ฎีกา InTrend Ep.121 จำเลยไม่ผิดฐานบุกรุก แต่จะต้องรับผิดทางแพ่งชดใช้ค่าเสียหายหรือไม่
HTML-код
- Опубликовано: 5 окт 2024
- ฎีกา InTrend Ep.121 จำเลยไม่ผิดฐานบุกรุก แต่จะต้องรับผิดทางแพ่งชดใช้ค่าเสียหายหรือไม่
The Host : กองสารนิเทศและประชาสัมพันธ์ สำนักงานศาลยุติธรรม
Guest Host : สรวิศ ลิมปรังษี
ที่ปรึกษา : วิญญู พิชัย, สรวิศ ลิมปรังษี, ณัฐสิมา อนันทนุพงศ์
Show Creator : ศณิฏา จารุภุมมิก
Episode Producer & Editor : ศณิฏา จารุภุมมิก, รวิภา กิ่งจักร์
Sound Designer & Engineer : กฤตภาส ทองแจ้ง, กิติชัย โล่สุวรรณ
Coordinator & Admin : โสรัตน์ ไวศยดำรง, สุพัตรา ขำมีศักดิ์, สุภาวัชร์ ดลมินทร์
Art Director : สุภาวัชร์ ดลมินทร์, ปันจารีณ์ สุวรรณโภชน์, กนกกูล วสยางกูร
Webmaster : ผุสชา เรืองกูล, วชิระ โรจน์สุธีวัฒน์
การกระทำที่เป็นความผิดอาญามักจะสร้างความเสียหายให้แก่ผู้เกี่ยวข้องอยู่เสมอ ปกติผู้เสียหายอาจใช้สิทธิเรียกร้องทางแพ่งบังคับให้ผู้กระทำความผิดที่ถือว่าเป็นการกระทำละเมิดด้วยนั้นให้ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนทางแพ่งด้วยก็ได้ แต่กรณีอาจมีปัญหาว่าถ้าการกระทำนั้นไม่เข้าข่ายที่จะเป็นความผิดอาญาแล้ว ในส่วนแพ่งจะเรียกร้องกันอย่างไร ปัญหาที่จะนำมากล่าวถึงในตอนนี้จะเป็นกรณีที่ในคดีอาญาศาลพิพากษาว่าจำเลยไม่ผิดฐานบุกรุก แต่จำเลยจะต้องรับผิดทางแพ่งชดใช้ค่าเสียหายหรือไม่
นายมีนาได้ทำสัญญาเช่าที่ดินกับนายเมษาเพื่อทำไร่อ้อย แต่เมื่อนายมีนาเข้าไปทำไร่อ้อยแล้ว ปรากฏว่านายพฤษภาได้ไปบอกกับนายมีนาว่าที่ดินที่นายมีนาทำไร่อ้อยอยู่นั้นความจริงเป็นของนายพฤษภา นายเมษาไม่ใช่เจ้าของที่ดินแปลงนั้น
นายมีนาจึงขอความเห็นใจจากนายพฤษภาว่าตนได้ลงมือปลูกอ้อยไปแล้ว ลงทุนไปมาก ขอทำไร่อ้อยต่อไปให้ครบสองปีตามระยะเวลาของสัญญาเช่าเพื่อจะได้มีโอกาสเก็บเกี่ยว ถอนทุนที่ลงไปแล้วคืน นายพฤษภาเห็นใจจึงได้ตกลงให้นายมีนาทำไร่ต่อไปจนครบสองปี
แต่เมื่อครบสองปีตามที่ตกลงกัน นายมีนาไม่ยอมออกจากที่ดินดังกล่าว นายพฤษภาจึงได้ไปแจ้งความร้องทุกข์ จนต่อมาพนักงานอัยการยื่นฟ้องนายมีนาต่อศาลในข้อหาบุกรุก ในคดีดังกล่าว นายพฤษภาได้ขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม และยื่นคำร้องขอให้นายมีนาชดใช้ค่าเสียหายด้วยเป็นเงิน 20,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย
ในส่วนของคดีอาญาในข้อหาบุกรุกนั้น ข้อเท็จจริงปรากฏว่านายเมษาและนายพฤษภามีข้อโต้เถียงกันว่าใครเป็นเจ้าของที่ดินแปลงที่มีปัญหานั้น โดยนายเมษาเองก็มาเบิกความยืนยันว่าตนเป็นเจ้าของที่ดินแปลงดังกล่าวและทำสัญญาให้นายมีนาเช่าจริง ในกรณีนี้จึงทำให้เห็นได้ว่าการที่นายมีนาเข้าไปทำไร่อ้อยก็ด้วยความเข้าใจว่าตนมีสิทธิตามสัญญาเช่าที่ทำไว้ การกระทำของนายมีนาจึงถือได้ว่าไม่มีเจตนาที่จะกระทำความผิดฐานบุกรุก
แต่ปัญหาคงมีต่อไปว่าในส่วนที่นายพฤษภาเรียกร้องเงินค่าเสียหายด้วยอีก 20,000 บาทจะเป็นอย่างไร
ในกรณีนี้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 47 กำหนดไว้ว่า คำพิพากษาคดีส่วนแพ่งต้องเป็นไปตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายอันว่าด้วยความรับผิดของบุคคลในทางแพ่ง โดยไม่ต้องคำนึงถึงว่าจำเลยต้องคำพิพากษาว่าได้กระทำความผิดหรือไม่ จึงเป็นการที่กฎหมายแยกความรับผิดในส่วนแพ่งและอาญาออกจากกัน เนื่องจากหลักเกณฑ์หรือแม้กระทั่งมาตรฐานในการพิสูจน์มีความแตกต่างกัน กรณีที่แม้ไม่เป็นความผิดอาญาแต่อาจต้องรับผิดทางแพ่งก็ได้ หากการกระทำนั้นเข้าหลักเกณฑ์ที่จะต้องรับผิดทางแพ่ง
ในกรณีนี้ก็คล้ายกันตรงที่แม้ในส่วนความผิดอาญา นายมีนาจะไม่มีความผิด เนื่องจากขาดเจตนาบุกรุก แต่ในส่วนแพ่ง นายมีนาและนายพฤษภาได้คุยและตกลงกันว่านายพฤษภายอมให้นายมีนาทำไร่อ้อยต่อจนครบสองปีตามระยะเวลาของสัญญาเช่าเดิม การที่นายพฤษภายอมให้นายมีนาทำไร่ต่อมาอีกสองปีจึงไม่ถือว่าเป็นการทำละเมิดต่อนายพฤษภา
แต่ต่อมาเมื่อพ้นกำหนดสองปีที่ตกลงไว้แล้ว นายมีนาไม่ยอมออกจากที่ดินดังกล่าว การที่นายมีนายังคงทำไร่ต่อไปจึงเป็นการอยู่โดยละเมิดสิทธิของนายพฤษภา จึงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นายพฤษภาที่เป็นเจ้าของที่ดินด้วย
ดังนั้น แม้การที่จำเลยอยู่ในที่ดินโดยเข้าใจว่ามีสัญญาเช่าอยู่จะไม่เป็นความผิดฐานบุกรุก แต่การที่จำเลยอยู่ต่อหลังพ้นกำหนดเวลาที่ผู้เสียหายยินยอมถือเป็นการทำละเมิดต่อผู้เสียหายอันจะต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เสียหายด้วย
(คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1613/2565)
ขอบคุณสำหรับความรู้คะ
ขอบพระคุณครับ
ขอบคุณครับ ได้คามรู้ นำมาปรับใช้ช่วยให้เป็นแนวทาง...นำมาปรับใช้ และที่สำคัญความขัดแย้งต่อคู่ความทั้งสองฝ่ายด้วยครับ
ขอบคุณครับรายการดีๆๆและมีประโยชน์ต่อสังคม
ขอให้ลงมาตรวจสอบทีดินของบริบัทยูนิที่.ปรายประยาจ.กระบี่ว่าสัญญาถูกต้องหรือไหม(นายทุน)
แต่ถ้ามีนาไม่อยู่ต่อ ก็ไม่ต้องจ่ายฐานละเมิดใช่มั้ยครับ.