Размер видео: 1280 X 720853 X 480640 X 360
Показать панель управления
Автовоспроизведение
Автоповтор
ทำไมคนดีจิตใจดี แต่จิตสุดท้ายมีโทษะโมหะต้องลงนรก เช่นนั่น คนทำชั่วใจชั่วแต่ไม่เชื่อไม่ยึดจำในกรรมนั่น ก็สามารถพ้นนรกสิคับ เพราะจิตไม่ยึดความชั่วที่ทำไว้ก่อนตาย คำว่าทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่วก็ไม่เป็นจริงสิคับ
คนทำดีย่อมได้ดี ผลของความดีเมื่อถึงเหตุปัจจัยอันเหมาะสมมันก็ให้ผล ⭐️คนที่ทำชั่วย่อมได้รับผลของความชั่วเข่นกัน เมื่อทำกรรมสำเร็จเสร็จแล้ว ความชั่วก็จะสะสมไว้ในภวังค์จิต เมื่อเหตุปัจจัยมันสมควร กรรมชั่วก็จะให้ผลครับกรรมที่ทำไม่ว่าดีหรือชั่ว ไม่ได้หายไปไหนทั้งนั้น ก็ต้องสะสมไว้เช่นกัน แต่การจะส่งให้เกิดผลของกรรมนั้น ก็ขึ้นอยู่กับเหตุและปัจจัยที่เหมาะสมที่จะทำให้วิปากเกิดขึ้นครับ ขบวนการของกรรมและผลของกรรม เป็นเรื่องของความละเอียดอ่อน 👉ขบวนการของวิถีจิตตอนตายนั้น ก็มีเหตุปัจจัยของมันเช่นกัน ( 'จิตเกิด' เป็นเหตุให้จิตตายเกิดขึ้น 'จิตขณะตาย' เป็นเหตุให้จิตเกิดหรือมีการปฏิสนธิในภพใหม่เกิดขึ้น ) แม้ว่าเราจะทำบุญไว้มากมาย แต่ไม่เคยทำวิปัสสนาเลย ไม่เคยฝึกจิตเพื่อรู้ทันใจเลย เวลาร่างกายตายในจิตดวงสุดท้าย ความคิดในจิตสุดท้ายก็ผุดขึ้นมา จิตก็ไหลไปจับความคิด (กุศลหรืออกุศล หรือสังขารปรุงแต่ง) จิตจับเอาความคิด ก็เป็นเหตุให้ไปเกิดตามกรรม คือความคิดในจิตดวงสุดท้ายเช่นกัน ⭐️คนทำอะไรต้องได้รับผลของสิ่งนั้นแน่นอนครับ เรื่องของกรรมและผลของกรรมนั้นทุกอย่างยุติธรรมที่สุด แต่กรรมดีหรือชั่วนั้น จะให้ผลเร็วหรือช้านั้น ขึ้นอยู่กับเหตุและปัจจัยของมันครับ👉แม้คนทำความชั่วมาตลอด แต่จิตสุดท้ายก็เป็นกุศล ผลก็พาเค้าไปเกิดในสุคติ แต่กรรมชั่วที่ทำไว้ก็ไม่ไปไหน มันก็รอวันส่งผล รอเหตุปัจจัยให้เกิดผลเช่นกันครับ ✅แต่ขณะที่กรรมดีให้ผล หรือไปเกิดในสุคติภูมิแล้วนั้น เป็นเหตุให้ความชั่วนั้นยังไม่ให้ผลแค่นั้นเอง แต่มันไม่ไปไหนครับมันแค่รอวันส่งผล⭐️เพราะฉะนั้นคนที่จิตใจดีหรือเป็นคนดี ยังไม่พอ ยังไม่ปลอดภัย เพราะยังไม่เคยทำวิปัสสนา ไม่เคยเห็นใจ ยังจมกับอารมณ์ได้ ยังมีโกรธ โลภ หลงได้เช่นกัน 🙂สิ่งเหล่านี้หากเราไม่ได้ฟังธรรมและปฏิบัติธรรม เราจะไม่เข้าใจในเหตุและปัจจัยของการเกิดขึ้นของรูปและนามนี้ เราจะไม่เชื่อ เราจะคิดว่าไม่ยุติธรรม แต่ถ้าเราฝึกจนจิตเห็นเหตุ และผลของการเกิดของรูปนามแล้ว เราจะเข้าใจชัดเลยว่าทุกอย่างเป็นเหตุเป็นผล เป็นเหตุเป็นปัจจัย ไม่มีใครหนีกรรมและผลของกรรมได้เลย แม้แต่องค์พระพุทธเจ้าเอง ⭐️ผู้จะหนีได้ก็คือผู้ที่เดินตามมรรควิธีของพระพุทธเจ้า และสำเร็จเป็นพระอริยบุคคลในแต่ละขั้นครับ อนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณมากครับ🙏
ขอบคุณค่ะ
สาธุ
กราบขอบพระคุณในธรรมที่นำมาเผยแพร่สาธุๆๆค่ะ
น้อมกราบสาธุค่ะ
ธรรม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นความสุขของโลกยิ่งเปิดเผยยิ่งรุ่งเรืองเพื่อเกื้อกูลพุทธบริษัทและความตั้งมั่นในพระสัทธรรม สาธุสาธุสาธุ
สาธุ สาธุ สาธุ ครับ
สาธุ สาธุ สาธุ
ออกจากทาง ออกจากทุกข์ อ.อริยเจ้า
จิตเห็นทุกข์.ในวิญญานกายสังขาร.อันมีองคาพยบธาตุ๔_ขันธ์๕_อายตนะ๑๒.จิตจึงตื่นรู้รู้แจ้งเห็นจริง.คือนิพพานในกายวิญญานสังขารวิญญาน.อันเป็นทุกข์แห่งเบญจภูติความมีอัตตาในอุปาทานขันธ์.ทุกข์ขังอนิจจังอนัตตา.
โล่งโปร่งเบาสบายครับสาธุๆๆ
🙏.น้อมกราบสาธุในธรรมค่ะ
พระโสดาบันท่านไม่ทำพิธีใดๆเลยรึเปล่าค่ะ,เช่น ไหว้ผีบรรพบุรุษ,เซ่นไหว้บวงสรวง,ไม่ถือฤกษ์ยาม,เลขมงคล,ฮวงจุ้ย สะเดาะเคราะห์ต่อชะตา เหล่านี้ไม่มีในพระโสดาบันใช่มั้ยคะ
พระโสดาบันท่านรู้อะไรเป็นเหตุเป็นผล ท่านรู้อันไหนใช่ทางไม่ใช่ทาง พระโสดาบันไม่มีคำว่างมงายหรือเชื่อในทางที่ผิดผิดแล้วครับ พระโสดาบันศรัทธาในพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์เป็นที่พึ่งอันประเสริฐไม่มีการบวงสรวงอ้อนวอน หรือการปฎิบัติผิดผิดแล้วครับ สังโยชน์ความเข้าใจผิด หรือสีลพตปรามาสหมดไปแล้วครับ พระโสดาบันท่านเข้ากระแสพระนิพพานแล้ว เหลืออีกไม่เกิน 7 ชาติก็จบกิจแล้วครับอนุโมทนากับคำถามนะครับ
@@TrisikkhaMeditationCenter มีญาติบอกว่าเขาเป็นอนาคามีแต่เห็นยังถือหลักฮวงจุ้ยในการจัดบ้านอยู่,เลยสงสัยอ่ะค่ะงงมากๆ
@@srimantras9447จ้า
น้อมกราบอนุโมทนาสาธุในธรรมอันประเสริฐ
น้อมกราบสาธุเจ้าค่ะ🙏🙏🙏
กายก็เป็นพายนอกเพาะกับจิตครับ
ขอสอบถามครับ แล้วท่านวิทยากร ทำไมยังถือบวชในศาสนาครับ ยัง ติดข้องประเด็นใดอยู่ครับ ถึงยังไม่วาง
เวลาจิตส่งออกนอกเรารู้สึกตัว ดึงจิตมาที่จมูก ทำไมปวดขมับตุบๆทุกครั้งเลยคะ
เวลาที่จิตไหลไปไม่ควรดึงจิตกลับมานะครับ หากเราดึงมาแล้วมันจะแน่นแน่นแข็งแข็ง บางครั้งอาจจะมีอาการแบบที่คุณเป็นธรรมชาติของจิตเกิดทีขณะๆสืบเนื่องกัน จิตดวงนึงเกิดแล้วก็ดับ อีกตัวนึงเกิดแล้วก็ดับ จิตที่หลงไปเป็นอดีต จิตที่รู้ว่าจิตหลงเป็นจิตตัวใหม่ แล้วสัมปชัญญะก็จะกลับมาที่วิหารธรรมเป็นจิตอีกตัวนึงครับเพราะฉะนั้นเวลาที่จิตหลงไปแค่รู้ทัน แล้วก็กลับมาเห็นร่างกายหายใจเข้าร่างกายหายใจออก หากคุณดึงจิตมาไว้ที่ปลายจมูกมันจะแน่นแน่นแข็งแข็งแล้วมึนมึน หากคุณดูลมเวลาฝึกสติปัฏฐานสี่ ควรดูกายที่หายใจ จะทำให้สติเกิดง่าย หากคุณดูลมอย่างเดียวจะทำให้เกิดสมาธิแบบเพ่งขึ้น ตัวผู้รู้เลยไม่เกิดครับแนะนำควรใช้ร่างกายที่หายใจเข้าหายใจออก แล้วดูกายเพื่อทำจิตที่หลงหรือเพ่งไว้ แล้วหมั่นรู้ทันจิตหลงกับจิตเพ่งแล้วกลับมารู้สึกตัวบ่อยบ่อย ความเพียรจะเป็นเหตุให้สติเกิดเองและเกิดอัตโนมัติครับอนุโมทนากับคำถามครับขอให้เจริญในธรรมยิ่งยิ่งขึ้นไปนะครับ
ปวดมากใมครับขมับอะ
@@สุริยะ-ล7ฟ ก็ปวดตุบๆแบบบีบขมับเข้าหากัน คะ
@@TrisikkhaMeditationCenter สาธุสาธุสาธุขอบคุณมากคะ
ขออนุญาติถามคำถามหน่อยค่ะ ก็ในเมื่อ ตัวเราไม่ใช่เรา ทุกอย่างเป็นอนัตตา จะมีแค่เพียงสภาวะ ที่เกิดขึ้น และดับไป แล้วทำไม กรรมถึงส่งผลให้คนแต่ละคนแตกต่างกันคะ 🙏🙏
ทุกคนล้วนทำกรรมแล้วก็สะสมวิบากของใครของมันอยู่แล้ว ต่างมีกรรมเป็นของตนของตน กรรมของแต่ละคนที่ทำเอาไว้ในอดีตก็ส่งผลให้แต่ละคนได้รับวิปากไม่เหมือนกัน กรรมที่เคยทำเอาไว้จะเป็นตัวจำแนกให้สัตว์ไม่เหมือนกันครับในความเป็นจริงแล้วไม่มีอะไรเป็นของเรา เป็นอนัตตา แต่ความเข้าใจนี้ต้องเห็นด้วยปัญญานะครับ ตราบใดที่ยังมีขันธ์ห้าอยู่ มีชีวิตอยู่ ก็ยังมีการรับผลของกรรม กรรมยังให้ผลได้อยู่ครับอนุโมทนากับคำถามครับ
@@TrisikkhaMeditationCenter 🙏🙏ขอบคุณสำหรับคำตอบนะคะ ขออนุญาติอีกสักนิดนะคะ คำว่า "ทุกคนล้วนทำกรรมแล้วก็สะสมวิบากของใครของมันอยู่" ในที่นี้ตีความยังไงได้คะ คำว่าทุกคน หมายถึงตัวเราที่เราคิดว่าเป็นตัวเราหรือมีชื่อเรียกว่า อะไรคะ ที่สามารถใช้แทนคำว่า ทุกคนหรือปัจเจกคนได้ แล้วเพราะสิ่งนี้เข้าไปยึด ขันธุ์ 5 หรือเปล่าคะถึงต้องได้รับผลของกรรม จนกว่าสิ่งนี้(ชื่อเรียกอย่างอื่น) รู้แจ้งว่าทุกสิ่งเป็นอนัตตา ไม่สมควรไปยึดไปถือให้เกิดอุปทาน คือยังไม่แจ้งในตรงที่ว่า ในเมื่อไม่มีเรา ไม่มีเขา ทุกอย่างเป็นอนัตตา ล้วนว่างเปล่าแล้วทำไม (เรา) ผู้ที่ยังไม่แจ้งด้วยปํญญาถึงไปยึดถือและสร้างเหตุแห่งกรรมได้ ทำให้ได้รับผลกรรมไม่เหมือนกัน
ตรงที่“ทำไมมีเรา” นั้นเพราะเรายังไม่ถึงพร้อมด้วยปัญญาว่าไม่มีเราจริงๆ จิตก็ยังไม่มีปัญญาเห็นเช่นนั้น แต่เห็นด้วยความจำ จากการฟังและอ่าน 👉เมื่อเราปฏิบัติมากขึ้น ต่อเนื่องจนเห็นและเข้าใจเหตุปัจจัยของการเกิดขึ้นของรูปนามแล้ว จิตมันจะเข้าใจเลยว่า ไอ้ตัวจิตนั้นมันก็มีเหตุปัจจัยอาศัยกันเกิดขึ้นเช่นกัน 📍จิตในอดีต มีกิเลส ทำกรรมแล้วสะสมวิปากลงในภวังคจิต แล้วสะสมๆๆ ส่งต่อๆๆ ทำให้จิตปัจจุบันมาเกิด และรับผลจากเหตุคือการทำกรรมในอดีต แม้ปัญญาจะเห็นว่าไม่มีเรา ตราบใดที่ยังมีขันธ์ห้าอยู่ก็ยังตกอยู่ใต้กฏของกรรมและการรับวิปากอยุ่ครับ ใครทำกรรมอันใดไว้ย่อมได้รับผลของกรรมนั้น “ คำว่าใครก็หมายถึงจิต ที่เคยทำกรรม และสะสมถ่ายโอนในภวังค์ครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยอวิชชา สะสมเพื่อรอวันส่งผล จนกระทั่งเป็นพระอรหันต์ดับขันธ์ไปแล้ว วงจรของกิเลส กรรม วิปากจึงหยุดและดับไปครับ แม้จิตแจ้งด้วยปัญญาว่ากายใจไม่มี ไม่ใช่เรา ตราบใดยังมีขันธ์อยู่ กฏของกรรมก็ยังทำงานอยู่ กรรมเก่ายังต้องให้ผลตามเหตุปัจจัยที่ทำเอาไว้ หากเป็นผู้บรรลุธรรมแล้วก็จริงผลของกรรมเก่ายังส่งผล แต่จิตจะไม่สร้างเหตุใหม่ หรือกรรมใหม่ให้มีอนาคตทุกข์ต่อครับ เพราะอวิชชาไม่มี ตัณหาและอุปาทานไม่มี กรรมหรือภพก็เลยไม่มีเช่นกันครับอนุโมทนาครับ
@@TrisikkhaMeditationCenter 🙏🙏🙏 โอ้โห้ ติดตรงนี้มานานจริงๆ ค่ะ น่าจะด้วยปัญญายังไม่ถึง กราบขอบพระคุณมากๆ เลยค่ะ จะปฏิบัติต่อค่ะ
เคยเห็นว่า ร่างกายมันขับรถเอง และเห็นว่าความคิดว่ามันไปคิดเรื่องอื่น เลยเอ๊ะขึ้นมาว่ามันขับรถไปเองได้ยังไง และเคยเห็นว่าขณะสวดมนต์อยู่ มันเอ๊ะขึ้นมาเพราะเห็นว่า ตามันดูบทสวดมนต์ ปากมันก็สวดมนต์เอง และเห็นว่าความคิดว่ามันไปคิดเรื่องอื่น มันต่างแยกกันทำงาน เห็นแบบนี้ที่เอ๊ะๆ ประมาณ 3 ครั้ง หลังจากนั้นมันไม่เอ๊ะแล้ว ถ้าไม่หลงเพลิน มันเห็นของมันเป็นปกติ เช่นเห็นว่ากำลังคิด จะพัฒนาต่อไปยังไงคะ โดยส่วนตัวไม่เคยปฏิบัติอะไรเลย ไม่เคยเดินจงกรม ไม่เคยอะไรสักอย่างเลย
ตรงที่เห็นว่าตาดู เห็นแล้วจิตมันคิดเอง หรือ บางทีขณะขับรถอยู่ เห็นว่ากายขับรถ แล้วจิตมันคิดเอง ตรงนี้ปัญญาไปเห็นว่ากายก็ทำงานของมันเอง ไม่ใช่เรา ใจก็คิดของมันเอง ไม่ใช่เรา ซึ่งจริงๆกายและใจต่างคนต่างทำงานของมันอยู่แล้ว สัญญาเองก็ทำงานของมันเอง แต่มิจฉาทิฏฐิไปทำให้เราหลงคิดว่ามันเป็นตัวตน เป็นเราเป็นเขาเวลาสวดมนต์กายก็นั่งอยู่ ตาก็ดูบทสวดมนต์ ใจก็หลงไปคิด ซึ่งตรงนี้จิตไปเห็นความจริงว่ากายและใจมันคนละอันกัน เราไม่ใช่คนไม่ใช่สัตว์ แต่เห็นคำว่าอนัตตา แต่กำลังของปัญญาของคุณยังไม่เต็มที่แค่นั้นเอง แต่จิตไปเห็นความจริงของรูปนามวิธีที่ควรปฏิบัติเพื่อการพัฒนาจนถึงขั้นพ้นทุกข์ได้ก็คือ คุณต้องฝึกสติปัฏฐานสี่ ให้มากจนจิตเข้มแข็งข้ามนิวรณ์ได้ก่อน แล้วถึงจะหมั่นฝึกแยกรูปแยกนาม ต่อไปถึงจะเรียนรู้เรื่องเห็นไตรลักษณ์ ด้วยวิปัสสนาญาณครับฝึก สติปัฏฐานสี่ ให้มากให้บ่อยนะครับแล้วจิตจะเข้มแข็งจนตื่นเป็นผู้ดูผู้รู้ถึงจะเจริญปัญญาได้อนุโมทนากับคำถามครับ
@@TrisikkhaMeditationCenter น้อมกราบขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง จะหมั่นเพียรพิจารณาและฝึกปฏิบัติตามคำแนะนำของอาจารย์ค่ะ
สาธุ อนุโมทามิ 🙏
อนุโมทนาสาธุขอรับ
น้อมกราบสาธุในธรรมเจ้าคะ
สาธุคะ
อนุโมทนาสาธุคะ
ทำไมคนดีจิตใจดี แต่จิตสุดท้ายมีโทษะโมหะต้องลงนรก เช่นนั่น คนทำชั่วใจชั่วแต่ไม่เชื่อไม่ยึดจำในกรรมนั่น ก็สามารถพ้นนรกสิคับ เพราะจิตไม่ยึดความชั่วที่ทำไว้ก่อนตาย คำว่าทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่วก็ไม่เป็นจริงสิคับ
คนทำดีย่อมได้ดี ผลของความดีเมื่อถึงเหตุปัจจัยอันเหมาะสมมันก็ให้ผล
⭐️คนที่ทำชั่วย่อมได้รับผลของความชั่วเข่นกัน เมื่อทำกรรมสำเร็จเสร็จแล้ว ความชั่วก็จะสะสมไว้ในภวังค์จิต เมื่อเหตุปัจจัยมันสมควร กรรมชั่วก็จะให้ผลครับ
กรรมที่ทำไม่ว่าดีหรือชั่ว ไม่ได้หายไปไหนทั้งนั้น ก็ต้องสะสมไว้เช่นกัน แต่การจะส่งให้เกิดผลของกรรมนั้น ก็ขึ้นอยู่กับเหตุและปัจจัยที่เหมาะสมที่จะทำให้วิปากเกิดขึ้นครับ
ขบวนการของกรรมและผลของกรรม เป็นเรื่องของความละเอียดอ่อน
👉ขบวนการของวิถีจิตตอนตายนั้น ก็มีเหตุปัจจัยของมันเช่นกัน ( 'จิตเกิด' เป็นเหตุให้จิตตายเกิดขึ้น 'จิตขณะตาย' เป็นเหตุให้จิตเกิดหรือมีการปฏิสนธิในภพใหม่เกิดขึ้น ) แม้ว่าเราจะทำบุญไว้มากมาย แต่ไม่เคยทำวิปัสสนาเลย ไม่เคยฝึกจิตเพื่อรู้ทันใจเลย เวลาร่างกายตายในจิตดวงสุดท้าย ความคิดในจิตสุดท้ายก็ผุดขึ้นมา จิตก็ไหลไปจับความคิด (กุศลหรืออกุศล หรือสังขารปรุงแต่ง) จิตจับเอาความคิด ก็เป็นเหตุให้ไปเกิดตามกรรม คือความคิดในจิตดวงสุดท้ายเช่นกัน
⭐️คนทำอะไรต้องได้รับผลของสิ่งนั้นแน่นอนครับ เรื่องของกรรมและผลของกรรมนั้นทุกอย่างยุติธรรมที่สุด แต่กรรมดีหรือชั่วนั้น จะให้ผลเร็วหรือช้านั้น ขึ้นอยู่กับเหตุและปัจจัยของมันครับ
👉แม้คนทำความชั่วมาตลอด แต่จิตสุดท้ายก็เป็นกุศล ผลก็พาเค้าไปเกิดในสุคติ แต่กรรมชั่วที่ทำไว้ก็ไม่ไปไหน มันก็รอวันส่งผล รอเหตุปัจจัยให้เกิดผลเช่นกันครับ ✅แต่ขณะที่กรรมดีให้ผล หรือไปเกิดในสุคติภูมิแล้วนั้น เป็นเหตุให้ความชั่วนั้นยังไม่ให้ผลแค่นั้นเอง แต่มันไม่ไปไหนครับมันแค่รอวันส่งผล
⭐️เพราะฉะนั้นคนที่จิตใจดีหรือเป็นคนดี ยังไม่พอ ยังไม่ปลอดภัย เพราะยังไม่เคยทำวิปัสสนา ไม่เคยเห็นใจ ยังจมกับอารมณ์ได้ ยังมีโกรธ โลภ หลงได้เช่นกัน
🙂สิ่งเหล่านี้หากเราไม่ได้ฟังธรรมและปฏิบัติธรรม เราจะไม่เข้าใจในเหตุ
และปัจจัยของการเกิดขึ้นของรูปและนามนี้ เราจะไม่เชื่อ เราจะคิดว่าไม่ยุติธรรม แต่ถ้าเราฝึกจนจิตเห็นเหตุ และผลของการเกิดของรูปนามแล้ว เราจะเข้าใจชัดเลยว่าทุกอย่างเป็นเหตุเป็นผล เป็นเหตุเป็นปัจจัย ไม่มีใครหนีกรรมและผลของกรรมได้เลย แม้แต่องค์พระพุทธเจ้าเอง ⭐️ผู้จะหนีได้ก็คือผู้ที่เดินตามมรรควิธีของพระพุทธเจ้า และสำเร็จเป็นพระอริยบุคคลในแต่ละขั้นครับ
อนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณมากครับ🙏
ขอบคุณค่ะ
สาธุ
กราบขอบพระคุณในธรรมที่นำมาเผยแพร่
สาธุๆๆค่ะ
น้อมกราบสาธุค่ะ
ธรรม พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เป็นความสุขของโลก
ยิ่งเปิดเผยยิ่งรุ่งเรือง
เพื่อเกื้อกูลพุทธบริษัท
และความตั้งมั่นในพระสัทธรรม
สาธุสาธุสาธุ
สาธุ สาธุ สาธุ ครับ
สาธุ สาธุ สาธุ
ออกจากทาง ออกจากทุกข์ อ.อริยเจ้า
จิตเห็นทุกข์.ในวิญญานกายสังขาร.อันมีองคาพยบธาตุ๔_ขันธ์๕_อายตนะ๑๒.จิตจึงตื่นรู้รู้แจ้งเห็นจริง.คือนิพพานในกายวิญญานสังขารวิญญาน.อันเป็นทุกข์แห่งเบญจภูติความมีอัตตาในอุปาทานขันธ์.ทุกข์ขังอนิจจังอนัตตา.
โล่งโปร่งเบาสบายครับสาธุๆๆ
🙏.น้อมกราบสาธุในธรรมค่ะ
พระโสดาบันท่านไม่ทำพิธีใดๆเลยรึเปล่าค่ะ,เช่น ไหว้ผีบรรพบุรุษ,เซ่นไหว้บวงสรวง,ไม่ถือฤกษ์ยาม,เลขมงคล,ฮวงจุ้ย สะเดาะเคราะห์ต่อชะตา เหล่านี้ไม่มีในพระโสดาบันใช่มั้ยคะ
พระโสดาบันท่านรู้อะไรเป็นเหตุเป็นผล ท่านรู้อันไหนใช่ทางไม่ใช่ทาง
พระโสดาบันไม่มีคำว่างมงายหรือเชื่อในทางที่ผิดผิดแล้วครับ พระโสดาบันศรัทธาในพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์เป็นที่พึ่งอันประเสริฐไม่มีการบวงสรวงอ้อนวอน หรือการปฎิบัติผิดผิดแล้วครับ สังโยชน์ความเข้าใจผิด หรือสีลพตปรามาสหมดไปแล้วครับ
พระโสดาบันท่านเข้ากระแสพระนิพพานแล้ว เหลืออีกไม่เกิน 7 ชาติก็จบกิจแล้วครับ
อนุโมทนากับคำถามนะครับ
@@TrisikkhaMeditationCenter
มีญาติบอกว่าเขาเป็นอนาคามีแต่เห็นยังถือหลักฮวงจุ้ยในการจัดบ้านอยู่,เลยสงสัยอ่ะค่ะ
งงมากๆ
@@srimantras9447จ้า
น้อมกราบอนุโมทนาสาธุในธรรมอันประเสริฐ
น้อมกราบสาธุเจ้าค่ะ🙏🙏🙏
กายก็เป็นพายนอกเพาะกับจิตครับ
ขอสอบถามครับ แล้วท่านวิทยากร ทำไมยังถือบวชในศาสนาครับ ยัง ติดข้องประเด็นใดอยู่ครับ ถึงยังไม่วาง
เวลาจิตส่งออกนอกเรารู้สึกตัว ดึงจิตมาที่จมูก ทำไมปวดขมับตุบๆทุกครั้งเลยคะ
เวลาที่จิตไหลไปไม่ควรดึงจิตกลับมานะครับ หากเราดึงมาแล้วมันจะแน่นแน่นแข็งแข็ง บางครั้งอาจจะมีอาการแบบที่คุณเป็น
ธรรมชาติของจิตเกิดทีขณะๆสืบเนื่องกัน จิตดวงนึงเกิดแล้วก็ดับ อีกตัวนึงเกิดแล้วก็ดับ จิตที่หลงไปเป็นอดีต จิตที่รู้ว่าจิตหลงเป็นจิตตัวใหม่ แล้วสัมปชัญญะก็จะกลับมาที่วิหารธรรมเป็นจิตอีกตัวนึงครับ
เพราะฉะนั้นเวลาที่จิตหลงไปแค่รู้ทัน แล้วก็กลับมาเห็นร่างกายหายใจเข้าร่างกายหายใจออก หากคุณดึงจิตมาไว้ที่ปลายจมูกมันจะแน่นแน่นแข็งแข็งแล้วมึนมึน หากคุณดูลมเวลาฝึกสติปัฏฐานสี่ ควรดูกายที่หายใจ จะทำให้สติเกิดง่าย หากคุณดูลมอย่างเดียวจะทำให้เกิดสมาธิแบบเพ่งขึ้น ตัวผู้รู้เลยไม่เกิดครับ
แนะนำควรใช้ร่างกายที่หายใจเข้าหายใจออก แล้วดูกายเพื่อทำจิตที่หลงหรือเพ่งไว้ แล้วหมั่นรู้ทันจิตหลงกับจิตเพ่งแล้วกลับมารู้สึกตัวบ่อยบ่อย ความเพียรจะเป็นเหตุให้สติเกิดเองและเกิดอัตโนมัติครับ
อนุโมทนากับคำถามครับขอให้เจริญในธรรมยิ่งยิ่งขึ้นไปนะครับ
ปวดมากใมครับขมับอะ
@@สุริยะ-ล7ฟ ก็ปวดตุบๆแบบบีบขมับเข้าหากัน คะ
@@TrisikkhaMeditationCenter สาธุสาธุสาธุขอบคุณมากคะ
ขออนุญาติถามคำถามหน่อยค่ะ ก็ในเมื่อ ตัวเราไม่ใช่เรา ทุกอย่างเป็นอนัตตา จะมีแค่เพียงสภาวะ ที่เกิดขึ้น และดับไป แล้วทำไม กรรมถึงส่งผลให้คนแต่ละคนแตกต่างกันคะ 🙏🙏
ทุกคนล้วนทำกรรมแล้วก็สะสมวิบากของใครของมันอยู่แล้ว ต่างมีกรรมเป็นของตนของตน กรรมของแต่ละคนที่ทำเอาไว้ในอดีตก็ส่งผลให้แต่ละคนได้รับวิปากไม่เหมือนกัน กรรมที่เคยทำเอาไว้จะเป็นตัวจำแนกให้สัตว์ไม่เหมือนกันครับ
ในความเป็นจริงแล้วไม่มีอะไรเป็นของเรา เป็นอนัตตา แต่ความเข้าใจนี้ต้องเห็นด้วยปัญญานะครับ ตราบใดที่ยังมีขันธ์ห้าอยู่ มีชีวิตอยู่ ก็ยังมีการรับผลของกรรม กรรมยังให้ผลได้อยู่ครับ
อนุโมทนากับคำถามครับ
@@TrisikkhaMeditationCenter 🙏🙏ขอบคุณสำหรับคำตอบนะคะ ขออนุญาติอีกสักนิดนะคะ คำว่า "ทุกคนล้วนทำกรรมแล้วก็สะสมวิบากของใครของมันอยู่" ในที่นี้ตีความยังไงได้คะ คำว่าทุกคน หมายถึงตัวเราที่เราคิดว่าเป็นตัวเราหรือมีชื่อเรียกว่า อะไรคะ ที่สามารถใช้แทนคำว่า ทุกคนหรือปัจเจกคนได้ แล้วเพราะสิ่งนี้เข้าไปยึด ขันธุ์ 5 หรือเปล่าคะถึงต้องได้รับผลของกรรม จนกว่าสิ่งนี้(ชื่อเรียกอย่างอื่น) รู้แจ้งว่าทุกสิ่งเป็นอนัตตา ไม่สมควรไปยึดไปถือให้เกิดอุปทาน คือยังไม่แจ้งในตรงที่ว่า ในเมื่อไม่มีเรา ไม่มีเขา ทุกอย่างเป็นอนัตตา ล้วนว่างเปล่าแล้วทำไม (เรา) ผู้ที่ยังไม่แจ้งด้วยปํญญาถึงไปยึดถือและสร้างเหตุแห่งกรรมได้ ทำให้ได้รับผลกรรมไม่เหมือนกัน
ตรงที่“ทำไมมีเรา” นั้นเพราะเรายังไม่ถึงพร้อมด้วยปัญญาว่าไม่มีเราจริงๆ จิตก็ยังไม่มีปัญญาเห็นเช่นนั้น แต่เห็นด้วยความจำ จากการฟังและอ่าน
👉เมื่อเราปฏิบัติมากขึ้น ต่อเนื่องจนเห็นและเข้าใจเหตุปัจจัยของการเกิดขึ้นของรูปนามแล้ว จิตมันจะเข้าใจเลยว่า ไอ้ตัวจิตนั้นมันก็มีเหตุปัจจัยอาศัยกันเกิดขึ้นเช่นกัน 📍จิตในอดีต มีกิเลส ทำกรรมแล้วสะสมวิปากลงในภวังคจิต แล้วสะสมๆๆ ส่งต่อๆๆ ทำให้จิตปัจจุบันมาเกิด และรับผลจากเหตุคือการทำกรรมในอดีต แม้ปัญญาจะเห็นว่าไม่มีเรา ตราบใดที่ยังมีขันธ์ห้าอยู่ก็ยังตกอยู่ใต้กฏของกรรมและการรับวิปากอยุ่ครับ ใครทำกรรมอันใดไว้ย่อมได้รับผลของกรรมนั้น “ คำว่าใครก็หมายถึงจิต ที่เคยทำกรรม และสะสมถ่ายโอนในภวังค์ครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยอวิชชา สะสมเพื่อรอวันส่งผล จนกระทั่งเป็นพระอรหันต์ดับขันธ์ไปแล้ว วงจรของกิเลส กรรม วิปากจึงหยุดและดับไปครับ แม้จิตแจ้งด้วยปัญญาว่ากายใจไม่มี ไม่ใช่เรา ตราบใดยังมีขันธ์อยู่ กฏของกรรมก็ยังทำงานอยู่ กรรมเก่ายังต้องให้ผลตามเหตุปัจจัยที่ทำเอาไว้ หากเป็นผู้บรรลุธรรมแล้วก็จริงผลของกรรมเก่ายังส่งผล แต่จิตจะไม่สร้างเหตุใหม่ หรือกรรมใหม่ให้มีอนาคตทุกข์ต่อครับ เพราะอวิชชาไม่มี ตัณหาและอุปาทานไม่มี กรรมหรือภพก็เลยไม่มีเช่นกันครับ
อนุโมทนาครับ
@@TrisikkhaMeditationCenter 🙏🙏🙏 โอ้โห้ ติดตรงนี้มานานจริงๆ ค่ะ น่าจะด้วยปัญญายังไม่ถึง กราบขอบพระคุณมากๆ เลยค่ะ จะปฏิบัติต่อค่ะ
เคยเห็นว่า ร่างกายมันขับรถเอง และเห็นว่าความคิดว่ามันไปคิดเรื่องอื่น เลยเอ๊ะขึ้นมาว่ามันขับรถไปเองได้ยังไง และเคยเห็นว่าขณะสวดมนต์อยู่ มันเอ๊ะขึ้นมาเพราะเห็นว่า ตามันดูบทสวดมนต์ ปากมันก็สวดมนต์เอง และเห็นว่าความคิดว่ามันไปคิดเรื่องอื่น มันต่างแยกกันทำงาน เห็นแบบนี้ที่เอ๊ะๆ ประมาณ 3 ครั้ง หลังจากนั้นมันไม่เอ๊ะแล้ว ถ้าไม่หลงเพลิน มันเห็นของมันเป็นปกติ เช่นเห็นว่ากำลังคิด จะพัฒนาต่อไปยังไงคะ โดยส่วนตัวไม่เคยปฏิบัติอะไรเลย ไม่เคยเดินจงกรม ไม่เคยอะไรสักอย่างเลย
ตรงที่เห็นว่าตาดู เห็นแล้วจิตมันคิดเอง หรือ บางทีขณะขับรถอยู่ เห็นว่ากายขับรถ แล้วจิตมันคิดเอง ตรงนี้ปัญญาไปเห็นว่ากายก็ทำงานของมันเอง ไม่ใช่เรา ใจก็คิดของมันเอง ไม่ใช่เรา ซึ่งจริงๆกายและใจต่างคนต่างทำงานของมันอยู่แล้ว สัญญาเองก็ทำงานของมันเอง แต่มิจฉาทิฏฐิไปทำให้เราหลงคิดว่ามันเป็นตัวตน เป็นเราเป็นเขา
เวลาสวดมนต์กายก็นั่งอยู่ ตาก็ดูบทสวดมนต์ ใจก็หลงไปคิด ซึ่งตรงนี้จิตไปเห็นความจริงว่ากายและใจมันคนละอันกัน เราไม่ใช่คนไม่ใช่สัตว์ แต่เห็นคำว่าอนัตตา แต่กำลังของปัญญาของคุณยังไม่เต็มที่แค่นั้นเอง แต่จิตไปเห็นความจริงของรูปนาม
วิธีที่ควรปฏิบัติเพื่อการพัฒนาจนถึงขั้นพ้นทุกข์ได้ก็คือ คุณต้องฝึกสติปัฏฐานสี่ ให้มากจนจิตเข้มแข็งข้ามนิวรณ์ได้ก่อน แล้วถึงจะหมั่นฝึกแยกรูปแยกนาม ต่อไปถึงจะเรียนรู้เรื่องเห็นไตรลักษณ์ ด้วยวิปัสสนาญาณครับ
ฝึก สติปัฏฐานสี่ ให้มากให้บ่อยนะครับแล้วจิตจะเข้มแข็งจนตื่นเป็นผู้ดูผู้รู้ถึงจะเจริญปัญญาได้
อนุโมทนากับคำถามครับ
@@TrisikkhaMeditationCenter น้อมกราบขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง จะหมั่นเพียรพิจารณาและฝึกปฏิบัติตามคำแนะนำของอาจารย์ค่ะ
สาธุ อนุโมทามิ 🙏
อนุโมทนาสาธุขอรับ
น้อมกราบสาธุในธรรมเจ้าคะ
สาธุคะ
อนุโมทนาสาธุขอรับ
อนุโมทนาสาธุคะ