Размер видео: 1280 X 720853 X 480640 X 360
Показать панель управления
Автовоспроизведение
Автоповтор
น้อมกราบสาธุพระอาจารย์🌸🙏🙏🙏🌷
อนุโมทนาสาธุครับผม🙏🙏🙏
นอ้มกราบสาธุครับ
น้อมกราบไหว้บูชาพระอาจารย์คึกฤทธิ์.ท่านเป้นดั่งรัตนะ5.เจ้าค่ะ.สาธุ.
น้อมกราบสาธุ สาธุ สาธุ เจ้าค่ะ
น้อมกราบธรรมตถาคตสาธุค่ะน้อมกราบนมัสการพระอาจารย์สาธุค่ะ
น้อมกราบสาธุ ๆ ในธรรมของตถาคตครับ
กราบะระอาจารย์ผู้มีพระคุณยิ่ง,,สาธยายธรรมทำให้เข้าใจง่ายผู้ใดเห๋นธรรมคถาคตผู้นั้นเห็นเรา,,สาธุ,สาธุ,สาธุเจ้าค่ะ
น้อมกราบพระอาจารย์ผู้มีอัปการัคุณทางธรรม กราบสาธุธรรมตถาคตเจ้าค่ะ 🙏🙏🙏🌷
ขอน้อบน้อมกราบนมัสการท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ ที่มีเมตตากรุณา สาธยายธรรมให้โยมได้เข้าใจในพระธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า🙇♀️🙇♀️🙇♀️🌻🌻🌻
[๑๖] บุคคลพึงเห็นบุคคลใดผู้มักชี้โทษ เหมือนบุคคลผู้บอกขุมทรัพย์ มักกล่าว ข่มขี่ มีปัญญา พึงคบบุคคลผู้เป็นบัณฑิตเช่นนั้น เพราะว่าเมื่อคบ บัณฑิตเช่นนั้น มีแต่คุณที่ประเสริฐโทษที่ลามกย่อมไม่มี บุคคล พึงกล่าวสอน พึงพร่ำสอนและพึงห้ามจากธรรมของอสัตบุรุษ ก็บุคคลนั้น ย่อมเป็นที่รักของสัตบุรุษทั้งหลาย แต่ไม่เป็นที่รักของ พวกอสัตบุรุษบุคคลไม่ควรคบมิตรเลวทราม ไม่ควรคบบุรุษอาธรรม์ ควรคบมิตรดี ควรคบบุรุษสูงสุด บุคคลผู้อิ่มเอิบในธรรมมีใจ ผ่องใสแล้ว ย่อมอยู่เป็นสุข บัณฑิตย่อมยินดีในธรรมที่พระอริยเจ้า ประกาศแล้วทุกเมื่อ ก็พวกคนไขน้ำย่อมไขน้ำไป พวกช่างศรย่อมดัด ลูกศร พวกช่างถากย่อมถากไม้บัณฑิตทั้งหลายย่อมฝึกฝนตน ภูเขา หินล้วน เป็นแท่งทึบย่อมไม่หวั่นไหวเพราะลมฉันใด บัณฑิตทั้งหลาย ย่อมไม่หวั่นไหวเพราะนินทาและสรรเสริญ ฉันนั้น ห้วงน้ำลึกใสไม่ ขุ่นมัว แม้ฉันใด บัณฑิตย์ทั้งหลายฟังธรรมแล้วย่อมผ่องใส ฉันนั้น สัตบุรุษทั้งหลายย่อมเว้นในธรรมทั้งปวงโดยแท้ สัตบุรุษทั้งหลายหาใคร่กามบ่นไม่ บัณฑิตทั้งหลายผู้อันสุขหรือทุกข์ถูกต้องแล้ว ย่อมไม่แสดง อาการสูงๆ ต่ำๆ บัณฑิตย่อมไม่ทำบาปเพราะเหตุแห่งตน ไม่ทำบาป เพราะเหตุแห่งผู้อื่น ไม่พึงปรารถนาบุตร ไม่พึงปรารถนาทรัพย์ ไม่พึง ปรารถนาแว่นแคว้น ไม่พึงปรารถนาความสำเร็จแก่ตนโดยไม่ชอบธรรม บัณฑิตนั้นพึงเป็นผู้มีศีลมีปัญญา ประกอบด้วยธรรม ในหมู่มนุษย์ ชนผู้ที่ถึงฝั่งมีน้อย ส่วนหมู่สัตว์นอกนี้ย่อมเลาะไปตามฝั่งทั้งนั้น ก็ชน เหล่าใดแล ประพฤติตามธรรมในธรรมอันพระสุคตเจ้าตรัสแล้วโดยชอบ ชนเหล่านั้นข้ามบ่วงมารที่ข้ามได้โดยยาก แล้วจักถึงฝั่ง บัณฑิตออกจาก อาลัยแล้ว อาศัยความไม่มีอาลัยละธรรมดำแล้วพึงเจริญธรรมขาว บัณฑิต พึงปรารถนาความยินดียิ่งในวิเวกที่ยินดีได้โดยยาก ละกามทั้งหลายแล้ว ไม่มีกิเลสเครื่องกังวล พึงชำระตนให้ผ่องแผ้ว จากเครื่องเศร้าหมองจิต ชนเหล่าใดอบรมจิตด้วยดีโดยชอบ ในองค์แห่งธรรมสามัคคีเป็น เครื่องตรัสรู้ ชนเหล่าใดไม่ถือมั่น ยินดีแล้วในการสละคืนความถือมั่น ชนเหล่านั้นมีอาสวะสิ้นแล้วมีความรุ่งเรืองปรินิพพานแล้วในโลก ฯ ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ สุตตันตปิฎกขุททกนิกาย ขุททกปาฐ-ธรรมบทอุทาน-อิติวุตต-สุตตนิบาตหน้าที่ ๑๘-๑๙ ข้อที่ ๑๖
สาธุครับ
น้อมกราบสาธุๆๆเจ้าค่ะ❤❤❤
พุทธวจน ใ้ช้คำของตถาคตนิกายเถรวาท (ลัทธิหินยาน)โดยตรงไม่มีการเปลี่ยนแปลงพระวินัย เพื่อต้องการความหลุดพ้นเป็นอรหันต์ จึงต้องหนีไปอยู่ประเทศศรีลังกาไม่ต้องไปประจบ ประแจงชาวบ้าน เพื่อความอยู่รอดจึงเข้าร่วมอุโบสถกับมหายาน 17 นิกายไม่ได้ ศลีไม่เสมอกัน
น้อมกราบสาธุสาธุสาธุครับ
กราบอนุโมทนาสาธุค่ะ🙏🏾🙏🏾🙏🏾 23/2/2024
ขอนอบน้อมกราบพระอาจารย์ผู้มีเมตตา ผู้มีอุปการะมาก และเป็นรัตนะ 5 ที่หาได้ยากในโลก ผู้เปิดธรรมที่ถูกปิด น้อมกราบสาธุค่ะ
กราบนมัสการพระอาจารย์
กราบสาธุเจ้าค่ะ
อนุโมทนาสาธุครับ
น้อมกราบนมัสการสาธุพระอาจารย์ น้อมกราบสาธุพระสัจธรรมอันประเสริฐเจ้าค่า สาธุสาธุสาธุ 🙇♀️🙇♀️🙇♀️
❤❤❤สาธุ🙏🙏🙏
สาธุสาธุสาธุ
🙏🙏🙏 กราบอนุโมทนา สาธุ
สาธุค่ะ
น้อมกราบนมัสการพระอาจารย์ผู้เมตตาพากเพียรใส่ใจเมตตาในสัตตานังทั้งหลาย น้อมอนุโมทนาสาธุครับ
น้อมกราบนมั้สการพระอาจารย์ค่ะ
🙏🏻🙏🏻🙏🏻🙏🏻🙏🏻👏🏼👏🏼👏🏼👏🏼
นมัสการ ครับ ท่าน
ขอกราบอนุโมทนาสาธุครับ
มนัสการ พระอาจารย์ เพิ่งอ่านจบเมื่อกี้นี้เอง ฮะ สาธุ
สาธุเจ้าค่ะ
สาทุๆๆ
กราบนมัสการเจ้าคะ🙏🙏🙏
กราบนมัสการพระอาจารย์ครับ
❤สาธุ❤❤
สาธุๆๆคะ🙏🙏🙏
สาธุ สาธุ สาธุ ครับ พระอาจารย์
สาธุครับผม
สาธุ....ขอรับ
ดีแล้วตรัสได้โดยชอบแล้วครับ
สาธุสาธุสาธุคะ
🙏🙏🙏
สวัสดีครับขอบคุณครับ
คำแปลใหม่ที่เพี้ยน คำแปลใหม่ที่บิดเบือน คำแปลใหม่ที่ไม่มีมาแต่เดิม แล้วทำให้เกิดความขัดแย้งกันความหมายเปลี่ยน จับเข้าด้วยกันไม่ลงตัว ประเภทนี้ไม่ควรศึกษา แต่คำแปลใหม่ที่ขยายความเพิ่มเติมแต่ความหมายไม่เปลี่ยนไม่ขัดแย้งกันจับเข้ากลุ่มลงตัว ศึกษาได้
มารู้จัก ตถาคตภาษิต ที่เป็น สัมมาทิฏฐิ กันคะ ตถาคตภาษิต มีกฏอิทัปปัจจยตา มีปฏิจจสมุปบาท มีสังขตธรรม จึงเป็น สัมมาทิฏฐิ คือ มีธรรมที่เป็นเหตุ เกิดปรากฏขึ้น และ มีธรรมที่เกิดแต่เหตุ เกิดปรากฏขึ้น เป็น ปฏิจจสมุปปันนธรรม คือ มีธรรมที่เป็นเหตุ และ มีธรรมที่เกิดแต่เหตุ เรียงร้อยกันและกันในการเกิดปรากฏขึ้น เรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท นั่นเองคะ ตถาคตภาษิต จะเป็นแบบนี้เหมือนกันทั้งหมดเลย ถ้ามีธรรมที่เป็นเหตุ เกิดปรากฏขึ้น และ มีธรรมที่เกิดแต่เหตุ เกิดปรากฏขึ้น เป็น ปฏิจจสมุปปันนธรรม นั่นคือ ตถาคตภาษิต คือ คำสอนของพระพุทธเจ้าที่เป็น สัจจะความจริงที่เป็น อกาลิโก ตรงจริงไม่จำกัดกาลเวลา เมื่อ ตถาคตภาษิต เป็นแบบนี้เหมือนกันทั้งหมดเลย ทำให้ ตถาคตภาษิต เข้ากันได้รวมกันได้ไม่มีขัดแย้งกันนั่นเองคะ ถ้าไม่ขัดแย้งกันนั่นคือ ตถาคตภาษิต นั่นเองคะ สาวกภาษิต ไม่มีกฏอิทัปปัจจยตา ไม่มีปฏิจจสมุปบาท ไม่มีสังขตธรรม จึงไม่เป็น สัมมาทิฏฐิ คือ ไม่มีธรรมที่เป็นเหตุ และ ไม่มีธรรมที่เกิดแต่เหตุ นั่นเองคะ สาวกภาษิต จึงขัดแย้งกับ ตถาคตภาษิต นั่นเองคะ
ตถาคตภาษิต คือ คำสอนของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านพูดออกมา คำสอนของท่านจะมี กฏอิทัปปัจจยตา มีปฏิจจสมุปบาท มีสังขตธรรม จึงเป็น สัมมาทิฏฐิ คำสอนของท่าน ตถาคตภาษิต จะเป็นแบบนี้เหมือนกันทั้งหมดเลยนั่นเองคะ ทำให้ ตถาคตภาษิต เข้ากันได้รวมกันได้ไม่มีขัดแย้งกันนั่นเองคะ เพราะเหตุนี้ พระพุทธเจ้าท่านจึงถูกขนานนามว่า ตถาคต นั่นเองคะ ตถาคตภาษิต จะมีหน้าตาเป็นแบบนี้นั่นเองคะ
ในส่วนของคำสอน หรือความคิดเห็นของบุคคลทั่วไป ที่ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า คำสอน หรือ ความคิดเห็น ก็จะไม่มีกฏอิทัปปัจจยตา ไม่มีปฏิจจสมุปบาท ไม่มีสังขตธรรม จึงไม่เป็น สัมมาทิฏฐิ ก็จะไม่ใช่ คำสอนของพระพุทธเจ้านั่นเองคะ พระพุทธเจ้าท่านบอกให้ชักชวนกันเข้ามา ฟัง อ่าน จด ท่องจำ ตถาคตภาษิต นั่นเองคะ
น้อมกราบพระอาจารย์ผู้มีอุปการคุณอันประเสริฐที่ท่านเมตตานำคำตรัสของตถาคตมาเผยแพร่เจ้าค่ะสาธุ
อาการ นี้ เรียก ว่า ผู้ เบิกบาน รึ ปล่าว ครับ ท่าน
ก็จะเบิกบานตั้งแต่เห็น อริยสัจสี่ครั้งที่ 1 แล้วนั่นเองคะ ก็จะเบิกบานมาเรื่อยๆ จนเห็น อริยสัจสี่ในครั้งที่ 3 นั่นเองคะ
สมมติพระไตรฯเป็นพระพุทธวจนจริง ท่านก็คงได้แต่อ่านให้คนอื่นฟัง เพราะถ้าเมื่อไหร่ท่านขยายความ อธิบาย มันจะกลายเป็นคำสอนสาวกทันที เหมือนรธปอื่นเขานำมาขยายความแล้วไปว่าเขาว่าไม่ใช่พุทธวจน แล้วถ้าท่านอ่านโดยไม่ขยายความก็ไม่ต้องเทศนาแล้ว เอาหนังสือไปให้เขาอ่านเอง หรือ ให้คนอ่านอัดเสียงไว้ให้คนอื่นฟังก็พอ พระรูปอื่นๆเขาสอนมันก็เป็นแค่โวหารสำนวนการพูดของแต่ละองคผ์แต่หลักคือถ้าถูกต้องในกรอบ 3 ข้อ คือ ละความชั่ว ทำความดี ทำจิตให้ผ่องใส และจุดมุ่งหมายเดียวกันกับพระไตรฯก็น่าจะเกือบถูก100% ท่านอย่าอ้างพุทธวจน จากพระไตรฯ เลยเพราะไม่มีใครเกิดทัน และ พุทธกาลยังไม่มีพระไตรฯ ดังนั้นในพระไตรฯเป็นคำของสาวก 100%
ปริยัต เป็น สัมมาทิฏฐิ คือ เข้ามา ฟัง อ่าน จด ท่องจำ ตถาคตภาษิต ปฏิบัติ ก็จะเป็น สัมมาสังกัปปะ คือ มีศรัทธา ใน ตถาคตภาษิต คือ การเกิดปรากฏขึ้นของ อริยมรรคมีองค์แปด การนำ ตถาคตภาษิต มาบอกต่อ ก็จะต้องย้ำว่า นำ ตถาคตภาษิต มาบอกต่อ คือ การมีศรัทธาใน ตถาคตภาษิต คือ การเกิดปรากฏขึ้นของ อริยมรรคมีองค์แปด นั่นเองคะ ตถาคตภาษิต มีกฏอิทัปปัจจยตา มีปฏิจจสมุปบาท มีสังขตธรรม จึงเป็น สัมมาทิฏฐิ คือ มีธรรมที่เป็นเหตุ เกิดปรากฏขึ้น และ มีธรรมที่เกิดแต่เหตุ เกิดปรากฏขึ้น เป็น ปฏิจจสมุปปันนธรรม สาวกภาษิต คิดเอง พูดเอง พูดตามคนอื่น ที่ไม่ใช่การพูดตาม คำสอนของพระพุทธเจ้า สาวกภาษิต ไม่มีกฏอิทัปปัจจยตา ไม่มีปฏิจจสมุปบาท ไม่มีสังขตธรรม จึงไม่เป็น สัมมาทิฏฐิ คือ ไม่มีธรรมที่เป็นเหตุ และ ไม่มีธรรมที่เกิดแต่เหตุ นั่นเองคะ ยกตัวอย่างความคิดเห็น ที่กล่าวตำหนิ ผู้ที่นำ ตถาคตภาษิต มาบอกต่อนั่นเองคะ การชักชวนคนอื่นให้เข้ามา ฟัง อ่าน จด ท่องจำ ตถาคตภาษิต และ บอกต่อ ตถาคตภาษิต คือ การมีศรัทธาใน ตถาคตภาษิต นั่นเองคะ ส่วนผู้ที่บอกต่อ สาวกภาษิต ก็คือ มีศรัทธาใน สาวกภาษิต นั่นเองคะ ก็คือ ไม่มีศรัทธาใน ตถาคตภาษิต คือ การเกิดปรากฏขึ้นของ สังโยชน์ ทั้งสิบ นั่นเองคะ เพราะการเกิดปรากฏขึ้นของ สังโยชน์ ทั้งสิบ จึงมาวาจากล่าวตำหนิ ผู้ที่นำ ตถาคตภาษิต มาบอกต่อนั่นเองคะ
ถ้าพระไตรปิฏกคือคำสาวากทั้งหมดงั้น อริยสัจ4,มรรค8,ศีล,ปฏิปทาทั้งหลายคือสาวกตรัสรู้แล้วสั่งสอนงั้นหรอ?
พระพุทธเจ้าท่านบอกให้ชักชวนกันเข้ามา ฟัง อ่าน จด ท่องจำ ตถาคตภาษิต นั่นเองคะ ตถาคตภาษิต คือ คำสอนของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านพูดออกมา คำสอนของท่าน จะมีกฏอิทัปปัจจยตา มีปฏิจจสมุปบาท มีสังขตธรรม จึงเป็น สัมมาทิฏฐิ คำสอนของท่าน จะเป็นแบบนี้เหมือนกันทั้งหมดเลยนั่นเองคะ ทำให้ ตถาคตภาษิต เข้ากันได้รวมกันได้ไม่มีขัดแย้งกันนั่นเองคะ เพราะเหตุนี้ พระพุทธเจ้าท่านจึงถูกขนานนามว่า ตถาคต นั่นเองคะ ในส่วนของคำสอน หรือ ความคิดเห็น ที่ ไม่มีกฏอิทัปปัจจยตา ไม่มีปฏิจจสมุปบาท ไม่มีสังขตธรรม จึงไม่เป็น สัมมาทิฏฐิ เป็น สาวกภาษิต นั่นเองคะ เมื่อมีศรัทธาใน สาวกภาษิต อริยมรรคมีองค์แปด ไม่เกิดปรากฏขึ้นนั่นเองคะ เพราะ สาวกภาษิต ไม่เป็น สัมมาทิฏฐิ นั่นเองคะ ถ้าเป็น ตถาคตภาษิต จะเป็น สัมมาทิฏฐิ ทั้งหมดนั่นเองคะ
ความคิดเห็นที่เป็น สาวกภาษิต ก็จะบอกว่า อย่าสวดปฏิจจสมุปบาท ท่องจำเป็นนกแก้วนกขุนทองไม่เป็นมรรคไม่เป็นผล ที่ความคิดเห็นนี้เป็น สาวกภาษิต เพราะ ไม่มีกฏอิทัปปัจจยตา ไม่มีปฏิจจสมุปบาท ไม่มีสังขตธรรม จึงไม่เป็น สัมมาทิฏฐิ นั่นเองคะ เมื่อเข้าไปฟังแล้วมีศรัทธาใน สาวกภาษิต อริยมรรคมีองค์แปด ไม่เกิดปรากฏขึ้นมานั่นเองคะ เป็นการเกิดปรากฏขึ้นของ สังโยชน์ ทั้งสิบ นั่นเองคะ ในส่วนของผู้ที่นำ สาวกภาษิต มาบอกต่อ ก็คือ มีศรัทธาใน สาวกภาษิต นั่นเองคะ อริยมรรคมีองค์แปด ไม่เกิดปรากฏขึ้นนั่นเองคะ เป็นการเกิดปรากฏขึ้นของ สังโยชน์ ทั้งสิบ การนำ สาวกภาษิต มาบอกต่อ เป็นการทำกรรมดำทาง วาจา4 เป็นการพูดโกหก เป็นการพูดยุยงให้เขาแตกกัน เป็นการพูดคำหยาบ เป็นการพูดเพ้อเจ้อ นั่นเองคะ เป็นการเกิดปรากฏขึ้นของ การทำสงฆ์ให้แตกแยก นั่นเองคะ เพราะพระสงฆ์ คือ โสดาบัน สกทาคามี อนาคามี อรหันต์ นั่นเองคะ
ท่านบอกไม่ให้ฟังคำสอนสาวกแต่งใหม่ แต่พรพไตรปิฎกแต่งหลังพระพุทธเจ้าปรินิพพาน 300ปี คนแต่งก็คือพระสาวกนะครับ ท่านรู้ได้ยังไงว่าในนั้นอันไหนเป็น ไม่เป็นพุทธวจน อันที่ท่านอ้างว่าเป็นพุทธวจน ก็มาจากพระไตรฯมี่สาวกแต่ง แล้วทำไมสอนว่าห้ามฟังคำสอนสาวกละครับ ถ้าสาวกนั้นสอนตามหลักพระพะทธเจ้าสอน เหมือนท่านอ่านพระไตรฯ มาสอนคน ทำไมเขาต้องฟังท่านเพราะท่านก็เป็นสาวกรูปหนึ่งซึ่งท่านบอกเองว่าไม่ให้ฟังสาวก? วิชาภาษา อังกฤษ ไวยกรณ์ หลักเดียวกันทั่วโลก แต่อาจารย์มีมากมาย วิธีสอนไม่เหมือนกันสักคน แต่เวลาศิษย์ไปสอบขัอสอบชุดเดียวกันคำตอบก็ต้องเหมือนกันถ้าสอนในหลักที่ถูกต้องเหมือนกันทุกอาจารย์...อีกอย่างคำสอนของท่านที่ยกพุทธวจน แล้วพูดขยายความมันก็เหมือนกับสาวกรูปอื่นทำ ถ้างั้นก็ห้ามฟังคำสอนของท่านหรือ?
โมฆะบุรุษคนสุดท้ายพุทธวจน หมายถึงเอาแต่คำสอนของตถคต ที่จดจำบอกต่อๆกันมาจากรุ่นสู่รุ่นนำมาบอกสอนกัน เช่นไม่ได้เอาคำแต่งไหม่ที่ใช้ในสวดงานศพมาสอน การไม่ศึกษาคำสอนที่แท้จริงของศาสดาตนเองจะมีผลเสียอย่างมาก ตถาคต บอกสอนเรื่องกิ้งก่า สาวกไปจินตนาการเอาเอง และบอกสอนกันต่อมา จนกิ้งก่า กลายเป็นมังกร ปุถุชน ได้ฟังก็หลงงมงายเชื่อตามที่ อลัชชีบอกสอน เพราะอวิชชา
ชักชวนคนอื่นให้เข้ามา ฟัง อ่าน จด ท่องจำ ตถาคตภาษิต และ บอกต่อ ตถาคตภาษิต การนำ ตถาคตภาษิต มาบอกต่อ คือ การมีศรัทธาใน ตถาคตภาษิต คือ การเกิดปรากฏขึ้นของ อริยมรรคมีองค์แปด นั่นเองคะ การนำ ตถาคตภาษิต มาบอกต่อ ก็จะมี ผู้ที่ฟังด้วยดี และ จะมีผู้ที่ไม่ฟังด้วยดี นั่นเองคะ ตถาคตภาษิต มีกฏอิทัปปัจจยตา มีปฏิจจสมุปบาท มีสังขตธรรม จึงเป็น สัมมาทิฏฐิ คือ มีธรรมที่เป็นเหตุ เกิดปรากฏขึ้น และ มีธรรมที่เกิดแต่เหตุ เกิดปรากฏขึ้น เป็น ปฏิจจสมุปปันนธรรม คือ มีธรรมที่เป็นเหตุ และ มีธรรมที่เกิดแต่เหตุ เรียงร้อยกันและกันในการเกิดปรากฏขึ้น เรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท นั่นเองคะ ตถาคตภาษิต จะเป็นแบบนี้เหมือนกันทั้งหมดเลย ทำให้ ตถาคตภาษิต เข้ากันได้รวมกันได้ไม่มีขัดแย้งกันนั่นเองคะ ตถาคตภาษิต เป็น สัมมาทิฏฐิ อย่างนี้คะ เมื่อมีศรัทธาใน ตถาคตภาษิต คือ การเกิดปรากฏขึ้นของ อริยมรรคมีองค์แปด นั่นเองคะ สาวกภาษิต ไม่มีกฏอิทัปปัจจยตา ไม่มีปฏิจจสมุปบาท ไม่มีสังขตธรรม จึงไม่เป็น สัมมาทิฏฐิ คือ ไม่มีธรรมที่เป็นเหตุ และ ไม่มีธรรมที่เกิดแต่เหตุ นั่นเองคะ พิจารณาได้จาก ความคิดเห็นที่กล่าวตำหนิ ผู้ที่นำ ตถาคตภาษิต มาบอกต่อนั่นเองคะ คือ สาวกภาษิต
ปุถุชน ผู้ไม่ได้สดับในธรรมมาก่อน แม้แต่ศลี 5 มีคุณ มีโทษ อย่าไรยังไม่รู้ ไม่เข้าใจจะไปรู้ความจริงโดยปรมัตถ์ไดัอย่าวไร พวกปลอมบวข จึงยึดเอาช่องว่าง รูโหว่แม้น้อยนิด เท่ารูเข็มตรงนี้ มาขยายให้กว้างออกไปเรื่อย ๆเพื่อหลอกลวง หาผลประโยชน์โดยอาศัยความไม่รู้ ความหลงงมงาย ของปุถุชน เป็นทำเรหากิน นักบวชสมัยนี้บวชเข้ามา เพื่อหนี้ทุกข์ ไม่ได้บวชเช้ามาเพื่อรู้แจ้งทุกข์ และส่วนมากเป็นพวกขี้เหล้า ขี้ยา ขี้คุก ขี้เกียดอยู่เต็มวัด จะเอาอะไรไปบอกสอน ชาวบ้าน อีกไม่นานอุบาสก อุบาสิกาฆารวาส ต่าวพากันเลิกบำรุงดูแลศาสนา เพราะความเสื่อมทรามของพสกนักบวชที่มาอาศัยผัาเหลืองในการดำรงชีพ คงต้องเป็นหน้าที่ของ เท้าจตุโลกบาลทั้ง 4 และเหล่าเทพ เทวดา ต้อวลงมาดูแล ทนุบำรุงศาสนาให้อยู่รอดต่อไปได้ถึง 5,000 ปีสมัยนั้นมนุษย์คงจะมีอายุเฉลี่ย 50 ตาย
ต้องมาทำความเข้าใจกันใหม่ว่า พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ อริยสัจสี่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ได้ด้วยพระองค์เอง และ ท่านมีเมตตาบอกสอนให้รู้ตาม เมื่อรู้ตามแล้วก็นำ ตถาคตภาษิต มาบอกต่อ ก็บอกต่อๆๆๆกันมาจนถึง ปัจจุบัน เป็นพระอริยสงฆ์สาวกที่ท่านนำ ตถาคตภาษิต มาบอกต่อนั่นเองคะ ก็มารู้จัก ตถาคตภาษิต ที่มีอยู่ในพระไตรปิฎก ตถาคตภาษิต จะมีกฏอิทัปปัจจยตา มีปฏิจจสมุปบาท มีสังขตธรรม จึงเป็น สัมมาทิฏฐิ ยกตัวอย่าง อริยสัจสี่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เป็น ตถาคตภาษิต เพราะ มีกฏอิทัปปัจจยตา มีปฏิจจสมุปบาท มีสังขตธรรม จึงเป็น สัมมาทิฏฐิ คำสอนของพระพุทธเจ้าท่านจะบอก ธรรมที่เป็นเหตุ และ ธรรมที่เกิดแต่เหตุ และ เรียงร้อยกันและกันในการเกิดปรากฏขึ้น ที่เรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท นั่นเองคะ เมื่อรู้จัก ตถาคตภาษิต แล้ว ก็มารู้จัก สาวกภาษิต ซึ่งสาวกภาษิต ก็จะแตกต่างจาก ตถาคตภาษิต นั่นเองคะ คือ ไม่มีกฏอิทัปปัจจยตา ไม่มีปฏิจจสมุปบาท ไม่มีสังขตธรรม จึงไม่เป็น สัมมาทิฏฐิ คือ ไม่มีธรรมที่เป็นเหตุ และ ไม่มีธรรมที่เกิดแต่เหตุ นั่นเองคะ แบบนี้คือ สาวกภาษิต ที่ไม่เป็น สัมมาทิฏฐิ นั่นเองคะ
สาธุครับ🙏🏼
กราบสาธุเจ้าคะ
สาธุๆๆๆค่ะ
สาธุค่ะ🙏🙏🙏
อยากไห้พระอาจานเห็นเม้นนี้กลับผมเป็นพระลาวอยากไห้ไปสืกสาได้มั้ยเพราะสัดทามานานแล้วสาทุแล้วขอไห้แอัดมินเห็นเม้นนี้🙏🙏🙏
หมายถึงยังไงครับ อยากศึกษาพุทธวจนผมเข้าใจถูกมั้ยครับ
กราบนมัสการพระอาจารย์คึกฤทธิ์วัดนาป่าพงพุทธวจนพระผู้มีอุปการะคุณมากกก
อนุโมทนาสาธุค่ะ
กราบนมัสการพระอาจารย์ค่ะ
กราบอนุโมทนาสาธุสาธุในธรรมครับสาธุ
กราบขอบพระคุณพระอาจารย์ที่นำอนุสาสนีปฏิหาริย์มาถ่ายทอดทำให้ผู้ที่มีธุลีในดวงตาได้เห็นแสงสว่างแห่ธรรม
สาธุสาธุค่ะ🙏🙏🪷🪷🪷
น้อมกราบสาธุพระอาจารย์
🌸🙏🙏🙏🌷
อนุโมทนาสาธุครับผม🙏🙏🙏
นอ้มกราบสาธุครับ
น้อมกราบไหว้บูชาพระอาจารย์คึกฤทธิ์.ท่านเป้นดั่งรัตนะ5.เจ้าค่ะ.สาธุ.
น้อมกราบสาธุ สาธุ สาธุ เจ้าค่ะ
น้อมกราบธรรมตถาคตสาธุค่ะ
น้อมกราบนมัสการพระอาจารย์สาธุค่ะ
น้อมกราบสาธุ ๆ ในธรรมของตถาคตครับ
กราบะระอาจารย์ผู้มีพระคุณยิ่ง,,สาธยายธรรมทำให้เข้าใจง่ายผู้ใดเห๋นธรรมคถาคตผู้นั้นเห็นเรา,,สาธุ,สาธุ,สาธุเจ้าค่ะ
น้อมกราบพระอาจารย์ผู้มีอัปการัคุณทางธรรม กราบสาธุธรรมตถาคตเจ้าค่ะ 🙏🙏🙏🌷
ขอน้อบน้อมกราบนมัสการท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ ที่มีเมตตากรุณา สาธยายธรรมให้โยมได้เข้าใจในพระธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า🙇♀️🙇♀️🙇♀️🌻🌻🌻
[๑๖] บุคคลพึงเห็นบุคคลใดผู้มักชี้โทษ เหมือนบุคคลผู้บอกขุมทรัพย์ มักกล่าว
ข่มขี่ มีปัญญา พึงคบบุคคลผู้เป็นบัณฑิตเช่นนั้น เพราะว่าเมื่อคบ
บัณฑิตเช่นนั้น มีแต่คุณที่ประเสริฐโทษที่ลามกย่อมไม่มี บุคคล
พึงกล่าวสอน พึงพร่ำสอนและพึงห้ามจากธรรมของอสัตบุรุษ
ก็บุคคลนั้น ย่อมเป็นที่รักของสัตบุรุษทั้งหลาย แต่ไม่เป็นที่รักของ
พวกอสัตบุรุษบุคคลไม่ควรคบมิตรเลวทราม ไม่ควรคบบุรุษอาธรรม์
ควรคบมิตรดี ควรคบบุรุษสูงสุด บุคคลผู้อิ่มเอิบในธรรมมีใจ
ผ่องใสแล้ว ย่อมอยู่เป็นสุข บัณฑิตย่อมยินดีในธรรมที่พระอริยเจ้า
ประกาศแล้วทุกเมื่อ ก็พวกคนไขน้ำย่อมไขน้ำไป พวกช่างศรย่อมดัด
ลูกศร พวกช่างถากย่อมถากไม้บัณฑิตทั้งหลายย่อมฝึกฝนตน ภูเขา
หินล้วน เป็นแท่งทึบย่อมไม่หวั่นไหวเพราะลมฉันใด บัณฑิตทั้งหลาย
ย่อมไม่หวั่นไหวเพราะนินทาและสรรเสริญ ฉันนั้น ห้วงน้ำลึกใสไม่
ขุ่นมัว แม้ฉันใด บัณฑิตย์ทั้งหลายฟังธรรมแล้วย่อมผ่องใส ฉันนั้น
สัตบุรุษทั้งหลายย่อมเว้นในธรรมทั้งปวงโดยแท้ สัตบุรุษทั้งหลายหาใคร่กามบ่นไม่ บัณฑิตทั้งหลายผู้อันสุขหรือทุกข์ถูกต้องแล้ว ย่อมไม่แสดง
อาการสูงๆ ต่ำๆ บัณฑิตย่อมไม่ทำบาปเพราะเหตุแห่งตน ไม่ทำบาป
เพราะเหตุแห่งผู้อื่น ไม่พึงปรารถนาบุตร ไม่พึงปรารถนาทรัพย์ ไม่พึง
ปรารถนาแว่นแคว้น ไม่พึงปรารถนาความสำเร็จแก่ตนโดยไม่ชอบธรรม
บัณฑิตนั้นพึงเป็นผู้มีศีลมีปัญญา ประกอบด้วยธรรม ในหมู่มนุษย์
ชนผู้ที่ถึงฝั่งมีน้อย ส่วนหมู่สัตว์นอกนี้ย่อมเลาะไปตามฝั่งทั้งนั้น ก็ชน
เหล่าใดแล ประพฤติตามธรรมในธรรมอันพระสุคตเจ้าตรัสแล้วโดยชอบ
ชนเหล่านั้นข้ามบ่วงมารที่ข้ามได้โดยยาก แล้วจักถึงฝั่ง บัณฑิตออกจาก
อาลัยแล้ว อาศัยความไม่มีอาลัยละธรรมดำแล้วพึงเจริญธรรมขาว บัณฑิต
พึงปรารถนาความยินดียิ่งในวิเวกที่ยินดีได้โดยยาก ละกามทั้งหลายแล้ว
ไม่มีกิเลสเครื่องกังวล พึงชำระตนให้ผ่องแผ้ว จากเครื่องเศร้าหมองจิต
ชนเหล่าใดอบรมจิตด้วยดีโดยชอบ ในองค์แห่งธรรมสามัคคีเป็น
เครื่องตรัสรู้ ชนเหล่าใดไม่ถือมั่น ยินดีแล้วในการสละคืนความถือมั่น
ชนเหล่านั้นมีอาสวะสิ้นแล้วมีความรุ่งเรืองปรินิพพานแล้วในโลก ฯ
ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ สุตตันตปิฎก
ขุททกนิกาย ขุททกปาฐ-ธรรมบท
อุทาน-อิติวุตต-สุตตนิบาต
หน้าที่ ๑๘-๑๙ ข้อที่ ๑๖
สาธุครับ
น้อมกราบสาธุๆๆเจ้าค่ะ❤❤❤
พุทธวจน ใ้ช้คำของตถาคต
นิกายเถรวาท (ลัทธิหินยาน)
โดยตรงไม่มีการเปลี่ยนแปลง
พระวินัย เพื่อต้องการความ
หลุดพ้นเป็นอรหันต์ จึงต้องหนี
ไปอยู่ประเทศศรีลังกาไม่ต้อง
ไปประจบ ประแจงชาวบ้าน
เพื่อความอยู่รอดจึงเข้าร่วม
อุโบสถกับมหายาน 17 นิกาย
ไม่ได้ ศลีไม่เสมอกัน
น้อมกราบสาธุสาธุสาธุครับ
กราบอนุโมทนาสาธุค่ะ🙏🏾🙏🏾🙏🏾 23/2/2024
ขอนอบน้อมกราบพระอาจารย์ผู้มีเมตตา ผู้มีอุปการะมาก และเป็นรัตนะ 5 ที่หาได้ยากในโลก ผู้เปิดธรรมที่ถูกปิด น้อมกราบสาธุค่ะ
กราบนมัสการพระอาจารย์
กราบสาธุเจ้าค่ะ
อนุโมทนาสาธุครับ
น้อมกราบนมัสการสาธุพระอาจารย์ น้อมกราบสาธุพระสัจธรรมอันประเสริฐเจ้าค่า สาธุสาธุสาธุ 🙇♀️🙇♀️🙇♀️
❤❤❤สาธุ🙏🙏🙏
สาธุสาธุสาธุ
🙏🙏🙏 กราบอนุโมทนา สาธุ
สาธุค่ะ
น้อมกราบนมัสการพระอาจารย์ผู้เมตตาพากเพียรใส่ใจเมตตาในสัตตานังทั้งหลาย น้อมอนุโมทนาสาธุครับ
น้อมกราบนมั้สการพระอาจารย์ค่ะ
🙏🏻🙏🏻🙏🏻🙏🏻🙏🏻👏🏼👏🏼👏🏼👏🏼
นมัสการ ครับ ท่าน
ขอกราบอนุโมทนาสาธุครับ
มนัสการ พระอาจารย์ เพิ่งอ่านจบเมื่อกี้นี้เอง ฮะ สาธุ
สาธุเจ้าค่ะ
สาทุๆๆ
กราบนมัสการเจ้าคะ🙏🙏🙏
กราบนมัสการพระอาจารย์ครับ
❤สาธุ❤❤
สาธุๆๆคะ🙏🙏🙏
สาธุ สาธุ สาธุ ครับ พระอาจารย์
สาธุครับผม
สาธุ....ขอรับ
ดีแล้วตรัสได้โดยชอบแล้วครับ
สาธุสาธุสาธุคะ
🙏🙏🙏
สวัสดีครับขอบคุณครับ
คำแปลใหม่ที่เพี้ยน คำแปลใหม่ที่บิดเบือน คำแปลใหม่ที่ไม่มีมาแต่เดิม แล้วทำให้เกิดความขัดแย้งกันความหมายเปลี่ยน จับเข้าด้วยกันไม่ลงตัว ประเภทนี้ไม่ควรศึกษา แต่คำแปลใหม่ที่ขยายความเพิ่มเติมแต่ความหมายไม่เปลี่ยนไม่ขัดแย้งกันจับเข้ากลุ่มลงตัว ศึกษาได้
มารู้จัก ตถาคตภาษิต ที่เป็น สัมมาทิฏฐิ กันคะ ตถาคตภาษิต มีกฏอิทัปปัจจยตา มีปฏิจจสมุปบาท มีสังขตธรรม จึงเป็น สัมมาทิฏฐิ คือ มีธรรมที่เป็นเหตุ เกิดปรากฏขึ้น และ มีธรรมที่เกิดแต่เหตุ เกิดปรากฏขึ้น เป็น ปฏิจจสมุปปันนธรรม คือ มีธรรมที่เป็นเหตุ และ มีธรรมที่เกิดแต่เหตุ เรียงร้อยกันและกันในการเกิดปรากฏขึ้น เรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท นั่นเองคะ ตถาคตภาษิต จะเป็นแบบนี้เหมือนกันทั้งหมดเลย ถ้ามีธรรมที่เป็นเหตุ เกิดปรากฏขึ้น และ มีธรรมที่เกิดแต่เหตุ เกิดปรากฏขึ้น เป็น ปฏิจจสมุปปันนธรรม นั่นคือ ตถาคตภาษิต คือ คำสอนของพระพุทธเจ้าที่เป็น สัจจะความจริงที่เป็น อกาลิโก ตรงจริงไม่จำกัดกาลเวลา เมื่อ ตถาคตภาษิต เป็นแบบนี้เหมือนกันทั้งหมดเลย ทำให้ ตถาคตภาษิต เข้ากันได้รวมกันได้ไม่มีขัดแย้งกันนั่นเองคะ ถ้าไม่ขัดแย้งกันนั่นคือ ตถาคตภาษิต นั่นเองคะ สาวกภาษิต ไม่มีกฏอิทัปปัจจยตา ไม่มีปฏิจจสมุปบาท ไม่มีสังขตธรรม จึงไม่เป็น สัมมาทิฏฐิ คือ ไม่มีธรรมที่เป็นเหตุ และ ไม่มีธรรมที่เกิดแต่เหตุ นั่นเองคะ สาวกภาษิต จึงขัดแย้งกับ ตถาคตภาษิต นั่นเองคะ
ตถาคตภาษิต คือ คำสอนของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านพูดออกมา คำสอนของท่านจะมี กฏอิทัปปัจจยตา มีปฏิจจสมุปบาท มีสังขตธรรม จึงเป็น สัมมาทิฏฐิ คำสอนของท่าน ตถาคตภาษิต จะเป็นแบบนี้เหมือนกันทั้งหมดเลยนั่นเองคะ ทำให้ ตถาคตภาษิต เข้ากันได้รวมกันได้ไม่มีขัดแย้งกันนั่นเองคะ เพราะเหตุนี้ พระพุทธเจ้าท่านจึงถูกขนานนามว่า ตถาคต นั่นเองคะ ตถาคตภาษิต จะมีหน้าตาเป็นแบบนี้นั่นเองคะ
ในส่วนของคำสอน หรือความคิดเห็นของบุคคลทั่วไป ที่ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า คำสอน หรือ ความคิดเห็น ก็จะไม่มีกฏอิทัปปัจจยตา ไม่มีปฏิจจสมุปบาท ไม่มีสังขตธรรม จึงไม่เป็น สัมมาทิฏฐิ ก็จะไม่ใช่ คำสอนของพระพุทธเจ้านั่นเองคะ พระพุทธเจ้าท่านบอกให้ชักชวนกันเข้ามา ฟัง อ่าน จด ท่องจำ ตถาคตภาษิต นั่นเองคะ
น้อมกราบพระอาจารย์ผู้มีอุปการคุณอันประเสริฐที่ท่านเมตตานำคำตรัสของตถาคตมาเผยแพร่เจ้าค่ะสาธุ
อาการ นี้ เรียก ว่า ผู้ เบิกบาน รึ ปล่าว ครับ ท่าน
ก็จะเบิกบานตั้งแต่เห็น อริยสัจสี่ครั้งที่ 1 แล้วนั่นเองคะ ก็จะเบิกบานมาเรื่อยๆ จนเห็น อริยสัจสี่ในครั้งที่ 3 นั่นเองคะ
สมมติพระไตรฯเป็นพระพุทธวจนจริง ท่านก็คงได้แต่อ่านให้คนอื่นฟัง เพราะถ้าเมื่อไหร่ท่านขยายความ อธิบาย มันจะกลายเป็นคำสอนสาวกทันที เหมือนรธปอื่นเขานำมาขยายความแล้วไปว่าเขาว่าไม่ใช่พุทธวจน แล้วถ้าท่านอ่านโดยไม่ขยายความก็ไม่ต้องเทศนาแล้ว เอาหนังสือไปให้เขาอ่านเอง หรือ ให้คนอ่านอัดเสียงไว้ให้คนอื่นฟังก็พอ พระรูปอื่นๆเขาสอนมันก็เป็นแค่โวหารสำนวนการพูดของแต่ละองคผ์แต่หลักคือถ้าถูกต้องในกรอบ 3 ข้อ คือ ละความชั่ว ทำความดี ทำจิตให้ผ่องใส และจุดมุ่งหมายเดียวกันกับพระไตรฯก็น่าจะเกือบถูก100% ท่านอย่าอ้างพุทธวจน จากพระไตรฯ เลยเพราะไม่มีใครเกิดทัน และ พุทธกาลยังไม่มีพระไตรฯ ดังนั้นในพระไตรฯเป็นคำของสาวก 100%
ปริยัต เป็น สัมมาทิฏฐิ คือ เข้ามา ฟัง อ่าน จด ท่องจำ ตถาคตภาษิต ปฏิบัติ ก็จะเป็น สัมมาสังกัปปะ คือ มีศรัทธา ใน ตถาคตภาษิต คือ การเกิดปรากฏขึ้นของ อริยมรรคมีองค์แปด การนำ ตถาคตภาษิต มาบอกต่อ ก็จะต้องย้ำว่า นำ ตถาคตภาษิต มาบอกต่อ คือ การมีศรัทธาใน ตถาคตภาษิต คือ การเกิดปรากฏขึ้นของ อริยมรรคมีองค์แปด นั่นเองคะ ตถาคตภาษิต มีกฏอิทัปปัจจยตา มีปฏิจจสมุปบาท มีสังขตธรรม จึงเป็น สัมมาทิฏฐิ คือ มีธรรมที่เป็นเหตุ เกิดปรากฏขึ้น และ มีธรรมที่เกิดแต่เหตุ เกิดปรากฏขึ้น เป็น ปฏิจจสมุปปันนธรรม สาวกภาษิต คิดเอง พูดเอง พูดตามคนอื่น ที่ไม่ใช่การพูดตาม คำสอนของพระพุทธเจ้า สาวกภาษิต ไม่มีกฏอิทัปปัจจยตา ไม่มีปฏิจจสมุปบาท ไม่มีสังขตธรรม จึงไม่เป็น สัมมาทิฏฐิ คือ ไม่มีธรรมที่เป็นเหตุ และ ไม่มีธรรมที่เกิดแต่เหตุ นั่นเองคะ ยกตัวอย่างความคิดเห็น ที่กล่าวตำหนิ ผู้ที่นำ ตถาคตภาษิต มาบอกต่อนั่นเองคะ การชักชวนคนอื่นให้เข้ามา ฟัง อ่าน จด ท่องจำ ตถาคตภาษิต และ บอกต่อ ตถาคตภาษิต คือ การมีศรัทธาใน ตถาคตภาษิต นั่นเองคะ ส่วนผู้ที่บอกต่อ สาวกภาษิต ก็คือ มีศรัทธาใน สาวกภาษิต นั่นเองคะ ก็คือ ไม่มีศรัทธาใน ตถาคตภาษิต คือ การเกิดปรากฏขึ้นของ สังโยชน์ ทั้งสิบ นั่นเองคะ เพราะการเกิดปรากฏขึ้นของ สังโยชน์ ทั้งสิบ จึงมาวาจากล่าวตำหนิ ผู้ที่นำ ตถาคตภาษิต มาบอกต่อนั่นเองคะ
ถ้าพระไตรปิฏกคือคำสาวากทั้งหมดงั้น อริยสัจ4,มรรค8,ศีล,ปฏิปทาทั้งหลายคือสาวกตรัสรู้แล้วสั่งสอนงั้นหรอ?
พระพุทธเจ้าท่านบอกให้ชักชวนกันเข้ามา ฟัง อ่าน จด ท่องจำ ตถาคตภาษิต นั่นเองคะ ตถาคตภาษิต คือ คำสอนของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านพูดออกมา คำสอนของท่าน จะมีกฏอิทัปปัจจยตา มีปฏิจจสมุปบาท มีสังขตธรรม จึงเป็น สัมมาทิฏฐิ คำสอนของท่าน จะเป็นแบบนี้เหมือนกันทั้งหมดเลยนั่นเองคะ ทำให้ ตถาคตภาษิต เข้ากันได้รวมกันได้ไม่มีขัดแย้งกันนั่นเองคะ เพราะเหตุนี้ พระพุทธเจ้าท่านจึงถูกขนานนามว่า ตถาคต นั่นเองคะ ในส่วนของคำสอน หรือ ความคิดเห็น ที่ ไม่มีกฏอิทัปปัจจยตา ไม่มีปฏิจจสมุปบาท ไม่มีสังขตธรรม จึงไม่เป็น สัมมาทิฏฐิ เป็น สาวกภาษิต นั่นเองคะ เมื่อมีศรัทธาใน สาวกภาษิต อริยมรรคมีองค์แปด ไม่เกิดปรากฏขึ้นนั่นเองคะ เพราะ สาวกภาษิต ไม่เป็น สัมมาทิฏฐิ นั่นเองคะ ถ้าเป็น ตถาคตภาษิต จะเป็น สัมมาทิฏฐิ ทั้งหมดนั่นเองคะ
ความคิดเห็นที่เป็น สาวกภาษิต ก็จะบอกว่า อย่าสวดปฏิจจสมุปบาท ท่องจำเป็นนกแก้วนกขุนทองไม่เป็นมรรคไม่เป็นผล ที่ความคิดเห็นนี้เป็น สาวกภาษิต เพราะ ไม่มีกฏอิทัปปัจจยตา ไม่มีปฏิจจสมุปบาท ไม่มีสังขตธรรม จึงไม่เป็น สัมมาทิฏฐิ นั่นเองคะ เมื่อเข้าไปฟังแล้วมีศรัทธาใน สาวกภาษิต อริยมรรคมีองค์แปด ไม่เกิดปรากฏขึ้นมานั่นเองคะ เป็นการเกิดปรากฏขึ้นของ สังโยชน์ ทั้งสิบ นั่นเองคะ ในส่วนของผู้ที่นำ สาวกภาษิต มาบอกต่อ ก็คือ มีศรัทธาใน สาวกภาษิต นั่นเองคะ อริยมรรคมีองค์แปด ไม่เกิดปรากฏขึ้นนั่นเองคะ เป็นการเกิดปรากฏขึ้นของ สังโยชน์ ทั้งสิบ การนำ สาวกภาษิต มาบอกต่อ เป็นการทำกรรมดำทาง วาจา4 เป็นการพูดโกหก เป็นการพูดยุยงให้เขาแตกกัน เป็นการพูดคำหยาบ เป็นการพูดเพ้อเจ้อ นั่นเองคะ เป็นการเกิดปรากฏขึ้นของ การทำสงฆ์ให้แตกแยก นั่นเองคะ เพราะพระสงฆ์ คือ โสดาบัน สกทาคามี อนาคามี อรหันต์ นั่นเองคะ
ท่านบอกไม่ให้ฟังคำสอนสาวกแต่งใหม่ แต่พรพไตรปิฎกแต่งหลังพระพุทธเจ้าปรินิพพาน 300ปี คนแต่งก็คือพระสาวกนะครับ ท่านรู้ได้ยังไงว่าในนั้นอันไหนเป็น ไม่เป็นพุทธวจน อันที่ท่านอ้างว่าเป็นพุทธวจน ก็มาจากพระไตรฯมี่สาวกแต่ง แล้วทำไมสอนว่าห้ามฟังคำสอนสาวกละครับ ถ้าสาวกนั้นสอนตามหลักพระพะทธเจ้าสอน เหมือนท่านอ่านพระไตรฯ มาสอนคน ทำไมเขาต้องฟังท่านเพราะท่านก็เป็นสาวกรูปหนึ่งซึ่งท่านบอกเองว่าไม่ให้ฟังสาวก? วิชาภาษา อังกฤษ ไวยกรณ์ หลักเดียวกันทั่วโลก แต่อาจารย์มีมากมาย วิธีสอนไม่เหมือนกันสักคน แต่เวลาศิษย์ไปสอบขัอสอบชุดเดียวกันคำตอบก็ต้องเหมือนกันถ้าสอนในหลักที่ถูกต้องเหมือนกันทุกอาจารย์...อีกอย่างคำสอนของท่านที่ยกพุทธวจน แล้วพูดขยายความมันก็เหมือนกับสาวกรูปอื่นทำ ถ้างั้นก็ห้ามฟังคำสอนของท่านหรือ?
โมฆะบุรุษคนสุดท้าย
พุทธวจน หมายถึงเอาแต่
คำสอนของตถคต ที่จดจำ
บอกต่อๆกันมาจากรุ่นสู่รุ่น
นำมาบอกสอนกัน เช่นไม่ได้
เอาคำแต่งไหม่ที่ใช้ในสวด
งานศพมาสอน การไม่ศึกษา
คำสอนที่แท้จริงของศาสดา
ตนเองจะมีผลเสียอย่างมาก
ตถาคต บอกสอนเรื่อง
กิ้งก่า สาวกไปจินตนาการ
เอาเอง และบอกสอนกันต่อ
มา จนกิ้งก่า กลายเป็นมังกร
ปุถุชน ได้ฟังก็หลงงมงาย
เชื่อตามที่ อลัชชีบอกสอน
เพราะอวิชชา
ชักชวนคนอื่นให้เข้ามา ฟัง อ่าน จด ท่องจำ ตถาคตภาษิต และ บอกต่อ ตถาคตภาษิต การนำ ตถาคตภาษิต มาบอกต่อ คือ การมีศรัทธาใน ตถาคตภาษิต คือ การเกิดปรากฏขึ้นของ อริยมรรคมีองค์แปด นั่นเองคะ การนำ ตถาคตภาษิต มาบอกต่อ ก็จะมี ผู้ที่ฟังด้วยดี และ จะมีผู้ที่ไม่ฟังด้วยดี นั่นเองคะ ตถาคตภาษิต มีกฏอิทัปปัจจยตา มีปฏิจจสมุปบาท มีสังขตธรรม จึงเป็น สัมมาทิฏฐิ คือ มีธรรมที่เป็นเหตุ เกิดปรากฏขึ้น และ มีธรรมที่เกิดแต่เหตุ เกิดปรากฏขึ้น เป็น ปฏิจจสมุปปันนธรรม คือ มีธรรมที่เป็นเหตุ และ มีธรรมที่เกิดแต่เหตุ เรียงร้อยกันและกันในการเกิดปรากฏขึ้น เรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท นั่นเองคะ ตถาคตภาษิต จะเป็นแบบนี้เหมือนกันทั้งหมดเลย ทำให้ ตถาคตภาษิต เข้ากันได้รวมกันได้ไม่มีขัดแย้งกันนั่นเองคะ ตถาคตภาษิต เป็น สัมมาทิฏฐิ อย่างนี้คะ เมื่อมีศรัทธาใน ตถาคตภาษิต คือ การเกิดปรากฏขึ้นของ อริยมรรคมีองค์แปด นั่นเองคะ สาวกภาษิต ไม่มีกฏอิทัปปัจจยตา ไม่มีปฏิจจสมุปบาท ไม่มีสังขตธรรม จึงไม่เป็น สัมมาทิฏฐิ คือ ไม่มีธรรมที่เป็นเหตุ และ ไม่มีธรรมที่เกิดแต่เหตุ นั่นเองคะ พิจารณาได้จาก ความคิดเห็นที่กล่าวตำหนิ ผู้ที่นำ ตถาคตภาษิต มาบอกต่อนั่นเองคะ คือ สาวกภาษิต
ปุถุชน ผู้ไม่ได้สดับในธรรม
มาก่อน แม้แต่ศลี 5 มีคุณ
มีโทษ อย่าไรยังไม่รู้ ไม่เข้า
ใจจะไปรู้ความจริงโดยปรมัตถ์
ไดัอย่าวไร พวกปลอมบวข
จึงยึดเอาช่องว่าง รูโหว่แม้
น้อยนิด เท่ารูเข็มตรงนี้ มา
ขยายให้กว้างออกไปเรื่อย ๆ
เพื่อหลอกลวง หาผลประโยชน์
โดยอาศัยความไม่รู้ ความ
หลงงมงาย ของปุถุชน เป็น
ทำเรหากิน นักบวชสมัยนี้
บวชเข้ามา เพื่อหนี้ทุกข์ ไม่
ได้บวชเช้ามาเพื่อรู้แจ้งทุกข์
และส่วนมากเป็นพวกขี้เหล้า
ขี้ยา ขี้คุก ขี้เกียดอยู่เต็มวัด
จะเอาอะไรไปบอกสอน ชาว
บ้าน อีกไม่นานอุบาสก อุบา
สิกาฆารวาส ต่าวพากันเลิก
บำรุงดูแลศาสนา เพราะความ
เสื่อมทรามของพสกนักบวชที่
มาอาศัยผัาเหลืองในการดำรง
ชีพ คงต้องเป็นหน้าที่ของ เท้า
จตุโลกบาลทั้ง 4 และเหล่าเทพ เทวดา ต้อวลงมาดูแล ทนุบำรุงศาสนาให้อยู่รอดต่อไปได้
ถึง 5,000 ปีสมัยนั้นมนุษย์คงจะ
มีอายุเฉลี่ย 50 ตาย
ต้องมาทำความเข้าใจกันใหม่ว่า พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ อริยสัจสี่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ได้ด้วยพระองค์เอง และ ท่านมีเมตตาบอกสอนให้รู้ตาม เมื่อรู้ตามแล้วก็นำ ตถาคตภาษิต มาบอกต่อ ก็บอกต่อๆๆๆกันมาจนถึง ปัจจุบัน เป็นพระอริยสงฆ์สาวกที่ท่านนำ ตถาคตภาษิต มาบอกต่อนั่นเองคะ ก็มารู้จัก ตถาคตภาษิต ที่มีอยู่ในพระไตรปิฎก ตถาคตภาษิต จะมีกฏอิทัปปัจจยตา มีปฏิจจสมุปบาท มีสังขตธรรม จึงเป็น สัมมาทิฏฐิ ยกตัวอย่าง อริยสัจสี่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เป็น ตถาคตภาษิต เพราะ มีกฏอิทัปปัจจยตา มีปฏิจจสมุปบาท มีสังขตธรรม จึงเป็น สัมมาทิฏฐิ คำสอนของพระพุทธเจ้าท่านจะบอก ธรรมที่เป็นเหตุ และ ธรรมที่เกิดแต่เหตุ และ เรียงร้อยกันและกันในการเกิดปรากฏขึ้น ที่เรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท นั่นเองคะ เมื่อรู้จัก ตถาคตภาษิต แล้ว ก็มารู้จัก สาวกภาษิต ซึ่งสาวกภาษิต ก็จะแตกต่างจาก ตถาคตภาษิต นั่นเองคะ คือ ไม่มีกฏอิทัปปัจจยตา ไม่มีปฏิจจสมุปบาท ไม่มีสังขตธรรม จึงไม่เป็น สัมมาทิฏฐิ คือ ไม่มีธรรมที่เป็นเหตุ และ ไม่มีธรรมที่เกิดแต่เหตุ นั่นเองคะ แบบนี้คือ สาวกภาษิต ที่ไม่เป็น สัมมาทิฏฐิ นั่นเองคะ
สาธุสาธุสาธุ
🙏🙏🙏
สาธุครับ🙏🏼
กราบสาธุเจ้าคะ
สาธุๆๆๆค่ะ
สาธุค่ะ🙏🙏🙏
อยากไห้พระอาจานเห็นเม้นนี้กลับผมเป็นพระลาวอยากไห้ไปสืกสาได้มั้ยเพราะสัดทามานานแล้วสาทุแล้วขอไห้แอัดมินเห็นเม้นนี้🙏🙏🙏
หมายถึงยังไงครับ อยากศึกษาพุทธวจนผมเข้าใจถูกมั้ยครับ
🙏🙏🙏
กราบสาธุเจ้าค่ะ
อนุโมทนาสาธุครับ
กราบนมัสการพระอาจารย์คึกฤทธิ์วัดนาป่าพงพุทธวจนพระผู้มีอุปการะคุณมากกก
อนุโมทนาสาธุค่ะ
กราบนมัสการพระอาจารย์ค่ะ
กราบอนุโมทนาสาธุสาธุในธรรมครับสาธุ
🙏🙏🙏
กราบขอบพระคุณพระอาจารย์ที่นำอนุสาสนีปฏิหาริย์มาถ่ายทอดทำให้ผู้ที่มีธุลีในดวงตาได้เห็นแสงสว่างแห่ธรรม
🙏🙏🙏
สาธุสาธุค่ะ🙏🙏🪷🪷🪷