Размер видео: 1280 X 720853 X 480640 X 360
Показать панель управления
Автовоспроизведение
Автоповтор
ขออนุโมทนา สาธุขอบคุณครับ
ขอบคุณครับ
🙏🏻ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย^^^🙏🏻สาธุธรรมที่หลวงปู่ได้แสดงไว้ดีแล้ว
...กราบสาธุๆๆคับ...
สาธุสาธุสาธุ❤
กราบหลวงพ่อครับ
กราบหลวงพ่อครูอาจารย์ครับ
ความเห็นที่6)ถึงแม้ว่า จิตจะดำเนินไปตามลักษณะที่ได้พรรณนามานี้ จนละ“สักกายทิฏฐิ” วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ได้แล้วแต่ให้ใส่ใจคำว่าทิฏฐิ คือละได้แค่ความเห็นอย่างแน่นแฟ้นว่า ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ไม่ใช่ของของตน แต่ก็ยังจับอยู่(ไม่ได้ยึดอย่างแน่นหนา) ก็ยังคงเป็นเราอยู่นั่นเองฉะนั้นแล้ว จะกล่าวใยไปถึงผู้ที่ยังไม่เห็นพระนิพพานเล่า?ให้ผู้มีบุญวาสนาบารมี พอที่จะปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้สำเร็จ จงมาพบกับข้อความนี้ เพื่อที่จะไม่หลงทาง หลงคิดว่าบรรลุแล้วทั้งที่ยังไม่บรรลุ หลงเห็นวิปัสสนูปกิเลส10เป็นทางทั้งๆท่ไม่ใช่ทาง
ผมคิดว่า คุณคงยังไม่รู้จักหลวงปู่ดี และคุณคงคล่องแคล้วในปริยัติ ค่อนข้างมาก ก็อยากให้ลองศึกษาคำสอนของหลวงปู่ให้ดีก่อนนะครับ
ความเห็นที่4)นิมิตที่ถูกต้อง จะเกิดในลักษณะนี้คือ เมื่อยักษ์ฟันแขนขาดไปแล้ว ต้องฟันกายทั้งหมด ขา ลำตัว ศรีษะ ตับ ไต ไส้ พุงทั้งหมดทั้งสิ้นให้เป็นฝุยผงจนสิ้นซากหาไม่พบแม้แค่เศษธุลี และที่สำคัญมาก ยักษ์ต้องทำลายจิตหรือใจให้สิ้นซากไปด้วย เหตุการณ์ที่กำลังดำเนินไปอยู่นี้ หลวงปู่ก็แค่ดูอยู่เฉยๆ จะไม่มีความกลัว ไม่มีความสงสัย ไม่มีความตื่นเต้น ไม่มีความอัศจรรย์ใจ เฉยที่สุด เพราะในขณะนี้ จิตอยู่ในฌาน ตามกำลังของสัมมาสมาธิ อาจจะอยู่ในฌานที่1 หรือ ฌานที่2 หรือฌานที่3 หรือขั้นสูงสุดเป็นฌานที่4 และจิตจะเฉยเป็นอย่างยิ่ง เพราะเข้ามาจาก“สังขารุเปกขาญาณ” คือปัญญาในการวางเฉยต่อสังขาร
ขอบคุณที่แสดงความเห็น เรื่องนิมิต ก่อนตื่นของหลวงพ่อ ในธรรมที่ 3.08 ท่านอธิบายธรรม ”สังกายทิฐิ “ จิตเฉยปกติ อัตตาธิปไตยไม่มีเหลืออยู่ในจิตใจแล้วฯ
@@kanetch5553ถ้าสมมุติว่าเป็นตัวผมเอง แล้วมีนิมิตว่า มียักษ์มาฟันแขนข้างหนึ่งขาดไป เมื่อขาดไปแล้ว ผมไปเก็บแขนนั้นขึ้นมาต่อกับตัว และใจก็คิดจะไปหาหมอ ผมจะรู้เลยว่า สักกายทิฏฐิผมยังละไม่ได้ครับ เพราะผมยังหวงแหน“แขน” เมื่อยังยึดแขนว่าเป็นของตน จึงเอามาต่อและคิดว่าจะไปหาหมอ หาหมอก็คือห่วงในตัวตนกลัวเสียแขนไป เมื่อเป็นเช่นนี้ จะว่าผมละตัวละตนไปแล้วได้อย่างไรกัน ไม่ได้วัดกันที่กลัวหรือไม่กลัว ว่าไม่กลัวคือการละสักกายทิฏฐิแล้วครับ การที่ไม่กลัวเพราะจิตอยู่ในฌาน เพียงแค่ปฐมฌาน จิตก็ละนิวรณ์๕ไปแล้ว คือกามฉันทะ พยาบาท(รวมความโกรธและความกลัว) ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ วิจิกิจฉา
@@pornanant9558 ตามที่คุณวิจารณ์มานั้น หากคุณทำได้จริง จิตไม่หวั่นไหว สุดยอดครับ สำหรับผู้ปฏิบัติแล้ว ธรรมที่เกิดขึ้น“ละ” สิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนั้น จิตได้เรียนรู้ครับ
@@kanetch5553ผมไม่ได้พูดว่า ผมทำได้หรือทำไม่ได้ครับ แค่อธิบายธรรมเล็กๆน้อยๆ อนึ่งธรรมบางอย่างควรละ ธรรมบางอย่างควรทำให้เจริญขึ้น
@@pornanant9558 ที่ว่าธรรมบางอบ่างที่ควร“ละ”นั้นหมายถึงอะำร? และธรรมบางอย่างที่ควรทำให้เจริญขึ้นนั้นหมายถึงอะำร? ผมยังไม่เ้าใจครับ ?
กราบสาธุครับ 🙏
ขออนุโมทนา สาธุ
ขอบคุณครับ
ขอบคุณครับ
🙏🏻ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย^^^
🙏🏻สาธุธรรมที่หลวงปู่ได้แสดงไว้ดีแล้ว
...กราบสาธุๆๆคับ...
สาธุสาธุสาธุ❤
กราบหลวงพ่อครับ
กราบหลวงพ่อครูอาจารย์ครับ
ความเห็นที่6)
ถึงแม้ว่า จิตจะดำเนินไปตามลักษณะที่ได้พรรณนามานี้ จนละ“สักกายทิฏฐิ” วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ได้แล้ว
แต่ให้ใส่ใจคำว่าทิฏฐิ คือละได้แค่ความเห็นอย่างแน่นแฟ้นว่า ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ไม่ใช่ของของตน แต่ก็ยังจับอยู่(ไม่ได้ยึดอย่างแน่นหนา) ก็ยังคงเป็นเราอยู่นั่นเอง
ฉะนั้นแล้ว จะกล่าวใยไปถึงผู้ที่ยังไม่เห็นพระนิพพานเล่า?
ให้ผู้มีบุญวาสนาบารมี พอที่จะปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้สำเร็จ จงมาพบกับข้อความนี้ เพื่อที่จะไม่หลงทาง หลงคิดว่าบรรลุแล้วทั้งที่ยังไม่บรรลุ หลงเห็นวิปัสสนูปกิเลส10เป็นทางทั้งๆท่ไม่ใช่ทาง
ผมคิดว่า คุณคงยังไม่รู้จักหลวงปู่ดี และคุณคงคล่องแคล้วในปริยัติ ค่อนข้างมาก ก็อยากให้ลองศึกษาคำสอนของหลวงปู่ให้ดีก่อนนะครับ
ความเห็นที่4)
นิมิตที่ถูกต้อง จะเกิดในลักษณะนี้คือ เมื่อยักษ์ฟันแขนขาดไปแล้ว ต้องฟันกายทั้งหมด ขา ลำตัว ศรีษะ ตับ ไต ไส้ พุงทั้งหมดทั้งสิ้นให้เป็นฝุยผงจนสิ้นซากหาไม่พบแม้แค่เศษธุลี และที่สำคัญมาก ยักษ์ต้องทำลายจิตหรือใจให้สิ้นซากไปด้วย เหตุการณ์ที่กำลังดำเนินไปอยู่นี้ หลวงปู่ก็แค่ดูอยู่เฉยๆ จะไม่มีความกลัว ไม่มีความสงสัย ไม่มีความตื่นเต้น ไม่มีความอัศจรรย์ใจ เฉยที่สุด เพราะในขณะนี้ จิตอยู่ในฌาน ตามกำลังของสัมมาสมาธิ อาจจะอยู่ในฌานที่1 หรือ ฌานที่2 หรือฌานที่3 หรือขั้นสูงสุดเป็นฌานที่4 และจิตจะเฉยเป็นอย่างยิ่ง เพราะเข้ามาจาก“สังขารุเปกขาญาณ” คือปัญญาในการวางเฉยต่อสังขาร
ขอบคุณที่แสดงความเห็น เรื่องนิมิต ก่อนตื่นของหลวงพ่อ
ในธรรมที่ 3.08 ท่านอธิบายธรรม ”สังกายทิฐิ “ จิตเฉยปกติ อัตตาธิปไตยไม่มีเหลืออยู่ในจิตใจแล้วฯ
@@kanetch5553ถ้าสมมุติว่าเป็นตัวผมเอง แล้วมีนิมิตว่า มียักษ์มาฟันแขนข้างหนึ่งขาดไป เมื่อขาดไปแล้ว ผมไปเก็บแขนนั้นขึ้นมาต่อกับตัว และใจก็คิดจะไปหาหมอ ผมจะรู้เลยว่า สักกายทิฏฐิผมยังละไม่ได้ครับ เพราะผมยังหวงแหน“แขน” เมื่อยังยึดแขนว่าเป็นของตน จึงเอามาต่อและคิดว่าจะไปหาหมอ หาหมอก็คือห่วงในตัวตนกลัวเสียแขนไป เมื่อเป็นเช่นนี้ จะว่าผมละตัวละตนไปแล้วได้อย่างไรกัน ไม่ได้วัดกันที่กลัวหรือไม่กลัว ว่าไม่กลัวคือการละสักกายทิฏฐิแล้วครับ การที่ไม่กลัวเพราะจิตอยู่ในฌาน เพียงแค่ปฐมฌาน จิตก็ละนิวรณ์๕ไปแล้ว คือกามฉันทะ พยาบาท(รวมความโกรธและความกลัว) ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ วิจิกิจฉา
@@pornanant9558 ตามที่คุณวิจารณ์มานั้น หากคุณทำได้จริง จิตไม่หวั่นไหว สุดยอดครับ
สำหรับผู้ปฏิบัติแล้ว ธรรมที่เกิดขึ้น“ละ” สิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนั้น จิตได้เรียนรู้ครับ
@@kanetch5553ผมไม่ได้พูดว่า ผมทำได้หรือทำไม่ได้ครับ แค่อธิบายธรรมเล็กๆน้อยๆ อนึ่งธรรมบางอย่างควรละ ธรรมบางอย่างควรทำให้เจริญขึ้น
@@pornanant9558
ที่ว่าธรรมบางอบ่างที่ควร“ละ”นั้นหมายถึงอะำร? และธรรมบางอย่างที่ควรทำให้เจริญขึ้นนั้นหมายถึงอะำร? ผมยังไม่เ้าใจครับ ?
กราบสาธุครับ 🙏