ถามตอบ หลักคิด โต้คนต่อว่าอาจารย์ คริสเตียน

Поделиться
HTML-код
  • Опубликовано: 26 дек 2024

Комментарии • 6

  • @baldwinivofjerusalem8194
    @baldwinivofjerusalem8194 5 дней назад

    การดีเบรตทางศาสนามันสนองตัญหาของพวก สำเร็จความใคร่ทางศีลธรรม ไงครับ กล่าวคือเวลาได้เอาชนะใครด้วยเหตุผล มันรู้สึกภูมิใจสะใจว่า ความเชื่อตัวเองเหนือกว่า แต่เขาไม่รู้ความจริงเลยว่า ศรัทธาไม่ได้เกืดจากลมตดและลมปาก หรือเหตุผลอะไรพิศดาร เพราะต่อให้คุณมีเหตุผลสูงส่งขั้นฟ้าแต่ไหน แต่เหตุผลนั้นพิสูจน์ไม่เชิงประจักษ์ไม่ได้ ไม่ว่าจะเอานรก สวรรค์ นิพพาน มีใครเอาให้เห็นตัวเป็นๆ แบบที่นาซาไปดวงจันทร์ หรือลงในมหาสมุทร ก็ไม่เคยนักวิทยาศาสตร์ไหนเห็นพญานาค หรือเห็นพระเจ้าปั้นบิ๊กแบงค ในที่สุดมันก็แค่ปรัชญาประดิษฐ์มาเพื่อสนองตุ่มทรงศีลธรรม เพื่อให้คนอยู่กรอบของศีลธรรม และแน่นอนว่า ในเมื่อพิสูจน์ไม่ได้100%ใครเริ่มคุยโม่ว่า ตัวเองเป็นสัจจะความจริงก่อนแล้วหาหลักฐานพิสูจน์ให้ไม่สิ้นสงสัยได้แล้วละก็ เอามาคุยเอาเถียงกันไม่มีวันจบแน่นอนครับ แบะถ้าสะสมนานเข้าในที่สุด จะมีเหตุการณ์เผ้าวัด เผ้าโบรถ พระเผ้าตัวตาย หรืออีกศาสนาหนึ่งจะเอาคัมภีร์ฉีกศาสนาหนึ่งมาดัดแปลง ทำให้ศาสนาไหนหาต้นฉบับความเชื่อเดิมไม่ได้เลย และส่วนตัวผมนะ ในบรรดาศาสนาทั้งหมดในโลก ศาสนาพุทธ ง่ายที่สุดในการทำลายล้าง เพราะต้องอาศัย รัตนะ4 พระภิกษุ พระภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ตอนนี้เหลือแค่ พระภิกษณี หายสิ้นไปแล้วในเมืองไทย คนไทยเจอเศรษฐกิจรัดตัวอีก ไม่มีเวลาศึกษาธรรมะ และพระส่วนใหญ่ไม่เรียน บวชเพื่อหาเงิน เมื่อคนไม่ศรัทธาพระ คนก็ตะไม่ศึกษา คนจะไปศึกษาวิทยาศาสตร์และความเชื่ออื่นแทน ในที่สุดถึงนะมีคำสอนเลิศประเสริฐแค่ไหน คนใจไมาเปิดสะแล้วก็เสร็จครับ ต่อให้อีตาเบียร์100ก็เกินเยียวยาแล้ว สิ้นเป็นแน่แท้ในอนาคตข้างหน้า เหมือนดังในอินเดีย ที่พุทธศาสนิกชนแทบไม่มี ทั้งๆ พวกชาวบางพุทธมั้ยอวดอ้างว่า ศาสนาตัวเลิศ เหตุผลดีกว่าชาวบ้าน เถียงใครคนอื่นแพ้หมด แล้วเป็นไงครับ เก่งเลยเกิน เก่งจริง แม้ศาสนาในแผ่นดินแม่ก็รักษาเอาไว้ไม่ได้ เหลือแค่5ประเทศ เป็นศาสนาหลัก ซึ่งล้วนแต่เป็นประเทศเจริญๆ เจริญมากๆ จนต้องส่องกล้องจุลทรรศน์ไปดู GDP กันเลยทีเดี่ยว เพราะเขาเน้นบุญนิยม มากกว่าเงินนิยม อาเมน

  • @baldwinivofjerusalem8194
    @baldwinivofjerusalem8194 5 дней назад

    ในพระพุทธศาสนาแบบเถรวาท คำสอนเกี่ยวกับ "การดับกิเลส" หมายถึงการที่จิตหลุดพ้นจากอำนาจของกิเลส (โลภะ โทสะ โมหะ) ไม่ได้หมายถึงการทำลายสิ่งที่มีอยู่จริงทางปรมัตถ์ธรรมให้หายไป แต่หมายถึงการที่จิตไม่มีการปรุงแต่งด้วยกิเลสอีกต่อไป กิเลสจึงไม่มีอำนาจครอบงำจิตของผู้หลุดพ้น
    คำอธิบาย
    1. กิเลสในฐานะปรมัตถ์ธรรม
    กิเลส เช่น โลภะ (ความอยากได้) โทสะ (ความโกรธ) และโมหะ (ความหลง) เป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นในจิตเมื่อมีปัจจัยเงื่อนไขที่เหมาะสม แต่เมื่อปัจจัยเหล่านั้นถูกกำจัดหรือดับ (นิโรธ) กิเลสก็ไม่ปรากฏในจิตอีก
    2. การดับกิเลสในทางปฏิบัติ
    การดับกิเลสหมายถึงการทำลาย "เหตุปัจจัย" ที่ทำให้กิเลสเกิด ซึ่งคืออวิชชา (ความไม่รู้) เมื่ออวิชชาดับ กิเลสก็จะดับไปโดยปริยาย เช่น
    การเห็นแจ้งในอริยสัจ 4
    การเจริญวิปัสสนา เพื่อรู้เท่าทันความไม่เที่ยง (อนิจจัง) ความทุกข์ (ทุกขัง) และความไม่มีตัวตน (อนัตตา) ของปรมัตถ์ธรรม
    3. การพ้นจากการครอบงำของกิเลส
    ในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ จิตหลุดพ้นจากการครอบงำของกิเลสโดยสิ้นเชิง ไม่ใช่ว่ากิเลสถูก "ทำลาย" ในเชิงวัตถุ แต่เพราะจิตที่รู้แจ้งไม่มีปัจจัยให้กิเลสเกิดอีก
    พระสูตรประกอบ
    1. ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร (พระไตรปิฎก เล่ม 10)
    อธิบายว่า "นิโรธ" หรือการดับทุกข์เกิดจากการละอวิชชาและตัณหา
    > "เมื่อสิ้นตัณหา ก็สิ้นทุกข์ สิ้นทุกข์ก็สิ้นกิเลส"
    2. อัคคัญญสูตร (พระไตรปิฎก เล่ม 11)
    กล่าวถึงการดับอวิชชาเป็นหนทางสู่ความบริสุทธิ์
    > "เมื่อบุคคลละอวิชชาได้ กิเลสทั้งหลายก็ดับไปด้วย"
    ข้อสรุป
    การดับกิเลสในพระพุทธศาสนาแบบเถรวาทจึงไม่ได้ย้อนแย้ง เพราะกิเลสไม่ได้ "ถูกทำลาย" ในแง่ของการทำลายสิ่งที่มีอยู่ แต่หมายถึงการทำให้กิเลสหมดปัจจัยที่จะปรากฏในจิตอีก การดับกิเลสคือการปลดปล่อยจิตจากการยึดติดและครอบงำของกิเลสจนถึงความหลุดพ้นโดยสมบูรณ์.

  • @javajavac882
    @javajavac882 4 дня назад

    ในพระคัมภีร์ไบเบิลฉบับดั้งเดิมไม่มีการระบุชื่อ "แอปเปิล" (Apple) ในเรื่องของผลไม้ต้องห้ามในสวนเอเดน (Garden of Eden) แต่อย่างใด
    ผลไม้ต้องห้าม ที่พระเจ้าได้บอกอดัมและเอวาว่าห้ามกิน ถูกเรียกแค่ว่า "ผลไม้แห่งต้นไม้แห่งความรู้ดีและความรู้ชั่ว" (Fruit of the Tree of Knowledge of Good and Evil) ใน หนังสือปฐมกาล (Genesis) ไม่มีการระบุชนิดของผลไม้อย่างชัดเจน

    • @baldwinivofjerusalem8194
      @baldwinivofjerusalem8194 День назад

      ใครว่าศาสนาคริสต์พิสูจนไม่ได้ในศาสนาพุทธก็ใช่ย่อย เช่น อจินไตยในพุทธศาสนา
      อจินไตย (สิ่งที่ไม่อาจหยั่งรู้หรือเข้าใจได้ด้วยปัญญาทั่วไป) ในพุทธศาสนา หมายถึงเรื่องที่ไม่ควรคิดหรือพยายามทำความเข้าใจ เพราะเกินกำลังของปัญญามนุษย์ที่จะเข้าถึง ซึ่งในพระพุทธศาสนาแบ่งออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่:
      1. พุทธวิสัย - วิสัยของพระพุทธเจ้า เช่น ความรู้แจ้งในธรรมชาติของสังสารวัฏ
      2. ฌานวิสัย - สภาวะจิตในสมาธิขั้นสูงของผู้มีฌาน
      3. กรรมวิบากวิสัย - ผลของกรรมที่ซับซ้อนและสัมพันธ์กันในหลายมิติ
      4. โลกจินตาวิสัย - เรื่องเกี่ยวกับการกำเนิดหรือความเป็นไปของโลกและจักรวาล
      เหตุผลที่ห้ามคิด: การพยายามเข้าใจอจินไตยอาจนำไปสู่ความสับสนและทุกข์ใจโดยไม่จำเป็น จึงแนะนำให้มุ่งปฏิบัติธรรมเพื่อบรรลุธรรมะแทน
      ---
      อจินไตยในคริสต์ศาสนา
      ในคริสต์ศาสนา แม้จะไม่ได้มีคำว่า "อจินไตย" โดยตรง แต่มีแนวคิดที่คล้ายคลึงกันเกี่ยวกับความลึกลับของพระเจ้า (Mystery of God) และการทำงานของพระเจ้า ซึ่งมนุษย์ไม่สามารถเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ เช่น:
      1. ตรีเอกภาพ (Trinity) - การดำรงอยู่ของพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ในฐานะพระเจ้าองค์เดียว
      2. ความรอด (Salvation) - แผนการของพระเจ้าเกี่ยวกับความรอดของมนุษยชาติ
      3. ปาฏิหาริย์ - การกระทำของพระเจ้าที่เหนือธรรมชาติ เช่น การฟื้นคืนชีพของพระเยซู
      4. การทรงทราบทุกสิ่งของพระเจ้า (Omniscience) - การที่พระเจ้าทรงรู้ทุกสิ่งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต
      ข้อสอนสำคัญ: คริสต์ศาสนาสอนให้เชื่อในสิ่งเหล่านี้ด้วยศรัทธา (Faith) โดยไม่จำเป็นต้องเข้าใจทั้งหมด แต่ให้มุ่งมั่นปฏิบัติตามคำสอนของพระเจ้าเพื่อความรอดพ้น
      ---
      ทั้งสองศาสนาจึงยอมรับว่ามีบางสิ่งที่เกินกว่าปัญญาของมนุษย์จะเข้าใจ และแนะนำให้ศรัทธาหรือปฏิบัติตามคำสอนเพื่อให้เกิดปัญญาในระดับที่ลึกซึ้งขึ้น.