Видео

ขอบคุณครับ

ขอบคุณค่ะ

ขอบคุณที่ครูแบ่งปันเรื่อง Manifest อยากขอ Idea หน่อยครับว่า สายกฎแรงดึงดูดสายพลังงานกฎจักรวาล พอจะอธิบายเรื่องนี้ให้เราพอเข้าใจแบบมนุษย์ธรรมดาแบบเราๆ ว่าอย่างไร? ผมเป็น FC ครูอยู่นะครับ ครูเป็นตนเก่ง มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง...ความรู้ในแต่ละ content ของครูสิ่งใหนดีมีประโยชน์ผมก็เลือกเอาไปใช้นะครับ...ต้องขอขอบคุณด้วยครับ🙏❤🙏 ขออนุญาตถามครูพอลลี่หน่อยนะครับ.... จากเหตุการณ์จริงที่เด็กๆอายุแค่4-5ขวบ ต้องมาจบชีวิตพร้อมๆกันทั้ง24คนในลักษณะเช่นนี้ จะเป็นไปได้หรือครับที่เด็กวัยแค่นี้จะเข้าใจเรื่องกฎต่างๆของจักวาล เช่นการทำ Manifest เพื่อดึงดูดพลังงานต่างๆให้มาเกิดขึ้นกับพวกเค้า ซึ่งเด็กๆทั่ง 24 คนต้องจินตนาการพลังงานลบๆพร้อมกันเพื่อดึงดูดคนร้ายให้มาทำร้ายพวกเด็กๆจนเสียชีวิตพร้มกันทั้ง24คน ยิ่งดูเหมือนมีโอกาสเป็นไปได้น้อยมากๆที่เด็กๆจะคิดและจินตนาการเชิงลบแบบนั้นพร้อมๆกัน... จากเหตุการณ์ที่อดีตตำรวจ ก่อเหตุกราดยิงและไล่แทงเด็กและครู ภายในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จังหวัดหนองบัวลำภู เมื่อวันที่ 6 ต.ค. 2022 ที่ผ่านมา ส่งผลให้เด็กเล็ก เสียชีวิต 24 คน และเมื่อรวมกับผู้เสียชีวิตจากจุดเกิดเหตุอื่น ๆ ทำให้ยอดผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 36 คน ไม่รวมตัวผู้ก่อเหตุ เหตุการณ์นี้ ทำให้โศกนาฏกรรมในภาคอีสานของไทย กลายเป็นหนึ่งในเหตุกราดยิงและโจมตีโรงเรียนครั้งร้ายแรงครั้งหนึ่งของโลก *** ถ้ามองในมุมมองของพลังงานหรือกฎจักรวาลและกฎแรงดึงดูด จะอธิบายสาเหตุการเกิดเรื่องนี้ได้อย่างไรบ้างครับ? Credit : www.bbc.com/thai/articles/clm8lx797gyo ------------------------------------------------------------- และอีกเหตุการณ์ 26 ธันวาคม 2547 ที่คลื่นซึนามิ พัดถล่มภาตใต้ที่ภูเก็ตและชายฝั่งอันดามัน ทำให้มีผู้คนทั้งนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติและชาวไทยเสียชีวิตประมาณ 5400คน และสูญหายอีกจำนวณหนึ่ง....ถ้ามองในมุมของสายจิตวิญาณและกฎแรงดึงดูด ชาวต่างชาติเค้ามา ฉลองช่วงคริสมาสต์ จิตใจเค้าจดจ่อมาตั้งแต่ก่อนบินมาถึงเมิองไทยว่าเค้าจะมาเฉลิมฉลองและพักผ่อนในช่วงคริสมาสต์ของปี 2547 ครูคิดว่าคนที่เสียชีวิตทั้งหมดในเหตุการณ์นี้เค้า จินตนาการ หรือ Manifest ภาพอะไรมาครับ??? เค้าจินตนาการภาพโศกนาฏกรรมแบบที่เกิดขึ้นยังงั้นหรือ? และที่สำคัญคนเสียชีวิต 5400คน ทุกๆคนต้องจินตนาการที่เหมือนๆกัน หรือ จะมีสัก 100-200 คนได้ไหมที่อาจไม่ได้จิตนาการเหมือนคนอื่นๆ หรืออาจไม่ได้จินตนาการภาพอะไรมาด้วยซ้ำแค่อยากมาเที่ยวพักผ่อนเฉยๆ... ซึ่งนำมาถึงวลีเด็ดที่สายพลังงานชอบพูดว่า อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ บอกว่า "พระเจ้าไม่ได้สร้างสรรพสิ่งด้วยการทอยเต๋า"...ผมคิดว่าไอน์สไตน์ พูดถูกนะ....แต่เค้าก็อาจยังไม่ทราบเหตุผลที่แท้จริง ทั้งหมดเพราะมันเกินจินตนาการของการใช้ตรรกะความคิดของมนุษย์..... (และเหตุผลที่แท้จริงมันคืออะไรกันแน่ที่ทำให้โศกนาฏกรรมหลายๆเหตุการณ์เกิดขึ้นจริงบนโลกใบนี้???) Credit : www.silpa-mag.com/this-day-in-history/article_43257 *** ถ้ามองในมุมมองของพลังงานหรือกฎจักรวาลและกฎแรงดึงดูด จะอธิบายสาเหตุการเกิดเรื่องนี้ได้อย่างไรบ้างครับ? จำได้ไหมครับที่ผมเคยบอกว่า ชีวิตจริง ไม่ใช่สมการ 1+2=3 เสมอไป....แต่ชีวิตจริงมัน X เข้ามาด้วย...ดังนั้น ชีวิตจริงมันคือ 1+2+X = ??? X ตัวนี้ละคือความลับของจักรวาลตัวจริงที่ยากนักที่จะมีคนรู้จริงนอกจากผู้ที่ตรัสรู้ เพราะท่านผู้นั้นมีสัพพัญญุตาญาณ คือญาณหยั่งรู่ทุกสรรพสิ่งที่อยากจะรู้... เอาจริงๆ พวกเรารู้จักจักรวาลมากน้อยแค่ไหน ....ในโลกนี้มีใครรู้จักจักรวาล มีข้อมูลของจักรวาลมากที่สุด นอกจากนักวิทยาศาสตร์/นักดาราศาสตร์ ของ NASA. นี่คือข้อมูล Update ถึง ปัจจุบันของ NASA ที่เผยแผ่ออกมาถึงองค์ประกอบของจักรวาล ที่น่าสนใจมาก สสารและพลังงานทั้งหมดในจักรวาล นักวิทยาศาสตร์พบว่าจักรวาลประกอบด้วยสามองค์ประกอบ ได้แก่ สสารปกติหรือสสารปกติที่มองเห็นได้ (5%) สสารมืด (27%) และพลังงานมืด (68%)....ทั้ง สสารมืด และพลังงานมืด นักวิทยาศาสตร์ยังไม่ทราบเลยว่ามันคืออะไร แต่รู้ว่ามันมีอยู่จริงจากจากการสำรวจอวกาศและการคำนวณการขยายตัวของจักรวาล ทั้งสสารมืดและพลังงานมืด รวมกัน 95% นักวิทยาศาสตร์ยังไม่จักจริงๆและยังควบคุมไม่ได้เลย.... แล้วทำไมพวกเราจึงคิดว่ารู้จักรวาลดีพอและ manage จักรวาลให้จัดหาอะไรให้เราอยู่ละครับ... Ref : science.nasa.gov/universe/overview/building-blocks/

ยืนยันคะปราณี ศรีเกตุ

สวัสดีคะ

พูดมากเพ้อเจ้อ

ที่ผ่านมาผมก็เคยเป็นผู้รับกรรมจากชุดข้อมูลความรู้ ที่เป็น "สมมุติบัญญัติ" แต่ไม่เกี่ยวกับคลิบของครูนะครับ....จึงพยายามให้แนวคิดว่า เรื่องราวต่างๆ ที่เราสัมผัสได้ด้วยกาย ก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าเป็นเรื่องฝ่ายนามธรรมเช่นเรื่องจิต /จิตวิญญาณ / เรื่องความลับจักรวาลที่พยายาม manipulate จักรวาลกัน มันเป็นเรื่องที่จับต้องด้วยกายไม่ได้ดังนั้นสิ่งเหล่านี้ถ้าเราไม่หาองค์ความรู้มาจากผู้ที่ Enlightenment จริงๆ (ขอย้ำว่าการตรัสรู้จริงๆ ไม่ใช่คิดเอาเอง )เป็นการยากมาๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ที่จะเข้าใจจริง เพราะองค์ความรู้ที่เกิดจาการรู้แจ้ง เห็นแจ้ง จากการตรัสรู้มันคือความรู้ในระดับที่เรียกว่า "ปรมัตถ์ธรรม" หรือที่ฝรั่งชอบเรียกว่า Ultimate Truth นั่นละ...ความจริงเหล่านี้จะไม่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา... (พระพุทธองค์ก็ทรงตรัสยืนยันว่า ตถาคตจะมาบังเกิดขึ้นหรือไม่ก็ตาม ธาตุหรือสภาธรรมเหล่านี้ก็มีอยู่และเกิดขึ้นอยู่แล้ว )..... *** ถ้า comment นี้ไม่ถูกใจครู ต้องกราบขออภัยไว้ที่นี้ด้วยนะครับ)...และต้องขอยืนยันอีกครั้งนะครับว่า ไม่ได้มีเจตนามา Dis credit ครูหรือใครนะครับ เพียงแค่ปราถนาดีต่อผู้แสวงหาสัจธรรม เพราะถ้าใครที่ได้ศึกษาความรู้จากพระพุทธองค์จนลึกซึ้งแล้วจะรู้ว่า การตั้งใจบำพ็ญบารมีของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์อย่างยาวนาน ต้องใช้เวลานานมากๆๆๆถึง 20อสงไขย+แสนมหากัปป์....พระพุทธองค์มีตั้งใจความปราถนาและเมตตาต่อสัตว์โลกเพื่อให้ถึงซึ่งการพ้นทุกข์อย่างถาวรเป็นหลักใหญ่.... แต่ถ้าท่านใดอ่านแล้วไม่ถูกจริตก็ผ่านไปเลยนะครับ คิดว่าอ่านนิยาย ถือว่า Vibration เราไม่ตรงกัน เพราะความจริงก็เป็นเช่นนั้น..... (ขอให้ทุกท่านมีความสุข ในทุกๆ ช่วงเวลาของวัน นะครับ )🙏❤🙏

อนุญาติ แชร์ Idai นะครับ ครูเคยอ่านบทความของนักดาราศาสตร์ไหมครับเกี่ยวกับเรื่อง เวลาเรามองเห็นดวงดาวดวงนึงที่สวย งามๆ บนท้องฟ้า แต่ที่แท้จริง reality ของปัจจุบันขณะของดวงดาวนั้นอาจไม่มีอยู่จริงแล้ว หรือกำลังแตกสลายอยู่จนไม่เหลือความสวยงามดังที่เรากำลังเห็นความสวยงามอยู่ในโลกมนุษย์ในขณะนี้.....เพราะอะไร เพราะ เราไม่รู้ว่าดวงดาวนั้นอยู่ห่างไกลไปจากโลกกี่ปีแสง....สมมุติแค่ 50ปีแสง กว่าแสงจะเดินทางมาถึงโลกให้เราเห็นก็ใช้เวลา 50 ปี...นั้นหมายความว่า reality ของปัจจุบันขณะของดวงดาว นั้นอาจไม่มีอยู่ ในจักรวาลนี้อีกต่อไปแล้ว เพราะการรับรู้ของมนุษย์มีข้อจำกัด ดังนั้นสิ่งที่มนุษย์รับรู้มาถึงสมอง มันล้วนเป็นอดีตไปหมดแล้ว..... แม้แต่จิต ที่ผู้รู้แจ้งเช่นพระพุทธเจ้าตรัสว่า คุณสมบัติของจิตข้อนึง(จาก11 ข้อ ) คือ ละเอียดที่สุด และเบา ย่อมเกิด และดับเร็วมาก ชั่วเวลาลัดนิ้วมือเดียว จิตจะมีการเกิด-ดับถึงแสนโกฏิขณะ คือ ๑,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ ครั้ง(หนึ่งล้านล้านคร้ัง) จึงเป็นการยากที่จะรู้เท่าทันได้ ความรวดเร็วของจิตนั้น เร็วมากดังที่พระพุทธองค์ตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย จิตเปลี่ยนแปลงได้เร็วเท่าใดนั้น แม้จะอุปมาก็กระทำได้มิใช่ง่าย”นั้นหมายความว่ากว่าข้อมูลต่างๆที่เกิดในจิตจะมาถึงสมองที่รับรู้อะไรต่างๆ มันช้ากว่าจิตมาก ดังนั้นเรื่องที่สมองรับรู้จึงเป็นอดีตไปหมดแล้ว..... เพราะ reality ของปัจจุบันขณะจิตดวงใหม่เค้าไปถึงไหนแล้ว....และความจริงอีกประการที่อยากแบ่งปัน ก็แล้วแต่ว่าใครจะมีบุญวาสนารับฟังได้และเข้าใจ...พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า จิตที่เกิดขึ้น แต่ละดวง แล้วดับลง แล้วกิดขึ้นดวงใหม่อย่างรวดเร็ว เป็นสายไปตลอดที่เรียกว่า วิถีแห่งจิตจิตไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของเรา แต่สภาวะจิตแต่ละขณะเกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย แม้แต่ที่เราเข้าใจว่าจิตว่างนั้นไม่มีอยู่จริงเพราะที่สมองรับรู้มามันคืออดีตไปแล้ว เพราะ แค่เวลาเพียงลัดนิ้วมือเดียว ที่จะเกิดขึ้นข้างหน้านี้จิตเกิดดับไปอีกเท่าไรแล้ว....ดังนั้นองค์ความรู้เรื่องจิตนี้ถือว่า เป็นเรื่องที่ยากที่ใครๆ จะรู้จริงอย่างแจ่มแจ้ง เช่นพระพุทธเจ้าฯ.... ดังนั้นอยากให้ทุกคนที่อยากเรียนรู้เรื่องจิตจริงๆ ใช้ปัญญาพิจาณาให้ดี เพราะถ้าองค์ความรู้ใดๆ ที่เกิดจากผู้ที่ไม่ได้เห็นแจ้ง แต่เกิดจากตรรกะการคิดของตัวเอง แล้วตกผลึกเป็นความรู้ชุดนึง พอเวลาเปลี่ยนไป ไปเรียนรู้เรื่องใหม่แล้วรู้สึกว่า Ok กว่า ความรู้เรื่องเก่า ก็บอกว่าไม่ Ok ละ แบบนี้เรียกว่า "สมมุติบัญญัติ" ความรู้เช่นนี้มีเต็ม RUclips ไปหมด.....ดังเช่นที่ครู รู้สึกว่าวันนี้ องค์ความรู้การทำสมาธิของ Dr.Jo ไม่ใช่ทำให้เกิดสมาธิจิตละ แต่เป็นอย่างอื่นตามที่ตรรกะความคิดของครูจะเข้าใจ...แล้วแบบนี้ ที่ผ่านมาหลายๆ Clip ที่ อาจารย์ของอาจารย์สอนมาก็ยกและให้ credit Dr.Jo มาตลอด แล้วพอมาวันนี้ความคิดเราเปลี่ยนไปต่อองค์ความรู้เหล่านั้น....ใครคือผู้รับกรรมของการเสพข้อมูลที่ได้นำเสนอไปแล้วที่ผ่านๆๆๆๆมา ครับ???

ขอบคุณนะครับสำหรับความรู้ที่ครูพอลลี่ตั้งใจแบ่งปันเรื่องราวในคลิบนี้...เป็นเรื่องที่น่าสนใจ .แต่ถ้าครูยังไม่รู้จักองค์ความรู้ของพระพุทธเจ้าแบบจริงๆๆ เช่นคำที่ครูพูดว่า พระพุทธเจ้า สอนแค่การดูลมหาย เข้าออก แค่นี้เหรอ....แสดงว่าครูยังไม่รู้จักพระพุทธเจ้าจริง ก็อย่าพาดพิงถึงพระพุทธองค์เลยครับ(ด้วยความปราถนาดีนะครับ)... แม้แต่เรื่องจิต ที่พระพุทธเจ้าทรงรู้เห็นจากญาณทัศนะ ไม่ได้รู้จากการจำๆ จาก คนที่ใช้ตรรกะการคิดๆ แม้แต่ ซิกมันด์ ฟรอยด์...ก็ไม่เคยเห็นสภาวะธรรมการเกิด/ดับ ของจิตจริงๆ แค่ใช้การเฝ้าสังเกตุพฤติกรรมของสมองและการแสดงออกของร่างกาย และคิดจินตนาการเป็นทฤษฎีให้เรารู้แต่ผิวๆ แต่ไม่เคยรู้จักจิต ตัวเองจริงๆ เลย.....ผมบอกเลยเรื่องจิตที่สอนกันบึ้มๆๆๆ ใน RUclips 99% จำมาจากความรู้ของคนที่ใช้ตรรกะจากความคิดทั้งสิ้น... ที่เรียกว่า สมมุติบัญญัติ....เรียนทั้งชีวิตก็ไม่มีมีโอกาสที่จะรู้ว่าอะไรคือ Ultimate Truth เรื่องจิต Ultimate Truth ของจริงอยู่ในพระอภิธรรมปิกฎก ครับ เสียดายๆๆ ที่คนไทยส่วนมากไม่สนใจ แต่กลับไปฟังจากต่างประเทศทั้งๆที่คนคิดทฤษฎีต่าง ไม่มีใครเคยเห็นดวงจิตจริงๆเลยแม้แต่คนเดียว ทุกคนที่มาสอนเรื่องจิต ถ้าไม่ได้เรียนรู้จากองค์ความรู้ของผู้ที่เห็นจิตจริง ว่า จิตจริงๆ เป็นอย่างไร จิตมีกี่ดวง มีกี่ประเภท แต่ละประเภทส่งผลต่อชีวิตเราอย่างไร? แล้วคู่หูของจิต ที่เรียกว่าเจตสิก ที่ทำให้จิต เป็นไปต่างๆนานาๆ เดี่ยวสุข เดี่ยวทุกข์ เดีวงอารมณ์ดี เด่วไม่ดี สารพัดร้อยแปด ที่จิตจะเป็นไป....พระอภิธรรมปิกฎก คือองค์ความรู้ธรรมะที่เป็นปรมัตถ์ธรรม ที่เป็นสภาวะธรรมที่จริงแท้สูงสุดไม่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดกาล พระพุทธเจ้าฯ จะมาบังเกิดขึ้นหรือไม่ก็ตาม สภาวะธรรมที่เป็นปรมัตถ์ธรรมนี้ก็มีอยู่ก่อนแล้ว ...ซึ่งมีองค์ความรู้ 4เรื่อง 1.จิต 2.เจตสิก 3.รูป 4.นิพพาน ใช้เเวลาเรียน 4-6 ปี นี่เรามาฟังใน RUclips แป๊บๆ ยากที่จะเข้าใจเรื่องจิตอย่างถ่องแท้ เพราะจิตเป็นสิ่งที่ละเอียดลูกซึ้ง เป็นนามธรรมที่ตาเปล่ามองไม่เห็น ยิ่งคนสอนไม่เคยเห็นจิต ตัวเอง แล้วไม่ได้สอนตามที่ผู้รู้แจ้งสอนเอาไว้ ไปสอนตามตรรกะความคิดตัวเอง หรือตามตรรกะความคิดของโค้ชที่สอนเรามา....ซึ่งถ้าหลัการเหล่านั้นไม่ใช่ Ultimate Truth ในเรื่องจิต ลองคิดเอาเองว่าจะเป็นอย่างไร? ( ความรู้ที่ทางตะวันตกสอนมา ว่ามีจิตสำนึก / จิตใต้สำนึก/ จิตเหนือสำนึก อะไรแบบนี้...บอกได้เลยว่า แค่ผิวๆๆ ยังไม่รู้จักจิตจริงๆเลย ) ถ้าใครเข้าใจเรื่องจิต จริงๆ จะต้องรู้จัก ตัวเจตสิก ด้วยเพราะเค้าเป็น Buddy กัน ซึ่งถ้าเราไม่รู้จักเจตสิก ไม่มีทางที่เราจะรู้จักจิตของเราอย่างแท้จริง....และหากเข้าใจเรื่องจิต จริงๆ ก็จะเข้าใจว่าทำไม สายเสก จึงได้ผลลัพธ์ไม่เหมือนกันทั้งๆที่เรียนจากโคชคนเดียวกัน อ่านหนังสือเล่มเดียวกัน ทำ Work Shop อันเดียวกัน....เพราะไม่รู้และเข้าใจความลับที่ซ่อนเร้นในจิต จึงหลงคิดว่า....สิ่งที่เรา Manifest หรือการใช้ กฎแรงดึงดูด จะเป็นไปตามที่เราคิดเสมอไป ซึ่งชีวิตจริงมัน ไม่ใช่สมการแบบ Liner แบบว่า 1+2 = 3 นะครับ ชีวิตจริง มันคือ 1+2+(X) = ???...เพราะความไม่รู้ว่าตัวแปร (X) คืออะไร และอยู่ภายใต้การควบคุมของเราหรือไม่? เมื่อไม่รู้ค่าตัวแปร (X) เราจึงไม่ทราบว่า คำตอบของแต่ละคนจะเป็นเท่าไร....และที่สำคัญค่า (X) ของแต่ละคนแตกต่างกันไปซะด้วย...ซึ่งถ้าใครอยากรู้รายละเอียดของค่า (X) ของแต่ละคน ซึ่งมันถูกซ่อนอยู่ในจิตแต่ละคนนั่นละ หน้าที่เราต้องเข้าใจและเรียนรู้จากองค์ความรู้ผู้ที่รู้แจ้งแล้วจริงๆ....ไม่เช่นั้นก็จะเจอเหตุการแบบ วน Loop ไปตลอดชีวิต... <ฝากเป็นข้อคิด และเป็นกำลังใจให้ สายพลังงานทุกท่านนะครับ...>😘

*** ลองฟัง clip เรื่อง The Pale Blue Dot ดูนะครับว่าจริงๆ แล้วเราเป็นใครในจักรวาลนี้ แม้แต่โลกนี้ทั้งใบ เป็นเพียงฝุ่นผงที่ล่องลอยอยู่ในอวกาศที่มืดมิด ไม่ต้องพูดถึงว่าแล้วตัวเราเป็นใคร หรือเป็นอะไร มีบทบาทหน้าที่อะไรในโลกและจักรวาลนี้....แล้วเราเป็นผู้รู้แจ้งเห็นจริงในกฎต่างๆที่ควบคุมจักรวาล หรือสัจธรรมทั้งหลาย ที่มีผลต่อชีวิตสรรพสัตว์ทั้งหลาย แล้วหรือยัง??? และถ้ามีบุคคลใดบุคคลหนึ่งในโลกนี้ ที่สามารถรู้แจ้งเห็นจริงในกฎต่างๆที่ควบคุมจักรวาล หรือสัจธรรมทั้งหลาย ได้ด้วยอภิญญาจิต ของการตรัรู้แล้ว Enlightenment อย่างแท้จริง เราจะไม่เปิดโอกาสให้ตัวเองได้รับรู้องค์ความรู้ในระดับที่เรียกว่า Ultimate Truth. ก็ถือว่าน่าเสียดายโอกาสมากๆ... เพราะพระพุทธเจ้าตรัสว่า การได้เกิดเป็นมนุษย์นั้นแสนยาก...และมนุษย์ทั้งหลาย เมื่อตายไปแล้วจะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ใหม่ก็ยากเช่นกัน....ดังนั้นชาติปัจจุบันนี้จึงสำคัญที่สุด ถ้าไม่ได้ศึกษาองค์ความรู้ในเรื่องที่เป็น "Ultimate Truth" แต่ไปเสียเวลากับเรื่องที่เป็น "สมมุติบัญญัติ" จากตรรกะความคิดของบุคคลที่ยังไม่ได้เข้าถึงแบบรู้แจ้งในสัจธรรมความจริงอันสูงสุด ก็เปรียบเหมือนวลีที่เปรียบว่า ...การติดกระดุมเม็ดแรกผิด ก็จะผิดไปตลอดทาง... วันนึงถ้าเข้าใจพุทธพจน์คำว่า : "สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตาติ " แปลว่า สภาวะธรรมทั้งปวง อันได้แก่ จิต /เจตสิก/ รูป /นิพพาน เป็นอนัตตา ไม่มีตัวตน ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของเรา. จะรู้ว่า ชีวิตของเราทุกคน แท้จริงคืออะไร....พุทธศาสนาบอกว่า ชีวิต ตือ รูป+นาม(กาย กับ จิต ) เรื่องจิต วิทยาศาสตร์ยังไปไม่ถึง แต่พระพุทธเจ้าบอกว่า จิต เป็นอนัตตา ส่วน รูป พระพุทธเจ้าบอกว่า เป็นอนัตตา...และรูป ทางวิทยาศาสตร์ พอจะจับต้องได้ วิทยาศาสตร์ ค้นไปถึงเรื่อง อะตอม ว่าเป็นหน่วยเล็กสุดของสสารและวัตถุต่างๆ และค้นพบไปจนพบว่า ในอะตอม มีนิวเคลียสอยู่ตรงกลาง(โดยมีโปรตรอนและนิวตรอน) และมีอิเลคตรอนวิ่งวนรอบๆนิวเคลียสตลอดเวลา...และวิทยาศาสตร์ก็คนพบว่า 99.999% ในอะตอม คือความว่างเปล่า แล้วอวัยวะส่วนต่างๆของ ร่างกายมนุษย์เราย่อยลงไปแล้วประกอบด้วยอะไร ใช่อะตอมไหมครับ?? การวิ่งวนตลอดเวลาของอิเลคตรอนในอะตอมบอกเราว่า อยู่ในภาวะบีบคั้น ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ รอการเปลี่ยนแปลง....วิทยาศาสตร์ค้นพบความจริงเช่นนี้ ...แล้วพระพุทธศาสนาบอกว่า ทุกอย่างเป็นไปตามกฎไตรลักษณ์ อนิจจัง(ไม่เที่ยง) ทุกขัง(ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้) อนัตตา(ไม่มีตัวตน) ใช่เรื่องเดียวกันไหมครับ??? (Ref : ruclips.net/video/tgQ1PtkZvGU/видео.htmlsi=q7Bu2iU8Z_sx0BCO )

ขอบคุณสำหรับ องค์ความรู้ดีๆที่ครูพออลี่ นำมาแบ่งปัน นะครับ....หาฟังได้ยากจริงๆเรื่องนี้ แต่ผมเป็นห่วงครูเรื่องนึงนะครับ ถ้าสัจธรรมเรื่อง "กฎแห่งกรรม" เรายังไม่รู้แจ้งเห็นจริง ควรพูดว่า ครูไม่แน่ใจว่า กฎแห่งกรรม จะมีจริงหรือไม่ แต่ถ้าปัจจุบันเรากำลังเจออะไรหนักๆอยู่ก็ตาม ควรโฟกัสในทางบวก มีสติ และสู้ชีวิตต่อไปไม่ว่าจะใช้กฎแรงดึงดูด อะไรก็ตาม ผมว่า Ok นะครับ....แต่การบอกว่า กฎแห่งกรรม นั้น Noway มันไม่มีหรอก....แบบนี้ อตร. ในทางจิตวิญญาณ เรื่องการ สอนผู้อื่นในเรื่องที่ความรู้เรายังไปไม่ถึง แค่อาจจำคำของ อาจารย์ของอาจารย์มาใช้....แต่ถ้าไม่ไปขัดแย้งกับสัจธรรมก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าไปขัดแย้งอันนี้ละปัญหา... โดยเฉพาะการสอนให้คนหมู่มากเข้าใจเรื่องว่า กฎแห่งกรรม ไม่มีจริง อะไรแบบนี้ คุณครูจะไม่เชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม ก็ไม่เป็นไรเพราะเป็นเรื่องส่วนบุุคคล *** ถ้าหากเรื่องนั้นมีจริงขึ้นมา การสอนให้คนหมู่มากเข้าใจผิดว่า กฎแห่งกรรม ไม่มีจริงเช่นนี้....ในทางพระพุทธศาสนา ในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๕ พระอภิธรรมปิฎกเล่มที่ ๒ วิภังคปกรณ์ กล่าวไว้ว่า : [๑๐๓๑] มิจฉาทิฏฐิมีวัตถุ ๑๐ เป็นไฉน มิจฉาทิฏฐิมีวัตถุ ๑๐ คือ ๑. ความเห็นว่า ทานที่บุคคลให้แล้วไม่มีผล ๒. ความเห็นว่า การบูชาพระรัตนตรัยไม่มีผล ๓. ความเห็นว่า การบูชาเทวดาไม่มีผล ๔. ความเห็นว่า ผลวิบากของกรรมดีและกรรมชั่วไม่มี ๕. ความเห็นว่า โลกนี้ไม่มี ๖. ความเห็นว่า โลกหน้าไม่มี ๗. ความเห็นว่า มารดาไม่มี ๘. ความเห็นว่า บิดาไม่มี ๙. ความเห็นว่า สัตว์ที่จุติและเกิดไม่มี ๑๐. ความเห็นว่า สมณพราหมณ์ ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ รู้ยิ่งเห็นแจ้ง ประจักษ์ซึ่งโลกนี้และโลกหน้าด้วยตนเองแล้ว ประกาศให้ผู้อื่นรู้ได้ ไม่มีในโลก และในพระสูตรที่ชื่อว่า มิจฉาทิฏฐิกสูตร ในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๗ ๑. มิจฉาทิฏฐิกสูตร(ว่าด้วยผู้มีความเห็นผิด) [๗๐] แท้จริง พระสูตรนี้ พระผู้มีพระภาคตรัสไว้แล้ว พระสูตรนี้ พระอรหันต์ กล่าวไว้แล้ว ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ “ภิกษุทั้งหลาย เราได้เห็นเหล่าสัตว์ที่ประกอบกายทุจริต วจีทุจริต และมโน- ทุจริต กล่าวร้ายพระอริยะ มีความเห็นผิด และชักชวนผู้อื่นให้ทำกรรมตามความ เห็นผิด หลังจากตายแล้ว จะไปเกิดในอบาย ทุคติ วินิบาต นรก คำที่ว่า ‘เราได้เห็นเหล่าสัตว์ที่ประกอบกายทุจริต วจีทุจริต และมโนทุจริต กล่าวร้ายพระอริยะ มีความเห็นผิด และชักชวนผู้อื่นให้ทำกรรมตามความเห็นผิด หลังจากตายแล้ว จะไปเกิดในอบาย ทุคติ วินิบาต นรก’ นั้น เราหาได้กล่าวเพราะ รับฟังมาจากสมณะหรือพราหมณ์อื่นๆ ไม่ ภิกษุทั้งหลาย ที่แท้แล้ว เรารู้เอง เห็นเอง ทราบเองทั้งนั้น จึงกล่าว คำนี้ว่า ‘เราได้เห็นเหล่าสัตว์ที่ประกอบกายทุจริต วจีทุจริต และมโนทุจริต กล่าวร้าย พระอริยะ มีความเห็นผิด และชักชวนผู้อื่นให้ทำกรรมตามความเห็นผิด หลังจาก ตายแล้ว จะไปเกิดในอบาย ทุคติ วินิบาต นรก” พระผู้มีพระภาคได้ตรัสเนื้อความดังกล่าวมานี้แล้ว ในพระสูตรนั้น จึงตรัส คาถาประพันธ์ดังนี้ว่า บุคคลในโลกนี้ตั้งจิตไว้ผิด กล่าววาจาผิด ทำการงานทางกายที่ผิด มีความขวนขวายน้อย๑- ทำกรรมอันไม่เป็นบุญไว้ในชีวิตอันน้อยในโลกนี้ เขามีปัญญาทราม หลังจากตายแล้ว จะไปเกิดในนรก แม้เนื้อความนี้ พระผู้มีพระภาคก็ตรัสไว้แล้ว ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้แล.... *** ไม่ได้มีเจตนามาจับผิดอะไร กับคุณครู นะครับ เพราะเป็น FC ฟังความรู้ต่างๆอยู่เสมอ...แต่ผมศึกษาธรรมะและองค์ความรู้ทางพุทธศาสนาจากพระพุทธเจ่าฯ มานานพอสมควร จึงเป็นห่วงคุณครูนะครับ...แต่สุดท้ายถ้าครูจะเชื่อ หรือไม่เชื่อก็ตามอันนั้นเป็นสิทธิ์ของครูครับ... (ด้วยความปราถนาดี และเคารพในตัวครูนะครับ)🙏❤🙏

พึ่งได้เข้าใจถึงเรื่องถังขยะก้นรั่วของอาจารย์เล่าค่ะและรู้ต่อไปว่าในถังขยะนั้นไม่ใช่แค่ถังขยะที่ใช้รองรับสิ่งที่คนอื่นได้โยนทิ้งเท่านั้นเพราะในถังขยะที่ว่าสามารถแยกคัดสรรเศษสิ่งปฎิกูลใว้ในส่วนไหนรีไซเคิลได้ใว้ส่วนไหนเปรียบเสมือนถังขยะวิเศษเลยค่ะที่ก้นถังนั้นมีตะแกรงหลายชั้นที่มีความถี่ห่างของตะแกรงเพื่อคัดกรองและปลดปล่อยส่วนนั้นลงสู่พื้นดินไหลเวียนสู่ธรรมชาติ ผลสะท้อนกลับมาสู่ตัวเราและเผ่าพันธุ์คือผลลับโดยรวมของจักรวาล ที่มีผลจากมวลพลังงานที่พวกเราได้ร่วมกันสร้างและจูนตามที่ดิฉันเข้าใจถูกต้องใหมคะ ผิดพลาดประการใดต้องขออภัยด้วยณ.ที่นี้ขออาราธนาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ดลจิตดลใจให้แสงสว่างส่องธรรมประจักษ์แจ้งต่อไปแม้อยู่ในมุมมืด🙏🙏🙏

❤❤❤❤❤❤❤❤❤🎉

ขอขอบพระคุณครูบาร์อาจารย์ทุกๆท่านค่ะ มันละเอียดอ่อนซับซ้อนยากที่คนไม่ฝึกจะเข้าใจและเข้าถึงค่ะ รู้ได้เฉพาะตนจริงๆค่ะสาธุๆๆ🙏🙏🙏

ได้ยุญคะ

ถูกคะหลงทาง

ถูกคะคนหลลงมากคะ. ครูขาโมานายุญคะ. พี่มาปฏิบัติธรรมมาโมทนากันคะ

สุดยอดที่กล้าพูดความจริงคะ

จริงปะ

สวย งดงาม จุ๊บ

ขอแนะนำนิดนึงคับ ไมค์ของทั้งสองคน หรือ ทุกคนที่มีการพูดในรายการ ถ้าไม่มีการแยกแชแนลตอนตัดต่อ ก็ควรให้อยู่ใกล้ๆปากในระดับเดียวกัน เพื่อให้เสียงทั้งสองคนดังเท่าๆกันนะคับ อันนี้เสียวพี่ผู้หญิงทะลุลำโพงเลย แต่เสียงพี่ก๊อตเบาคับ ขอบคุณที่มาแชร์เรื่องราวดีๆให้ผู้ฟังนะคับบ❤

1 แชร์จ้า

ขอบคุณคลิปดีๆที่ครูสอนนะจ๊ะ

สวัสดี จ๊ะครู ขออนุญาตฟังคลิปครูนะ จ๊ะ

ยินดีค่ะทีครูเป็นปกติแล้ว🎉🎉❤

ขออนุญาตฟังคลิป ของครูรับพลัง ความมั่งคั่ง เหลือเฟือ ครูสอนแพงมาก เข้าฟังครูปุ๊กตื่นรู้ปั๊บเลยค่ ขอบคุณขอบคุณขอบคุณความรู้ดีๆค่ะครู ที่ครูสอนในคลิปนี้

8888

จินตนาการของฉันเกิดขึ้นเป็นจริง ฉันเสก เงินล้าน ได้

ฉันรักเงินเงินรักฉัน

สวัสดีค่ะครูพอลลี่

สวัสดีจ้าครูคนสวย

ขอบคุณครับ

กำลังพยายามเปลี่ยนตัวเองอยู่ครับ

คุณก๊อตพูดได้ดีมากค่ะ

เสียงผู้หญิง ใช่ จริง ฟังแล้วทำให้เสียงคุณก๊อต เนื้อหาของการสนทนาลดน้อยลงไปมากคะ

สุดยอด😊

อยากคุยกับพี่ก็อตตัวจริงมากก

ฉันเนี่ยสมควรได้มัน❤

❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤

ตอนนี้ค้นพบตัวเอง เริ่มออกจากฝูงแล้วค่ะ ขอบคุณมากนะคะ

สะบายดี

ส่งพลังรัก ให้ครูพอลลี่ สุดสวย รักนะค้า❤❤

ขอบคุณคะคนเก่งและคนหล่อทีให้คาวมรู้ตอนนี้ป้าลําบากมากเลย❤❤❤❤❤❤❤❤มากป้าลองทําดูคะขอบคุณมากคะคนเก่ง

เนื้อหาของหัวขัอไม่ค่อยมี มีแต่โฆษณา

สอนของsilva มีลิขสิทธิ์ รึปะ โฆษณาตัวเองเยอะจัง

ขอบคุณมากที่เงินหลั่งไหลมาหาฉันจากทุกทิศทาง

ขอบคุนอาจาน369ป่งนชีวีด

ขอบคุนอาจาน

🎉🎉ชอบค่ะ ดูทั้งตอนไปและกลับเลยค่ะ

รำคาญเพียงผู้หญิง พูดตามน้ำจนน่ารำคาญ เสียงก็ตะโกนพูด ใช้คีย์สูงจนฟังแล้วแสบหู