นิพพาน อนัตตา โดย พระพรหมคุณาภรณ์ - ประยุทธ์ ปยุตโต
HTML-код
- Опубликовано: 8 фев 2025
- -----------------------------------
ประเด็นพิจารณา
อัตตา อนัตตา นิพพาน และ สัพเพ ธัมมา - ธรรมทั้งปวง
---------------------------------
สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตาสิ่งนั้นไม่ใช่ของเรา ไม่เป็นเรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา ข้อนี้พึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ฯลฯ กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ฯ
-----------------------------------------------
ดังนั้น อนัตตาต้อง เป็นสิ่งที่
สิ่งนั้นไม่ใช่ของเรา -เนตังมะมะ
ไม่เป็นเรา -เนโสมหสมิ
ไม่ใช่ตัวตนของเรา -นเมโสอัตตา
นี่คือคุณสมบัติของ อนัตตา
อนัตตาไม่ได้ตรงกันข้ามกับ อัตตา แต่ อัตตาจะตรงข้ามกับ นถิตา เพราะ นถิตา คือ ไม่มีทุกอย่าง
ซึ่งอนัตตาไม่ได้ไปในส่วนสุดทั้งสอง เพราะเป็น ตัวตนชั่วคราว นี่แหละเรียกว่า อนัตตา
----------------------------------------------
เราจึงโยงได้ว่า
ไม่เที่ยง - เป็นทุกข์ - เป็นอนัตตา
อนิจจัง - ทุกขัง -อนัตตา
--------------------------------------
------------------------
นิพพาน
--------------------------
ภิกษุ! ในปัญหานั้น คำตอบมีดังนี้ :-
“สิ่ง” สิ่งหนึ่งซึ่งบุคคลพึงรู้แจ้ง เป็ นสิ่งที่ไม่มีปรากฏการณ์
ไม่มีที่สุด มีทางปฏิบัติเข้ามาถึงได้โดยรอบ, นั้นมีอยู่; ใน“สิ่ง”
นั้นแหละ ดิน นํ้า ไฟ ลม ไม่หยั่งลงได้ -ไม่อาจเข้าไปอยู่ได้;ใน
“สิ่ง” นั้นแหละ ความยาว ความสั้น ความเล็ก ความใหญ่ ความงาม
ความไม่งาม ไม่หยั่งลงได้ -ไม่อาจเข้าไปอยู่ได้; ใน “สิ่ง”นั้นแหละ
นามรูป ดับสนิทไม่มีเหลือ; นามรูป ดับสนิท ใน “สิ่ง” นี้ เพราะ
การดับสนิทของวิญญาณ; ดังนี้แล.
---------------------------------------
นิพพานจึง ไม่มีปรากฏการณ์ เมื่อไม่มีปรากฏการณ์ ย่อมไม่มีการเกิด เมื่อไม่มีการเกิด ย่อมไม่มีการเสื่อม
นิพพานจึงเรียกว่า "อสังขตธรรม" ธรรมอันเป็นเครื่องปรุงแต่ง
-------
-------
หรือพิจารณาจากพระสูตร
---------------------
-------
พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ ภาษาไทย เล่มที่ ๒๐
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๒ อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต
-------
๕๗๖ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะตถาคตอุบัติขึ้นก็ตาม ไม่อุบัติขึ้นก็ตาม ธาตุนั้น คือ
ความตั้งอยู่แห่งธรรมดา -ธัมมัฏฐิตตา,
คือความเป็นกฎตายตัวแห่งธรรมดา -ธัมมนิยามตา,
ตถาคตตรัสรู้ บรรลุธาตุนั้นว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยงครั้นแล้วจึงบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก
ทำให้เข้าใจง่ายว่าสังขารทั้งปวงไม่เที่ยง
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะตถาคตอุบัติขึ้นก็ตาม ไม่อุบัติขึ้นก็ตาม
ธาตุนั้น คือ ความตั้งอยู่ตามธรรมดา ความเป็นไปตามธรรมดา ก็คงตั้งอยู่อย่างนั้นเอง
ตถาคตตรัสรู้ บรรลุธาตุนั้นว่า สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ครั้นแล้วจึงบอก แสดง
บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก ทำให้เข้าใจง่ายว่า สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์
-------
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เพราะตถาคตอุบัติขึ้นก็ตาม ไม่อุบัติขึ้นก็ตาม
ธาตุนั้น คือ ความตั้งอยู่ตามธรรมดา ความเป็นไปตามธรรมดา ก็คงตั้งอยู่อย่างนั้นเอง
ตถาคตตรัสรู้ บรรลุธาตุนั้นว่า ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา
ครั้นแล้วจึงบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก ทำให้เข้าใจง่ายว่า ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ฯ
------------------
อิทัปปจัยตา
----------------
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! เราจักแสดงซึ่งปฏิจจสมุปบาท คือธรรมอันเป็นธรรมชาติอาศัยกันแล้วเกิดขึ้น แก่พวกเธอทั้งหลาย.
พวกเธอทั้งหลาย จงฟังซึ่งปฏิจจสมุปบาทนั้น,จงทำในใจให้สำเร็จประโยชน์, เราจักกล่าวบัดนี้ ...
ภิกษุ ทั้งหลาย. ก็ปฏิจจสมุปบาท เป็นอย่างไรเล่า ?ภิกษุ ทั้งหลาย. ! เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรา มรณะย่อมมี.ภิกษุ ทั้งหลาย. ! เพราะเหตุที่
พระตถาคตทั้งหลายจะบังเกิดขึ้นก็ตาม,จะไม่บังเกิดขึ้นก็ตาม, ธรรมธาตุนั้นย่อมตั้งอยูแล้วนั่นเทียว ;คือ
ความตั้งอยู่แห่งธรรมดา -ธัมมัฏฐิตตา,
คือความเป็นกฎตายตัวแห่งธรรมดา -ธัมมนิยามตา,
คือความที่เมื่อมีสิ่งนี้สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น -อิทัปปัจจยตา.
-----
ตถาคต ย่อมรู้พร้อมเฉพาะ ย่อมถึงพร้อมเฉพาะซึ่งธรรมธาตุนั้น ; ครั้นรู้พร้อมเฉพาะแล้ว ถึงพร้อมเฉพาะแล้ว, ย่อมบอก ย่อมแสดง ย่อม
บัญญัติ ย่อมตั้งขึ้นไว้ ย่อมเปิดเผย ย่อมจำแนกแจกแจง ย่อมทำให้เป็นเหมือนการหงายของที่คว่ำ ; และได้กล่าวแล้วในบัดนี้ว่า
“ภิกษุ ทั้งหลาย. ! ท่านทั้งหลายจงมาดู : เพราะชาติเป็นปัจจัยชรามรณะย่อมมี” ดังนี้.
ภิกษุ ทั้งหลาย.! เพราะเหตุดังนี้แล : ธรรมธาตุใดในกรณีนั้นอันเป็น ตถตา คือความเป็นอย่างนั้น,เป็น อวิตถตา คือความไม่ผิดไปจากความเป็นอย่างนั้น,เป็น อนัญญถตา คือความไม่เป็นไปโดยประการอื่น,เป็น อิทัปปัจจยตา คือความที่เมื่อมีสิ่งนี้สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น ;
ภิกษุ ทั้งหลาย. ธรรมนี้เราเรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท คือธรรมอันเป็นธรรมชาติ อาศัยกันแล้วเกิดขึ้น.
--------------------------------
![**หลวงตามหาบัว เทศน์เรื่อง "นิพพานไม่ใช่อัตตา ไม่ใช่อนัตตา" ตั้งแต่ปี 2523** [เริ่ม 32:25]](/img/1.gif)
ดูคอมเม้นต์แล้วตกใจกับผู้รู้ทั้งหลาย คือคนที่กล้ามาเขียนอะไร ที่แย้งหรือเหมือนยกมาเทียบกับคำสอนของสมเด็จท่านนี่ ต้องมั่นใจตัวเองสุด ๆ เลยนะ เพราะสมเด็จประยุทธ์ ถือเป็นพระที่ผู้แตกฉานในธรรม แม้ในด้านปฏิบัติต่างยอมรับท่านว่าของจริง แตกฉานจริง ไม่ใช่แค่พระไตรปิฎก หลายภาษา แต่หลายศาสตร์ ลองอ่านเรื่องอนัตตา ในพุทธธรรม จะเข้าใจได้ละเอียดกว่า ท่านอธิบาไว้ละเอียดมาก ว่าจะเรียกว่ามีก็ไม่ใช่ จะเรียกว่าไม่มีก็ไม่ใช่ คำอธิบายธรรมของสมเด็จท่าน ถ้าคนปฏิบัติจนจิตผู้รู้ตื่นแล้ว จะยอมรับกันหมดว่า ท่านเป็นพระที่อธิบายทฤษฎี ได้ตรงที่สุดแล้ว ส่วนใหญ่ศึกษาตำรา แล้วก็ติดตำรา อธิบายไปในแง่ตำรา แต่จากที่ทำเสียงอ่าน มาหลายแนวทาง ไม่เคยเห็นคำสอนไหนของสมเด็จประยุทธ์ ขัดแย้งกับทั้งสามปิฎก และคำสอนครูบาอาจารย์สายพระป่า หรือสายปฏิบัติแท้ ๆ เลย พระปฏิบัติดีถึงจริง จึงเคารพนับถือท่านมาก อย่างเรื่องนิพพาน ท่านอธิบายแล้วสรุปลงก็ตรงกับเรื่องจิตคือพุทธะของหลวงปู่ดูลย์ เพียงแต่คำที่อธิบายอาจจะใช้คำคนแบบเท่านั้น
ใครที่ยังเถียงกันด้วยข้อความ ตัวอักษร แนะนำว่า ให้ลองปฏิบัติจนเห็นจิตทำงานแยกต่างหาก จนเกิดสภาวะผู้รู้ผุดขึ้น แยกขาดกันจริง อันนี้แค่เบื้องต้นแค่นั้น ที่จะทำให้เข้าใจธรรม เข้าใจอนัตตา ว่ากายใจนี้บังคับไม่ได้จริง ๆ ไม่ใช่เราจริง ๆ ถ้ายังทำไม่ได้ ก็อย่าพึ่งแน่ใจว่าสิ่งที่รู้จากการท่องตำรา นั้นถูกต้องจริงครับ ผู้รู้ตื่นแยกออกมาแล้ว ยังต้องมาทำลายผู้รู้อีก ก็ยากเข้าไปอีก แต่อย่างน้อย การรู้จักสภาวะแบบนี้ จะทำให้ได้เห็นไตรลักษณ์ของจริง ไม่ใช่แค่จำจากตำรา แต่ก็นะ ถ้าเคยสะสมกรรมบิดเบือนธรรมไว้ มันจะมีม่านมาบังขวางจิตไว้ จนยากจะเห็นสภาวะ หรือเข้าใจกันได้จริง ท่านเทศน์แต่ละครั้ง ท่านจะสอนคนเฉพาะหน้า ถ้าจะชัวร์ ลองอ่านพุทธธรรมให้จบ จะละเอียดกว่า แล้วท่านสรุปหลักในพระไตรปิฎก มาให้เข้าใจง่ายกว่า เป็นหมวด เป็นขั้นตอนดีมาก ๆ
ส่วนตัวแล้วพอศึกษามาก ๆ เห็นชัดเลยว่า ถ้าไม่ปฏิบัติ มันจะฟุ้งซ่านและหลงผิดได้ง่าย เพราะกิเลสมันจะหลอกจนไม่รู้ตัว การเจริญสติดูจิตแบบหลวงปู่ดูลย์ หรือแม้แต่ สติปัฏฐานแนวพระป่าหลวงปู่มั่น ลองปฏิบัติจริง ไม่มีอะไรขัดแย้งเลย คำสอนของพระอาจารย์สุรศักดิ์ วัดมเหยงค์ มาเทียบผมก็เห็นตรงกันเป๊ะเลย เพียงแต่คำที่เลือกใช้อาจต่างกันเล็กน้อย ตามความถนัดของแต่ละท่าน และดีต่อการเข้าใจไตรลักษณ์ได้จริง บางทีไม่ต้องรู้อะไรมากก็ได้ ปฏิบัติเจริญสติให้ถูกตรง สม่ำเสมอ พอมาอ่านทีหลัง จะเข้าใจไม่คลาดเคลื่อน ไปทีละลำดับ
เยี่ยมครับ ไม่ใช่ผู้หรอกครับพวกนั้น เป็นผู้อ่านผู้หลงตัวอักษรที่ใส่ความหมายลงไป ตามความทิฐิตนเอง ว่าเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ ก็ยังหลงความคิดว่ารู้ ถ้ารู้จริงมันไม่มีภาษาครับ
เรื่องนี้เป็นการแสดงธรรมที่ผิดพลาดของพระป. ป. อ. อย่างแรง มั่วมาก กล่าวคือ เมื่อไม่แยบคายแล้วทึกทักเอาเองว่า นิพพาน กับ อสังขตธรรม เป็นสิ่งเดียวกัน. พระพุทธเจ้าตรัสรู้ว่า สภาวะธรรมนิพพาน(วิสังขาร)เข้าถึงได้ด้วยอริยะมรรคภาวนา. นิพพานคือ สภาวะวิสังขารทางด้านสังขตธรรม. ส่วนสภาวะอสังขตธรรมเข้าถึงได้ด้วยวิชชาปรากฏเท่านั้น. อุปมา เมื่อไดเกิด อุปมัย มี ชรา มรณะ เป็นของแถม ไม่อยากได้ ชรา มรณะ ก็ต้องได้ อยากได้ก็ได้. ในทางกลับกัน เมื่อปฏิบัติเข้าถึงสภาวะนิพพาน(วิสังขาร)แล้วรู้ว่าทั้งกุศลและอกุศลต้องละ เมื่อละสภาวะนิพพานได้สำเร็จแล้วอัตตภาวะวิชชาเกิด มีของแถมคือ สภาวะอสังขตธรรม พระอรหันฅ์ไม่อยากเข้าถึงอมตะธรรม ก็ต้องได้เข้าถึงโดยตถตา. นิพพาน วิชชา วิมุติ สันติ สุขสวัสดี(โสตฺถิผโล)
สรุป...
นิพพานคือ สมมุติบัญญัติ สภาวะวิสังขาร ทางด้านสังขตธรรม. นิพพานไม่ใช่อสังขตธรรม.
สภาวะนิพพาน หรือวิสังขารทางด้านสังขตะธรรมสามารถเข้าถึงได้ด้วยการภาวนา สิล สมาธิ
สภาวะอสังขตธรรม หรืออสังขาร คือสภาวะอมตะ ไม่เกิดไ่ม่ตาย เข้าถึงได้ด้วย ปัญญาอย่างเดียวเท่านั้น.
คำถาม..
วิสังขาร กับ อสังขาร แตกต่างกันอย่างไร?
สิ่งที่แบ่งสังขารออกเป็น วิสังขาร และ อสังขาร คืออะไร?
*** จากนิพพาน เกิดอัตภาพมนุษย์ แถมความแก่ ความตาย
*** ละนิพพาน เกิดอัตภาวะวิชชา สติยังคงตั้งมั่น สัมมัตถะ สัมมาปัญญา สัมมาวิมุติ จิตหลุดพ้นด้วยอตัมมยตา ได้ของแถมคืออมตะธรรม คือความไม่เกิด ไม่แก่ ไม่ตาย.
*** อัตถิธาตุ สิ่งที่มี
*** สังขตธาตุ อสังขตธาตุ
*** อัตถิธัมมา สภาวะสิ่งที่มี
*** อนิจจา ทุกขา อนัตตา
*** สิ่งที่มี.. ไม่ใช่ ไม่เป็น ไม่มีตัว อนิจจา
*** สิ่งที่มี.. ไม่ใช่ ไม่เป็น ไม่มีตัว ทุกขา
*** สิ่งที่มี.. ไม่ใช่ ไม่เป็น ไม่มีตัว อนัตตา
*** สังขตธรรม อนัตตา
*** อสังขตธรรม อนัตตา
*** นิพพาน อนัตตา
*** สัพเพธัมมา อนัตตา
อ้างอิง..
อมตะรู้ "อย่าปักษ์ใจเชื่อเพียงเพราะเลื่องลือกันแซ็งแซ่ว่าเขาคือ ธรรมะกถึกแห่งสยาม"
Hi JOZHO Hell...ow !
''Don't worry be Hello''
''If Who're worry be Hell''
The Buddha talking about...
⚡ 9BHUE.w.a.d.o.l
⚡ 9BHUE : 9 Buddha's Heritages Unlimited Edutainment
''พุทธคุณ ๙ คือมรดกของพระพุทธเจ้า บันเทิงรู้ได้โดยไม่มีขีดจำกัด''
⚡ w.a.d.o.l : We Are Delusional Dreaming Own Light
''เราอยู่กับภาพลวงตา รู้ได้เฉพาะตน''
····························································································
สัมมาวาจา สิล คือ "ดิน น้ำ ไฟ ลม"
มิจฉาวาจา ทุสิล คือ "ดิน น้ำ ลม ไฟ"
····························································································
ไตรลักษณ์
-----------------
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ''ไม่ไช่ตัว ไม่เป็นตัว ไม่มีตัว''
(สพฺเพธมฺมา อนตฺตา) (สิ่งที่มีที้งหลาย อนัตตา) (อตฺถิธาตุ อนตฺตา)
(สงฺขตธาตุ อสงฺขตธาตุ อนตฺตา) ''สิ่งที่มี.. ไม่ใช่ ไม่เป็น ไม่มี ตัว''
สัพเพธัมมา อนัตตา. นิพพาน อนัตตา.
•••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••
มนตร์ บทสวด ท่องจำ
ไม่รู้.. ทุกข์ รู้.. สุกข์.
····························································································
เพราะไม่รู้ จึงเกิดมาใน ห้าโลก*
เพราะไม่รู้ จึงเป็นทุกข์ เศร้าโศกา วัฎฎะสงสาร
เพราะไม่รู้ จึงเป็นเรา เขลามานา
เพราะไม่รู้ จึงคบพาล เผาผลาญตน
เพราะรู้คุณ พระธรรม จึงร่ำเรียน
เพราะรู้ธรรม จึงพร่ำเพียร ลดละอกุศล
เพราะรู้ชัด ''สิ่งที่มี.. ไม่ใช่ ไม่เป็น ไม่มี ตัว'' อนิจจัง
เพราะรู้ชัด ''สิ่งที่มี.. ไม่ใช่ ไม่เป็น ไม่มี ตัว'' ทุกขัง
เพราะรู้ชัด ''สิ่งที่มี.. ไม่ใช่ ไม่เป็น ไม่มี ตัว'' อนัตตา
เพราะรู้ละตัวตนจึงพ้น เวร**
······························································································
* ห้าโลก คือ อัตตสภาวะ แดนเกิดแห่งสัตวะโลก นรก ๑
เดรัจฉาน ๑ อสุรกายเปรตวิสัย ๑ โลกมนุษย์ ๑ สวรรค์เทวดา ๑
** เวร เว-ระ ภัยที่เกิดจากความตาย
เกิด เหตุ :
สตะ อวิชชา นิวรนานัง ][ เครื่องขวางกั้น ความไม่รู้อริยะสัจ อาการติด
สัตตานัง ตัญหา สัญโยชณานัง ][ เชือกมัด ความอยาก อาการติดแล้ว
เกิด ผล :
ชรา มรณะ ทุกข์เวทนา อุเบกขา สุขเวทนา อุปปายาส
สรุป.
เหตุทำให้ เกิด-ตาย คือ ไม่รู้ลม ไม่รู้นิพพาน (เกิดแถมตาย) อวิชชา
เหตุทำให้ ไม่เกิด-ไม่ตาย คือ รูัลม รู้นิพพาน (ไม่เกิดแถมไม่ตาย) วิชชา
············································································································
เรื่องนี้เป็นการแสดงธรรมที่ผิดพลาดของพระป. ป. อ. อย่างแรง มั่วมาก กล่าวคือ เมื่อไม่แยบคายแล้วทึกทักเอาเองว่า นิพพาน กับ อสังขตธรรม เหมือนกัน พระพุทธเจ้าตรัสรู้ว่า สภาวะธรรมนิพพานเข้าถึงได้โดยปฏิบัติมรรคแปด เพราะนิพพาน คือสภาวะวิสังขารทางด้านสังขตธรรม ส่วนสภาวะอสังขตธรรมเข้าถึงได้ด้วยวิชชาเท่านั้น. อุปมา เมื่อไดเกิด อุปมัย มี ชรา มรณะ เป็นของแถม ไม่อยากได้ ชรา มรณะ ก็ต้องได้ อยากได้ก็ได้. ในทางกลับกัน เมื่อปฏิบัติเข้าถึงสภาวะนิพพานแล้วรู้ว่าทั้งกุศลและอกุศลต้องละ เมื่อละสภาวะนิพพานได้สำเร็จแล้วอัตตภาวะวิชชาเกิด มีของแถมคือ สภาวะอสังขตธรรม สภาวะอรหันฅ์ไม่อยากเข้าถึงก็ต้องได้เข้าถึง.
สรุป...
นิพพานคือ สมมุติบัญญัติ สภาวะวิสังขาร ทางด้านสังขตธรรม. นิพพานไม่ใช่อสังขตธรรม.
สภาวะนิพพาน หรือวิสังขารทางด้านสังขตะธรรมสามารถเข้าถึงได้ด้วยการภาวนา สิล สมาธิ
สภาวะอสังขตธรรม หรืออสังขาร คือสภาวะอมตะ ไม่เกิดไ่ม่ตาย เข้าถึงได้ด้วย ปัญญาอย่างเดียวเท่านั้น.
คำถาม..
วิสังขาร กับ อสังขาร แตกต่างกันอย่างไร?
*** จากนิพพาน เกิดอัตภาพมนุษย์ แถมความแก่ ความตาย
*** ละนิพพาน เกิดอัตภาวะวิชชา สติยังคงตั้งมั่น สัมมัตถะ สัมมาปัญญา สัมมาวิมุติ จิตหลุดพ้นด้วยอตัมมยตา ได้ของแถมคืออมตะธรรม คือความไม่เกิด ไม่แก่ ไม่ตาย.
*** อัตถิธาตุ สิ่งที่มี
*** สังขตธาตุ อสังขตธาตุ
*** อัตถิธัมมา สภาวะสิ่งที่มี
*** อนิจจา ทุกขา อนัตตา
*** สิ่งที่มี.. ไม่ใช่ ไม่เป็น ไม่มีตัว อนิจจา
*** สิ่งที่มี.. ไม่ใช่ ไม่เป็น ไม่มีตัว ทุกขา
*** สิ่งที่มี.. ไม่ใช่ ไม่เป็น ไม่มีตัว อนัตตา
*** สังขตธรรม อนัตตา
*** อสังขตธรรม อนัตตา
*** นิพพาน อนัตตา
*** สัพเพธัมมา อนัตตา
อ้างอิง..
อมตะรู้ "อย่าปักษ์ใจเชื่อเพียงเพราะเลื่องลือกันแซ็งแซ่ว่าเขาคือ ธรรมะกถึกแห่งสยาม"
พระมาลัย อรหันต์ อภิญญา ๙ ท่านมีฤทธิ์พอตัว เข้าสมาธิ เหาะเหินเที่ยวไปในอากาศใด้เหมือนเรือบิน ท่านเหาะไปเห็นประตูนรก ท่านกลับมาเล่าไห้ฟังว่า ที่ปากหลุมนรกสิ่งที่ท่านเห็นเต็มไปด้วยสบงจีวรของพระภิกสุสงฆ์ ทำไม?
❤
.
สาธุธรรม น้อมกราบๆๆ
นอ้มกราบสาธุทานหลวงพ่อครับวันนี้ครับกะผม
หลายท่านเข้าใจนิพพานนะครับ แต่อธิบายให้ผู้อ่านเข้าใจได้ยาก ลองแลกเปลี่ยนกันดูนะครับ
ท่านพุทธทาสและหลวงตาบัวอธิบายไว้ว่า นิพพานไม่ใช่ทั้งอนัตตาและอัตตา แต่การไปนิพพาน(บ้าน)ต้องผ่านทางอนัตตาและอัตตา(บันได)แต่เป็นคนละส่วนกัน กล่าวคือผ่านทางอนัตตา(เพ่งไตรลักษณ์) แล้วเข้าสู่ขั้นละอัตตา(ละกิเลส ตัณหา อุปาทาน) แล้วจึงเข้าสู่ขั้นนิพพานเป็นพระอรหันต์ นิพพานนั้นมีอยู่แต่ไม่ได้มีแบบอัตตา และไม่ใช่ไม่มีเลย(นัตถิตา)ไม่งั้นการพ้นทุกข์จะมีไม่ได้ และไม่ได้ตกอยู่ภายใต้กฎไตรลักษณ์ไม่เป็นอนัตตา แต่นิพพานมีอยู่แบบเป็นสภาวธรรมที่เป็นนามธรรม คล้ายๆกับคำว่าความดี นิพพานและความดีมีอยู่เป็นอยู่ในลักษณะคล้ายๆกัน สาธุ.
พระพุทธเจ้าตรัสรู้อริยสัจ ๔ คือเห็นแจ้งรู้แจ้งว่า ๑.กายที่มีอุปาทานขันธ์ ๕ เป็นตัวทุกข์ เพราะเป็นอนิจจังไม่เที่ยง เป็นอนัตตาจึงยึดเอาเป็นที่พึ่งไม่ได้
๒.เหตุแห่งทุกข์ คือ กิเลสตัญหา มีมาร ๕ฝูง กิเลสมาร ขันธมาร มัจจุมาร อภิสังขารมาร เทวบุตรมาร
๓.ความดับทุกข์ คือ ความสละตัณหา ความวางตัณหา การปล่อยตัณหา ความไม่พัวพันตัณหา
๔.มัชฌิมาปฏิปทา ทางสายกลาง คืออริยมรรคมีองค์ ๘ ที่ทรงดำเนินจิตในเส้นทางพระอริยเจ้าโดยทำให้เกิดธรรมจักษุ เกิดญาณ เกิดปัญญา เกิดวิชชา เกิดแสงสว่าง
สัมมาทิฏฐิ -เห็นชอบ ด้วยการเห็นแจ้ง ว่าผลของทานมีผลจริง ผลของการทำดี-ทำชั่วว่าทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว นรกสวรรค์ คุณบิดามารดา เห็นกายตรัสรู้ของพุทธะ
สัมมาสังกัปปะ -ความดำริชอบ
ฯลฯ
มรรค ๘ ที่เกิดในภูมิ ทั้ง ๔ คือ กามาจรภูมิ รูปาวจรภูมิ อรูปาวจรภูมิ ซึ่งเป็นกายที่มีรูปขันธ์เรียกว่า "โลกียมรรค" เป็นธรรมทั้งหลายที่ไม่เที่ยงไม่มีตัวตนยึดเป็นที่พึ่งไม่ได้ตามกฎไตรลักษณ์ ต้องปล่อยวางโดยเห็นว่าไม่เป็นสาระให้คลายความกำหนัดมัดติดจิตข้องในกามคุณ ๕ มุ่งปฏิบัติสู่พระนิพพานในเส้นทางมัชฌิมาปฏิปทาคือทางพ้นทุกข์ เกิดในกายธรรมในอริยมรรค เรียกว่า "โลกุตตรมรรค" ก็จะพบ พระโสดาบัน สกทาคามี อนาคามี อรหัตถ์ ดับขันธ์ในโลกียธรรมทุกภูมิ เพื่อเข้านิพพาน เป็นพระนิพพานอยู่ในอายตนนิพพาน นิพพานังปะระมังสุขัง.
พุทธโอวาส ๓
เวันทำความชั่วด้วยการรักษาศีล
ทำความดีให้มีสุขด้วยการทำทาน
ทำจิตให้สะอาดผ่องแผ้วด้วยสมาธิภาวนา จะได้เห็นทางไปนิพพาน
นิพพานะ ปัจจัยโย โหตุ.
คงเป็นข้อมูลที่พอจะเกิดประโยชน์แก่นักปฏิบัติธรรมชาวพุทธ ที่มีพระพุทธเจ้าองค์เดียวกันบ้าง สาธุๆๆ
@@พรเพ็ญปลูกเพาะ ขออนุโมทนาในกุศลจิตที่ดีงาม🙏
กราบสาธุธรรม
สาธุสาธุสาธุครับพระคุณเจ้า
ท่าน ป อ ประยุตโต สมเด็จ พุทธโฆษาจารย์ มีหลายประเทศรู้จักท่าน ป อ โฆษาจารย์ คับผมคนเวียงจันทร์แต่แอบชอบท่าน อ ป ประยุตโต สาธุคับ
หลวงพ่อประยุทธ์ ปยุตฺโต นี่แหละ คือพระอัครสาวก ของพระพุทธเจ้าในปัจจุบัน
มีที่ไหน.?.นิพพาน..เป็น...อนัตตา ดูเอาเองเลย ครับ
๗. อนัตตาสูตร
ว่าด้วยสิ่งที่เป็นอนัตตา
[๓๘๓] พระนครสาวัตถี.
ท่านพระราธะได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์
ผู้เจริญ ที่เรียกว่า อนัตตา อนัตตา ดังนี้ อะไรหนอเป็นอนัตตา?
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
ดูกรราธะ
1. รูป...........เป็น....อนัตตา
2. เวทนา......เป็น....อนัตตา
3. สัญญา......เป็น....อนัตตา
4. สังขาร.......เป็น....อนัตตา
5. วิญญาณ....
เป็น....อนัตตา
ดูกรราธะ อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ฯลฯ
กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี.
รู้สมมุติ อย่างแจ๋มแจ้ง ก็จะไม่หวันไหว ในเรื่องสมมุติทั้งปวง ผมเคารบท่านเจ้าพระคุณท่านอย่างสูงนะ ขอรับ
1)พระพรหมเวที(ดร สุเทพ) เจ้าอาวาสวัดพระปฐมเจดีย์วรวิหาร จังหวัดนครปฐมท่านได้เมตตาชี้แนะดังนี้ :นิพพานเป็นคำบาลีตรงกับภาษาสันสกฤตคำว่า นิรวาน=นิรแปลว่าไม่มี +วาณแปลว่าเครื่องร้อยรัดหรือกิเลส ดังนั้น"นิพพานก็คือหมดกิเลส" 2) นิพพานเป็นเรื่องของการกำจัดกิเลสโดยเฉพาะซึ่งก็คือ เรื่องการปฏิบัติวิปัสนา ในการปฏิบัติภาวนาตามแนวของ หลวงพ่อชา สุภัทโทนั้น ท่านให้เอาจิตเฝ้าดูจิต ถ้าท่านใดทำมานานจะสังเกตพบว่า จิตเราไปยึดเหนี่ยว(อุปาทาน)สิ่งใดๆ ไม่ว่าจะเป็น รูปธรรม นามธรรม บัญญัติ ประเพณีจารีต ความเชื่อ ฯลฯ จิตมันเร่าร้อนอยู่ไม่เป็นสุขเลย 3)ธรรมชาติ ที่พระพุทธเจ้าค้นพบนั้นสรุปรวบยอดได้ดังนี้ ก)ธาตุหมายถึงสิ่งมีอยู่หรือสิ่งนิรันดร์ แบ่งเป็น 6ประเภท เรียกสั้นๆว่าธาตุ6 ๆ เป็นสิ่งที่หยั่งรู้ได้ยากยิ่ง น้อยคนนักที่จะหยั่งรู้ได้แจ่มแจ้ง ข) พระพุทธเจ้าท่านสอนว่าธาตุเป็นสิ่งไม่เที่ยง(สัสสตทิฏฐฺิ) ค)พระพุทธเจ้าท่านสอนว่าธาตุเป็นสิ่งไม่สูญ(อุจทเฉททิฏฐิ) ถ้ใครหยั่งรู้ 3 พุทธรรมนี้แจ่มแจ้งท่านจะไม่นิยาม อัตตา ใดๆ ดังนั้นใครปฏิบัติวิปัสนาแล้วยังเห็นมีอัตตามายึดเหนียวจึงละหรือดับ กิเลสได้ไม่หมด นิพพานเป็นอนัตตาคือนิพพานที่ไม่มีตัวตนใดๆมายึดเหนียวให้จิตเร่าร้อน เป็นนิพพานไม่มีกิเลส ส่วนนิพพานเป็นอัตตาคือนิพพานมีอัตตาใดๆมายึดเหนี่ยวทำให้จิตใจเร่าร้อน เป็นนิพพานมีกิเลส ได้ถึงนิพพานขณะมีชีวิตอยู่นี้แหละ 4)พระอรหันต์ท่านละจากโลกเราไปแล้ว ท่านก็ไม่สูญแต่อย่างไร ท่านเข้าถึงอมตธะรรมแล้ว อมตะธรรมคือธาตุวิญญาณที่หมดกิเลส ธาตุวิญญาณคือ 1ใน ธาตุ 6 ซึ่งเป็นสิ่งนิรันดร์ ขอนอบน้อมบูชาพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาโพธิญาณแท้จริงครับ 04 /03/ 2562
เราแสวงหานายช่างผู้กระทำเรือนเมื่อไม่ประสบจึงได้ท่องเที่ยวไปในสงสารมิใช่น้อยการเกิดบ่อยๆเป็นทุกข์ดูก่อนนายช่างผู้กระเรือน เราเห็นท่านแล้ว ท่านจักไม่ได้กระทำเรีอนอีกต่อไปซี่โครงทั้งหมดของท่านเราหักเสียแล้วยอดเรือนเราก็กำจัดแล้ว จิตของเราถึงวิสังขารคือพระนิพพานแล้ว เราได้ถึงความสิ้นตัณหาแล้งดังนี้ (คำว่า จิตในที่นี้ประกอบด้วยเวทนา,สัญญา,สังขารและวิญญาณที่เป็นวิสังขาร คือเป็นจิตที่ปราศจากสิ่งปรุงแต่ง)นิพพานจึงเป็นสถานที่ๆมีอัตตาหรือกาย หมายเอากายพระอรหันต์ ที่ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง ไม่ใช่กายมนุษย์ พระพุทธเจ้าตรัสว่าพระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่งและตรัสว่าเป็น อมตะ คำว่าอมตะ แปลว่าสถานที่ๆสัตว์ไม่เคยตาย เพราะฉะนั้น คำว่า สุข ก็ดี คำว่า สัตว์หรือกาย ก็ดี และคำว่า สถานที่ ก็ดี ในที่นี้เป็นบัญญัติฝ่ายที่ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง และล่วงจากกาล (ไม่ได้หมายเอาสิ่งที่มีปัจจ้ยปรุงแต่ง)
" จิตของเราถึงวิสังขารคือ..พระนิพพาน " คำพูดนี้ถูกต้องชัดเจนที่สุด แต่สภาวะนั้นจะเกิดขึ้นได้ท่านต้องรู้จักและเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งใน จิตทั้ง4 อันได้แก่ จิตสัมผัส จิตสังขาร จิตสัญญา จิตวิญญาณ ว่ามันทำงานร่วมกันอย่างไรจึงเกิดเป็น "ปฏิจจสมุปบาท" และที่สำคัญที่สุดคือ ต้องรู้ว่าจะฝึก "สติ" อย่างไรให้สามารถควบคุมการทำงานของจิตทั้ง4 ได้ เมื่อนั้นท่านจะเข้าถึงสภาวะธรรมที่ว่า " จิตของเราถึงซึ่งวิสังขารเข้าสู่นิพพานอย่างแท้จริง". ธัมมะสาโร.สาธุฯ.
ปัญญาท่านลึกซึ้งมากนะ
ผู้ ที่ได้บรรลุธรรมแล้ว ยังหวัน ไหว เรื่องเงิน เรื่องได้ เรื่องเสียจะเรีอก ว่าเป็นผู้สงบ ที่แท้ได้ไหม่ครับผม ขอโอกาศกราบเรียน ถาม พระเดชพระคุณท่านด้วยความเคารบ อย่างสูงครับกระผม
สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ธรรมทั้งปวงไม่ใ่ช่ตัวตน
สังขตสูตร
[๔๘๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สังขตลักษณะของสังขตธรรม ๓ประการ ๓ ประการเป็น
ไฉน คือ ความเกิดขึ้นปรากฏ ๑ ความเสื่อมปรากฏ ๑เมื่อตั้งอยู่ความแปรปรวนปรากฏ ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สังขตลักษณะของสังขตธรรม ๓ ประการนี้แล ฯ
อสังขตสูตร
[๔๘๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อสังขตลักษณะของอสังขตธรรม ๓ประการนี้ ๓ ประการ
เป็นไฉน คือ ไม่ปรากฏความเกิด ๑ ไม่ปรากฏความเสื่อม ๑ เมื่อตั้งอยู่ไม่ปรากฏความแปร
ปรวน ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย อสังขตลักษณะของอสังขตธรรม ๓ ประการนี้แล ฯ
-- เวลาที่พระจะฉันอาหาร ต้องกำหนดรู้ว่า การฉันอาหารนั้น เพื่อให้ร่างกายอยู่(เพื่อปฏิบัติธรรมเพื่อให้บรรลุธรรม)ไม่ให้มัวเมารสอาหาร
...ถ้ารู้จริงๆว่า ทุกสิ่ง เป็นเพียงธาตุ 4 ไม่มีเนื้อสัตว์ หรือ อาหารโอชะอร่อยๆอะะไร
... ย่อมจะฉันได้ทุกอย่าง โดยไม่จำกัด
-- ถ้าฉันอะไรไม่ว่า ผักหรือเนื้อ แล้วสดงอาการ ชอบ พอใจ จึงผิดเจตนาของการฉัน
อนุโมทนาค่ะ
@@jacktheripperundeath9595 ฉันเพื่ออยู่มีแรงปฏิบัติธรรม
ไม่ใช่อยู่เพื่อฉันให้บำเรอหลงในรสชาติของอาหาร
แก่นสาระทุกคำ ทุกประโยดสาธุๆ
อัตตา อนัตตา คือไตรลักษณ์ เป็นทางเดิน นิพพานอยู่เหนือไตรลักษณ์
ไตรลักษณ์มี
1.อนิจจัง คือไม่เที่ยง
2.ทุกขัง คงอยู่ในสภาวะเดิมไม่ได้
3.อนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้เพราะไม่ใช่ตัวตน...
แต่สภาวะนิพพาน เมื่อถึงแล้วคือ
1.เที่ยง ไม่มีทางเสื่อมจากสภาวะนั้น
นิพพานจึงไม่เป็น..อนิจจัง
2.เป็นสุข สภาวะนิพพานนั้น ย่อม
คงอยู่สภาพเดิมเมื่อถึงแล้ว..นิพพาน
จึงไม่เป็น..ทุกขัง...
3.นิพพาน ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่ของๆใคร ไม่อยู่ในอำนาจของใครๆ..
เพราะฉะนั้น สภาวะนิพพานจึงเป็นเพียง...อนัตตา..เท่านั้น...
@@สาวกเถรวาท ถูกต้องครับ สาธุ
แต่ละคนก็เรียนมาไม่เคยเข้าถึง เข้าถึงแล้วอธิบายได้ แต่คนที่ไม่เข้าใจก็จินตนาการเอาเองทั้งนั้น ว่านิพพานเป็นอย่างนี้บ้างอย่างนู้นบ้าง แต่ไม่เคยไปนิพพาน เพราะฉะนั้นนิพพานจะเป็นอย่างไรก็ช่าง ในทางที่ดีท่านไม่ต้องไปสนใจตำราจะว่ายังไง ปฏิบัติตนให้เข้าถึงนิพพานจะดีกว่าจะได้ไม่ต้องมาเถียงกัน..
แต่ถ้าไม่มีปริยัตศาสานากอไม่มีพอไม่รู้
นิพพานไม่มีสภาวะใดๆ ถ้ายังไม่ประจักษ์สภาพธรรม นามกับรุปคือปรมัตตัวแทนของบัญญัติสมมุติทั้งหลาย ประจักษว่าไม่เที่ยงเกิดดับเป้นอนัตตาของการได้เห้นได้ยินได้กลิ่นได้ลิมรสได้สัมผัส ถ้าประจักษ์สภาวะนี้ได้ และละกิเลสสิ้นได้ ก็นิพพาน นิพพานก็อยุ่ทุกขณะจิตที่เกิดดับที่มีอยุ่ตลอด แต่เราไม่รุ้ เพราะเรายังยึดมีเราเขามีตัวตน
นิพพาน= สิ้นกิเลส = ไม่เวียนว่ายตายเกิด(ไม่มีเกิดไม่มีดับ) แต่จะมีใครล่ะยุคนี้ ยุควัตถุ รุปรสกลิ่นเสียงสัมผัสมันมากขึ้นทุกวันกับโลกใบนี้ และสอนกันให้มีสติแม้ชาวพุทธก็สอนสติแบบทางโลก เข่น มีสติรุ้ตั้งใจกำลังทำอะไรอยุ่ ไม่ใข่สติทางธรรม เช่น สติรุ้ว่า สรรพสิ่งทั้งปวงเมื่อสัมผัสมีแต่เย้นร้อนอ่อนแข็ง สัมผัสแค่การได้เห้นได้ยินได้กลิ่นได้ลิ้มรส ว่ามีอยุ่จริงแต่ก็ไม่จริงเพราะปรมัตธรรม สติระลึกรุ้สิ่งที่เป้นปรมัติสั่งสมไปทุกภพชาติ สัก
ชาติหนึ่งก็ประจักษ์นิพพาน แค่ระดับตามขั้นโสดาบันเรายังไม่รุ้เลยจะได้ อย่าหวังนิพพาน
555555 5555
แล้วคุณไม่ถามหลวงพ่อในคลิปด้วยล่ะ เคยนิพพานป่าว
เรียนพระธรรมสิคุณ (ปรมัตธรรมสุตร)
555555 5555
ก็ถามหลวงพ่ออีกสิ
นิพพานไม่เป็นอะไรทั้งนั้น เป็นสภาวธรรมอันบริสุทธิ์ จบๆๆๆๆ
คุณบอกว่า นิพพานไม่เป็นอะไรทั้งนั้น แต่กลับบอกว่า
เป็นสภาวธรรมอันบริสุทธิ์
สรุปเป็นหรือไม่เป็น😅😅
ธรรมทั้งปวงไม่ใช่ตัวตน บังคับไม่ได้
ขันธ์๕ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
เข้าใจสังขตะ ให้แจ้งก่อนเถิด สักแสนกัปล์ นะ ถึงจะ ปล่อยวาง ถึงจะเข้าใจ อสังขตะ ทิตเอ้ย ....
สาธุ
สรุปแล้วมันคืออะไร
ในเมื่อมี สวรรค์ มีนรก
มีพรหมโลก มีอบายภูมิ
สัตว์ เปรต อสูรกาย
แล้วนิพพาน จะไม่มี
เหรอ ?
อนัตตา ไม่ได้แปลว่าไม่มีอะไรเลยนะ ไปทำความเข้าใจใหม่
มันแปลว่า มีอยู่ แต่ไม่ได้เป็นบุคคลไร หรือของบุคคลไรๆ ทั้งนั้น เป็นสภาวะเช่นนั้นเอง
ทุกข์นั้นมีอยู่ สถานที่ทุกข์นั้นก็มี แต่ไม่มีผู้เป็นทุกข์ สรรพสิ่งเป็นไปตามเหตุปัจจัย
สาธุครับ
อัตตา กับ อนัตตา เป็นขั้นตอนที่ใช้ในการปฏิบัตเพื่อให้ได้ผล คือนิพาน แต่พวกชอบอ่านและชอบตีความ มัน เอาผลคือนิพาน ไปปนกับวิธีการปฏิบัติ ว่ามันเป็น อัตตา กับ อนัตตา
pairoj jongjairak นิพพานอยุ่เหนือไตรัก
จากอัตตาต้องใช้ธรรมจักษุเห็นไตรลักษณ์จึงจะพบนิพพาน อนัตตาเป็น1ในไตรลักษณ์ เป็นทางผ่านไปสูนิพพาน นิพพานจึงเป็นสภาวที่อยู่หนืออนัตตา
รู้แค่ว่านิพพานไม่ใช่ตัวตน. เป็นนามธรรม ใช้เรียกเป็นชื่อของสภาวะหนึ่งของจิตที่หมดกิเลสแล้ว. เดาถูกแน่ๆ
อิจฉาเป็น ความคิดอกุศลนะไอ้หนู
เจริญละ เดาเอา
นิพพานไม่ใช่ อัตตา(เป็นตัวตน)หรือ อนัตตา(ไม่เป็นตัวตน) นิพพานเป็นสภาวะธรรม ที่มีอยูุ่ตามธรรมชาติ ที่ไม่มีปัจจัยทำให้เปลี่ยนแปลง เกิด ขึ้น ตั้งอยู่และดับไป..หรือเป็น อสังขตะธรรม
Chaiyan Yamyuent เห็นดว้ยครับ
อนัตตา คือมีตัวตนชั่วคลาวครับ
อัตราแลกเปลี่ยน คือ อัตรา.นิพนธ์ พ้นนิพพาน...ซื้อขายแลกเปลี่ยน Transfer. Exchanged Ok
Ok. Transfer and Exchange Monney
นิพพานไม่มีการเกิดปรากฏ ไม่มีการเสื่อมปรากฏ เมื่อตั้งอยู่ไม่มีภาวะอย่างอื่นปรากฏ จึงเป็นอสังขตธรรม
@555555 5555 คุณตั้งสติดีๆแล้วลองค้นหาข้อมูลดูก่อนสรุปปด่า มันบ่งบอกถึงภูมิธรรมในตัวคุณว่าอยู่ภาวะเช่นไร
@555555 5555 คุณปล่อยให้อกุฅลคลอบงำจิตจนมืดสนิท สงสารตัวเองบ้างเถอะ
พวกรู้ทังร้ายด่ากัน
บดสวดฟังเฉยๆก็ได้
ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา นิพพานเป็นสภาวธรรม จึงเป็นอนัตตา
Anatta เขาใจถูกครับ
Anatta พระพุทธเจ้าอธิบาย อัตตา อนัตตา ในสังขตธรรม(สังขารทั้งหลาย หรือ ขันธ์5) สิ่งไหนเกิดสิ่งนั้นไม่เที่ยง สิ่งไหนไม่เที่ยงสิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งไหนเป็นทุกข์สิ่งนั้นเป็นอนัตตา " เนตังมะมะ เนโสอมัสสมิ นเมโสอัตตา "
นิพพาน คือ เกิดไม่ปรากฏ เสื่อมไม่ปรากฎ เมื่อตั้งอยู่ไม่มีภาวะอย่างอื่นปรากฎ " นิพพานคือสภาวะธรรมศุญญตา คือความว่าง พระพุทธเจ้าเรียกอีกชื่อว่า อสังขตธรรม อัตตา,อนัตตา พระองค์บัญญัติในสังขตธรรม(ขันธ์5) ส่วน อสังขตธรรม คือไม่มีขันธ์5 เมื่อไม่มีขันธ์5 อัตตาคงมีไม่ได้ครับ😊
Roon 444 นิพพานใม่มีธรรมใดปากฎและเกิดในนิพพาน
Anatta นิพพานใม่ใช่สภาวะธรรมนะครับนิพพานนั้นใม่ใช่ธรรมดำและธรรมขาว
เกิดมา ลุย ครับ สังขตธรรม (มีขันธ์5) แต่.. อสังขตธรรม คือไม่มีขันธ์5
นิพพานคือ อสังขตะธรรม ส่วน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ใช้อธิบายในสังขตะธรรม ส่วน.. นิพพาน บัญญัติอัตตาหรืออนัตตาไม่ได้ เพราะ " เกิดไม่ปรากฎ เสื่อมไม่ปรากฎ เมื่อตั้งอยู่ ไม่มีภาวะอย่างอื่นปรากฎ "
สรุปคือ สัตว์ปล่อยวางขันธ์5ได้แล้ว ก็กลายเป็นผู้รู้ในวิมุต จากเดิมที่สัตว์เป็นผู้ยึดติด ติดในขันธ์5 เพราะไม่รู้อริยะสัจ4 " สัตว์ผู้มีอวิชาเป็นเครื่องกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องผูก ท่องไปอยู่ แล่นไปอยู่ ในสังสารวัฏ "
ไม่มีต่อเรอค่ะ ของเรื่องนี้
อาจารครับตามคำภีตามคำสอนของอาจารถูกด้องครับเเต่สภาวะธรรมมีความลึกซึ้งมากกว่านั้นครับอาจาร อาจารอย่าลืมเรื่อง ละสังโยชครับ อาจารครับเรืยนกับปฎิบัตร มีอีกเรื่องครับ
พระนิพพาน ไม่ใช่อนัตตา
●●☆●●
คนหลงทาง ชักนำให้หลงตาม
เพราะว่า ยังไม่เข้าใจภาษาธรรม
ความจริงคือ พระนิพพาน ไม่ใช่อนัตตา
พุทธดำรัสตรัสสอนว่า
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
คือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เสื่อมสลาย
หากปฏิบัติได้ถึง ย่อมพิสูจน์ได้หมด
ดังคำที่พุทธะสอนไว้ในพระไตรปิฎกว่า
รูปังอนิจจัง
เวทนาอนิจจา
สัญญาอนิจจา
สังขาราอนิจจา
วิญญาณังอนิจจา
รูปังอนัตตา (ตรัสซ้ำ)
เวทนาอนัตตา (ตรัสซ้ำ)
สัญญาอนัตตา (ตรัสซ้ำ)
สังขาราอนัตตา (ตรัสซ้ำ)
วิญญาณังอนัตตา (ตรัสซ้ำ)
สัพเพสังขาราอนิจจา
สัพเพธัมมาอนัตตาติ
รูปไม่เที่ยง
เวทนาไม่เที่ยง
สัญญาไม่เที่ยง
สังขารไม่เที่ยง
วิญญาณไม่เที่ยง
รูปเสื่อมสลาย (ตรัสซ้ำ)
เวทนาเสื่อมสลาย (ตรัสซ้ำ)
สัญญาเสื่อมสลาย (ตรัสซ้ำ)
สังขารเสื่อมสลาย (ตรัสซ้ำ)
วิญญาณเสื่อมสลาย (ตรัสซ้ำ)
สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง
ธรรมทั้งปวงในโลกียะเสื่อมสลาย
☆ สิ่งที่เสื่อมสลาย ไม่สามารถ
ควบคุมได้ บังคับบัญชาไม่ได้
ล้วนไม่ใช่ตัวตนของเรา
พระนิพพาน เที่ยง
ธรรมในโลกุตระ เที่ยง
คือโลกุตระธรรม
พระองค์ทรงตรัส ซ้ำแล้ว
รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
เป็นอนัตตา (คือถูก)
แล้วพวกตกอภิธรรม
ยังบอกว่า พระนิพพานเป็นอนัตตา
ก็เท่ากับเขาเชื่อว่า
รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
ไปอยู่ในพระนิพพานด้วย (คือผิด)
>> ชัดเจน แจ่มแจ้งนะ
ต้องปฏิเวธได้จริง ตามคำที่พุทธะสอนไว้
ปฏิเวธ คือ พิสูจน์ความจริง.. เป็น
เมื่อปฏิเวธเป็น ก็จะทราบว่า
ใครกล่าวตู่คำสอนของพระบรมศาสดา
ลูกศิษย์หลงอาจารย์ที่ไม่ได้ภูมิธรรม
อ้างว่า ท่านวินิจฉัย
ท่านไหน คนไหน กลุ่มคนไหน
ก็ไม่อาจค้านพุทธบัญญัติได้
อวดฉลาด วินิจฉัยแค่บรรทัดเดียว
ไม่เฉลียวดู บรรทัดอื่นๆ มากมายประกอบ
มีมานะทิฏฐิให้หลงเชื่อตาม แค่ตนเอง
นำผิดๆ ให้หลงผิดๆ และตามผิดๆ
พาตกนรกไปเพราะ อวิชชา ความไม่รู้
พึงเรียนให้ครบทั้ง ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ
กำลังสับสนกับสภาวะนิพพานเลยครับ เป็นเรื่องที่เข้าใจยากจริงๆ มีตัวอย่างยกให้ดูอีกไหมครับ
☆☆☆ อ้างแต่ พุทธบัญญัติ
สุดท้าย คึกตัวทำลายพุทธบัญญัติเอง
● เปลี่ยนพุทธบัญญัติ นรก 1 กัป
@4.40 นิพพานบัญญัติไม่ได้ จริงๆ
เพราะนิพพานไม่มีเกิดขึ้น (ไม่มีอยู่จริง)
ความเข้าใจของคึก ดำน้ำ มั่วๆ ไปเลย
>>ความรู้เจ้ายังด้อย เร่งศึกษา
●● คึกสอนว่าพระนิพพานไม่มีอยู่จริง
ไม่ต้องไปพระนิพพานแล้วนะ
ว่าพระพุทธโกหก ทรงบัญญัติผิด
ใครจะไปอยู่กับเทวทัตคึก ก็ตามไปนะ
ถ้าไม่กลัวถูกธรณีสูบ
สาธุ สาธุ สาธุ.......
แสดงว่าท่านยังไปไม่ถึงถ้าไปไม่ถึงก็ไม่น่าจะออกมาพูดทำไม จำจากตำรามาพูดกับผู้ที่เห็นสภาวนิพานจากจิตนั้นแตกต่างกันมาก
ยกตนข่มท่าน
สัพเพ ธัมมา อนัตตา.ธรรมทั้งปวง เป็นอนัตตา .ความหมายของสุภาษิตนี้รวมหมดไม่ยกเว้นอะไรรวมถึงอนัตตาด้วย.
นิพพานเป็นอนัตตา
นายจริงใจ ตามภูมิ
นิพพานไม่ใช่อัตตา และอนัตตา ครับ เพราะอนัตตาใช้เรียกขันธ์5 สัตว์หลงยึดขันธ์5 คิดว่าขันธ์5เป็นอัตตา แต่พระศาสดาบอกว่านั่นไม่ใช่ของเรา นั่นเป็นอนัตตา เช่น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นี่แหล่ะครับ ขันธ์5 สุดท้ายแล้วเป็นอนัตตา
แต่นิพพานไม่มีขันธ์5 เรียกว่าอสังคตะธรรม ไม่ใช่อัตตา และ อนัตตา เพราะเกิดไม่ปรากฎ เสื่อมไม่ปรากฎ เมื่อตั้งอยู่ไม่มีอย่างอื่นปรากฎ " คำของพระศาสดาเข้าใจง่าย แต่คำของสาวกเข้าใจยาก เพราะยังถืออัตตา !
Roon 444 ใช่เลยสาธุ
สัตว์คิดได้ด้วยหรือ ที่คิดนี่ไม่ใช่ขันธ๕หรือ
Sheeva NT ใช่อะไรคิด
ตาบอดจูงตาบอด
มืงทำอไรให้ศาสานาบาง
สาธุ ผมเชื่อท่านสนิทเลยครับ นิพพานเป็นอนัตตา ไม่ใช่ไม่เป็นอัตตา และอนัตตา แล้วมันยังไงแน่ ไม่เป็นวิทยาศาสตร์เลย. ไม่ควรพูดให้กำกวมครับ คนที่เข้าใจได้มันมีอยู่
จิตใช่ตัวตนหรือไม่ ในเมื่อจิตเป็นนามธรรม นิพพานก็เช่นกัน
พนิตตา พรมบุตร ผมเข้าใจว่าเป็นความว่างสนิท. เป็นเหมือนสูญญากาศ ไม่ใช่สะสาร ไม่ใช่พลังงาน. เป็นนามธรรม สภาวะจิตอย่างนั้นพ้นไปจากโลก กรรมดี ชั่ว
สนองไม่ได้ แค่ความคิดของคนๆหนึ่งครับ
@@คนบ้านๆ-ญ7ค ...คิดเอาเองง่ายๆนี่นะ
@เสาวรีย์วงละคร
''นิพพาน อนัตตา'' ไม่ใช่ ''นิพพาน เป็นอนัตตา'' อัตตา อนัตตา นอัตตา
@@เสาวรีย์วงละคร ''อนุตรสุญญตา''คือ สภาวะว่างอย่างยิ่ง คือคุณสมบัติของสิ่งๆหนึ่งที่มีอยู่คือ ''อสังขตธาตุ''
ถ้านิพพานเป็นอนัตตา ? นิพพานก็ไม่่เที่ยงด้วยไหมนี่ ( สัพเพธรรมา(ขันห้า)อนัตตา )
ศาสนาพุทธไม่ได้เป็นแค่ทฤษฎีการดับทุกข์อย่างที่ปัจจุบันเข้าใจนะครับ แต่เป็นทฤษฎีการเรียนรู้.........(ผมเป็นอดีตนักวิจัยเรื่องAIครับ แต่ตอนนี้เลิกแล้ว เพราะกลัวจะสร้างโอปาติกะขึ้นมา เลยไม่ได้จับมา10กว่าปีแล้ว)
ธาตุรู้ในสัตว์ที่สำคัญทั้ง 2 แบบ 1 Neural system 2 Expert system (จริงๆมีตัวอื่นอีก แต่ขอยกมาแค่2)
เทียบขันธ์5กับวิชาAIที่เป็นศาสตร์ที่มีมาไม่ถึง60ปีดูนะครับ(ศาสตร์แห่งปัญญาประดิษฐ์ที่เอาโครงสร้างของNeural systemมาเขียนโปรแกรมจำลองลงไป)
1 นามรูป (Agent)
2 สัญญา(memory,Internal model)
3สังขาร(Learning)
4วิญญาณ(perception,sensor)
5เวทนา(reinforcement)
ในชีวิตประจำวันจำเป็นต้องมีค่าlearning rateที่สูง(การสังขาร) เพื่อให้เรียนรู้ได้เร็ว (ถ้าจะเปรียบเทียบ เช่นหักดิบอารมณย์ด้วยอารมณ์ เช่น การดับโทสะโดยเมตตา แต่จะเกิดปัญหาคือ Internal model(สัญญา) จะไม่ยอมสอดคล้องกับ Real modelเสียที จะswing กลับไปกลับมา เช่นดับโทสะด้วยเมตตา แต่ได้โมหะขนาดเล็กๆมาแทน) ดังนั้นเมื่อถึงจุดๆนึงเราควรลดค่าlearning rateลงไม่อย่างนั้นค่าInter modelจะไม่สอดคล้องกับ Real model (เทียบกับคนคือการนั้งสมาธิสมถะกรรมฐาน+วิปัสนาเพื่อเจริญสติแล้วปล่อยให้อวิชชามอดดับไปเอง) เพื่อให้ค่าใกล้เคียงที่สุดจึงต้องลดลงมา แต่หากเรียนรู้โดยสมบรูณ์แล้วไม่จำเป็นต้องใช้์Neural systemอีก ระบบที่เรียนรู้ด้วยneural systemที่สมบรูณ์แล้ว จะกลายเป็นExpert systemที่มีข้อมูลสอดคล้องกับธรรมชาติในตัว (บรรลุธรรม,ธาตุรู้)สามารถตั้งต้นใหม่โดยใช้แค่FACTจากธรรมชาติเพียงอย่างเดียวในการสืบหาข้อมูลต่อไป โดยไม่ผ่านกระบวนการในขันธ์5อีกต่อไป
Expert Systemคล้าย DATABASE แต่จะต่างตรงที่ว่า DATABASE(ใช่,ไม่ใช่)
Expert System(ใช่,ไม่ใช่,ยังไม่มีข้อมูล)ซึ่งการเข้าสู่ยังไม่มีข้อมูลนั้นจะเข้าสู่กระบวนการเรียนรู้แบบResonhing แตกต่างจากLearningที่เอาอารมณ์มาผสม
นี้คือการสรุปว่า *นิพพานนั้นไม่สูญ* แต่เป็น *อนัตตา* คือยังสามารถรวบรวมฐานความรู้ที่เป็นFACTเปลี่ยนไปเรื่อยๆ (รู้ธรรมชาติโดยไม่ขึ้นกับเวทนา ไม่สุขไม่ทุกข์) แต่ไม่จำเป็นต้องlearningผ่าน Neural systemอีกแล้วครับ
อนัตตาคือสภาพที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ธรรมชาติเปลี่ยนไปเช่นไรก็ยังรู้ทัน *ไม่ยึดตัวตน* (หากบรรลุธรรม)
ซึ่งผิดกับอัตตาคือสภาพหยุดนิ่งไม่เคลื่อนไม่เปลี่ยนแปลงทำอะไรต่อไม่ได้เลยซึ่งนั้นคงไม่ใช่อีกเช่นกัน?
พูดถึงการเรียนรู้(Learning)แก่นแท้แห่งพุทธอยู่ที่ปฏิจสมุปบาท การใช้สมาธิส่งเสริมสติให้ถึงขีดสุด เมื่อทำใจให้ว่างที่สุด จะเห็นแค่เพียงสิ่งที่ผ่านเข้ามากระทบกับประสาทสัมผัสทั้ง5 ที่ไปปรุงแต่งใจ(มโนวิญาณ) ผลต่างจากความไม่สอดคล้องระหว่างโลกความเป็นจริงกับสิ่งที่รู้ในใจ(อุปาทาน) คืออวิชชา
อุปาทาน(ความยึดมั่นถือมั่น) - สิ่งที่เกิดขึ้นจริง(ที่รับรู้ผ่านประสาทสัมผัส) = อวิชชา(ความไม่รู้) เมื่อมีความไม่รู้จึงมีการเรียนรู้(สังขาร)และเมื่อภพในการเรียนรู้แต่ละรอบนั้นไม่ใช่สิ่งที่ปราถนาจึงเกิดเวทนาความรู้สึกทุกข์(เป็นสุขเมื่อค่าอวิชชาลดลงทำให้ค่าเข้าใกล้ความจริง แต่เป็นทุกข์เมื่อยังคงเห็นค่าอวิชชาขึ้นอยู่ว่าจิตจับแบบไหน) จึงทำให้เกิดความต้องการจะแสวงหามาชดเชยสิ่งที่ไม่รู้เพื่อให้พ้นจากสภาพนั้น จึงเกิดเป็นตัณหาความทะยานอยากที่จะไปภพนั้น หรือ ไม่อยากไปภพนั้น และเพราะตัณหาคือการดิ้นรนให้พ้นจากสภาพภพนั้นจึงเอาอุปาทานตั้งภพที่จะไปเอาไว้ ซึ่งก็จะย้อนกลับไปเป็น อุปาทาน(ความยึดมั่นถือมั่น) - สิ่งที่เกิดขึ้นจริง(ที่รับรู้ผ่านประสาทสัมผัส)
ทุกอย่างเป็นลักษณะของปัจจัยร่วมกัน เป็นloop ย้อนกลับไปในแต่ละรอบ
คุณสมบัติแต่ละข้อของนิพพานอ้างอิงจาก
1 ความเป็นอมตะ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความกำจัดราคะ ความกำจัดโทสะ ความกำจัดโมหะ นี้เป็นชื่อแห่งนิพพานธาตุ
ความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะ นี้เรียกว่า อมตภาพ......"
ภิกขุสูตร ที่ ๒ มหา. สํ. (๓๑-๓๒)
www.nkgen.com/22.htm
2ความไร้ทุกข์
พระพุทธพจน์ "นิพพานัง ปรมังสุขัง"
3 ความเป็นอนัตตา(ไม่ยึดตัวตน)
ภิกษุ ท.! แม้ตถาคต ผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสรู้ชอบเอง ก็รู้ชัดซึ่งนิพพานตามความเป็นนิพพาน. ครั้นรู้นิพพานตามความเป็นนิพพานชัดแจงแล้ว ก็ไม่ทำความมั่นหมายซึ่งนิพพาน ไม่ทำความมั่นหมายในนิพพาน ไม่ทำความมั่นหมายโดยความเป็นนิพพาน ไม่ทำความมั่นหมายว่า "นิพพานเป็นของเรา", ไม่เพลิดเพลินลุ่มหลงในนิพพาน. ข้อนี้เพราะเหตุไรเล่า? เพราะเหตุว่า นิพพานนั้นเป็นสิ่งที่ตถาคตกำหนดรู้ทั่วถึงแล้ว.
ภิกษุ ท.! แม้ตถาคต ผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสรู้ชอบเอง ก็รู้ชัดซึ่งนิพพานตามความเป็นนิพพาน. ครั้นรู้นิพพานตามความเป็นนิพพานชัดแจ้งแล้ว ก็ไม่ทำความมั่นหมายซึ่งนิพพาน ไม่ทำความมั่นหมายในนิพพานไม่ทำความมั่นหมายโดยความเป็นนิพพาน ไม่ทำความมั่นหมายว่า "นิพพานเป็นของเรา", ไม่เพลิดเพลินลุ่มหลงในนิพพาน. ข้อนี้เพราะเหตุไรเล่า? เรากล่าวว่า เพราะรู้ว่าความเพลิดเพลิน(นันทิ)เป็นมูลแห่งทุกข์ และเพราะมีภพจึงมีชาติ, เมื่อเกิดเป็นสัตว์แล้วต้องมีแก่และตาย. เพราะเหตุนั้นตถาคตจึงตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เพราะตัณหาทั้งหลายสิ้นไป ปราศไป ดับไป สละไป ไถ่ถอนไป โดยประการทั้งปวงดังนี้.
บาลี มูลปริยายสูตร มู.ม. ๑๒/๑๐/๘-๙.
ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลาย ที่โคนต้นสาละ ในป่าสุภควันใกล้เมืองอุกกัฏฐะ.
จุดสิ้นสุดจะเรียกว่าเที่ยงหรือไม่เที่ยงดีหละ
สาธุ
สาธุ
สาธุ