พึงมีฉันทะในความบริสุทธิ์

Поделиться
HTML-код
  • Опубликовано: 11 фев 2025
  • ***คลิปแนะนำ***
    พึงมีฉันทะในความบริสุทธิ์
    เริ่มจากใจที่บริสุทธิ์
    วางธรรม วางโลก
    ……..
    ถาม : เริ่มจากใจที่บริสุทธิ์
    ปกติเราจะไปหาใจที่บริสุทธิ์
    คืออยู่บนความไม่บริสุทธิ์ แล้วไปวิ่งหาใจที่บริสุทธิ์
    มันยาก แต่พอแม่บอกว่า
    ให้เริ่มจากใจที่บริสุทธิ์
    เลยรู้สึกว่ามันง่าย
    แม่ครูตอบ :
    แม่ครูจะขยายให้นะ ในภาษาแม่ครูนะ
    ทิ้งหมดได้หมด..ก็ใช่นะ
    ไม่เลียซาก..ก็ใช่นะ
    เริ่มต้นในปัจจุบันแบบไม่มีมลทิน..ก็ใช่นะ
    เริ่มต้นจากใจ..ก็ใช่นะ
    เริ่มต้นจากสูญญตา..ก็ใช่นะ
    เริ่มต้นจากธาตุรู้..ก็ใช่นะ
    เริ่มต้นจากรู้ที่ตัวเรา..ก็ใช่นะ
    เราแบกโลกมาหาธรรม ไม่มีวันเจอ
    เพราะเราไม่รู้ว่าโลกที่แบก..นั่นแหละคือธรรม
    และจะวางธรรม วางโลกยังไง
    วางธรรม วางโลก คือวางอะไร
    คือปล่อยให้ขันธ์..เป็นขันธ์
    ปล่อยให้กาย..เป็นกาย
    ปล่อยให้รูป..เป็นรูป
    ปล่อยให้เวทนา..เป็นเวทนา
    และ..
    ปล่อยให้ใจ..เป็นใจ
    นั่นคือวางโลก วางธรรม
    ไม่ใช่เอาตัวเราไปวาง
    ไม่ใช่วิ่งวางอะไร
    แต่วางเพราะพบความบริสุทธิ์แล้ว
    ..พบใจแล้ว
    หรือภาษาพ่อแม่ครูบาอาจารย์คือ..
    ..พบจิตแล้ว
    ..พบความดั่งเดิมแล้ว
    ไม่ไปยุ่งกับขันธ์อีก
    แต่ขันธ์..ยังมีอยู่
    การทำงานของรูป นาม..ยังมีอยู่
    การทำงานของกาย จิต..ยังมีอยู่
    ต่างอันต่างจริง
    ยังต้องเอื้ออาศัยซึ่งกันและกัน
    สมมุติ และวิมุตติ
    ยังต้องใช้ขันธ์อยู่ โดยใช้สติปัญญาของขันธ์
    ขันธ์จะเป็นไปตามอำนาจของวิบากกรรม
    ที่เราไม่สามารถบังคับบัญชาได้
    จะเข้าใจหรือไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร
    ..แต่จะพูดถึงความบริสุทธิ์แล้วเป็นยังไง..ให้ฟัง
    ไม่ใช่เรื่องของคนธรรมดา จะเข้าใจได้
    แต่ก็ไม่ใช่เรื่องของคนวิเศษ จะเข้าใจ
    เพราะมันไม่ใช่ธรรมดาและวิเศษ
    ..มันคือความเป็นปกติของธรรมชาตินี้
    แต่เพราะ “ความไม่รู้” ตัวเดียว
    “สมมุติ” มันครอบงำไปหมดเลย
    พวกเราชอบพูดกับแม่ครูว่า
    “หนูก็อยากจะเชื่อนะคะแม่ แต่หนูก็ยังไม่เชื่อหมดใจ”
    แล้วเราก็ไปทำให้มันเชื่อหมดใจ
    เราก็วนอยู่ใน “อวิชชา”
    ก็เราไปเชื่อ “อวิชชา”
    แล้วแม่ครูก็บอกว่าจิตดวงนี้
    ที่เราจะ “เชื่อ” หรือ “ไม่เชื่อ”
    มันเป็น “อวิชชา”..เชื่อไม่ได้
    แต่พอมีกิริยาของจิตขึ้นมาใหม่
    เราก็เชื่ออีก ด้วยอำนาจของ “อวิชชา”
    มันจะไม่ให้เราเชื่อ พระพุทธเจ้า!
    เพราะมันต้องรักษาสมุนของมันไว้นั่นก็คือ ตัวเรา
    ปกป้องมันที่สุด..ก็คือตัวเรา
    เซฟให้มันที่สุด..ก็คือตัวเรา
    ทุกวันนี้ที่เราทำทุกอย่าง เพื่อปกป้อง..อวิชชา
    แต่.. อวิชชาไม่ใช่ผู้ร้ายตัวจริงนะ
    อวิชชาเป็นผู้มีอุปการะคุณตะหากล่ะ
    อวิชชา มีทั้งคุณและโทษ
    มีโทษ เมื่อเราไม่รู้จักอวิชชา
    ก็หลงเป็นบ้า เป็นบอ ไปกับความไม่รู้ หลงโลก
    แบกสมมุติมาฟาดฟันกัน
    เมื่อไหร่ที่เห็น ”โทษ” ของอวิชชา
    ก็จะเห็น “คุณ” ของอวิชชา
    อวิชชาที่เป็นโทษ เราไม่เอามาใช้ ไม่ไหลตาม
    ส่วน “อวิชชา” ที่เป็นคุณ..มันกลายเป็น “วิชชา”
    ใช้ตัณหา ละตัณหา
    ใช้อวิชชา ละอวิชชา
    วิชชา เกิดขึ้นเอง เรียกว่า วิชชา 3
    อะไรเป็นซึ่งอวิชชา อวิชชา เล่า
    คือ ความไม่รู้ เลยชักจูงออกไปโดยความไม่รู้
    แม้พระพุทธเจ้ามาประกาศสัจธรรม
    แม้ครูบาอาจารย์มาเผยแพร่
    สิ่งที่ท่านไปเผชิญมาทั้งชีวิต
    เราก็บอกเราศรัทธา เราเชื่อ เราอยากเดินตาม
    แต่อำนาจอวิชชามันมีแรงดึงดูด
    แต่ถ้าเราสร้างฉันทะใหม่ล่ะ
    สับคัตเอ้าท์ใหญ่ลง
    ยกทั้งขบวนการออกจากใจไปเลย
    ยกอวิชชาออกจากใจ
    ทิ้งขวางไม่เหลียวแลมันเลย
    คล้ายๆ เอาใจดวงใหม่เข้าประทับ
    ใจดวงใหม่ ที่มีแต่พระพุทธองค์จริงๆ
    แล้วเอาใจบริสุทธิ์นี้เป็นที่ตั้ง
    ไม่เอาอวิชชาที่ครอบงำเป็นที่ตั้ง
    นี่เรียกว่า “ปัญญาวิมุตติ”
    จากใจสู่ใจ มันจะถูกถ่ายเท ซึมซับกันเอง
    จากการที่มีฉันทะ วิริยะจะเกิดขึ้นเอง
    ความเพียรจะเกิดขึ้นเอง
    เพราะเชื่อหมดใจแล้ว
    จิตจดจ่อตั้งมั่่นในสิ่งนี้..ไม่เอาแล้วอวิชชา
    หรือเราไม่เชื่อแล้ว..ตัวเรา
    เชื่อผู้นำทาง เชื่อพระพุทธเจ้า
    อะไรที่จะมาขวางในหนทางนี้
    ก็อวิชชาอีก กรอบของความคิดอีก
    กรอบของความเชื่อ กรอบของสมมุติอีก
    ….ไม่เอาแล้ว
    ขออยู่ฝั่งเดียวกับพระพุทธองค์
    ดำรงอยู่ ตั้งมั่นอยู่ พากเพียรอยู่
    อะไรเป็นขวากหนาม เอาออกหมด
    ประกอบด้วยอิทธิบาท 4
    คือการอธิษฐานจิต การรักษาสัจจะ
    บารมีทั้ง 10 เต็ม
    หมุนอยู่ในวงรอบ ทวนเข้ามาอยู่ข้างในวงรอบ
    ของธรรมจักร
    อะไรเป็นเหตุ..เห็นทุกข์
    อะไรคือเหตุแห่งทุกข์..ความหลงใหล ก็อวิชชา
    เห็นสภาพทุกข์ที่มันก่อตัวขึ้น
    ความคิด ความรู้สึก อาการต่างๆที่ประกอบตัวขึ้น
    มันก็ทวนตัวเองเข้ามาอยู่ในวงรอบภายใน
    สังเกตุสิ ทวนจบแล้วมันจบไป
    ทวนจบแล้วมันหลุดไป
    แล้วมันก็มีขึ้นใหม่..ก็ทวนอีก แล้วมันก็หลุดไป แล้วก็จบ
    ขั้นตอนนี้ แม่ครูเรียกว่า “ไถ่ถอนอุปาทาน”
    หรือ “ไถ่ถอนอวิชชา”
    ..ยังไม่สิ้นสุด แต่เป็นแนวทางในการไถ่ถอน
    ถ้าเราดำรงอยู่แบบนี้ อวิชชาจะหมดไปไหม
    จะหมดไปในตัวมันเอง
    ไม่มีใครเป็นผู้เสวย
    ใจเดิม ใจแท้ เปรียบเหมือน
    ใจที่ว่างเปล่า ไม่มีก้นหลุม ก้นบ่อ ไม่มีฐาน
    ขั้นธ์ 5 เกิด ดับอยูในใจ
    รูปนาม เกิดดับอยู่ในใจ
    โลก เกิด ดับอยู่ในใจที่ว่างเปล่า
    ไม่มีผู้เสวย ไม่มีผู้รองรับมัน
    เทศนาธรรมแม่ชีชมพู่
    วัดป่าภูวงน้อย สวนธรรมสันติ จ.สกลนคร
    สวนธรรมส่องใจ จ.ลำพูน
    #แม่ชีชมพู่ #สวนธรรมสันติ #สวนธรรมสันติสกลนคร #วัดป่าภูวงน้อยสวนธรรมสันติ #สวนธรรมส่องใจ #สวนธรรมส่องใจลำพูน #พุทธสาวิกาเดินตามรอยธรรม

Комментарии •