะอยู่ในที่ของตัวเองตลอด ผมเองก็ได้เรียนรู้ว่าคำพูดแค่ไม่กี่คำมันส่งผลต่อความรู้สึกจริงๆ ยิ่งทำงานในองค์กรที่มันต้องทำงานกันเป็นทีม ไม่สื่อสารกันเลยมันก็ไม่เรียกว่าทำงานดี คนโลกส่วนตัวสูงก็ต้องเรียนรู้การเข้าสังคมนะครับไม่ใช่จะอ้างว่าโลกส่วนตัวสูงตลอด พยายามพูดคุยซักหน่อยก็ยังดี
เอาตรงๆ ผมเชื่อในกฏธรรมชาติคัดสรร คนเรามันต้องปรับตัวครับ
ผมคือหนึ่งในนั่นเลย คือเป็นคนนึงที่ไม่ค่อยอยากเข้าสังคม เพราะว่ามันเหนื่อยที่ต้องปั้นหน้ายิ้มทำเป็นว่าไม่เป็นอะไรโอเคดี หรือใส่หน้ากากเข้าสังคม ทั้งที่ข้างในมันสวนทาง คือเป็นคนพูดไม่เก่ง ขี้อาย เลยไม่ค่อยอยากสนทนากับผู้คน จะแค่พูดคุยงาน โลกส่วนตัวค่อนข้างสูง แต่เวลาทำงานตั้งใจทำงานนะรู้สึกดีที่มีคนเข้าใจ
เข้าใจเลยครับ
ผมอายุ 65 ปี แล้ว ก็ต้องบอกว่า การเข้าสังคมเป็นสิ่งที่ยากจริงสำหรับผม ยากสำหรับคนที่มี 2 บุคลิก(bipolar) พวกเด็กเรียน(nerd) จะมีโลกในจินตนาการและโลกในชีวิตจริง รุ่นก่อนผมที่ผมนับถือก็มี จิตร ภูมิศักดิ์ ตัวผมเองก็มีปัญหากับอาจารย์ที่จุฬาฯ ถึงกับไม่ให้ผมเข้าห้องสอบ เพราะแต่งตัวไม่เรียบร้อย ดังนั้นผมจึงเชื่อว่าคนรุ่นต่อมาก็มีอยู่เช่นกันและอาจจะรุนแรงขึ้นด้วยเทคโนโลยี่เสมือน อย่างไรก็ตามผมก็เรียนจบและได้ทำงานที่ตัวเองรัก และผ่านงานมาหลายๆบริษัทฯ( มากกว่า 3) และผมก็ผ่านอุปสรรคต่างๆมาได้ น่าจะเป็นเพราะ ผมทำงานกับบริษัทฯ ต่างประเทศในไทยมาตลอด บริษัทฯมองในเรื่องผลงานมากกว่าเรื่องส่วนตัว และผมไม่ได้มีความบกพร่องทั้งในการทำงานและในเรื่องส่วนตัว ปฏิบัติตามกฎหมายและกฎระเบียบของบริษัทฯ ดังนั้นจุดมุ่งหมายในชีวิตของตน ต้องให้คำนิยามให้ชัดเจน หากต้องการแสวงหาชื่อเสียง ลาภยศ สรรเสริญ การมีconnection ก็สำคัญจริง ดังนั้น การรู้จุดมุ่งหมายในชีวิตแต่เนิ่นๆ จึงสำคัญมาก
เด็กพวกนี้เกิดมาเพื่อเปลี่ยนแปลง พวกเขาจะมีนิยามของความสำเร็จที่อย่าไปคาดเดาให้ปวดหัวเลย รู้แต่เพียงว่า “พวกผมรู้ตัวเองดีพอว่า ต้องการอะไร และรู้ว่าพวกคุณต้องการอะไร” ดังนั้น เขาจะทำให้ทุกคนสมหวัง แต่อย่าไปคาดเดาและให้เป็นไปเดินไปตามทางที่พวกเขารู้ว่าคุณอยากให้ไป แต่เขาไม่อยากไป เพราะพวกเขาสร้างเส้นทางเดินที่เขาก็ชอบและรู้ว่าพวกคุณก็ชอบเช่นกัน
คนเราไม่สามารถเก่งไปได้ในทุกรื่อง (ในตอนนี้) แต่ถ้ามีความพยายาม ขวนขวายหาความรู้ ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ก็เก่งได้ครับ ส่วน Connection สำหรับผมแล้ว เป็นปัจจัยหนึ่งที่คอยขัดขวางไม่ให้องค์กร ไม่ได้คนเก่งๆ เข้ามา และรวมไปถึงคอยผลักคนเก่งๆ ออกไปครับ (จากประสบการณ์ในการทำงานของผมเอง)
จริงครับการทักคนมันยาก บางครั้งก็จำเสียงเค้าได้นะว่าเป็นใครแต่ก็ไม่ได้อยากทัก การมาเป็นลูเซอฟังเสียงบ๊ายบายคุณ Nameมีความสุขกว่าเยอะเลยครับ
พอเข้าใจนะ.. ส่วนตัวก็เป็นคนไม่ค่อยชอบสุงสิงกับใคร เปิดใจให้คนยากมากๆ ซึ่งทุกอย่างก็มีเหตุผลของมันนะ ทุกคนถูกหล่อหลอมมาต่างกัน.. แต่ในกรณีนี้ กรณีในการทำงาน หรืออยู่ที่ทำงาน เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องสำคัญมากๆนะ.. การต้องเข้ากันได้กับทีมและผู้บริหาร.. กลมกลืนและเป็นหนึ่งเดียว..... ถ้าคิดจะไม่กลมกลืนและไม่เป็นหนึ่งเดียว ก็ควรจะแยกออกไปหาทำของตัวเอง ไม่ไปรบกวนพื้นที่ๆควรเป็นหนึ่งเดียวกันแบบนั้น(ผมก็ทำแบบนั้น).. ก็เข้าใจทั้งสองฝ่ายแหละ.. แต่ก็ไม่แปลกใจนะที่คุณหนุ่ยจะรู้สึกไม่ดี.. ถ้าจะให้แนะนำก็คือ ถ้าไม่คิดจะเป็นหนึ่งเดียวกลมเกลียวกับพวกเค้า ก็ออกมาจากพื้นที่ของพวกเค้าซะ อย่าไปรบกวนพวกเค้า.. แต่ถ้ามีเหตุผลที่ต้องจำใจอยู่ ก็ต้องยอมโอนอ่อนหรือปรับตัว(แม้จะไม่เป็นตัวของตัวเอง) เพื่อจะได้ทำสิ่งที่ควรทำควรเป็นและไม่รบกวนคนอื่นเค้าจนเกินไป.. มีจังหวะออกมาได้ก็ออกมา..... ถ้าฝืนอยู่เพราะเหตุผลของตัวเอง และปฏิบัติตัวแบบไม่แคร์ความรู้สึกใคร มันก็ไม่แฟร์กับเจ้าของพื้นที่เค้านะ..
ถูกของคุณจ๊ะ 🤩
เรื่องนี้สอนว่า คนที่เงียบ ๆ พูดน้อย โลกส่วนตัวสูง เน้นทำงาน อย่า ... อย่าซวยไปทำงาน บริษัทที่ ผู้บริหารหรือหัวหน้างาน ถนัดด้านพูดและ เน้นเข้าสังคมสูง
ผมเข้าใจทั้ง2ฝ่ายนะ ผมก็เป็นคนที่จะไม่ค่อยมีเพื่อนใหม่สักเท่าไหร่จะมีแต่เพื่อนที่อยู่กันมานานเพราะเป็นคนไม่ค่อยคุยสักเท่าไหร่ทักทายได้แต่หลังจากนั้นถ้าเค้าไม่ถามผมก็คงเงียบ แต่ทักทายเป็นสิ่งที่ควรทำนะครับ เราเป็นสัตว์สังคมไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวบนโลก มันหงุดหงิดนะสำหรับผมถ้าเพื่อนที่ทำงานนั่งโต๊ะติดกันแต่ไม่คุยไม่มีปฏิสัมพันธ์เลยมันก็เกินไปจะไม่คุยไม่ทักทายกันเลยรึไงวะอยู่ด้วยกันนั่งข้างกันแท้ๆ
@@Dark.Picture.Entertainment Toxic ตรงไหน นอกเวลางานก็คือเวลาส่วนตัว แค่เจอกันเวลางานก็เยอะพอแล้ว เวลาส่วนตัวก็อยากทำอย่างอื่นมั้ง จะมาบังคับคนอื่นให้ทำโน้นนี้นั้น ไม่ Toxic กว่าหรอ ?
@@Dark.Picture.Entertainment ผิดกฎหมายไหมครับ
หางานขายของไป
"อย่า"ไปทำงานบริษัท
"ให้คนอื่นซวย"
บริษัทฯทุกบริษัทเขาเป็นแบบนี้ทั้งนั้นแหละ
ผีปอบไม่มองหน้าคน ไม่มีปฏิสัมพันธ์ อย่าไปทำให้องค์กรเขา"ซวย"เลย
@@Dark.Picture.Entertainment แบบคอมเม้นนี้อะป่าวววว
พูดจากประสบการส่วนตัวนะ ผมเคยเจอ เด็ก ที่ทำงานร่วมกันที่มีอาการ คล้ายๆแบบนี้นะ เดินผ่าน ไม่ทักทาย ไม่ทักใครเลยทั้งๆที่เค้าอายุน้อยสุดในทีม ลองนึกภาพตาม ทีมทำงานทีมนึง ที่เข้าออฟฟิสมา ทุกคนกล่างคำทักทายกัน ตอนเช้าที่เจอกัน สอบถามสารทุขสุขดิบกัน เมื่อคืนไปไหน มีอะไรยังไง บรรยากาศในการทำงาน ยิ้มแย้ม สนุกสนาน กับเด็กคนนึงเดินมา ไม่สนใคร ไม่ทักทายใคร ผู้ใหญ่ไม่ถือ ทักทายก่อน ก็ไม่ตอบ ไม่ทักทายกลับ บรรยากาศในที่ทำงานพังเลยนะครับ วันๆนึงคุณมาทำงานยิ้มแย้ม มาเจออะไรแบบนี้ แย่นะ
เก่งก็อยู่ส่วนเก่งไป เก่งให้สุดละกันนะน้อง ไปให้สุดแต่ถ้าไปไม่สุดอย่ามาคุยกับพี่
ถ้าผมเป็นระดับประธาน ผมก็เชิญออก เพราะผมเป็นคนควบคุมทิศทาง วิสัยทัศน์ ความเป็นอยู่และความเป็นไป สังคมของบริษัท แล้วหากใครมีพฤติกรรม ขัดแย้งกับสิ่งต่างๆที่กล่าวมา ก็เชิญให้เขาไปเจอกับสิ่งที่เขาต้องการและสามารถอยู่ร่วมกับสิ่งๆนั้นได้ เป็นคนจ่ายเงินก็ต้องการคนที่มีอะไรๆร่วมกันเพื่อผลักดันบริษัทไปสู่เป้าหมาย ส่วนเรื่องแขวนก็ถือว่าไม่เหมาะสม มันเป็นเรื่องในบริษัท
คุณก็ฝึกให้น้องเขารู้จักเข้าสังคมสิครับ ผมเป็นหัวหน้างานก็เคยเจอคนแบบนั้น อยู่ที่เราทำตัวให้คนแบบนั้นกล้าเข้าหาเรามั้ย คุณหนุ่ยเบื้องหลังเป็นคนเฮฮาแบบหน้าจอหรือเปล่า อยู่ที่คุณนายจ้างครับ
ผมเกิดปี97ครับ ผมเริ่มทำงานบริษัท2ปีก่อน งานคือไม่ต้องยุ่งกับใครเลย ผมโอเคมาก มีบ้างที่ต้องติดต่อกับคนที่เกี่ยวข้องในบริษัท แต่ต่อมาผมต้องมาทำงานร่วมกับคนอื่นครับ หลังโควิดดีขึ้น ผมเหนื่อยกับการยิ้ม ทักทาย หาเรื่องคุยกับคนในออฟฟิศ เหนื่อยครับ555ทเหนื่อยกว่าทำงาน ผมมากินเบียร์กับเพื่อนตอนเลิกงาน ผมบ่นทุกวัน ว่าอยากทำงานคนเดียวมากกว่า ผมไม่ได้อวยตัวเองนะ แต่ผมจบหน้างานได้เร็วกว่า พอคนเยอะ เรื่องก็เยอะ การคุมเวลาก็ไม่โอเค แถมเหนื่อยกับการทักทายคนจำนวนมากด้วย ซึ่งส่วนใหญ่ อายุมากกว่าผม หลังๆบางทีผมก็แค่เงียบๆ ไม่มีอะไรให้คุยหนิครับ แต่เขาก็จะถามว่า เป็นไรทำไมเงียบๆ เหนื่อย!
น้องแมวน่ารัก 😊😊
คำว่า"มนุษย์เป็นสัตว์สังคม" ไม่ได้ผุดขึ้นมากลางอากาศ ในบางเรื่องมันยากที่จะตามใจตัวเอง
มันเหนื่อย มันท้อ มันหนักใจ ไม่สบายใจแค่ไหน บางคร้งต้องกล้ำฝืนทน ทำมันไป
เพื่อเอาตัวรอดในสังคมอันโหดร้าย เพื่อเงินตรา เพื่อความสบาย เพื่อโอกาสและการมีอยู่มีกิน
เราเองก็เป็น introvert ที่เข้าสังคมไม่เก่ง จะเข้าสังคมที่ก็เตรียมใจมาเยอะมาก แต่ที่สังเกตุเด็กที่จบใหม่สองสามปีหลังเวลาทำงานด้วยคือ เข้าสังคมในชีวิตจริงไม่เก่ง แต่เข้าสังคมออนไลน์เก่งมาก
เหมาะกันการทำงานหลังบ้าน แบบไม่ต้องไปเจอลูกค้า แค่อีกหน่อยอาจจะมีปัญหาตรงพอขึ้นไปตำแหน่งที่สูงขึ้น ต้องเจอคนมากขึ้น มันจะประตัวยากมาก
ผมว่า เรื่องการสื่อสารเป็นสิ่งสำคัญนะครับ อย่างน้องที่ฝึกงาน เเล้วทำที่ตัวเองได้ดีก็ไม่มีปัญหา แต่เท่าที่ผม เจอและต้อง ประมาณงานสำหรับน้องที่เริ่ม ทำงานใหม่ หลายคนไม่สื่อสารการทำงานเป็นทีม มันจะไม่เกิด ตอนเเรก ผมคิดว่า คงเป็นแค่คนบ้างคน แต่พอผ่านไปตอนนี้เริ่มรู้สึกว่า หน้าจะ Gen ของคนGen นี้
***สิ่งหนึ่งของปัญหาคือคุณควรปรับตัวเข้าหา โลก หรือ โลกควรปรับ เข้าหาคุณ***
นี่ก็เหนื่อยกับการทักทายเหมือนกัน แต่ชีวิตก็ยังต้องสื่อสารอยู่ดี ไม่ได้อยู่ในป่า หรือติดเกาะคนเดียวก็ว่าไปอย่าง เลิกงานอยากเงียบเข้าถ้ำก็ทำไป
ต่างคนต่างมุมเนาะในการอยู่ร่วมกัน แต่สำหรับผมไม่ทักไม่เท่าไหร่แต่ชวนกินข้าวแล้วเมินนี่ก็เกินไป ไม่ชอบไม่สะดวกใจอะไรก็ตอบปัดได้นะครับอย่าเมินกันเลย
ทักทายใครสักคนไม่เหนื่อยหรอก จะเหนื่อยก็ตรงที่ต้องทักให้ครบทุกคนที่รู้จัก ไม่งั้นคนอื่นจะน้อยใจและสงสัยว่าเราโกรธไรไม่ทักเขา แถมบางคนพอทักแล้วก็คุยยาว ไร้สาระ ลามปาม บ่นเรื่องส่วนตัว นินทาเรื่องชาวบ้าน ชวนไปเที่ยวไปนั่นไปนี่ จะให้ปฏิเสธตลอดเวลาก็ใช่เรื่อง ทุกวันนี้เราก็เลยคุยกับเพื่อนร่วมงานแค่เรื่องงานพอ ไม่คุยนอกเรื่อง หมดเวลางานก็แยกย้าย ถึงจะไม่มีทั้งเพื่อนสนิทและคอนเน็คชั่น แต่ก็สบายใจ
+1 ตอนเข้างานใหม่ๆก็ทักทุกคน พอไปสักพักเวลาเลิกงานไม่ได้เป็นของเราอีกต่อไป ช่วยไปโน้นไปนี้ เจอข้างทางก็ชวนกิน แล้วก็ต้องหารทั้งๆที่ไม่อยากจะกิน
ทุกวันนี้ไม่ทักใครเลย คุยแค่เรื่องานเวลางานจบ
@@zafreelove2169 ใช่คนแม่งจะเอาไรหนักหนาวะแค่ทำงานเพื่อเงินให้อยู่รอดไปวันวัน
ผมก็เป็นหนึ่งในคนจำนวนนั้นนะ ที่ค่อนข้างจะมีsave zone เป็นของตัวเองสูง ไม่ชอบการเข้าสังคม ไม่ชอบสร้างภาพลักษณ์ มันฝืนความเป็นตัวของตัวเอง แต่ผมก็ไม่ถึงกับขนาดที่จะปฎิเสธคนอื่นที่มีไมตรีดีๆให้ มันมีหลายบริบทนะ ถ้ามองในแง่ของน้อง ไม่ว่าผู้ใหญ่อาจทำตัวให้เขาไม่นับถือ พฤติกรรมพนักงานประจำที่เอาเปรียบพวกเขา คิดได้หลายแง่มากในมุมของเด็กฝึกงานที่แบไต๋เอ่ยถึง แต่ยังไงเรื่องขององค์กรก็ไม่สมควรนำมาเปิดเผยแก่บุคคลภายนอก มันเป็นเรื่องของภายใน บางทีคนประเภทน้องสองคนดังกล่าว เราต้องทำให้เขาเชื่อใจ ไว้ใจ และเคารพเราก่อน ก่อนจะไปถามหาความมีมารยาทกับเขา เพราะผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้นนะ เข้าใจน้องสองคนนี้ดีคับ
จะมองว่าเป็นเรืองค่านิยมก็ได้ค่ะ
สังคมเกาหลีญี่ปุ่นยิ่งหนักค่ะ
คิดว่าน้องไม่ถูกเท่าไหร่แต่คุณหนุ่มสามารถตักเตือนได้ ถ้าหวังดีกับน้องจริงๆค่ะ
ทุกวันนี้มาทำงานเพื่อหาเงินครับ ถ้ามีเงินไม่สไลด์หน้ามาทำงานให้เสียเวลาหรอก คงนั่งถูมือถือเล่นๆ ในบ้านอะ
ใช่ๆ
มีพนักงานในบริษัทเป็นแบบนี้คนนึงเลย
ทำงานดี ลุกค้า(บางคน)ชอบมาก ลูกค้าที่ไม่ชอบ คือ เกลียดเลย
มีพฤติกรรมมองไม่เห็นคนอื่น เป็นอากาศธาตุ ไม่รวมแม้กระทั่งหัวหน้า หรือ เพื่อร่วมงาน ไม่มีเพื่อน เพราะเพื่อนร่วมงานเองก็เจอพฤติกรรมประหลาดของเค้าเกือบครบทุกคน จนไม่มีใครอยากพยายามจะเข้าใจ เลยปล่อยผ่าน
ปัญหาคือ เค้าจะมีพฤติกรรมแบบนี้กับลูกค้าด้วย ซึ่งทำให้ภาพลักษณ์บริษัทเสีย ดังนั้น ทำได้แค่คอยเฝ้าระวังไม่ให้เกิดปัญหา เพราะอย่างไร เค้าก็เป็นที่รักของลูกค้าบางกลุ่ม
สุดท้ายมองที่ outcome หรือ มองที่อะไรกันแน่ ในการทำงาน มองความสัมพันธ์ ความมีสัมคารวะหรอ
ถ้าโตพอระดับนึง เกือบทุกคน ต้องการลูกจ้างที่ปกครองได้ง่าย ไม่มีใครอยากได้ลูกจ้างที่ปกครองได้ยาก ผมก็เคยเป็นลูกจ้าง เเละ เคยเป็นนายจ้าง ยุคนี้ เป็น ยุค คอนเน็คชั่น เเละ คำว่า ผู้ใหญ่เเปลว่า เค้า มีคอนเน็คชั่นคุณภาพมากกว่า เรา ทำไงหละให้ได้มา ก็ต้องไปคิด
วันนี้มาแบบเท่เลยนะคะ ย้อนดูตอนเปิดคลิปหลายครั้งมาก ตอนคำว่า แทค แทค แทค 🧐😁
จริงๆเราอยากทักทายคนอื่นนะ แต่เป็นคนเข้าหาคนไม่เป็นและต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการทักแต่ละที บางทีก็ถูกมองว่าหยิ่งไปเลย ท่าตัดเรื่องการทักคนอื่นไม่ไปต้องสนใจมาก เราคิดว่ามันน่าจะใช้ชีวิตง่ายขึ้น
ชอบประโยคสุดท้ายอะ ที่หมายถึงทำอะไรก็ทำเถอะชีวิตมันสั้น
เก็บไว้เป็นประสบการณ์ชีวิตครับ นี้ละสังคมโลก
Love your contents
การไม่สื่อสารกับคนอื่น ถึงเป็นเรื่องส่วนตัวก็จริง แต่เมื่อคุณมาอยู่ออฟฟิศ ก็ต้องให้เกียต ผู้อื่นด้วยเพื่อคำว่า team work ยังไงก็ต้องปรับตัวเหมือนคนอื่นเขา ถ้าทำไม่ทำหรือไม่คิดที่จะทำเพราะ เหตุผลลำบากลำบนต่างๆนาๆใดๆ ก็นอนอยู่บ้านจะดีกว่า คนทำงานมันก็ต้องสู้ชีวิตปรับตัวกันทั้งนั้น
ผมคนเจนX นะ ถ้ามีเด็กมาฝึกงานแล้วผมเป็นเจ้าของ ผมทักน้องก่อนยังได้เลย "สวัสดีครับ" "เป็นไงบ้างน้อง(จำชื่อได้ก็ดี)" "ว่าไง ฝึกงานเป็นยังไงบ้างครับ" ง่ายๆอะไรก็ได้
โทนเสียงผ่อนคลายหน่อย ไม่ต้องพิธีรีตรองมาก ให้น้องหายเกร็งน้องก็น่าจะคุยกับเรา แต่ถ้าบางคนทักไปแล้วไม่หือไม่อือสักทีก็คงต้องสังเกตหน่อยนะ หรืออาจจะเรียกไปถามว่าเค้าอึดอัดหรือเจอปัญหาอะไรบ้างรึเปล่า
ผมคนรุ่นเดียวกับคุณหนุ่ยก็พบเจอคนมาพอสมควรก็รู้นะว่าไม่ว่าคนรุ่นไหนๆ ก็จะมีคนทั้งที่เข้าสังคมได้ดีและบางคนที่เข้าสังคมไม่เป็นเลย
เราคือ.. Introvert ครับ ผมเข้าใจน้องๆดีเลย
#มีพลังงานในการจัดการคนทีละน้อยๆ
การทำงานในองค์กรใหญ่ๆ การเข้าสังคมมันจำเป็นจริงๆ เข้าใจคนที่การเข้าสังคมมันยากสำหรับเขานะ เราก็เป็น แต่พอเข้าไปทำงานถึงได้รู้ ว่าถ้าอยากจะทำงานที่นั่นต่อไปให้รอดคือมันต้องมีการพูดคุยติดต่อกับคนอื่นนอกเหนือการทำงานจริงๆ มันเหมือนกับการสร้างมิตร ยิ่งถ้างานเป็นงานที่ยังต้องทำร่วมกับคนอื่นมันยิ่งจำเป็น ไม่งั้นเราจะกลายเป็นว่าหัวเดียวกระเทียมลีบ ติดต่องานอะไรใคร หรือขอความช่วยเหลือใครค่อนข้างยาก ก่อนเข้าทำงานก็ไม่คิดว่ามันสำคัญ แต่พอเข้าไปก็คือรู้ได้เลยว่ามันไม่รอดจริงๆถ้าไม่ฝืนตัวเอง ถ้ายังคิดอยากจะไปต่อกับองค์กรนั้นก็จำเป็นต้องปรับตัว แล้วการปรับตัวนั้น สักพักมันจะกลายเป็นเหมือนเราถูกวัฒนธรรมขององค์กรกลืนกิน กับเด็กรุ่นใหม่ไฟแรงถ้าคุณมีฝีมือ มีความสามารถ ไม่จำเป็นที่ว่าฉันต้องเอาที่นี่ให้ได้ ก็สามารถหาที่ที่เข้ากับตัวเองให้ได้ ซึ่งมันดีมาก แต่มันก็จะมีคนอีกกลุ่มอย่างเช่นเรา ที่ความสามารถไม่ได้มากมายโดดเด่น ถ้าได้งานแล้วก็ต้องรีบคว้าโอกาส ก็เลยกลายเป็นว่าต้องยอมปรับตัว ฝืนตัวเองให้มีสังคมให้ได้
เรื่องแบบนี้ก็แค่รู้จัก ทางสายกลาง เรียนรู้ที่จะเข้าสังคมเท่าที่จำเป็น ไม่มีสังคมเลยสุดท้ายก็จะถูกลืม หรือโดนคนเข้าใจผิดๆ ไม่เท่หรอกครับ ความอินดี้ที่เกินพอดี
ส่วนตัว Introvert แบบที่เจอน้อยมากๆๆในการแบ่งกลุ่ม เลยรู้สึกตัวเองประหลาดท่ามกลางเพื่อนๆ แต่ก็เข้าสังคมการเรียนหรือทำงานได้ปกติค่ะ ชอบทำหน้าที่ตัวเองให้เรียบร้อยก่อนค่อยเล่น
อาจจะดูเงียบๆในสายตาของคนอื่นที่ไม่สนิท แต่ถ้าสนิทคือพูดได้น้ำไหลไฟดับ
จริงๆมองว่ามันไม่เกี่ยวกับการIntrovertมากน้อยหรอกค่ะ มันเกี่ยวกับทัศนคติในการปรับตัวของบุคลลนั้นๆ ว่าจะยอมลดอัตตาลงเพื่อเพื่อนมนุษย์ไหม ยอมถอยความสุดโต่งเพื่อคนร่วมสังคมหรือเปล่า 😉
เห็นด้วยนะ เพราะส่วนใหญ่ ชอบใช้คำว่า Introvert มาเป็นข้ออ้างในการไม่มีปฏิสัมพันธ์ กับคนรอบข้าง
ถูกเลยครับ ผมก็ไม่ค่อยจะพูด แต่ก็จะพยายามพูดทุกครั้ง เวลาที่รู้ตัวว่าทำให้คนอื่น อึดอัด ผมรู้ตัวว่าพูดน้อย ผมพยายามจะเข้าใจคนอื่นเวลาที่เจอกันแบบผม ไม่ใช่แบบทุกคนต้องมาเข้าใจกุดิ
ไม่ได้ดูมาสักพัก กลับมาดูวันนี้ ห้องสวยดีครับ น้องเล่าสนุกเหมือนเดิมเลย สวยขึ้นด้วยนะครับ ปล.ชอบที่มีน้องแมว
ทำงานกับคนหมู่มาก ต้องปรับตัว และให้เข้าใจ วัฒนธรรมขององค์กร พึ่งมาและเป็นเด็กฝึก ไม่ทักใครก่อน ถือตัวว่า ทำงานแต่ของตัว เสร็จแล้วไง คนนอกจะมองว่า โรคส่วนตัวสูง ไม่อยากยุ่งด้วย คือการเสียโอกาสเรียนรู้และคำชี้แนะ ผู้บริหารจะมองว่า ขาดความภักดีกับองค์กร ทางทหารจะมองว่า ช้าเร็ว มันต้องขบถ แนะนำให้ไปทางสายดนตรี วาดภาพ ปั้น แกะสลัก จะรุ่งกว่า ถ้าเป็นผม จะหาเด็กใหม่ทันที เพราะยุคนี้ ปาก SOCIAL มันเป็น TOXIN แทบทุกคน มีปากเอาไว้พล่าม ใครเดือดร้อนไม่สน
รู้จักกลุ่มคน Neet หรือฮิคิโคโมริไหม
เป็นเหมือนกัน ไม่ชอบเข้าไปนั่งในวงสนทนาภาคเที่ยง แค่ไม่ชอบเวลาที่ต้องมานั่งฟังเม้ามอยเพื่อนร่วมงานกันเอง เลยยอมที่จะไม่เข้าวงสนทนา เพราะมันไม่ถูกจริตทางเราจริงๆ แต่กลับโดนมองว่าไม่มีสัมพันธไมตรีที่ดีซะงั้น
เราก็ introvert นะกว่าจะรวบรวมพลังพูดคุยกับคนอื่นได้พอโดนเมินคือจะเฟลมากๆเหมือน
ส่วนตัวพยายามจะปรับให้เป็นคนเฟรนลี่มากขึ้นมันสำคัญในการเข้าสังคมมากๆ แล้วเราก็ปรับเพื่อตัวเราเองถึงกลับมาบ้านแล้วจะสภาพเหมือนซอมบี้ก็ตาม5555
พลาดที่เอามาแขวน ในแง่การทำงาน เราก็หางานที่เหมาะกับตัวเอง โลกส่วนตัวสูง อาชีพนักเขียน วิศวะแท่นขุดกลางทะเล หรือทำงานกับเครื่องมืออะไรแบบนั้น หาให้เจอที่เหมาะกับเรา ส่วนงานที่ต้องอาศัยคอนเน็คชั่น พูดคุยก็เลี่ยงซะ ก็เนื้องานมันเป็นแบบนั้น รวมถึงสังคมด้วย สังคมไทยนิยมพูดคุยกัน ทักทายกัน และบางทีก็มีเส้นบางๆคนเงียบๆ แต่ก็เข้ากันกับเพื่อนได้ดีกับเงียบๆแต่บรรยากาศเสียเลย สังคมก็มาจากพฤติกรรมคนส่วนใหญ่จุดนั้นๆ มูฟไปเลยดีกว่า ถ้าลองแล้วไม่ใช่ แต่ถ้ามีความจำเป็นก็มีแต่ต้องปรับตัวเท่านั้น
คือมันจะง่ายถ้ามีคนที่เข้าใจ ความแตกต่าง รู้วิธีที่เข้าหา ถ้าน้องไม่ชอบเข้าสังคม ก็แค่เข้าใจรักษาระยะห่างตามสมควร แต่ไม่ใช่ปล่อยให้โดดเดี่ยว และไม่ใช่การหมู่มากไปบังคับให้ทำตาม
การเข้าสังคมมันเหนื่อย ต้องใช้พลังงานเยอะจริงๆนะ ตอนโควิดที่ห้ามทุกคนออกจากบ้านในมุมนึงของจิตใจเราก็แอบดีใจเล็กๆ
ขอบคุณโลกยุคนี้ที่มีการขายของออนไลน์ ถ้าต้องไปนั่งขายในตลาด พูดคุยกับลูกค้าทุกวันเราต้องบ้าตายแน่ๆ
คิดว่าน้องคงยังไม่เข้าใจว่า การทำงานจริงๆไม่ได้มีแค่งาน ถ้าน้องเปิดใจเรียนรู้ก็จะสามารถพัฒนาไปสู่ความเป็นมืออาชีพได้ เป็นกำลังใจให้น้อง ส่วนโพสของคุณหนุ่ยเป็นประโยชน์นะครับทำใจกลางๆ ก็จะเข้าใจ
ผมว่าเรื่องนี้เขาควรจะเรียกกันมาคุยกันดีกว่า ให้คำแนะนำ หรือ ปลุกไฟเขา ถ้าไปพูดในที่สาธารณะแบบนี้ไม่ได้ช่วยอะไร ยิ่งทำให้น้องเขาเกร่งกว่าเดิมอีกทีนี้
ขอแสดงความคิดเห็นในมุมคนที่ไม่ได้เป็น introvert หรือ extrovert นะครับ ผมกลางๆเลย
ผมอ้างอิงจากข้อความที่คุณโพสนะครับ ที่บอกว่าทางพนักงานก็พยายามทักน้องบ้าง ชวนกินข้าวบ้างแต่น้องไม่ตอบกลับเลย ซึ่งตรงนี้ผมมองว่าทางคุณหนุ่ยพยายามที่จะสร้างสัมพันธ์ระหว่างคนในองค์กรแล้วนะครับ แต่สิ่งที่น้องปฏิบัติตอบคือเมินเฉย ไม่สนใจ ผมว่าประเด็นมันอยู่ตรงนี้ครับ มันเป็นเรื่องมารยาทในที่ทำงานในการกล่าวทักทายกัน
ส่วนตัวผมมองว่า มันไม่น่าเกี่ยวกับกับการเป็น introvert นะครับ เพราะเค้าไม่ได้ให้เราไปจับกลุ่มเม้าหรือต้องไปทักทายมันทุกคนกินข้าวด้วยกันตลอดขนาดนั้น มันเป็นแค่การทักทายตามมารยาทในที่ทำงานครับ อารมณ์แบบชวนกินข้าวไปงั้นๆอ่ะ ไม่ได้คาดหวังว่าต้องไปกินด้วยก็แค่บอกไม่สะดวกครับ เคยตามสบายเลยพี่
คีย์เวิร์ดมันคือแค่การทักทายตอบกลับเฉยๆ
สรุปได้กระชับดีครับ ชอบมากๆ
จริงเหนื่อย ที่ต้องมานั่งทักทาย ทุกคนที่อายุมากกว่า ต้องเข้าสังคม จนตอนนี้ อายุ 35 ปีแล้ว ยังขี้เกียจทัก ทายเข้าสังคม เลย เลยเลือกอยู่ กับบริษัทที่เขา ไม่ต้อง สนใจเรื่องพวกนี้ ที่เราอยู่ แกสุดก็ 60 ปีแล้ว เขาก็คงปลงกับคนรุ่นใหม่แล้ว ยึดติดไว้ก็เท่านั้น สนใจเด็กรุ่นใหม่มากก็เท่านั้น เราไม่ชอบที่ต้องออกไปสังสรรค์แทบทุกวัน กินข้าว เย็น อยากทำงานกลับบ้านพักผ่อน สู้กับวันถัดไป คิดดูนะถ้าเข้าสังคมมาก ตี2 ยังไม่ได้กลับบ้านเลย เหนื่อยบอกตรงๆ เช้ามายังต้องมานั่งยิ้มปั้นหน้า สวัสดีค่ะพี่ แบบนี้หรอ มันก็แล้วแต่ สังคมที่ทำงานด้วย คนที่ทำงานบันเทิง ที่ต้องคุยกับคนตลอดเวลา ก็ต้องปรับตัวแต่ ให้เวลาเด็กหน่อยเถอะ 1 ปี ยังปรับกันไม่ได้หลอก