รู้ว่าผิดจึงถูก

Поделиться
HTML-код
  • Опубликовано: 27 янв 2025
  • #AIvoice
    เรามีเรามีเขาในโลกความจริง
    ทุกๆสิ่งสัมผัสได้ทุกๆคน
    เรามีเรามีเธอเป็นตัวเป็นตน
    ไม่หลุดพ้นก็ยังมียังเป็นกัน
    ฉันรักเธอหรือว่าเธอรักเขา
    ต่างมีเรามีรักมีความฝัน
    เพลงมากมายที่แต่งที่ร้องกัน
    ต่างมีฉันมีเธอและมีเขา
    เพราะโลกนี้มีเธอเป็นของฉัน
    แล้วมีฉันรักเธอจึงมีเรา
    เพราะใจเธอเปลี่ยนแปลงไปมีเขา
    รักสามเศร้าของเราทั้งสามคน
    รู้ว่าผิดจึงถูกชวนให้ย้อนดูตัวเอง
    เมื่อฟังเพลงแล้วลองมองหาความจริง
    รู้ว่าผิดจึงถูกชวนให้รู้ทางละทิ้ง
    เมื่อโดนติงโดนว่ายังมีเรา
    ยังมีเราอยู่ไหมหรือแค่พูดไม่มีเรา
    โลกุตตรธรรมเป็นเรื่องที่ยากสำหรับปุถุชน การรู้ผ่านภาษาแล้วคิดเข้าใจ พาให้เชื่อไปเองว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เอามาสอนเพื่อให้ได้อย่างนั้นอย่างนี้ ถกเถียงกันในโลกออนไลน์โดยไม่คำนึงถึงบริบท สำหรับคนอยู่กับโลกนั้นต้องมีโลกียธรรม ต้องดำเนินชีวิตที่อาศัยอัตตาตัวตน ดังนั้น อัตตามีก็ได้ไม่มีก็ได้ ตัวตนมีก็ได้ไม่มีก็ได้ ใช่ว่าจะยึดมั่นว่าห้ามมี การยึดมั่นว่าทุกอย่างว่างเปล่า แล้วปฏิเสธสมมติเพื่อหลอกตัวเองให้ไม่นึกคิดปรุงแต่ง ก็เพื่อสนองอัตตาตัวตน เพื่อกูจะได้ดีได้เก่ง เป็นหลุมพรางที่พวกบ้าธรรมะพลาดแทบทั้งนั้น สุดท้ายก็ออกมาอวดตัวตน อยากให้คนยอมรับว่าตนเป็นผู้บรรลุธรรม เอาโลกุตตรธรรมมาใช้ในบริบทที่ไม่ใช่ ดังนั้นคำพูดของพระพุทธเจ้า ของพระอรหันต์สาวก ของครูบาอาจารย์ ที่เอามาใช้อ้างอิงจึงทำให้สัทธรรมปฏิรูปเฟื่องฟู เห่อธรรมะปลอม หลงว่าเข้าใจอะไรมากมาย แล้วก็ปรุงแต่งกันไปต่างๆ
    สักกายทิฏฐิเป็นสมุทัยอย่างไร?
    ปุถุชนไม่ควรคิดละกามใดๆ ด้วยการสักแต่ว่าเห็นสักแต่ว่าได้ยิน เพราะภูมิจิตภูมิธรรมยังไม่ถึง พาให้หลงยึดเอาสักแต่ว่าโง่ๆ ไม่ได้ละกามเพราะเห็นความจริงด้วยปัญญา
    ดังนั้นรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ สำหรับปุถุชนใช้ประโยชน์ในการดูจิตดูใจตน มันแปรเปลี่ยน มันเกิดดับทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อยู่ตลอดเวลา หาได้มีตัวตนที่เป็นเรา เป็นวิญญาณอย่างในหนังในละคร
    การเจริญสติปัฏฐานของปุถุชนก็เพื่อเห็นสักกายทิฏฐิ เห็นว่าความเป็นตัวตนอันมีรูปกายและนามกายอิงอาศัยกัน มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ทุกขณะจิต
    การเห็นเองจนประจักษ์ต่อไตรลักษณ์ จะละสักกายทิฏฐิได้ว่า เราที่เป็นเช่นวิญญาณผี เป็นจิตอมตะนั้น มันเป็นการทึกทักเอาเองว่า มีเรา มีตัวตนนี้มาตั้งแต่ก่อนเกิด และคงอยู่เมื่อตาย เช่นเดียวกับเทพ (ศาสนาพราหมณ์) วิญญาณ (ศาสนาผี) เป็นเหตุให้ปุถุชนเข้าใจคำสอนพระพุทธเจ้าไปคนละเรื่อง ไม่รู้ว่าปรัชญาจิตนิยมเป็นเท็จ
    ปุถุชนย่อมเป็นทุกข์อันมีรากเหง้าของความเห็นผิดและคิดไปอย่างผิดๆ
    ความยึดมั่นอันเป็นสักกายทิฏฐิ มันเป็นเหตุแห่งทุกข์ เป็นสมุทัย เพราะทำให้งมงายว่ามีบางสิ่งเป็นเรา หรือเป็นเทพ เป็นวิญญาณ เป็นเจ้ากรรมนายเวร สามารถดลบันดาลสิ่งที่เป็นคุณเป็นโทษต่อมนุษย์ จึงหลงในบุญในบาปโดยขาดสติสัมปชัญญะ
    ตกเป็นเหยื่อพวกหลอกลวงต้มตุ๋นอย่างหนึ่ง
    และทำให้เสียโอกาสต่อการแสวงหาธรรมแท้อีกอย่างหนึ่ง มักจะติดใจกับธรรมปลอมที่สอนโดยเหล่ามิจฉาทิฏฐิ พาให้เสียเวลาไปกับเรื่องไร้สาระ งมงายพิธีกรรม โลภเอาบุญ เอาโชคลาภ
    การเผยแผ่ธรรมะของผู้ยังละสักกายทิฏฐิไม่ได้ เรียกว่าเป็นอสัตบุรุษยิ่งกว่าอสัตบุรุษ เลวร้ายกว่าพวกทุศีล พวกทำเดรัจฉานวิชา พาคนให้มืดบอดไม่เห็นธรรม ห่างไกลมรรคผลนิพพาน
    เพราะฉะนั้นปุถุชนควรทำความเข้าใจให้ได้ว่าสักกายทิฏฐิไม่ใช่แค่ 'ฉันเป็นใคร' ตั้งแต่เกิดจนตายเท่านั้น
    *มันมีความเป็นเราที่ยึดมั่นต่อไปยังชีวิตหลังความตาย ทำอะไรเพื่อให้ได้ไปเกิดดีๆ ไปเป็นเทวดา ไปแดนสวรรค์แดนนิพพาน ได้การไม่กลับมาเกิดอีก ทำนั่นทำนี่เพื่อจะได้ในสิ่งไม่มีอยู่จริง
    *แทนที่จะทำปัจจุบันด้วยมรรคมีองค์แปด ด้วยศีล สมาธิ ปัญญา เพื่อความรู้แจ้งหลุดพ้นในชีวิตนี้
    ขอให้มีความแยบคายว่าสักกายทิฏฐิเป็นสมุทัยอย่างไรเถิดสาธุชน
    มีจิตผู้รู้เพื่ออาศัยตัดตอนจิตผู้หลง
    "พอเราภาวนาต่อไปละเอียดขึ้น
    เราจะเห็นจิตเกิดดับทางอายตนะ
    จิตที่รับรู้รูปเกิดแล้วดับ จิตที่รับรู้เสียงเกิดแล้วดับ
    จิตที่รับรู้กลิ่นเกิดแล้วดับ จิตรับรู้รสเกิดแล้วก็ดับ
    จิตที่รับรู้การสัมผัสทางร่างกายเกิดแล้วก็ดับ
    จิตที่รับรู้อารมณ์ทางใจเกิดแล้วก็ดับ
    มันจะเห็นจิตเกิดดับหมุนอยู่ทางอายตนะทั้ง 6
    เราจะทำตรงนี้ได้ถ้าสมาธิของเราดีพอ
    จิตเราตั้งมั่นเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
    แล้วเราจะเห็นจิตที่ตั้งมั่นเองเกิดแล้วก็ดับเหมือนกัน
    จิตผู้รู้ก็ไม่เที่ยง ยังตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์
    ฉะนั้นเอาจิตผู้รู้มาเป็นที่พึ่งที่อาศัยที่แท้จริง
    ฝากเป็นฝากตายกับจิตผู้รู้ไม่ได้
    เพียงแต่เรามีจิตผู้รู้เพื่ออาศัย
    ตัดตอนจิตผู้หลงให้มันขาดเป็นท่อนๆ
    จิตหลงไปดูเกิดขึ้น
    พอมีจิตผู้รู้ จิตหลงดูดับ เกิดจิตผู้รู้
    จิตผู้รู้ดับ เกิดจิตผู้หลงไปฟัง
    เราจะเห็นจิตมันเกิดดับๆ
    ถ้าไม่มีจิตผู้รู้ มีแต่จิตผู้หลง
    จิตหลงไปดูแล้วก็วิ่งไปฟัง วิ่งไปดมกลิ่น
    คิดว่าจิตมีดวงเดียว
    ถ้าคิดว่าจิตมีดวงเดียวเป็นมิจฉาทิฏฐิ เพราะอะไร
    ถ้าจิตมีดวงเดียวแสดงว่าจิตเที่ยง
    จิตเป็นอัตตา เที่ยง ไม่ตาย เป็นของไม่ตาย
    ที่จริงจิตเกิดดับตลอดเวลา"
    หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช
    วัดสวนสันติธรรม
    12 มกราคม 2568

Комментарии •