Размер видео: 1280 X 720853 X 480640 X 360
Показать панель управления
Автовоспроизведение
Автоповтор
เป็นคลิปที่ยอดเยี่ยมมากครับ สามารถยกตัวอย่างให้เห็นนามธรรมได้อย่างชัดเจน
ขอบคุณค่ะ🙏😊
ขอบคุณครับ❤
ขอบคุณมากๆๆ
ขอบคุณมากๆค่ะ🙏🏻
❤❤❤❤
ว้าว ฟังแล้วตื่นรู้มาก ตื่นเต้นตลอดเวลาที่ฟัง..ขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณค่ะพึ่งเข้าใจมิติแห่งกาลเวลา เพราะจิตชอบปรุงแต่ง แต่เราไม่เข้าใจการทำงานของจิตเอง หลงรักคุณคนเขียนและคนอ่าน น่ารักมากม่ากค่ะ ขอกอดทีค่ะ❤️❤️🙏🙏🍀
ยินดีครับ ยังมีหนังสือตื่นรู้อีกหลายเล่มที่นำมาอ่านให้ฟังด้วยการรักษาสภาวะตื่นรู้ขณะอ่านให้ได้มากที่สุด จะค่อยๆทยอยนำมาลงให้ฟังนะครับ
หนังสือ อควรอส อินมืราเคิ้ลคือเล่มไหนครับ
ขอบคุณมากๆนะคะ♥️
ขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณค่ะ🙏🏻🙏🏻🙏🏻😇📖⭐🌍🌈🤍
ไม่ทราบว่าอ่าน description คำนำผู้อ่านหนังสือเสียง บ้างรึยังครับ? เผื่อจะมีประโยชน์บ้างครับขอให้ได้ผลรับ (ลัพธ์) ที่คาดไม่ถึง
ขอบคุณมากค่ะสำหรับ สิ่งดีๆมีประโยชน์ ฟังแล้วตื่นรู้จริงๆค่ะ
ยินดีครับยังมีหนังสือของอ.เอ็คฮาร์ทอีกเล่มนึง ไว้จะนำมาอ่านให้ฟังนะครับ
เมื่อฟังแล้วเข้าใจในสิ่งที่ผู้เขียนได้สื่อออกมา การค้นพบพลังแห่งปัจจุบันขณะ คือการตระหนักรู้ตัวเองอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา ไม่คิดย้อนดึงสัญญาในอดีต ไม่คิดไปอนาคต เมื่อตระหนักอย่างต่อเนื่อง ความจริงจะปรากฏ ความเป็นมายาที่อยู่ต่อหน้า ที่ไม่ใช่ความจำหรือสัญญาที่เราฟังมา เป็นสิ่งที่อธิบายเป็นภาษาออกมาคนที่ฟังจะไม่เข้าใจเพราะความพยายามที่จะเข้าใจยังมีความคิดอยู่ หากอยากค้นพบต้องฝึกสติอยู่กับปัจจุบัน ขณะอย่างแท้จริง
ประเด็นที่ชี้มานั้นถูกต้องแต่ก็ไม่ถูกทั้งหมดเช่นกัน เพราะเช่นนี้ทำให้เกิดคำถามขึ้นมาว่า การฟังโดยไม่คิดตามในสิ่งที่กำลังฟังอยู่โดยมีสติรู้ตัวทั่วพร้อมจะทำให้เข้าใจสิ่งที่กำลังฟังอยู่หรือไม่? และ การฟังโดยคิดตามในสิ่งที่กำลังฟังอยู่โดยมีสติรู้ตัวทั่วพร้อมจะทำให้เข้าใจสิ่งที่กำลังฟังอยู่หรือไม่? หากเราฝึกสติจนสมบูรณ์ดีแล้ว เช่นนั้นการไปนั่งฟังศาสตราจารย์บรรยายเรื่องการแก้สมการอนุพันธ์ชั้นสูงของคลื่นในความถี่ที่ต่างกันเราจะสามารถเข้าใจได้เช่นเดียวกับฟังพ่อครัวสอนทำเต้าหู้ทรงเครื่องหรือไม่? CS ต้องการสร้างความเอะใจเช่นนี้เพราะไม่ต้องการให้ผู้อ่านสร้างสัญญาใหม่ว่าเราไม่ตื่นรู้เพราะเรายังคิดในขณะที่กำลังฟัง หากเรากำหนดหมายตัวเองด้วยสัญญาเช่นนี้แล้วเราก็จะไม่สามารถตื่นรู้จากการฟังได้ และสิ่งแรกที่เราจะไปทำคือการตั้งใจฝึกสติให้สมบูรณ์พร้อมอย่างแท้จริงเสียก่อนที่จะมาฟังธรรม ซึ่งหลวงพ่อพุธก็เคยถามไว้ว่าหากเราเพียรทำแล้วทำเล่าแล้วก็ยังไม่สำเร็จแล้วเราจะไม่ตายก่อนหรือ? เพราะหากเราฟังโดยไม่ต้องใช้สัญญาจากภาษาได้จริงเช่นนั้นเราคงบรรลุกันตั้งแต่แรกเกิดเพราะเรายังไม่เข้าใจภาษา เช่นนั้นตอนนี้การไปฟังธรรมจากคนต่างชาติต่อให้เรามีสติมากขนาดไหนก็ตามจะช่วยให้เราเข้าใจธรรมหรือบรรลุหรือไม่? หรือต่อให้เราไม่มีภาษาใช้ ถามว่าความคิดมีอยู่ในเราหรือไม่? ถ้าเราเป็นมนุษย์คนแรกและคนเดียวที่อยู่ในโลกนี้ ไม่มีการประดิษฐ์ภาษามาใช้เพราะเราไม่ต้องคุยกับใคร แล้วเราจะมีความคิดหรือไม่? ถูกต้องทีเดียว ภาษาเป็นสัญญาและเป็นอุปสรรคต่อการตื่นรู้ แต่มันก็เป็นเครื่องมือสำหรับการตื่นรู้เช่นกัน ภาษาเป็นสัญญาจริง แต่ไม่ถึงกับที่เราต้องมาตั้งท่าดึงสัญญาเดิมว่าเมื่อกี๊เขาพูดว่าอย่างนี้ใช่ไหมหนอ คำว่ากินข้าวแปลว่าอะไรหนอ ภาษาที่เราใช้เราฟังรู้เรื่องเลย ส่วนภาพของข้าวที่เรากินจะขึ้นมาหรือไม่นั้นไม่ใช่ประเด็นเพราะเรารู้เรื่องไปแล้ว แต่ถ้าเป็นภาษาต่างประเทศที่เรายังไม่คล่องนี่จึงดึงสัญญาเก่าขึ้นมาเยอะ เมื่อกี๊เขาพูดว่าอะไรหนอ คำนี้แปลว่าอะไรหนอ หรือเราไปเดินซื้อของที่ตลาด คนก็เยอะนั่นแหล่ะแต่เราก็ไม่เดินชนใครเลย ไม่มีใครเดินชนใคร ไม่มีใครเดินเหยียบพื้นแฉะ เราไม่เคยเดินๆ อยู่แล้วพูดกับตัวเองว่านี่ฉันเดินใกล้คนข้างหน้าเกินไปแล้ว ฉันควรเว้นระยะอีกนิด ฉันต้องเบี่ยงซ้ายหน่อยแล้วพุ่งขึ้นหน้าเร็วอีกนิดค่อยเบี่ยงขวากลับมา เราทำไปเองโดยอัตโนมัติ (ให้เข้าใจว่าเป็นแบบนี้ไปก่อน) เพราะเรารู้ว่ากำลังจะชนแล้วและต้อง เร็วขึ้น ช้าลง หรือเบี่ยงหลบ โดยที่ไม่ต้องดึงสัญญาว่าการที่เราใกล้ขนาดนี้จะเป็นการชนกันไหมหนอ? ถ้าจะชนแล้วจะต้องทำยังไงหนอ? นี่เป็นความเร็วของสัญญา มันเกิดขึ้นทั้งตอนที่เรามีสติและไม่มีสติ เพราะต่อให้ไม่มีสติชัดแจ้งเราก็เดินไม่ชนกัน หรือมีสติชัดแจ้งเช่นกำลังเดินจงกรมเราก็ไม่ชนอยู่แล้วจริงๆ แล้วการใช้สัญญาของภาษามันก็เหมือนกับการเล่นสนุ๊กเกอร์ เราอยากให้ลูกดำลงหลุม แต่เราใช้ไม้คิวยิงลูกดำตรงๆ ไม่ได้ เราต้องใช้ไม้คิวยิงที่ลูกขาวเพื่อให้กระทบลูกแดงลงหลุมเสียก่อนจึงจะมีสิทธิ์ใช้ไม้คิวยิงลูกขาวเพื่อให้ชนลูกดำลงหลุมได้ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเมื่อเรามีสิทธิ์ยิงแล้วลูกดำมันจะลงหลุม การใช้สัญญาจากภาษามันก็เหมือนกันแบบนี้ คนยิงก็ต้องยิงไปเรื่อยๆ จนกว่าลูกดำของคนฟังจะลงหลุม เมื่อลงหลุมมันก็ตื่น เมื่อตื่นมันก็หายสงสัย หลวงปู่ดูลย์เองก็ยังเคยพูดไว้ว่ามันก็ต้องอาศัยคิดนั่นแหล่ะจึงรู้ แต่การฟังโดยไม่คิดตามก็ถูกเช่นกัน เพราะเป็นการรับสาส์นทั้งหมดของผู้ส่งโดยไม่สลับไปคิดจึงได้ข้อมูลครบถ้วน เรื่องนี้ CS เคยกล่าวถึงไว้ใต้คลิปนี้เช่นกันดังนั้นเราในฐานะผู้ฟัง มันเป็นจังหวะของเราเองที่จะฟัง 100% หรือจะฟังไปแล้วคิดตาม ทั้งสองอย่างนี้ถือเป็นส่วนสุดของปลายทั้งสองข้างที่เราต้องหาทางสายกลางของเราเอง และนี่คือความหมายและความสำคัญของคำว่าทางสายกลางที่แท้จริง ซึ่งเป็นสิ่งแรกที่พระพุทธเจ้าสอนหลังจากตรัสรู้ข้อความนี้เขียนอยู่บนความเมตตาและปรารถนาดี
ขอบคุณมากค่ะ
ยินดีที่ตามมาฟัง อ.เอ็กฮาร์ท ครับ ทั้งโอโชและเอ็กฮาร์ทจะสอนเราตรงๆ แต่โอโชจะว่าเราตรงๆ เอ็กฮาร์ทไม่เคยว่าเรา ส่วนกฤษณมูรติไม่สอนเราตรงๆ ท่านมักจะพูดว่าเราเป็นมนุษย์มือสอง เพราะอาศัยความรู้ของคนอื่น ท่านจึงสอนเราด้วยคำถาม เพื่อให้เราเค้นคำตอบที่เป็นความรู้มือหนึ่งของตัวเราเอง ถ้ามีโอกาสก็ลองฟังดูนะครับ ruclips.net/p/PLYetnLWe8MkunlQhOHU1itKYeyK1yX9CN
ทำให้เข้าใจความเป็นจริงของเราได้มากขึ้นขอบคุณมากค่ะ
มันเหมาะกับใครครับ ฟังแล้วไม่เข้าใจ
ขอบคุณค่ะ
เป็นคลิปที่ยอดเยี่ยมมากครับ สามารถยกตัวอย่างให้เห็นนามธรรมได้อย่างชัดเจน
ขอบคุณค่ะ🙏😊
ขอบคุณครับ❤
ขอบคุณมากๆๆ
ขอบคุณมากๆค่ะ🙏🏻
❤❤❤❤
ว้าว ฟังแล้วตื่นรู้มาก
ตื่นเต้นตลอดเวลาที่ฟัง..
ขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณค่ะ
พึ่งเข้าใจมิติแห่งกาลเวลา เพราะจิตชอบปรุงแต่ง แต่เราไม่เข้าใจการทำงานของจิตเอง หลงรักคุณคนเขียนและคนอ่าน น่ารักมากม่ากค่ะ ขอกอดทีค่ะ❤️❤️🙏🙏🍀
ยินดีครับ ยังมีหนังสือตื่นรู้อีกหลายเล่มที่นำมาอ่านให้ฟังด้วยการรักษาสภาวะตื่นรู้ขณะอ่านให้ได้มากที่สุด จะค่อยๆทยอยนำมาลงให้ฟังนะครับ
หนังสือ อควรอส อินมืราเคิ้ลคือเล่มไหนครับ
ขอบคุณมากๆนะคะ♥️
ขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณค่ะ🙏🏻🙏🏻🙏🏻😇📖⭐🌍🌈🤍
ไม่ทราบว่าอ่าน description คำนำผู้อ่านหนังสือเสียง บ้างรึยังครับ? เผื่อจะมีประโยชน์บ้างครับ
ขอให้ได้ผลรับ (ลัพธ์) ที่คาดไม่ถึง
ขอบคุณมากค่ะสำหรับ สิ่งดีๆมีประโยชน์ ฟังแล้วตื่นรู้จริงๆค่ะ
ยินดีครับ
ยังมีหนังสือของอ.เอ็คฮาร์ทอีกเล่มนึง ไว้จะนำมาอ่านให้ฟังนะครับ
เมื่อฟังแล้วเข้าใจในสิ่งที่ผู้เขียนได้สื่อออกมา การค้นพบพลังแห่งปัจจุบันขณะ คือการตระหนักรู้ตัวเองอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา ไม่คิดย้อนดึงสัญญาในอดีต ไม่คิดไปอนาคต เมื่อตระหนักอย่างต่อเนื่อง ความจริงจะปรากฏ ความเป็นมายาที่อยู่ต่อหน้า ที่ไม่ใช่ความจำหรือสัญญาที่เราฟังมา
เป็นสิ่งที่อธิบายเป็นภาษาออกมาคนที่ฟังจะไม่เข้าใจเพราะความพยายามที่จะเข้าใจยังมีความคิดอยู่ หากอยากค้นพบต้องฝึกสติอยู่กับปัจจุบัน ขณะอย่างแท้จริง
ประเด็นที่ชี้มานั้นถูกต้องแต่ก็ไม่ถูกทั้งหมดเช่นกัน เพราะเช่นนี้ทำให้เกิดคำถามขึ้นมาว่า การฟังโดยไม่คิดตามในสิ่งที่กำลังฟังอยู่โดยมีสติรู้ตัวทั่วพร้อมจะทำให้เข้าใจสิ่งที่กำลังฟังอยู่หรือไม่? และ การฟังโดยคิดตามในสิ่งที่กำลังฟังอยู่โดยมีสติรู้ตัวทั่วพร้อมจะทำให้เข้าใจสิ่งที่กำลังฟังอยู่หรือไม่? หากเราฝึกสติจนสมบูรณ์ดีแล้ว เช่นนั้นการไปนั่งฟังศาสตราจารย์บรรยายเรื่องการแก้สมการอนุพันธ์ชั้นสูงของคลื่นในความถี่ที่ต่างกันเราจะสามารถเข้าใจได้เช่นเดียวกับฟังพ่อครัวสอนทำเต้าหู้ทรงเครื่องหรือไม่?
CS ต้องการสร้างความเอะใจเช่นนี้เพราะไม่ต้องการให้ผู้อ่านสร้างสัญญาใหม่ว่าเราไม่ตื่นรู้เพราะเรายังคิดในขณะที่กำลังฟัง หากเรากำหนดหมายตัวเองด้วยสัญญาเช่นนี้แล้วเราก็จะไม่สามารถตื่นรู้จากการฟังได้ และสิ่งแรกที่เราจะไปทำคือการตั้งใจฝึกสติให้สมบูรณ์พร้อมอย่างแท้จริงเสียก่อนที่จะมาฟังธรรม ซึ่งหลวงพ่อพุธก็เคยถามไว้ว่าหากเราเพียรทำแล้วทำเล่าแล้วก็ยังไม่สำเร็จแล้วเราจะไม่ตายก่อนหรือ? เพราะหากเราฟังโดยไม่ต้องใช้สัญญาจากภาษาได้จริงเช่นนั้นเราคงบรรลุกันตั้งแต่แรกเกิดเพราะเรายังไม่เข้าใจภาษา เช่นนั้นตอนนี้การไปฟังธรรมจากคนต่างชาติต่อให้เรามีสติมากขนาดไหนก็ตามจะช่วยให้เราเข้าใจธรรมหรือบรรลุหรือไม่? หรือต่อให้เราไม่มีภาษาใช้ ถามว่าความคิดมีอยู่ในเราหรือไม่? ถ้าเราเป็นมนุษย์คนแรกและคนเดียวที่อยู่ในโลกนี้ ไม่มีการประดิษฐ์ภาษามาใช้เพราะเราไม่ต้องคุยกับใคร แล้วเราจะมีความคิดหรือไม่? ถูกต้องทีเดียว ภาษาเป็นสัญญาและเป็นอุปสรรคต่อการตื่นรู้ แต่มันก็เป็นเครื่องมือสำหรับการตื่นรู้เช่นกัน
ภาษาเป็นสัญญาจริง แต่ไม่ถึงกับที่เราต้องมาตั้งท่าดึงสัญญาเดิมว่าเมื่อกี๊เขาพูดว่าอย่างนี้ใช่ไหมหนอ คำว่ากินข้าวแปลว่าอะไรหนอ ภาษาที่เราใช้เราฟังรู้เรื่องเลย ส่วนภาพของข้าวที่เรากินจะขึ้นมาหรือไม่นั้นไม่ใช่ประเด็นเพราะเรารู้เรื่องไปแล้ว แต่ถ้าเป็นภาษาต่างประเทศที่เรายังไม่คล่องนี่จึงดึงสัญญาเก่าขึ้นมาเยอะ เมื่อกี๊เขาพูดว่าอะไรหนอ คำนี้แปลว่าอะไรหนอ หรือเราไปเดินซื้อของที่ตลาด คนก็เยอะนั่นแหล่ะแต่เราก็ไม่เดินชนใครเลย ไม่มีใครเดินชนใคร ไม่มีใครเดินเหยียบพื้นแฉะ เราไม่เคยเดินๆ อยู่แล้วพูดกับตัวเองว่านี่ฉันเดินใกล้คนข้างหน้าเกินไปแล้ว ฉันควรเว้นระยะอีกนิด ฉันต้องเบี่ยงซ้ายหน่อยแล้วพุ่งขึ้นหน้าเร็วอีกนิดค่อยเบี่ยงขวากลับมา เราทำไปเองโดยอัตโนมัติ (ให้เข้าใจว่าเป็นแบบนี้ไปก่อน) เพราะเรารู้ว่ากำลังจะชนแล้วและต้อง เร็วขึ้น ช้าลง หรือเบี่ยงหลบ โดยที่ไม่ต้องดึงสัญญาว่าการที่เราใกล้ขนาดนี้จะเป็นการชนกันไหมหนอ? ถ้าจะชนแล้วจะต้องทำยังไงหนอ? นี่เป็นความเร็วของสัญญา มันเกิดขึ้นทั้งตอนที่เรามีสติและไม่มีสติ เพราะต่อให้ไม่มีสติชัดแจ้งเราก็เดินไม่ชนกัน หรือมีสติชัดแจ้งเช่นกำลังเดินจงกรมเราก็ไม่ชนอยู่แล้ว
จริงๆ แล้วการใช้สัญญาของภาษามันก็เหมือนกับการเล่นสนุ๊กเกอร์ เราอยากให้ลูกดำลงหลุม แต่เราใช้ไม้คิวยิงลูกดำตรงๆ ไม่ได้ เราต้องใช้ไม้คิวยิงที่ลูกขาวเพื่อให้กระทบลูกแดงลงหลุมเสียก่อนจึงจะมีสิทธิ์ใช้ไม้คิวยิงลูกขาวเพื่อให้ชนลูกดำลงหลุมได้ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเมื่อเรามีสิทธิ์ยิงแล้วลูกดำมันจะลงหลุม การใช้สัญญาจากภาษามันก็เหมือนกันแบบนี้ คนยิงก็ต้องยิงไปเรื่อยๆ จนกว่าลูกดำของคนฟังจะลงหลุม เมื่อลงหลุมมันก็ตื่น เมื่อตื่นมันก็หายสงสัย หลวงปู่ดูลย์เองก็ยังเคยพูดไว้ว่ามันก็ต้องอาศัยคิดนั่นแหล่ะจึงรู้
แต่การฟังโดยไม่คิดตามก็ถูกเช่นกัน เพราะเป็นการรับสาส์นทั้งหมดของผู้ส่งโดยไม่สลับไปคิดจึงได้ข้อมูลครบถ้วน เรื่องนี้ CS เคยกล่าวถึงไว้ใต้คลิปนี้เช่นกัน
ดังนั้นเราในฐานะผู้ฟัง มันเป็นจังหวะของเราเองที่จะฟัง 100% หรือจะฟังไปแล้วคิดตาม ทั้งสองอย่างนี้ถือเป็นส่วนสุดของปลายทั้งสองข้างที่เราต้องหาทางสายกลางของเราเอง และนี่คือความหมายและความสำคัญของคำว่าทางสายกลางที่แท้จริง ซึ่งเป็นสิ่งแรกที่พระพุทธเจ้าสอนหลังจากตรัสรู้
ข้อความนี้เขียนอยู่บนความเมตตาและปรารถนาดี
ขอบคุณมากค่ะ
ยินดีที่ตามมาฟัง อ.เอ็กฮาร์ท ครับ ทั้งโอโชและเอ็กฮาร์ทจะสอนเราตรงๆ แต่โอโชจะว่าเราตรงๆ เอ็กฮาร์ทไม่เคยว่าเรา ส่วนกฤษณมูรติไม่สอนเราตรงๆ ท่านมักจะพูดว่าเราเป็นมนุษย์มือสอง เพราะอาศัยความรู้ของคนอื่น ท่านจึงสอนเราด้วยคำถาม เพื่อให้เราเค้นคำตอบที่เป็นความรู้มือหนึ่งของตัวเราเอง ถ้ามีโอกาสก็ลองฟังดูนะครับ ruclips.net/p/PLYetnLWe8MkunlQhOHU1itKYeyK1yX9CN
ทำให้เข้าใจความเป็นจริงของเราได้มากขึ้นขอบคุณมากค่ะ
มันเหมาะกับใครครับ ฟังแล้วไม่เข้าใจ
ขอบคุณค่ะ
ขอบคุณค่ะ