ตอนออกแบบไม่มีใครคำนวณได้ว่าระบบไฟฟ้าในแบบตอนที่ใช้งานจะมี power factor เท่าไร แต่ power factor เป้าหมายคือ 0.85 lagging ต่ำกว่านี้เสียค่า kvar charge สูงกว่านี้ก็ไม่ได้เงินคืน cap bank ขนาด 30% ของขนาด kVA หม้อแปลง สามารถปรับ power factor 0.7169 lagging เป็น 0.85 lagging ได้ครับ
ค่า XL = 2(pi)f ถ้า f เพิ่ม XL ก็เพิ่ม กำลังไฟฟ้ารีแอกทิฟ Q = V x I(L) = V x (V / XL) XL เพิ่ม Q ก็ลด กำลังไฟฟ้าแอกทิฟ P = V x I(R) ไม่เกี่ยวกับค่า L กำลังไฟฟ้าปรากฏ S = sqrt(P2 + Q2)
อาจารย์ครับขอสอบถามเกี่ยวกับตารางภาคผนวก ญ \ ญ-3 ในหนังสือมาตรฐานการติดตั้งทางไฟฟ้าสำหรับประเทศไทย พ.ศ.2564 หน่อยครับ ในตารางที่ว่านี้ หัวข้อในตาราง พูดถึงเรื่องเซอร์กิตเบรกเกอร์ IEC 60947-2 ในตารางนี้ระบุเป็น Type B กับ Type C ซึ่งเซอร์กิตเบรกเกอร์ที่ผลิตตามมาตรฐานนี้ แบ่งเป็น category A กับ category B ไม่ใช่เหรอครับ ผมก็เลยงงว่าทำไมในหนังสือระบุเป็น Type B กับ Type C
ขอบคุณสำหรับคลิปบรรยายครับ
ขอบคุณค่ะ มีประโยชน์มากๆเลยค่ะ
เป็นประโยชน์มากครับอาจารย์ 🙏🙏🙏
ขอบคุณคลิปการสอนครับอาจารย์
ขอบคุณสำหรับความรู้ครับอาจารย์
ขอบคุณครับอาจารย์
ขอบคุณครับ
รบกวนสอบถาม การปรับปรุงค่า power factor ในทางการออกแบบปกติเรากำหนดที่ 0.80 ปรับปรุงเป็น 0.95 จะได้ค่าปรับปรุงโดยประมาณ 30% ของขนาด kVA หม้อแปลง โดยในการปรับปรุงค่าตัวประกอบกำลังควรจะต้องวัดแล้วมาแก้หรือเปล่าครับ หรือแนวทางในการกำหนดค่าตัวประกอบกำลัง ควรกำหนดยังไงในการแก้ค่าตัวประกอบกำลัง ขอบคุณครับ
ตอนออกแบบไม่มีใครคำนวณได้ว่าระบบไฟฟ้าในแบบตอนที่ใช้งานจะมี power factor เท่าไร
แต่ power factor เป้าหมายคือ 0.85 lagging ต่ำกว่านี้เสียค่า kvar charge สูงกว่านี้ก็ไม่ได้เงินคืน
cap bank ขนาด 30% ของขนาด kVA หม้อแปลง สามารถปรับ power factor 0.7169 lagging เป็น 0.85 lagging ได้ครับ
อาจารย์ครับผมรบกวนสอบถามข้อมูลหน่อยครับ
สมมุติว่าความถี่ในระบบไฟฟ้าสูงขึ้น จะทำให้โหลดแอลมีกำลังไฟฟ้าเพิ่มขึ้นด้วยหรือเปล่าครับ
ยกตัวอย่างเช่น แหล่งจ่าย 220 โวลท์ จากเดิมมีความถี่ในระบบไฟฟ้าที่ 50 เฮิร์ต จ่ายให้โหลด L ตัวหนึ่ง ก็จะมีค่ากำลังไฟฟ้าที่ค่าค่าหนึ่ง
แต่ถ้าแหล่งจ่ายสูงขึ้นเป็น 60 Hz หรือ 100 Hz แต่แรงดันเท่าเดิมที่ 220 โวลท์ จะทำให้โหลดมีกำลังไฟฟ้าเพิ่มขึ้นหรือเปล่าครับ
แล้วกำลังไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้นทั้ง active power และ reactive power เลยหรือเปล่าครับ
ขอบคุณครับอาจารย์
ค่า XL = 2(pi)f
ถ้า f เพิ่ม XL ก็เพิ่ม
กำลังไฟฟ้ารีแอกทิฟ Q = V x I(L) = V x (V / XL) XL เพิ่ม Q ก็ลด
กำลังไฟฟ้าแอกทิฟ P = V x I(R) ไม่เกี่ยวกับค่า L
กำลังไฟฟ้าปรากฏ S = sqrt(P2 + Q2)
@@ChaichanPothisarn
ขอบคุณครับอาจารย์
ตกไปครับ
ค่า XL = 2 x (pi) x f x L
@@ChaichanPothisarn
ขอบคุณครับอาจารย์
อาจารย์ครับขอสอบถามเกี่ยวกับตารางภาคผนวก ญ \ ญ-3
ในหนังสือมาตรฐานการติดตั้งทางไฟฟ้าสำหรับประเทศไทย พ.ศ.2564 หน่อยครับ
ในตารางที่ว่านี้ หัวข้อในตาราง พูดถึงเรื่องเซอร์กิตเบรกเกอร์ IEC 60947-2
ในตารางนี้ระบุเป็น Type B กับ Type C
ซึ่งเซอร์กิตเบรกเกอร์ที่ผลิตตามมาตรฐานนี้ แบ่งเป็น category A กับ category B ไม่ใช่เหรอครับ
ผมก็เลยงงว่าทำไมในหนังสือระบุเป็น Type B กับ Type C
ถ้าดูในภาคผนวก จ. \ จ-1
มีการระบุข้อมูลของ circuit breaker ที่ผลิตตามมาตรฐาน IEC 60947-2 หรือ IEC 947-2
ข้อมูลในหน้านี้เป็นข้อมูลถูกต้องครับ
ก็คือมีการแบ่งประเภทของ circuit breaker ที่ผลิตตามมาตรฐานนี้ เป็นกลุ่ม A กับ B
ข้อมูลที่หน้านี้ถูกต้องครับ
แต่พอไปดูในภาคผนวก ญ \ ญ -1
ทำไมข้อมูลตรงส่วนนี้มันผิดครับ
ทำไมไประบุเซอร์กิตเบรกเกอร์ มาตรฐาน IEC 60947-2 ว่า Type B กับ Type C
ในภาคผนวก ญ \ ญ-3
หน้านี้ก็จะเป็นตารางเกี่ยวกับเซอร์กิตเบรกเกอร์ ที่ผลิตตามมาตรฐาน IEC 60947-2
ในหน้านี้ก็ไปเรียกเซอร์กิตเบรกเกอร์ ที่ผลิตตามมาตรฐานนี้ว่า Type B กับ Type C เช่นกัน
ซึ่งมันเป็นข้อมูลผิดนะครับอาจารย์
จริงๆจะต้องเรียกเป็นกลุ่ม A หรือ B
ผมก็งงว่าทำไมข้อมูลไม่ตรงกับภาคผนวก จ \ จ-1 ทั้งๆที่ข้อมูลในหน้านี้ เรียกเซอร์กิตเบรกเกอร์ที่ผลิตตามมาตรฐาน IEC 60947-2 ว่า ประเภท A กับ ประเภท B
รบกวนอาจารย์หาคำตอบให้ด้วยครับ เพราะอ่านเนื้อหาแล้วงงมาก
เพราะถ้าเป็นเซอร์กิตเบรกเกอร์ที่ผลิตตามมาตรฐาน IEC 60947-2
จะไปเรียกว่า Type B กับ Type C เหมือนกับ circuit breaker ตามมาตรฐาน IEC 60898 ไม่ได้นะครับ
เพราะว่าเป็นคนละมาตรฐานกัน
ผมก็งงว่าผู้เรียบเรียงข้อมูลใส่ข้อมูลมาผิดหรือเปล่าครับ
รบกวนอาจารย์หาคำตอบให้ด้วยนะครับ
ขอบคุณมากครับอาจารย์
ช