ชอบประเด็นนี้มาก แล้วคลิปก็เสนอแง่คิดได้ดี แต่คงจะดีถ้ามีตัวแทนของทั้งของแต่ละ Gen มากขึ้น เช่น Gen X ที่อาจจะอนุรักษ์นิยมมากกว่า (ไม่ได้ stereotype แต่ถ้าได้เห็นแนวคิดมันตัดกันแบบแหลมคมคงจะน่าสนใจ) Gen Y ที่กำลังมึนงงอยู่ท่ามกลางกระแสเวลา หรือ Gen Z ที่อาจจะไม่ suicidal เท่าเพื่อนๆร่วม Gen
Gen Z พูดถึงการตายในแบบที่ผมคิดตอนนี้เลย ตอนนี้คิดว่าแค่อายุ 60 ก็พอแล้ว ไม่อยากป่วยไม่อยากพิการให้คนอื่นมาเดือดร้อนเป็นภาระให้ เห็นด้วยมากๆ อยากให้มีการอรุณยฆาตถูกต้องตามกฎหมาย
เป็นคน Gen Y พอฟังเเล้ว สังเกตตัวเองได้เลยว่า ตัวเรามีส่วนผสมของคนทั้ง 2 แบบเลย เราถูกเลี้ยงเเละหล่อหลอมมากับคน Gen X แต่พอได้มาใช้ชีวิตด้วยตัวเอง ทำให้มีรากฐานทัศนคติเหมือนชาว Gen Z อยู่พอตัว ตอนตัดสินใจว่าจะใช้ชีวิตยังไงต่อไป มีความคิดว่าสักวันนึงยังไงก็ต้องตาย แต่จะทำยังไงให้ทุกๆวันนี้ดีขึ้น และมีความสุขมากขึ้น
พึ่งมาเห็น คอนเท้นต์นี้เลย จากมุมมองที่ทั้ง 2 คนพูดมา Gen X จะมีห่วงกว่าคน Gen Z เช่นลูก ซึ่งในช่วงก่อนตาย เขาจะต้องหาเงินเพียงพอต่อลูก แต่ส่วน Gen Z หาเงินให้เพียงพอจนตัวเองตาย ไม่ได้หาให้เพื่อคนรุ่นหลัง โดยมีหลักฐานจากประประโยคที่ว่า "ตายก่อนโดยไม่ได้ใช้เงิน" แน่นอนว่าความคิดเหล่านี้ขึ้นอยู่กับบริบทของแต่ละคนด้วย
น่าจะลองเอาคนที่มีสถานะการใช้ชีวิต เหมือนกัน แต่คนละ gen มาเทียบกัน อาจจะเหนคน gen z ในอีกมุม อันนี้น่าสนใจ สถานะ เช่น มีลูก เหมือนกัน เป็นต้น (🙋🏻♀️ gen Y)
เราให้ความสำคัญกับการตายมาก เราอยาก live fast, die long ทุกวันที่ทำอยู่ก็เพื่อการตายของตัวเองทั้งหมด เราอยากตายด้วยตัวเอง ไม่ใช่โรคภัยหรือฆาตกรรม มันอาจจะต้องย้อนไปว่าเราไม่ใช่อยากตาย เพียงแต่เราไม่อยากเกิด ไม่อยากแก่ ไม่อยากเจ็บ เราเลยตั้งใจจะตายก่อน
เราคิดว่ามนุษย์พยายามเข้าใจความตายในแบบที่ตัวเองสบายใจมากๆ แต่ในความเป็นจริงแล้วความตาย=ความไม่รู้อะ คนที่ตั้งทฤษฎี แนวคามเชื่อต่างๆ ไม่เคยไม่มีใครสัมผัสความตาย คนที่บอกว่าหยุดหายใจชมนึง =ความตาย แล้วว่างเปล่า จะบอกได้ยังไง ว่านั่นคือความตายจริงๆ เราว่าการมีชีวิตอยู่ ถึงมันจะยากจะหนักมากๆ อย่างน้อย มนุษย์ก็น่าจะเป็นคนที่รู้จักโลกดีที่สุด อารมณ์เหมือนอยู่อย่างยากลำบากในที่ที่คุ้นเคย กับ หลงทางในที่ที่ไม่รู้จักใครเลย
เพราะมนุษย์กลัวความไม่รู้ เราจึงกลัวความตาย ความเชื่อต่างๆก็คือ การสร้าง ความรู้เพื่อมาเติมเต็มช่องว่างเหล่านั้น เพื่อจะทำให้มนุษย์ได้มีอำนาจเหนือสรรพสิ่ง
@@กฤตธนพวกยะ จริงค่ะ แต่เราว่าโลกมันมากกว่า ความเชื่อ มันมีความรัก ความสัมพันธ์ สถานที่ มันเลยเป็นโลกที่เรารู้จัก มนุษย์ชอบเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตหลังความตาย เพื่อเติมเต็มความไม่รู้ แต่จริงๆแล้วไม่มีใครรู้
การตายในการแพท คือร่างกายไม่ตอบสนองหัวใจหยุดะต้น ทางการแพทย์ถ่อว่าตายแล้ว
ชอบที่พูดถึงการตายของคุณพ่อที่บอกว่าคนที่ดูแลเค้าจะได้สบาย มันยากมากที่จะมีคนบอกเราว่าเห้ยมิงเป็นอิสระแล้วนะ แล้วการที่บอกว่าแฮปปี้แม่งโคตรสุด มันใช่เลยเว้ย ถ้าเราพูดคำนั้นออกมาในสังคมคงมองว่าเราแบบน่ากลัวแต่แม่งโคตรโดนใจ
@Bailey ดีใจกับคุณมากๆเลย เราเครียดจนไปปรึกษาจิตแพทย์ อยากตาย เกลียด รพ มากแค่คิดว่าชีวิตที่เหลือคือการไป รพ เราก็อยากตายมาก ดีใจกับคุณจริงๆ
เราเปนหนึ่งในความคิดนั้น และเปนคนเซ็นยินยอมที่ปล่อยเขาไปไม่ยื้อไว้ทั้งๆที่ยื้อได้ เพาะสิ่งที่คุนพูดมันคือความจิง เพาะรักจึงต้องดูแล และการดูแลนั้นต้องแลกเกือบทุกอย่างในชีวิตเพื่อให้คนที่เรารักได้อยุ่กับเราไปนานๆ แต่ในมุมของคนที่ถูกดูแลนั้นเมือถึงจุดๆหนึ่งตัวของตัวเองจะรุ้ว่าไหวแค่ไหน และเขาก็ไม่อยากให้คนที่รักเดือดร้อนอีก เมือถึงจุดนั้นทั้งสองฝ่ายจะรับรุ้ได้เองว่าควรทำยังไงต่อไป
แนวความคิดของพี่เอ็ด การตายคือการดับ น่าจะสอดคล้องกับวิทยาศาสตร์ที่สุดในปัจจุบัน
Stephen Hawking ก็เชื่อเช่นนั้นครับ
พี่เอ็ด พูดไว้ดีมากๆจริงๆครับ จนอีกคนที่มาพูดต่อ ดูแปลกๆอึนๆไปเลย
ไม่น่าเอาคนนี้มาเป็นตัวแทน เจนz เลยยยยย ดูไร้สาระยังไงไม่รู้
ผมคิดแบบนั้นมานานแล้วเชื่อในวิทยาศาสตร์
@@heyguys9178 แสดงว่าพี่เป็นคนที่โตมาในยุคgen x ใช่มั้ยฮะ เพราะพี่ฟังคน genz แล้วอึนๆไม่เข้าใจมุมมองเค้า
ส่วนตัวผมZผมก็มีมุมมองแบบทั้ง2คนในเรื่องของการตาย
ความจริงคือไม่มีสิ่งไหนตาย
การพูดถึงว่าตายอย่างไร จะสะท้อนให้เห็นว่าตอนนี้เราอยู่อย่างไร และเตรียมตัวต่อความตายอย่างไร
ใน GenX มีทัศนคติอย่างผู้รับช่วงต่อและส่งผ่านต่อ จึงมีความผูกพันกับผู้รับ(รุ่นก่อน)และผู้ส่งต่อ(ลูกของตัวเอง) ค่อนข้างชัดเจนกว่า
ส่วนใน GenZ มีทัศนคติแบบ เอกเทศ ตัวเองเป็นเพียงผู้อยู่ในระบบ ทำหน้าที่แล้วก็หายไปเมื่อถึงวาระ จึงให้ความสำคัญกับตัวตนและปัจจุบัน มากกว่าการรับผ่านและส่งต่อ
มันไม่ได้มีทัศนคติใดที่ผิดหรืออะไรดีกว่ากัน แต่หากมองโดยใช้แนวคิดที่ว่า รูปแบบสังคมจะสร้างทัศนคติและแนวคิดของคนขึ้นมา อาจมองได้ว่า สังคมมีความบีบรัดและแข่งขันกันสูงมากขึ้น และความสุขในสังคมนั้นน้อยลง ทำให้คนเลือกมองกรอบของตนเองมากขึ้น เมื่อเทียบกับแนวคิดการรับและส่งต่อซึ่งเป็นสเกลที่ใหญ่และแบกรับภาระค่อนข้างเยอะกว่า แต่แม้จะลดขนาดสเกลและความสัมพันธ์ลง ก็ยังคงเห็นทัศนคติความทุกข์ในชีวิตของ GenZ ชัดเจนกว่า แต่จะบอกว่า GenX มีความสุขมากกว่าก็พูดยาก เพราะจริงๆ GenX จะปลูกฝังเรื่องความอดทน ในขณะที่แนวคิดยุคใหม่เราไม่จำเป็นต้องอดทนในสิ่งที่ไม่จำเป็น เลยมองได้ว่า GenZ สามารถแสดงออกได้มากกว่าGenXที่เลือกจะอดทนและไม่พูด หรือมองได้ว่าGenX ก็มีความทุกข์เช่นกันเพราะสเกลหน้าที่ที่แบกรับไว้นั้นมีขนาดที่ใหญ่กว่าและยังคงอยู่ในสังคมเดียวกันแม้จะต่างวัยและสภาวะทางสังคมไปบ้าง แต่GenX ดูเหมือนจะแบกรับและจัดการกับความทุกข์ได้ดีกว่าเพราะค่านิยมความอดทนก็เป็นได้
ทั้งหมดนี้เป็นแค่เพียงการวิเคราะห์กว้างๆ จากข้อมูลในคลิป หวังว่าคงไม่มีใครแย้งว่า มันไม่เหมือนกันไปทุกคนหรอกนะ ใช่มั้ย
สำหรับGenYอย่างผมชอบความเห็นนี้มากๆครับ
จริง
แสดงออกได้มากแต่ไม่รู้ว่าสิ่งใดควรแสดงออกหรือไม่ควรเลยทำให้อยู่ร่วมกับสังคมลำบากเพราะเอาแต่ความคิดความรู้สึกของตนเป็นที่ตั้งโดยไม่สนสีแตดอะไรทั้งนั้นจะเอาตามใจแต่ที่ถูกจริตตนไม่ถูกใจเอะอะก็จะหลบหนีออกจากมันแทนที่จะปรับความคิดปรับตัวเพื่ออยู่กับมันหรือหาวิธีรับมือมันบอกเจนนี้ฉลาดใช่ไม่เถียงแต่ไม่ลึกซึ้งเน้นฉาบฉวยสุกเอาเผากินพอเจอปัญหาซับซ้อนก็ไปไม่เป็นทำไรไม่ถูกเพราะยึดติดกับความคิดว่าต้องเป็นแบบที่ตนคิดเท่านั้นเลยพลิกแพลงไม่เป็นสังเกตุมาหลายครั้งละจากที่ที่ทำงาน
เข้าใจทุกอย่าง และชอบมากน้องๆ Gen Z
เราชอบ content มากค่ะ ได้คิดไปด้วย พอได้ฟังแล้วก็เออ การตายมันไม่แย่อ่ะ ไม่ว่ากับตัวเราหรือครอบครัว เราคิดว่ามันคือความสงบที่แท้จริง เราจะยินดีด้วยที่ไม่ต้องเหนื่อยอีกแล้ว เราคิดว่าการแพทย์ก้าวไกลเกินไปจริงๆ ค่ะ แม้เราจะเป็นบุคลากรทางการแพทย์ก็เถอะ เห็นบางคน อยู่แล้วเขาทรมานมากกว่าการดับไปจริงๆ เจอเรื่องแบบนี้ทุกวันก็รู้สึกปลงว่าชีวิตมันก็เท่านี้ เราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เราอยากเลือกตายได้จริงๆ ค่ะ ตอนนี้ก็ใช้ชีวิตไปแบบที่เราเป็นเราและแฮปปี้
ชอบประเด็นนี้มาก แล้วคลิปก็เสนอแง่คิดได้ดี แต่คงจะดีถ้ามีตัวแทนของทั้งของแต่ละ Gen มากขึ้น เช่น Gen X ที่อาจจะอนุรักษ์นิยมมากกว่า (ไม่ได้ stereotype แต่ถ้าได้เห็นแนวคิดมันตัดกันแบบแหลมคมคงจะน่าสนใจ) Gen Y ที่กำลังมึนงงอยู่ท่ามกลางกระแสเวลา หรือ Gen Z ที่อาจจะไม่ suicidal เท่าเพื่อนๆร่วม Gen
ใครบอกเจนวายมึน😂เจนวายน่ะคือเจนที่สัมผัสทั้งแบบใหม่และเก่าอยุ่ในช่วงวัยที่ไม่หมดไฟที่จะเรียนรู้เป็นเจนที่บาลานที่สุดละกึ่งกลางใหม่กับเก่าบอกเจนแซดอาจไม่ฆ่าตัวตายเท่าเจนอื่นกุนิโคตรขำเจนแซดนี่แหละเป็นเจนที่เปราะบางทางจิตใจที่สุดละดูง่ายๆทุกวันสถิติเป็นซึมเศร้าฆ่าตัวตายสูงสุดกว่าเจนอื่นอีก😂
กำลังฟังพี่เอ๊ดแบบละมุนๆ อีกคนมา ออกทะเลไปเลย ไม่ค่อยตรงข้อำถามครับ เหมือนเขียนคำตอบในข้อสอบได้หลายหน้า แต่ใจความแทบไม่มีเลยอ่ะ หรือไม่ก็ตั้งชื่อคลิปไม่ตรงกับสิ่งที่อยากนำเสนอในคลิป น่าจะแบบนี้นะ
คิดเหมือนกันครับ คนแรกพูดถึงมุมมองชีวิตในวัยกลางคนมีครอบครัว อีกคนพูดไม่มีเป้าหมาย ไปเรื่อยๆ ไม่เข้าประเด็นเท่าไร มีความแทรกการสอนในมุมมองตัวเองสูง กลายเป็นฟังแล้วไม่อินตามครับ พิธีการยังต้องถามในประเด็นเดิมซ้ำ
ออกทะเล? ผมว่าเขาก็อธิบายในมุมของเขานะครับจะออกทะเบได้ไงก็ความคิดใครความคิดมันนั้นคือความคิดที่เขาสื่อออกมามันคือการออกทะเลละเหรอ
@@Maggie-gb9xf เราคิดเหมือนกัน
@@Maggie-gb9xfออกทะเลก็คือไม่ตรงประเด็นไงพูดไปเรื่อยเปื่อยไม่มีเป้าหมายนึกอยากพูดอะไรก็พูดที่มันไม่อิงกับความเป็นจริงเขาเรียกเพ้อเจ้อ
เราเป็นคนนึงที่กลัวความตายมากๆ กลัวที่จะต้องดับไปตลอดกาล คิดไปถึงว่าถ้าจักรวาลเราล่มสลายแล้วจะเป็นไงต่อ กลัวมนุษญ์สูญพันธุ์ กลัวแบบตายไปแล้วมีสวรรค์นรกแล้วต้องไปนั่งใช้ชีวิตตรงนั้นอีก คือแค่คิดว่าต้องตายสักวันก็กลัวแล้ว เหมือนอยากให้เราใช้ชีวิตกับคนที่เรารักไปตลอดเรื่อยๆ ได้ใช้ชีวิตเจอสิ่งต่างๆไปเรื่อยๆ เหมือนไม่อยากหายไปจากโลก อยากได้คำปรึกษาเรื่องนี้จริงๆค่ะ
เราก็เป็นเหมือนกันค่ะ บางครั้งหนักๆ นึกว่าเราตายแล้วต้องหลับไปตลอดมีแอบใจหายร้องไห้ด้วย เหมือนมันรับไม่ได้
เหมือนกันเลยค่ะ😭 ทุกบรรทัดที่คุณพิมเหมือนกันกับที่เราคิดมาก ร้องไห้ออกมาทุกรอบเลยที่จู่ๆก็คิดเรื่องนี้ได้ พยายามไม่คิดแล้วนะแต่บางครั้งมันก็อดคิดไม่ได้จริงๆค่ะทุกข์มาก
คนส่วนใหญ่ไม่มีใครอยากตายหรอกครับ ตัวผมเองก็เคยคิดเเบบคุณ เเต่พอนึกถึงว่าพ่อเเม่เราต้องตายนี่สิ ยิ่งเครียดหนักเลย555 ยิ่งกว่าคิดเรื่องตัวเองอีก
สิ่งที่คุณรู้สึกบางทีอาจจะเกิดจากสารเคมีในสมองก็ได้ อยู่ที่ว่าคิดวกวนกับความคิดด้านลบเเค่ไหน
ตัวผมเองเคยใช้สารเสพติด พอเลิกเเล้วก็คิดมากเเบบนี้เเหละ คิดมากในหลายๆเรื่อง รวมถึงเรื่องนี้ด้วย
(ส่วนตัวเเล้วผมเองยังไม่เคยไปพบจิตเเพทย์ เลยไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร เเค่รู้ว่าเกิดมายังไม่เคยรู้สึกเหนื่อย,เครียด เเบบนี้มาก่อนเลย)
*อาจจะไม่เกี่ยวกับการใช้ยาก็ได้ บางคนอยู่ดีๆก็เป็นขึ้นมาซะอย่างนั้นเลย*
เราก็กลัวเหมือนกัน ร้องไห้เรื่องนี้กับเพื่อนบ่อย ๆ แต่พอไปลองติดตามเรื่อง gerontology/longevity science รู้สึกมีความหวังขึ้นในระดับนึงเลยค่ะ
@@YT-bl9ez ส่วนตัวการที่เราคิดแบบนี้เริ่มแรกมันเกิดจากการที่มีคำพูดมาtriggered เราก่อนค่ะ มันทำให้เราคิดตอนแรกว่าถ้าเราไม่เกิดมาจะเป็นยังไง แล้วเราก็คิดต่อมาเรื่อยๆจนกลัวที่จะต้องตายค่ะ
ชอบ content นี้มากเลยค่ะ เป็นคลิป 10 นาทีที่รู้สึกคุ้มค่าที่จะดู เราเป็นคน gen z ที่รู้สึกเฉยๆ กับการตายมากๆ รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องธรรมชาติ น่าแปลกนะ ทั้งๆ ที่อายุยังไม่ถึง 20 เลย แต่กลับคิดว่าตายตอนนี้เลยก็ได้ อาจจะเสียดายนิดหน่อยที่ยังไม่ได้ลองทำอะไรเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ได้เสียใจ ช่วงนี้เราคิดบ่อยมากว่าถ้าแม่เอาเงินส่งเราเรียนไปส่งตัวเองเรียน ท่านจะไปได้ไกลแค่ไหน (แม่เราเก่งมากค่ะ แต่ภาระเยอะมากๆ จนขาดโอกาสที่จะได้เรียนในระดับสูงกว่านี้) เลยคิดว่าถ้าเราตายน่าจะดีกว่า หมดภาระไปเยอะ
คุณลองตั้ง passion ตัวเอง ที่จะพยายามทำให้ตัวเองมีชีวิตที่ดีขึ้นสู้ชีวิตมากขึ้น จนเลี้ยงตัวเองได้เเละเลี้ยงเเม่ได้ดูครับ หาวิถีทางที่ช่วยให้เเม่มีความสุขในเเบบที่เขาอยากจะทำ คุณจะรู้สึกเองครับว่าตัวเองนั้นมีคุณค่าเเค่ไหน เเละคุณจะไม่อยากตายเลย เพราะ ''มีสิ่งที่ยังต้องทำ''
เหมือนกับที่เเม่คุณทำอยู่ตอนนี้ครับ
คิดถึงคนอื่นให้มาก ๆ อย่างมองเเต่ตัวเราคนเดียวเเล้วเราจะรู้คุณค่าของการมีชีวิตอยู่ครับ
ผมไม่รู้รายละเอียดหรอก แต่ถ้าคุณตายแม่คุณคงเจ็บน่าดู
พอถึงเวลาจริงๆ ทุกคน มันไม่เหมือนที่พูดครับ
คนเราก็มีความ กล้า ความ กลัว ลึกๆ ในสันดาน
คิดให้ดี ก่อนจะ พูด ว่าพร้อม ตาย
ต้องรู้ให้ทัน ความเศร้า อย่าไปหลงกับอารมณ์มาก
Gen Z พูดถึงการตายในแบบที่ผมคิดตอนนี้เลย ตอนนี้คิดว่าแค่อายุ 60 ก็พอแล้ว ไม่อยากป่วยไม่อยากพิการให้คนอื่นมาเดือดร้อนเป็นภาระให้ เห็นด้วยมากๆ อยากให้มีการอรุณยฆาตถูกต้องตามกฎหมาย
ผมเคยคิดแบบนี้ครับ แต่เราลืมวางแผนชีวิตหลังวัยทำงาน.. คือชีวิตครอบครัว พอมีครอบครัวมีลูก.. 60อาจเป็นเวลาที่น้อยเกินไป
ยิ่งในสังคมแบบนี้ สิ่งที่การันตรีคุณภาพชีวิตคือทรัพย์สิน กี่ปีก็ไม่พอสำหรับคำว่า ครอบครัว ครับคุณต้องจ่ายเวลาเพื่อแลกความมั่นคง.. ขณะที่คุณตั้งเป้าหมายชีวิตที่60ปี.. ถึงเวลานั้น คุณเองอาจจะยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าคนข้างหลังจะอยู่ได้หรือไม่ ถ้าไม่มีคุณ แม้ช่วงอายุอาจจำกัดชีวิตคุณ สิ่งที่ทำให้คุณพ้นอย่างที่คุณเอ็ดพูดคือ.. "การเหลือทรัพย์สินพอที่จะให้ลูกได้ทำอะไรที่ชอบ" หรือความมั่นคงของครอบครัว คนเราไม่กลัวที่จะตาย แต่กลัวการตายที่เป็นภาระ ผมgen Y ก็เคยมีมุมมองการตายที่เสรี.. พอ35 ก็เปลียนไปหมด เมื่อเราตั้งเป้าหมายคำว่าครอบครัว
ตอนวัยรุ่นก็ยังไม่คิดอะไรมาก แต่พออายุใกล้เลข3 ช่วงนี้ผมคิดเรื่องตายบ่อยมาก คิดแบบทุกคืน เหมือนกลัวการไม่มีตัวตนมากกว่า ส่วนตัวเชิ่อว่าตายแค่หลับไปแต่ไม่ตื่น ช่วงนั้เลยนอนหลับยากมาก เพราะทุกครั้งที่หลับเหมือนได้รู้สึกถึงเวลาตาย ไม่รู้จะหาทางออกยังไงนอกจากปลงให้ไวที่สุด ทำทุกวันให้ดี ไม่อยากคิดเรื่องนี้เลยจริงๆ โคตรใจสั่น ตลอดคลิปผมใจหวิวมาก ขอบคุณสำหรับคอนเท้นดีๆครับ
15ก็คิดๆแล้วครับ
ถ้าจำไม่ผิด ศาสดาคนหนึ่งสอนให้คิดถึงความตายตลอดเวลาเลยนะฮะ
อยู่กับมัน เข้าใจมัน แล้วผมว่าเราน่าจะมีความสุขทุกวัน
ไม่น่ารู้เยอะเลยตอนนี้12ก็มาคิดเรื่องความตายเเล้วครับ
ผมก็คิดมาตั้งแต่เด็กๆแล้วจนตอนนี้ก็ยังคิดไม่หาย(แค่นึกก็หายใจไม่ทั่วท้องแล้ว) ตอนเด็กกลัวมาก กลัวจนปัจจุบันกลายเป็นคนที่ใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังมาก ความตายสำหรับผมคือตายแล้วหายไปเลย สักวันเราจะถูกลืม ไม่มีนรกหรือสวรรค์ทั้งนั้น ไม่รับรู้อะไรและทำอะไรไม่ได้อีก(นี่แหละที่ผมกลัวมาก) ซึ่งผมยังมีสิ่งที่อยากทำ อยากรู้ และอีกหลายอย่าง ผมเลยกลัวมากเวลาคิดถึงเรื่องความตาย
ไม่คิดว่าจะมีคนมาตอบ สำหรับผมส่วนตัวคิดว่าคิดมากตั้งแต่ตัวเอง เป็นคนไม่มีศาสนามาซักพัก แต่ก่อนผมเป็นคนสองศาสนาเลย เพราะที่บ้านเป็นพุทธ ที่โรงเรียนเป็นคริสต์ ตอนนี้เลยเข้าใจว่าทำไมคนสูงอายุรอบตัวถึงคลั่งศาสนาเอามากๆ เพราะอย่างน้อยก็มีอะไรให้ยึดเหนี่ยวจิตใจซักหน่อย พอไม่มีเลย มันโหวงจริง ยิ่งวัยทำงานวันๆนึงผ่านไปไวมากๆ แปปๆอาทิตย์นึงแล้ว ตอนนี้ดีขึ้นนิดนึงแล้ว พอรู้ว่าก็มีคนคิดเหมือนกันนี่หว่า ตอนแรกคิดว่าคนอื่นจะไม่คิดอะไรแบบนี้บ้างเลยหรอ ขอบคุณทุกคนที่มาแลกเปลี่ยนกันนะครับ
ส่วนตัว ถ้ารู้จักอนิเมะ เพลง มีม ข่าว เรื่องลี้ลับ อวกาศ บลาๆๆ คือยังตายไม่ได้อ่ะมันอยากอยู่เพื่อดูความเป็นไปหรือรู้ความจริงต่อ พอนั่งย้อนความสุขที่ได้เสพอะไรพวกนี้แล้วไม่อยากตายจริงๆ แต่ถ้าตอนนี้ป่วยจนเป็นทุกข์ทำอะไรไม่ได้ ก็คงอยากตายแหละนะเพราะมีความสุขจากเรื่องพวกนี้ไม่ได้ แต่ถ้ายังทนได้ ก็อยากทนทุกข์เพื่ออยู่กับความสุขพวกนี้จริงๆ ไม่ต้องโด่งดังไม่ต้องเป็นที่จดจำ แค่อยากอยู่ดูเรื่องราวต่างๆ ต่อไป เหมือนที่เปิดมาเจอคลิปนี้ ได้เจอการพูดคุยแลกเปลี่ยนยังสนุกและมีสุข ในอนาคตก็คงมีเรื่องดีๆกว่านี้ให้เจออีกแน่ ทำให้เสียดายถ้าจะตายตอนนี้ ไม่อยากพลาดเลย
จริงค่ะ บอกตัวเองว่ายังตายไม่ได้ถ้าวันพีชไม่จบ
ผมเริ่มแบบนี้ตั้งแต่ผมอายุ19หลังจบม.6 (ผมนับถือวิทยาศาสตร์และฟิสิกส์ )การตายมันเป็นเรื่องธรรมดา ไม่มีผี ไม่มีโลกหลังความตาย ไม่มีหรอกพระ ไม่มีหรอกศาสนา ตายคือดับ จบ ไม่มีวันได้เกิดอีก เราคือมนุษย์ เปรียบเทียบกับสัตว์อื่นๆสิ ไม่เห็นมีศาสนาหรือผีหรือความเชื่ออะไรเลย มนุษย์คืออะไร ต้นกำเนิดมนุษย์คืออะไร จนผมอายุ21ผมก็ยังคิดเหมือนเดิม ตอนแรกผมนึกว่าผมคิดแบบนี้อยู่คนเดียวนะจนวันนี้คลิปขึ้นหน้าฟีด เลยกดดู เออ มีคนคิดเหมือนเราด้วยแฮะ ชอบคลิปนี้นะครับผม🙏🏻♥️😊
ก็ค่อนข้างตรงนะ gen z ส่วนตัวแล้วมองว่าการมีชีวิตมันยากกว่าการตายเว่ย ความรู้สึกที่แย่ที่สุดในชีวิตเลยคือจุดที่แบบว่า เรามีความรู้ไปเพื่ออะไรถ้าเราไม่วามารถรับรู้อะไรได้เลยนอกจากความเจ็บปวด คือเป็นเหตุการณ์ที่แบบจะตายก็ตายไม่ได้ จะหนีก็หนีไม่ได้ มันเหมือนตายทั้งเป็นอ่ะ จากเหตุการณ์นั้นทำให้ความคิดของตัวผมเองมันเปลี่ยนไปเยอะมาก เป็นคนที่ตายได้แต่เจ็บไม่ได้ กลัวเจ็บมากกว่ากลัวตาย เพราะถ้ามันถึงเวลาจริงๆ ผมว่ามันแปปเดียว แล้วก็จากไปแล้ว มันไม่เหมือนกับการที่เราได้แต่นอนรอบางอย่างไปวันๆ ที่เราไม่รู้ปลายทางมันไปจบลงที่ตรงไหนเยอะมากๆ จากเดือนเป็นปี จากหนึ่งปีเป็นสิบปี... เสียเวลาไปแล้วสองในห้าของชีวิตเทียบตามอายุมนุษย์ในปัจจุบัน คิดว่างานศพมันไม่ควรเป็นงานที่แสดงความเศร้านะ น่าจะเป็นงานเฉลิมฉลองมากกว่า ยินดีให้กับการจากลา สิ้นสุดความทรมานบนโลกพ้นจากทุกข์ภัยไข้เจ็บทุกอย่าง ผมมองว่าถ้ามันจะเป็นครั้งสุดท้ายอ่ะ รอยยิ้มน่าจะเป็นอะไรที่เหมาะสมกว่า ผมมองว่าการที่เราไปร้องไห้บอกอยากให้ผู่ตายกลับมาเป็นอะไรที่เห็นแก่ตัวกว่ามาก เพราะว่าหนึ่งเลย เขากลับมาไม่ได้อยู่แล้ว สองคนที่ไม่สามารถพูดอะไรได้เขาจะรู้สึกยังไงเมื่อเห็นคนรักโศกเศร้า ทุกข์กว่าเดิมอีก ลำบากใจ ตัดใจไม่ได้ เป็นทุกข์เป็นกรรมวนไปเรื่อยๆ ไม่รู้จักจบจักสิ้น แต่แน่นอนทุกครั้งที่ผมแสดงความเห็นเชิงนี้ ผู้คนมักจะบอกว่าผมเป็นพวกนอกรีต กับตรรกะป่วยๆ 🤭 เอาเถอะจะจบยังไงก็สิทธของเขา ไม่เกี่ยวอะไรกับผมอยู่แล้ว
หืม…ความคิดนี้โอเครตรงกับผม ตายได้ แต่ไม่อยากเจ็บปวด จดจำแค่ไว้ในความทรงจำก็พอ ไม่ต้องคิดถึง เพราะคิดถึงไปก็มีแต่เสียใจ ผมเป็นคนหนึ่งที่เคยกลัวความตาย เพราะสิ่งที่ผู้ใหญ่ยัดเข้ามาในหัวเราเกี่ยวกับเวรกรรม ทำดีได้ขึ้นสวรรค์ ทำชั่วตกนรก… จนมาถึงตอนนี้ ผมก็มีมุมมองเปลี่ยนไป ไม่รู้เหมือนตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ว่าในวันที่ ปู่และยายเสียเพราะโรคประจำตัวก็ไม่ได้รู้สึกเสียใจขนาดนั้นแต่ผมบังเกิดความโล่งใจ ที่พวกเขาได้หลับใหลลงไปอย่างสงบ ผมเองนั้นสงสัยอะไรคือเหตุผลจริง ๆ ของการกำเนิดขึ้นมากันแน่ เราเกิดมาเพื่ออะไรและทำไม? เพราะอีกเดียวเราก็ตายลงไปอยู่ดี….
สำหรับเรา สมัยเด็กตายแล้ว : เป็นผี ได้เจอคนที่ตายไปแล้วในอีกโลก
ปัจจุบัน : เรารู้สึกเหมือนแค่ ปิดทีวี ฟึ่บ เหมือนแค่หนังเรื่องนึงจบ แล้วก็จบไปเลย ไม่ได้มีอะไรซับซ้อน และถ้าถามความรู้สึกว่าชอบแบบไหนเราชอบแบบที่ ฟึ่บแล้วก็จบไปเลย แล้วตั้งแต่ที่คิดแบบนี้เราไม่กลัวการตายเลย และเห็นด้วยกับพี่แกมาก สำหรับเราการมีชีวิตอยู่แม่งยากกว่าอีก และความเป็นลูกคนเล็ก ที่อายุห่างกับพี่ๆ มาก พ่อแม่ก็อายุเยอะละตอนนี้ดีนะที่ยังอยู่กันครบ แต่ตลอด 25 ปีของเรา เราไปงานศพของเพื่อนที่สนิทกันแล้วก็ญาติที่สนิทไปเกือบ 10 ครั้งแล้วอ่ะ ปล. ไม่นับของที่ไปตามมารยาทอีก 4 -5 ครั้งนะ นี่น่ากลัวกว่าอีกว่าต้องเจอกับการจากลาอีกกี่ครั้งเราถึงจะตาย แต่พอเค้าจากไปจริงๆ นี่ก็โล่งนะ รู้สึกดีใจที่สุดท้ายเค้าไม่ต้องเหนื่อยแล้ว แล้วนี่บริจาคอวัยวะ ร่างกายไปหมดละ และคงจะฝากโรงบาลทำพิธีไปเลย พร้อมตายได้ทุกเมื่อ และอยากอยู่ในความทรงจำของคนสำคัญแค่ไม่กี่คนในชีวิตก็พอ เพราะจากที่เราไปงานศพมาเยอะเราเลยเจอมาแล้วว่าแบบไหนที่เราชอบ ในขณะที่คนรุ่นเก่าๆ แบบรุ่นพ่อแม่เรา ลุงป้า เค้ากลัวตายกันมากกว่าเราเยอะเลยอ่ะ และเซ้นซิทีฟกับอะไรพวกนี้มาก ส่วนเราคือ ปลงหนักมาก ชิวสุด การตายคือธรรมดาพอๆ กับการเกิด การกิน การหลับ แค่อย่างนึงที่ทุกคนต้องเจอะ แค่นั้นเอง
ชอบที่พี่เอ็ดพูดมากครับ เพราะผมก็เหมือนพี่เอ็ดเลย ทั้งเรื่องครอบครัว ชุดความคิด จริงเลยครับ ตอนนี้แค่เรื่องครอบครัว ให้พวกเขามีความสุข เราอยากจะทำเพื่อพวกเขาให้เขาได้มีชีวิตที่ดี เราหมดห่วง นั่นคือความปรารถนาสูงสุดในชีวิตจริงๆครับ
ความตายก็คือ จบ ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น ไม่มีผี ไม่มีนรก ไม่มีสวรรค์ อะไรหรอกนะ เพราะทุกอย่างมันเป็นแค่กลไกลการทำงานของสมองเราเท่านั้นแหละ
คิดเหมือนกัน
ตายคือจบ พิสูจน์ได้หรือยัง
อย่าบอกไม่มีผีถ้ายังไม่เจอครับ ..
แต่ไม่มีใครการันตีได้100%ว่าถ้าตายคือจบ หรือตายไปขึ้นสวรรค์กับตกนรก แต่ทำดีไว้ก็ดีเซฟตัวเองไว้ก่อน
@@solutionpear แต่ก็ไม่มีใครการันตีได้เหมือนกันครับว่า ตายไปแล้วจะเจอกับสวรรค์ - นรก แน่ๆ?
ความเห็นเราคือ ไม่ได้คิดว่าลูกหลานจะได้รับคำสอนจากเราอะไรขนาดไหนยังไง เพราะลูกหลานก็เป็นร่างโคลนของเราอยู่แล้ว หน้าก็เหมือนกัน พันธุกรรมก็ส่งผ่านไปให้แล้ว ถ้าอยากเรียนรู้อะไรจากเราอีกก็มาอ่านไดอารี่ของเราแล้วกัน แล้วเลือกเอาเองว่าจะซื้อหรือไม่ซื้อด้วยนะ เพราะเราเองก็เกิดมาไม่ทันคุณปู่เหมือนกัน แต่รู้จักกันความเป็นปู่ผ่านไดอารี่ แล้วก็ค้นพบว่าเขากับเราเหมือนกันมาก แม้ว่าจะไม่เคยเจอกันแต่วิธีคิด/นิสัยใจคอ/การแก้ปัญหา/ความใจเย็นมันก็ส่งผ่านกันมารุ่นสู่รุ่นอย่างกะร่างโคลนของกันและกันได้เลย ทุกวันนี้ก็เขียนได้อารี่อยู่เรื่อยๆ ตามอารมณ์
คือทุกคน รวมถึงลูกหลานเราเองควรมีอิสระในการเลือกชีวิตของตัวเองทุกอย่างทุกประการ แล้วเราสนุกมากกว่าด้วยที่ได้เห็นคนรอบตัวได้ใช้อิสระของเขาไปเรียนรู้ชีวิตของเขาในแบบของเขาที่มันหลากหลายรสชาติ ในเวย์ที่แตกต่าง ล้มลุกคลุกคลานเล่นสนุกกับชีวิตไปในแบบของคนนั้นๆ
เป็นคน Gen Y พอฟังเเล้ว สังเกตตัวเองได้เลยว่า ตัวเรามีส่วนผสมของคนทั้ง 2 แบบเลย เราถูกเลี้ยงเเละหล่อหลอมมากับคน Gen X แต่พอได้มาใช้ชีวิตด้วยตัวเอง ทำให้มีรากฐานทัศนคติเหมือนชาว Gen Z อยู่พอตัว ตอนตัดสินใจว่าจะใช้ชีวิตยังไงต่อไป มีความคิดว่าสักวันนึงยังไงก็ต้องตาย แต่จะทำยังไงให้ทุกๆวันนี้ดีขึ้น และมีความสุขมากขึ้น
ใช่ เหมือนเราเป็นช่วงเปลี่ยนผ่าน ช่วง ครึ่งต่อครึ่ง
คอนเทนท์ดีอีกแล้ววววววว
อยากฟังเรื่องเกี่ยวกับศาสนาระหว่าง คนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่ครับ
ผมคิดว่าการตาย ต้องอธิบายการมีชีวิตให้ได้ก่อน หมายความว่าทำไมสิ่งมีชีวิตถึงมีชีวิต ชีวิตเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ต้องประกอบไปด้วยเซลกี่ล้านเซลถึงจะเป็นสิ่งมีชีวิต แล้วก็โยงไปอีกว่า สัตว์ต่างๆ หมา แมว มนุษย์ ทำไมถึงมีสติสัมปชัญญะหรือ consciousness (มิติความคิด) แล้วถ้าสิ่งนี้มันดับไปจะเรียกว่า ตาย หรือเปล่า
ถ้าในคลิปนี้จะให้พี่เอ็ดเป็นตัวแทนของคนเจน X
Gen X => สั้นๆ กระชับ คมคาย ชัดเจน
ถ้าในคลิปนี้ จะให้ น้องคนนี้(ขออภัยที่ไม่รู้จัก) เป็นตัวแทนของคนเจน Z
Gen Z = คิดว่าตัวเองรู้เยอะ สะเปะสะปะ จับต้นชนปลายไม่ได้ เลอะเทอะ น้ำ 99% เนื้อ 1% ฟังๆไปแล้วน่ารำคาญแทบอยากปิดคลิป (คิดว่าตัวเองตอนอายุเท่านี้ก็ไม่ต่างกันเท่าไร)
ขออภัยคนเจนZ ด้วยนะครับ ถ้าโกรธอยากจะระบายก็เชิญด่าผมได้เลย ผมจะไม่ตอบโต้ ใดๆ
ส่วนตัว ผมไม่ซีเรียสกับคนพูดมาก น้ำท่วมทุ่ง แต่ค่อนข้างตะขิดตะขวงกับการใช้คำหยาบพร่ำเพรื่อ ราวกับไม่คิดจะคุยกับคนอื่นนอกจากเพื่อนตนเองเลย
เหตุผลหลักๆของเราที่ทำให้อยากมีชีวิตอยู่นานๆ อยากตายให้ช้าที่สุด ส่วนตัวคือเพราะไม่อยากตายก่อนคนที่เรารัก เราอยากให้คนที่เรารักทุกๆคนรู้สึกว่าเขามีคนที่รักเขาอยู่ข้างๆไปตลอดจนวันสุดท้ายของชีวิตเขา เหตุผลเดียวกับตอนที่เลี้ยงสัตว์ สัตว์ที่เราเลี้ยงอายุขัยสั้นกว่าคน เราเลยได้รู้จักกับมันตั้งแต่เกิดจนตาย อยากให้มันได้รับรู้ว่าตั้งแต่วันแรกจนวันสุดท้ายของชีวิตมันเรารักมันมากๆ ขอบคุณเสมอที่มันเกิดมาและอยู่ให้เราได้รัก
เรากลัวคนที่เรารักจะตาย เราอายุยังน้อย แต่พ่อแม่อายุปาไปเลข 5 เลข 6 แล้ว กลัวว่าวันนึงที่พ่อแม่ของเราจากไป แล้วเมื่อถึงเวลานั้น เวลาที่เราต้องอยู่คนเดียวมันจะยาวนาน มันทรมาณ ...
มุมมองความคิดเรื่องการกลัวลูกตาย ผมคิดเหมือนคุณเอ็ดเลย อย่างผมลูกหายไปตอนที่หลับกับผม ตื่นมาไม่เจอลูก (ลูก3ขวบ แม่ปลุกไปข้างนอกแล้วไม่ได้บอกเห็นว่าผมหลับ) ตื่นมาอย่างแรกคือลูกเลย หาทั้งบ้านอยู่5นาที กว่าจะตั้งสติโทรหาแฟน แล้วรู้เรื่อง ใจจะขาด เพราะช่วงหาสมองมันฟุ้งไปต่างๆ และยิ่งเรียก มีแต่ความเงียบ แค่นึกกลับช่วงเวลาที่หาก็ใจหายแล้วผม
มีสิทธิ์ ที่จะรู้วันตาย โอ้ยยยยยยยยยย ใช้ส่วนไหนของสมองคิดเนี่ย คนรุ่นใหม่จะดูฉลาดน้อยลงก็เพราะความคิดแบบนี้ไง
He said: "One day you'll leave this world behind
So live a life 'you' will remember" TheNight-AVICII
ชอบท่อนนี้มากจริงๆครับ🥺 น้ำตาไหลเลย😂
การใช้ภาษา พี่เอ็ด Gen X เหมือนคุยเหมือนคุยกับทุกคน ส่วนน้อง Gen Z คุยแค่กับเพื่อน
ผมgen y. มนุษย์ คือถ่านไฟฉาย ขับเคลื่อนคลื่นไฟฟ้าด้วยปฎิริยาเคมีในร่างกาย พอเซลชีวภาพในร่างสิ้นสภาพ ก็ผลิตกระแสไฟฟ้าไม่ได้ ตาย=ถ่านหมด แค่นั้น จบ
ชอบหัวข้อเกี่ยวกับความตาย ทำอีกนะครับ ชอบ และทุกคนต้องเจอ ตอนนี้คิดเรื่องความตายบ่อย อยากทำให้ชีวิตมีความหมายมากๆ สำหรับตัวเองก่อนตาย
คนเราไม่ได้กลัวความตาย แต่คนเรากลัวความเจ็บปวดก่อนที่จะตาย
ลองไปศึกษางานวิจัยของ เอียน สตีเวนสัน
(Ian Stevenson) การกลับชาติมาเกิดดูคับว่า วิทยาศาสตร์พิสูจน์ความตายว่าอย่างไร ผลการวิจัยคือ นักวิชาการต้องยอมรับเลยว่า คนเราตายแล้วไม่สูญ เรื่งนี้น่าสนใจ
การตายแล้วหายไปเฉยๆ นั่นเรียกว่า “นิพาน” ครับ คือ การออกนอกระบบ เวียนว่ายตายเกิด
คุณคิดว่าตัวเองจะปล่อยวางทุกสิ่งแล้วนิพานได้ง่ายๆหรอครับ “มัน ไม่ ง่าย” แบบนั้น
คอนเท้นนี้ดีมากฮะ แบบว่าเราไม่คิดว่า mindset หลายๆอย่างของคน gen เดียวกันจะตรงกันได้มากขนาดนี้ แอบอึ้งเลยฮะ
เรื่องนี้เถียงกับแม่ทุกวัน 5555
อย่าไปเถียงกับแม่เลย เคราพความคิดเห็นส่วนตน
@@sittichai008 ม่ายๆ ไอเราอะไม่ได้จริงจังแต่แม่ก็จริงจังอยู่ ส่วนเรื่องที่เถียงคือเราชอบบอกแม่ว่าเราอยากตายแล้วรู้สึกพอใจแล้ว แล้วแม่ชอบมาโกรธมาห้าม 5555+
ผมเคยมองว่าการฝันเป็นการเชื่อมกันของตัวเราเองในมิติเวลาอื่นแบบคู่ขนานเป็นเส้นตรง ไม่มีทางได้เจอกัน แต่รับรู้กันได้ เห็นความสำเร็จ ความล้มเหลว
ของกันได้
พึ่งมาเห็น คอนเท้นต์นี้เลย จากมุมมองที่ทั้ง 2 คนพูดมา Gen X จะมีห่วงกว่าคน Gen Z เช่นลูก ซึ่งในช่วงก่อนตาย เขาจะต้องหาเงินเพียงพอต่อลูก แต่ส่วน Gen Z หาเงินให้เพียงพอจนตัวเองตาย ไม่ได้หาให้เพื่อคนรุ่นหลัง โดยมีหลักฐานจากประประโยคที่ว่า "ตายก่อนโดยไม่ได้ใช้เงิน" แน่นอนว่าความคิดเหล่านี้ขึ้นอยู่กับบริบทของแต่ละคนด้วย
ได้มุมมองใหม่ๆจาก gen X มากเลย ขอบคุณงับ
ชอบคอนเทนต์นี้จังเลยค่ะ เริ่ด
พี่เอ็ดพูดโครตดี ตอนกดเข้ามาไม่นึกว่าพี่จะพูดงี้นะเอาจริง555
ตายในความเห็นผมก็เหมือนเกิด ไม่รู้จะมาตอนไหนแต่ถ้ามาแล้วก็แค่รับให้ได้ก็พอครับ มันเป็นวัฎจักรตามธรรมชาติที่กายนี้ต้องแตกดับกลับไปที่เดิมที่ควรอยู่ แต่ตอนตายผมเชื่อว่าไม่หลับไปเหมือนนอนหลับ และไม่สูญเปล่าที่เหมือนนิพพาน มันต้องมีตัวแปรบางอย่างที่ทำให้มีต่อ
อาจจะเป็นศูนย์แห่งความรู้สึกถึงการมีตัวตน เคยจินตนาการเล่นว่าถ้าสมมุติทุกคนบนโลกตั้งแต่มีมายันอนาคตแท้จริงแล้วเราเป็นวิญญานเดียวกันหมดอาจจะอยู่ต่างที่ต่างเวลาต่อให้อยู่ในเวลาเดียวกันแต่อยู่ในคนละคน มันเลยทำให้รู้สึกเหมือนมีคนอื่นนอกจากเราแต่แท้จริงชีวิตมาจากแหล่งเดียวกันหมดคุณอาจจะเป็นผมหรือคนอื่นหลังจากตายจากร่างกายปัจจุบันเพราะงั้นหากคุณทำสิ่งที่ดีต่อคนอื่นเมื่อคุณไปใช้ชีวิตเป็นคนนั้นคุณจะได้รับสิ่งดีจากตัวคุณเองเมื่ออยู่ในร่างกายก่อนหน้าแต่ถ้าทำตรงกันข้ามผลก็ตามนั้น(คอนเซปนี้แต่งขึ้นเล่นๆนะครับผมไม่ได้ตั้งใจจะเผยแพร่หรือเปิดลัทธิใหม่ใดๆไม่จำเป็นต้องเชื่อตามนะครับ5555)
2:00 🤣555 contentนี้ดีมากๆเลยครับ
ผมไม่เคยกลัวความตายเลยผมมองว่านี้เป็นเพียงเรื่องเล็กๆ
นรกสวรรค์โลกหลังความตายจะมีจริงหรือไม่มีก็ไม่ใช่สิ่งสำคัญ
ผมสนแค่ว่าผมใช้ชีวิตยังไงและคุ้มค่าหรือไม่กับ 1 ชีวิตนี้(วัดไม่ได้แต่สัมผัสได้เหมือนกับ entropy)
*ความคิดเห็นส่วนตัว*
ผมเป็นคนที่อายุยังน้อย แต่ด้วยที่โลกมันพัฒนา ทำให้ผมพอรู้ความคิดของทุกช่วงวัย คนแก่ที่อายุเยอะที่นิสัยเขาอยากืำนู้นทำนี่ให้เรา เพราะว่า เขาอยากทำแบบนี้ก่อนเขาจากไปอยากดูแลเอาใจใส่ทุกคนที่เขารัก ตอนที่คุณจะรู้ว่าคุณอยากทำอะไรมากที่สุดก็ตอนที่คุณรู้ค่าของชีวิตนั้นคือตอนที่คุณกำลังจะจากไป ทุกคนไม่อยากจากไปแต่รู้ไหม ถ้าคุณเป็นอมตะคนที่คุณรักจะจากไป แต่คุณไปไม่ได้ แต่ถ้าทุกคนเป็นอมตะ โลกนี้จะมีปชากรหนาแน่น เพื่อนที่อยู่ประถมทุกคนขาดการติดต่อไปแล้ว แต่คุณจะค่อยๆลืมเรื่องเก่าๆแต่ความสุขคุณจะยังจำอยู่ ชีวิตคนเรามันสั้น ตอนที่ผมอยู่ป.1ผมคิดว่าทำไมมันนานจังวะกว่าจะจบป.6จนตอนที่ผมจบผมรับรู้ว่ามันเร็วแค่ไหนจนตอนนี้ที่มัธยมผมพยายามหาความสุข เขียนหรือจดไว้ให้ตัวเองไม่ลืมวันดีๆเก่าๆที่ผ่านมา เรื่องสวรรค์นรกผมไม่เชื่อเลย เพราะคุณจะโดนทรมาณไปทำไมถ้าคุณเกิดมาและจำอะไรไม่ได้ การตายก็เหมือนการหลับ ตอนตายคุณจะไม่รู้อะไรเลย คุณจะไม่เป็นผีหรืออะไรทั้งนั้น คุณจะหลับไปแบบไม่ตื่น ขอขอบคุณคนที่อ่านมาจนถึงตอนนี้นะครับ อยากจะบอกว่า ใช้ชีวิตให้คุ้มที่สุดเพราะตอนที่คุณจะไปคุณจะได้แต่เสียใจที่ไม่ได้ทำ แต่ไม่มีวันที่ทุกคนจะมีแต่ความสุขต้องมีความทุกมาด้วย ขอบคุณครับ
เคยมีคนถามแบบนี้กับครูบาอาจารย์ในคอร์สวิปัสนา ท่านถามกลับว่า "กลัวตายมั้ย" น่าจะเพราะเป็นหลักสูตรวิปัสนา หลายคนเลยตอบว่า “ไม่กลัว” ท่านเลยถามต่อว่า “แล้วพร้อมจะตายมั้ย” เงียบกันทั้งห้อง ท่านเลยตอบว่า นี่แหล่ะด่านสุดท้าย ความกลัวมันไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ความพร้อมนี่แหล่ะ ทำความพร้อมกันไว้นะ
นี้คือคลิป ในแพทฟอมร์ RUclips ที่ดีที่สุดที่ผมเคยดูมา ผมก็มีความคิดแบบนี้เหมื่อนกันว่านรกสวรรค์มันเป็นแค่เครื่องมือของการที่ทำให้คนอยู่ในระบบกลัวความตายมากขึ้น ทั้งๆที่จริงๆแล้วตายไปมันก็ไม่มีใครรู้ว่ามันจะเป็นยังไง น่าเสียดายมากๆที่คนเราเลือกเกิดไม่ได้แล้วยังเลือกตายไม่ได้อีก
ต่อให้ไม่มีนรกสวรรค์แต่การดับสูญไม่รับรู้อะไรก็เป็นเรื่องที่น่ากลัวอีกแบบสำหรับผมนะ😂
โหหหหหหหหห ชอบ content นี้มากๆๆเลยค่ะ ขอบคุณที่ทำออกมานะคะ
พอเห็นคนที่ยอมตายได้นี่ดีอ่ะ
แต่ตัวผมเองไม่อยากตายเลย อยากเป็นอมตะ ถึงแม้จะต้องเจอความเศร้า ความเจ็บปวดมากเพียงใด แต่ตราบใดที่ยังรู้สึกอะไรสักอย่าง ผมยินดีว่ะ
จริงครับ ผมไม่เข้าใจจริงๆ ผมคิดเรื่องนี้มาตั้งแต่เด็ก ทุกวันนี้ก่อนนอนถ้าเกิดแว่บนึกเรื่องนี้ขึ้นมาคือนอนไม่หลับ ฟังพวกทฤษฏีอวกาศอะไรไม่ค่อยได้
@@boomkub55 โหเหมือนกันเลยครับ
@@boomkub55 เหมือนกันเลยครับ ยิ่งพอคิดว่าถ้าวันหนึ่งจักรวาลดับไปตลอดกาล เเล้วมันจะเป็นยังไงต่อเราจะไม่ได้เกิดอีกเลยมั้ย ทุกอย่างจะสิ้นสุดเลยมั้ย ผมกลัวทุกครั้งที่คิดว่าทุกอย่างจะจบไปตลอดกาล
@@javaman1300 ไอ้คำว่าไม่ได้เกิดมาอีกเลยเนี่ยที่กลัว คือก็รู้อยู่ว่าเป็นยังไง แต่ก็แอบหวังให้ชาติหน้ามีจริง คือตายได้แต่ขอเกิดใหม่ได้มั้ย
รายการนี้ดี ผมชอบมาก
จริงๆไม่กลัวตายน่ะ แต่กลัวการที่ เกิดมาแล้วไร้ประโยชน์เพราะไหนๆก็เกิดมาแล้วขอมีประโยชน์เยอะๆหน่อยแล้วกัน
การตายหลายครั้งก็ไม่ใช่สิ่งที่แย่เสมอไป บางทีมันก็เหมือนเป็นการปลดปล่อย หรือการได้รับอิสระอีกแบบหนึ่งค่ะ พูดผ่านประสบการณ์ที่คนที่สนิทมากๆ เสียชีวิตไปแล้ว คือคุณยาย กับพี่สาว คุณยายเรายังไม่ค่อยอะไรมาก เพราะท่านอายุมากแล้ว 90+ แล้วช่วงก่อนเสียท่านก็จำอะไรไม่ค่อยได้แล้ว เราก็แอบโล่งใจกับท่านมากกว่า เพราะสังขารของท่านเสื่อมสภาพแบบสุดๆ แล้วจริงๆ แต่พี่สาวนี่คือเป็นอะไรที่เจ็บปวด เพราะตอนเค้าเสียอายุก็ยังไม่ถือว่าเยอะมาก แถมเค้ายังมาเป็นโรคที่ไม่มีทางรักษาแบบหายขาด ทรมานอยู่เกือบ 2 ปี ตอนนั้นคือช็อคมาก สะเทือนจิตใจสุดๆ เลยค่ะ ถามว่าตอนนี้พร้อมตายมั๊ย ก็ไม่ได้ติดอะไรนะ เพราะการมีชีวิตอยู่มันก็ไม่ได้มีความสุขอะไรขนาดนั้น เหลือแค่ห่วงพ่อแม่ ป้า เท่านั้นเอง เพราะถ้าเราไม่อยู่ท่านน่าจะลำบาก
ผม gen x นะ อยากให้มองแบบวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ตามนี้..((เราอยู่บนโลกตอนนี้รับสำผัสต่างๆผ่านกาย ถอยหลังไปตอนเด็กเรายังอยู่โลกยังอยู่ ถอยไปตอนทารกยังไม่รู้ความ เราไม่ชัดเจน แต่โลกยังอยู่แน่นอน ถอยหลังไปก่อนเราเกิด เราไม่มี โลกยังอยู่แน่นอนพ่อแม่เรายืนยันได้...ได้ว่าเราเกิดจากสองส่วนคือกายเนื้อกับการรับรู้คิดและประมวลผลเทียบได้กับซอฟแวร์กับฮาร์ทแวร์....แล้วเรามาพิจารณาคอมพิวเตอร์อัจฉริยะที่เราปล่อยมันไว้เฉยๆแล้วมันสื่อสารกันเองได้จนเกิดเป็นภาษาแบบใหม่ที่เราไม่เข้าใจ แต่พอถอดปลั๊กออกปล่อยไว้เป็นวันเป็นเดือนและวมาเสียบปลั๊กเปิดการทำงานใหม่ ถามมันว่าเวลาช่วงที่ออฟไลน์รู้สึกอย่างไร ได้คำตอบว่าไม่รับรู้อะไรเหมือนปิดแล้วก็เปิดเท่านั้น....ความต่างของ aiกับสัตว์ก็คือความฝัน สมองยังทำงานหลังตายแล้วกว่า4ชั่วโมง...ถึงอย่างนั้นเราก็สรุปไม่ได้กับคนที่เสียชีวิตไปเกินกว่านั้นแล้วฟื้นกลับมาเขายังรับรู้การมีตัวตนอยู่ตลอดได้)) คงต้องค้นคว้ากันต่อไปครับ
ติดตามจนได้สาระเยอะมากรักช่องนี้
น่าจะลองเอาคนที่มีสถานะการใช้ชีวิต เหมือนกัน แต่คนละ gen มาเทียบกัน อาจจะเหนคน gen z ในอีกมุม อันนี้น่าสนใจ
สถานะ เช่น มีลูก เหมือนกัน เป็นต้น
(🙋🏻♀️ gen Y)
โคตรชอบ การเอามุมมองของ สองเจน มาคุยกัน ได้เห็นความคิดของแต่ละเจนที่ต่างกัน
ความตายของทั้ง2เจ็นคือ อยู่ในโลกของทุนนิยมอย่างเต็มรูปแบบ
_ถ้ารู้ว่ามันจบแค่นั้น ชีวิตนี้ก็จะใช้มันสุดเวี่ยง จะปล้นจะฆ่าจะโกงใคร ก็ไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ ปรนเปรอตัวให้มีความสุขก็พอ
_ถ้ารู้ว่ามันมีต่อ จะทำอะไรคงต้องคิดดีๆอีกหน่อย ว่าจะรับกับสิ่งตามมาได้มั้ย
/ประเด็นคือพอถึงตอนนั้นแล้วมันไม่จบ มันย้อนมาแก้ไม่ได้นี่สิ
//งั้นบริหารความเสี่ยงซะหน่อย แทงกั๊กไว้ละกัน ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและไม่ทำให้ใครเสียใจ เพราะถ้าเกิดมันไม่จบขึ้นมาจริงๆ จะได้ไม่เจ็บตัวมาก
ส่วนตัว..การตายเป็นสิ่งที่ต้องเจอ(ทุกๆคน)..แต่แยกเป็น2อย่าง(1)การเลือกที่จะตาย..ปัจจุบันบ้านเรายังไม่มีกฎหมายให้สามารถฆ่าตัวตายแบบถูกกฏหมาย(ทางการแพทย์)..ทำให้เกิดความทุกข์ทรมานทั้งร่ายกายและจิตใจของตนเองและคนดูแล(เหมือนน้องๆในคลิปว่า)..มันควรเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานหรือเป็นเจตจำนงค์ของเจ้าของร่างกายนั้นๆ..(2)กิจกรรมหลังการตาย..ใจจริงอยากบริจาคร่างกายให้ทางการแพทย์(แต่ด้วยความไม่สะดวกเงื่อนไขกติกาที่เยอะและยุ่งยาก..เช่น..ระบุเฉพาะ รพ.เฉพาะที่เฉพาะจังหวัด..ที่จะสามารถรับศพไปได้/อายุหรือโรคที่ตาย ฯลฯ) (2.1)เรื่องงานศพ ปกติต้องมีจัดพิธีศพ3-5วัน(ตามวิถีที่เขาทำกัน ในพื้นที่)..แต่การมาของ โควิด 19 ทำให้เกิดการทำศพแบบเสร็จสรรพภายใน1วัน..จึงได้เห็นแนวทาง(อ้อ..แบบนี่ก้อได้นี่น่า)ถูกหลักศาสนา..คนทั่วไปยอมรับได้...ที่สำคัญไม่ต้องรบกวนบรรดาญาติพี่น้องที่ต้องเสียเวลาเสียแรงเสียเงินมาจัดงานศพให้อีก(ต่อให้มีการเตรียมเงินทำศพได้เองก้อตาม)..ก้อคงจะสั่งไว้แต่เนินๆละว่าทำศพแบบนี้ดีกว่า..อีกอย่างที่ในคลิปว่า..ผมเป็นอีกคนที่อยากจากไปแบบไม่ต้องให้ไม่มีใครจดจำ(เพราะเชื่อว่าตัวเองไม่เคยทำร้ายใครในกรณีใดๆ)และไม่อยากรบกวนใครๆให้ต้องมามีงานเพิ่มจากการจากไปของตัวเราเอง...ไปแบบเรียบๆง่ายๆ..เราก้อได้ลองใช้ชีวิตมาได้เป็นระยะเวลาอันพอสมควรแล้ว..👌👌
ความตายเป็นเรื่องธรรมชาติ เป็นเรื่องปกติ แต่คนเรากลับมองเป็นเรื่องน่ากลัว อยู่กับปุจจุบัน ไม่ประมาทจะได้ตายอย่างปกติสุข
ชอบความคิด Gen X มากครับ อีกคนนึงเอะอ่ะอะไรก็จะตายอย่างเดียวเลย
พี่นอร์ทพูดดีมากๆอะ😭
ส่วนตัวคิดว่า 40-50 ปีก็พอแล้วครับ เคยพยายามจะลงมือให้ตัวเองหายไปเอง แต่มันยากกว่าที่คิดมาก เพราะร่างกายมันต่อต้าน resolve ของผมยังไม่เข้มแข็งพอ อยากให้มีการุณยฆาตแบบสะดวกถูกกฏหมาย ตายได้แบบไม่เจ็บปวดและง่ายดาย
ที่เพื่อนเอ็ดกับไอ้หนูgenzตอบ ตอบจากความคิดนึก
ไม่ได้ตอบจากความจริงถ้าความตายมายืนอยู่ตรงหน้าจริงๆ
รับรองทำไม่ได้อย่าที่พูดที่คิดแน่นอนยิ่งพวกบอกไม่กลัวตายนิ
เอาเข้าจริงไม่รอดสักราย นอกจากจะฝึกจิตมาดีเพียงพอแล้วเท่านั้น
การตุยผมไม่กลัว แต่ผมกลัวการที่จะตุยอยู่แล้วแต่ไม่ไปสักทีประมาณว่าเป็นขนาดที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ผมแค่รู้สึกว่าถ้าเป็นขนาดนั้นผมไม่อยากให้ใครมาเป็นห่วงหรือต้องมาเหนื่อยเพราะผมแล้ว
ส่วนตัวนะ ถ้าไม่ตายแล้วกลับมาเกิดใหม่เหมือนเราตายในเกมแล้วกลับมาเกิดใหม่ในเกม ก็แบบหายไปเลยแบบไม่มีอะไรเลยทุกอย่างแบบเงียบๆ เห็นแต่สีดำ รู้สึกว่างเปล่า ของผมก็จะประมาณนี้แหละ แต่ถ้าถามว่ากลัวคนที่เรารักตายไหม อันนี้ก็แอบน่ากลัวนะ เหมือนเราเสียสิ่งสำคัญอย่างนึงที่อยู่กับเรามาโดยตลอดชั่วอายุเรา
พอพูดถึงเรื่องความตาย เรามักนึกถึงความอัมตะ ทุกคนคิดว่าการเป็นอัมตะมันดีไหม?
อาจจะไม่เพราะการเห็นคนรักลูกหลานตายไปทีละคนมันไม่ดีหรอกตายก็ไม่ได้ด้วย
สำหรับผมมันดีมากๆ เพราะผมอยากเห็นการพัฒนาของโลก อยากรู้สิ่งต่างๆที่ไม่เคยรู้ อยากลองทำสิ่งต่างๆทุกอย่าง แต่ด้วยอายุไขของมนุษย์มันไม่พอ แต่ถ้าได้ความอมตะมาก็ช่วยได้มากเลย
ชีวิต = การ suffer
จะไม่เบื่อเหรอ ผมว่าชีวิตมันน่าเบื่อนะ พอมีความสุขเดี๋ยวก็ต้องเจอความทุกข์ละ และก็กลับมาสุขอีกแล้วก็วนไปทุกข์ต่อ แม่งน่าเบื่อมากเลยนะ 5555
@@armezz155 ไม่น่าเบื่อหรอกครับ ถึงจะทุกข์หรือสุขวนลูปไม่จบสิ้น แต่ยังไงมันก็เป็นเรื่องใหม่ตลอด ต่อให้เป็นเรื่องเดิมมันจะมีบางอย่างมาทำให้แตกต่างจากเดิม
ผมน่ะ ทางพี่เอ็ดนะยิ่งกรณีมีลูก
ส่วนอีกท่าน ช่วงวัยรุ่น มันสนุุกมาก ตายไม่มีในหัว
ดีค่ะ ชอบคอนเทนต์แนวนี้ processing ของการผลิตคลิปนี้ทำให้คนดูได้กลับมาคิดย้อนมองตัวเองและครอบครัวมากขึ้น
หวังว่าจะเป็นแบบนั้นน่ะ การตายไปก็แค่ดับไม่มีอะไรอีก เพราะถ้ามันเป็นแบบนั้นจริงมันจะเป็นอะไรที่ดีมากๆเลย
แรกป้าวว คอนเท้นสวยมากเลยงับ
มุมมอง กับความจริง มันไม่ใช่สิ่งเดียวกัน
คุณอาจจะมองผิดหรือมองถูกก็ได้ แต่การพิสูจน์เท่านั้นที่จะบอกได้ว่า มุมมองแบบใดที่มองได้ตรงตามความเป็นจริง
วิทยาศาสตร์ก็มีวิธีพิสูจน์ความจริงอย่างนึง
พุทธศาสตร์ก็วางแนวทางพิสูจน์ความจริงในเรื่องนี้อีกแบบนึง
การพิสูจน์ในแนวพุทธก็สามารถชี้แจงสภาพความจริงได้ในบางแง่มุม เพราะส่วนใหญ่จะเป็นปัจจัตตังมากกว่า มีบางแง่ที่ตีแผ่ความจริงให้ประจักษ์ได้ แต่ก็ยังไม่เห็นใครตีแผ่แบบชัดเจนท่ามกลางคนที่มาพิสูจน์แบบเป็นทางการซะที
ผมก็รออยู่นะว่าจะมีใครพิสูจน์โลกหลังความตายแบบชัดเจนได้ซะที จะมีจริงหรือไม่ก็พร้อมยอมรับนะ
ผมเห็นด้วยกับพี่พี่ทั้ง 2 ครับเเต่สำหลับผมตอนนี้คือยังไงก็ตายยังไม่ได้เด็ดขาดเพราะมันมีบางอย่างเล็กๆน้อยๆที่ผมยังไม่ได้ซื้อละยังไม่ได้ใช้ซึ่งผมเคยผ่านความตายที่ทำใจมาไว้อยู่เเล้วด้วย 1 รอบมันยิ่งทำให้ผมอยากมีชีวิตอยู่เพื่อสิ่งๆนั้นที่ผมอยากซื้อเเละใช้ชีวิตไม่ประมาทดูเเลลสุขภาพของตัวเอง
คำว่าการตายมันไม่สามารถมีใครมาพิสูจน์ให้คุณได้รู้อยู่แล้วครับ มันก็แค่ความเชื่อของแต่ละคนที่คิดถึง"ความหมาย"เกี่ยวกับการตายอ่ะครับ การที่คุณมาฟังคลิปนี้ไม่ได้ทำให้คุณฉลาดขึ้นแต่อย่างใดเลย ไม่ได้บอกว่าคลิปไร้ประโยชน์นะ แต่จะบอกว่า มันแค่ทำให้คุณได้รู้จักทัศนคติของคนประเภทอื่นมากขึ้นไม่กี่อย่างเท่านั้นเอง แต่ถึงคุณจะได้รู้เกี่ยวกับความตายในทัศนคติของคนอื่นมาก็เพียงใด สุดท้ายคุณก็เชื่อในทัศนคติเกี่ยวกับความตายของคุณเองอยู่ดีครับ บางคนการตายคือการพัก บางคนการตายคือการได้ทำถึงที่สุดแล้ว การพยายามแล้ว การแค่หายไป การต้องไปต่อที่อื่นโลกอื่นต่อ การตกนรก สวรรค์ ความเชื่อต่างๆนาๆ ไม่ได้ช่วยให้คุณได้ใช้ชีวิตได้มากขึ้นเลยครับ จุดจบของทุกชีวิตคือตายครับ จะเชื่อแบบไหนก็ตายอยู่ดีครับ สู้ๆครับทุกคน จุดจบของคุณก็คือจุดจบของผมครับ
เรารู้สึกว่ายิ่งอยู่นานยิ่งทุกข์ ต้องเจออะไรนักหนาก็ไม่รู้ แต่ก็ยังไม่อยากตายตอนนี้เพราะยังไม่เคยได้ใช้ชีวิตเลย เรากำลังรอวันที่เราจะได้ใช้ชีวิตของเราอยู่ก็เลยยังไม่อยากตายตอนนี้
พี่เอ็ดดี้พูดโอเคเข้าใจได้ อีกคนทีแรกเหมือนจะเข้าใจแต่พี่แกเล่นพูดอธิบายไปยาวเอาไปเอามาเหมือนมาระบายซะมากกว่าเหมือนไม่ได้เรียบเรียงคำมาพูดเป็นstepๆมันเลยเหมือนหลงๆงงๆประเด็นที่จะพูด
คิดเหมือนพี่เอ็ดเป๊ะๆ
ตีมี่มาไม
เราเค้าใจความรู้สึกที่ว่าพ่อตายเเล้วทุกคนอาจจะสบายเราก็พ่อเสียเพราะมะเร็งเหมือนกันตอนเราอายุ19เป็นเวลาที่ทรมานทั้งครอบครัวโดยเฉพาะพ่อที่ต้องเห็นเเม่ร้องไห้เสมอ
ถ้าไม่เชื่อเรื่องผู้ให้ชีวิต ก็คิดกันไปได้ต่างๆนาๆแหละครับ ว่าตายแล้วคงอย่างงั้นคงอย่างงี้ ถ้ารู้ว่าชีวิตเรามายังไง (ใครคือผู้สร้าง) มาอยู่ ณโลกแห่งนี้เพื่ออะไร(ผู้สร้างต้องการอะไรจากเรา) ขวนขวายสิ่งในโลกนี้ แล้วก็ตายจากมันไปโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้นหลังจากนั้นหรือ (สุดท้ายก็มีแต่ผู้สร้างเราอีกนั้นแหละที่รู้ว่ามันมีอะไรหลังความตาย)และพระองค์ได้ติดต่อมนุษย์และบอกสิ่งต่างๆและความเป็นไปทั้งหมดแล้วด้วยruclips.net/video/s2QA9zil1DY/видео.html
ลองฟังเป็นความรู้ติดตัวไว้ได้ครับ
ในตอนนี้คือมีความคิดแทบจะเหมือนทั้งหมดของพี่นอร์ทเลย รู้สึกว่าตายได้เลยไม่มีอะไรที่ต้องการอีกแล้วแต่อีกใจก็ยังมีเรื่องให้ยังตายไม่ได้อยู่ ยังต้องดูแลพ่อแม่อยู่รอให้พวกเขาตายก่อนดีกว่า
ก็คงต้องเอา gen zที่มีลูกและ gen xที่ไม่มีลูกมาคุยกัน และคำตอบก็จะแตกต่างกันอีก
ชอบของ Gen X ของพี่เอ็ด 7วิ มากกว่าดูเป็น ผู้ใหญ่ดีครับผม ยังไงเราก็ต้องตาย แต่คนที่อยู่ต่อละ อยู่ต่อจากที่เราตาย จะคิดแค่เราคนเดียวยังงั้นผมคงจะทำแบบนั้นไม่ได้จริงๆ 5555 (หรือเพราะดันมีคนที่สำคัญกับเราเยอะกันนะ ถึงจะบอกว่าทำงานหนักแต่ก็มีความสุขนะครับผม )
(ความคิดผมเองนะคัรบผม 555 ไม่โทษกันนะหรือโกรธผมนะ คือความหมายของแต่ละคน แต่ละสังคม แต่ละครอบครัว แต่ละประเทศมันแต่กต่างกันอยู่แล้ว)
เราให้ความสำคัญกับการตายมาก เราอยาก live fast, die long ทุกวันที่ทำอยู่ก็เพื่อการตายของตัวเองทั้งหมด เราอยากตายด้วยตัวเอง ไม่ใช่โรคภัยหรือฆาตกรรม มันอาจจะต้องย้อนไปว่าเราไม่ใช่อยากตาย เพียงแต่เราไม่อยากเกิด ไม่อยากแก่ ไม่อยากเจ็บ เราเลยตั้งใจจะตายก่อน
อยากรู้วันตายตัวเอง อยากรู้ว่าจะมีสิทธิ์เป็นโรคอะไร 1,2,3,4 ตายวันไหนหากเป็นสิ่งนี้ๆ จะเจ็บแบบไหน รักษาอย่างไร ยื้อได้เท่าไหร่ จะได้ว่งแผนถูกค่ะ ไม่กลัวตาย กลัวแต่ไม่ตายแล้วตายทั้งเป็นค่ะ น่ากลัวววววว
กลัวความตายตรงที่มันจะพรากคนที่รักมากที่สุดไปนะสิ
วันนึงคนที่เรารักหายไปตลอดกาล จะเหลือแค่ในความทรงจำ เก็บมันได้ไว้แค่ในภาพถ่าย
ตอนนี้ก็ทำได้แค่ทำให้เค้ามีความสุขได้มากที่สุด ทำให้เค้ายิ้มได้มากที่สุด
ขอบคุณครับ
ชอบคลิปมาก น่าสนใจมาก
ทั้งความคิดของคนที่ยังไม่มีลูก
กับคนมีลูกแล้ว
มันน่าจะต่างกันอยู่แล้ว ขอบคุณที่แบ่งปันกันนะครับ
นี่อายุ13ตอนอยู่ช่วงป.3-4ค้ดว่าเรื่องตายๆเนี่ยต้องถูกพาไปนรกสวรรค์เป็นเรื่องน่ากลัวแต่พอช่วงป.5-6จนถึงม.1ก็คิดว่าเรื่องความตายตายคือตายมันจะมาตอนไหนก็มาเราคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติเราอาจจะตายตอนไหนก็ได้ส่วนเรื่องคนรักตายเรากลัวเราไม่อยากให้ใครตายต่อหน้าแต่แน่นอนมันเป็นเรื่องปกติไม่มีใครจะอยู่กับเราไปตลอดไม่ว่าจะตายจากไป
(พูดถึงเด็กที่อายุเท่าเรามาดูช่องนี้ไม่เหมาะสมรึป่าวเราคิดว่าถ้าใครแยกแยะไม่ได้ก็ไม่เหมาะสมแต่เราคิดว่าตัวเองแยกแยะได้ะราดูคริปเรื่องแบบนี้เราคิดว่าเราอยากจะดูนะมันเป็นเหมือนการเปิดความคิดตัวเองไปด้วยมาดูความคิดเห็นที่แตกต่างแล้วเอามาคิดตามดูเราคิดว่ามันก็ดีสำหรับเราอยู่นะ)
อยากให้ทำ "เหตุผลของการมีชีวิตอยู่" บ้างค่ะ
เกิดคือเรื่องจิง-ตายคือเรื่องจิง แต่ระหว่างที่ใช้ชีวิตไปสู่ความตายคือเรื่องโก6
ยิ่งหาคำตอบของคำถามที่ว่าเกิดมาทำไมอยู่ไปทำไมไม่ได้ ความตายก็ยิ่งใกล้ขึ้น
เอาจริงๆนี่กลัวการตายมาก กลัวแบบว่าจะหายไปอ่ะละพอมาฟังยิ่งกลัวละจะจิตตกเลย;-; เหมือนจะยอมรับแล้วแต่ก็ยังกลัวจนจิตตกกินไรไม่ค่อยลงไรงี้เลยด้วยซ้ำ รู้สึกอิจคนที่ไม่กลัวตายมากครับบอกตรงๆ
ผมอยากให้บ้านกูเอง feat กับพูดบ้างจัง
มีแน่นอน
พูดดีทั้งคู่ครับ ขอบคุณครับ
สำหรับผมแล้วความตาย = ความว่างเปล่า
แม้ความตายจะเป็นเรื่องธรรมชาติ และทุกคนจะเลี่ยงไม่ได้ กำหนดไม่ได้ แต่ดูคลิปนี้แล้วรับรู้ได้ถึงความทุกข์เหมือนการมีวีวิตอยู่ในตอนนี้มันลำบากทุกทรมานเกินไปที่จะทำให้อยากมีชีวิตอยู่ต่อ สาเหตุเดียวที่คนเราอยากตายคือเกิดความผิดหวัง ถ้าคนเรายังมีหวัง แม้จะเป็นหวังเล็กๆ ชีวิตก็ยังน่าอยู่ต่อ
หากเลือกสิทธิตายได้ ยาที่ใช้รักษาหรือประคองโรคร้ายที่รักษาไม่หาย คงจะไม่จำเป็นอีกต่อไป เม็ดเงินส่วนนี้ค่อนข้างเยอะ ทั้งธุรกิจประกัน, ธุรกิจรพ., ธุรกิจภาษีประกันสังคม, ธุรกิจhome care มันมีคนเสียผลประโยชน์จากตรงนี้อยู่ ตราบใดที่คนกำหนดยังเห็นประโยชน์มากกว่าสิทธิส่วนบุคคลอยู่
ธรรมดาการตายแล้วไปนรกหรือสวรรค์ไม่ใช่สิ่งที่บังคับให้เชื่อครับ แต่เป็นสิ่งเตือนสติและให้คิดว่าเชื่อแล้วได้อะไรไม่เชื่อแล้วได้อะไรมากกว่า การพูดในสิ่งที่ไม่สามารถแสดงให้เห็นได้โดยบังคับให้เชื่อเป็นสิ่งที่ชักนำให้เกิดการทะเลาะที่หาจุดจบไม่ได้ครับ อีกอย่างคือวิทยาศาสตร์ไม่ได้พิสูจน์สิ่งที่ไม่มีอยู่นะครับ แต่พิสูจน์สิ่งที่มีอยู่แล้วให้เห็นว่ามันมีอยู่ เช่นก่อนที่คนจะพิสูจน์ได้ว่ามีพลังงานที่เรียกว่าไฟฟ้า ไฟฟ้ามันก็มีอยู่ของมันแต่แรกแค่ยังพิสูจน์ไม่ได้ ดังนั้นในเรื่องนรกสวรรค์วิทยาศาสตร์ไม่ได้ปฎิเสธว่ามันไม่มีอยู่นะครับแค่ยังพิสูจน์การมีอยู่ไม่ได้หรืออีกอย่างก็คือวิทยาศาสตร์ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าไม่มี
😂🎉แม้แต่ ความตาย ยังมันส์ 👍
ย้อยเเย้งดีเนอะครับ วิทยาศาสตร์เคยพิสุจถึงพลังงานของวิญณาญว่าเป็นคลื่นความถี่ต่ำ เเต่กลับกันวิทยาปฎิเสทเเนวทิศดีเรื่องของวิญณาญ เพียงเเค่วิทยาศาสตร์เกิดจากความเข้าใจของมนุษณ์บ้างกลุ่มที่พวกเขามีเคดิสมากพอเป็นที่ย่อมรับของคนที่เชื่อตามเท่านั้น.
สิ่งที่สมองกลัวไม่ได้แปลว่าจะน่ากลัวเสมอไป ถ้าทำสิ่งนั้นจนคุ้นเคยจนไม่กลัว
ตายเกิดบ่อยๆเดี๋ยวก็ชินกันไปเอง
ไปดูคนที่ระลึกชาติได้หลายๆ case ดูนะครับ แล้วจะกลัวตายกันน้อยลง